คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Seme & Uke ; Saranghaeyo : 'รัก' มากกว่าคุ้นเคย -END-
SF ; Saranghaeyo รัก : มากกว่าคุ้นเคย -END-
Pairing ; Yunho X Changmin , Changmin X Yunho
Genre ; Romance
Rate ; PG
Note ; ซารางเฮโย.. รัก :-)
Song ; Love Light By CN Blue
มากกว่าคุ้นเคย...แต่มันคือรักต่างหากล่ะ.
“อือ..กลับมาแล้ว” เสียงทุ้มที่ติดจะยานคางนิดๆเพราะความง่วงนอนดังขึ้นที่หน้าห้องพัก ยุนโฮดันแผ่นหลังกับประตู้ไม้เพื่อให้มันปิดสนิท ก่อนจะก้มลงถอดรองเท้าผ้าใบวางไว้แล้วสวมสลิปเปอร์แทน
“กว่าพี่จะกลับมาได้นะ” ชางมินเงยหน้าขึ้นจากหนังสือที่ยังอ่านไม่จบ ริมฝีปากอิ่มยกยิ้มมุมปากเล็กๆเมื่อเห็นสภาพของพี่ชาย มือหนาพับเก็บหนังสือเข้าที่ก่อนขายาวจะหยัดลุกขึ้นไปหาคนที่ยืนรินน้ำอยู่ในครัว
“รินน้ำทั้งที่ตาจะปิดอยู่แล้วเนี่ยนะ เดี๋ยวก็หกหมดหรอก” ว่าแล้วก็ฉวยเอาแก้วใบเล็กกับเหยือกน้ำไปรินแทนเอง จนอีกคนที่แทบจะเปิดตาไม่ขึ้นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว
“อื้ออ ง่วงอ่ะชางมิน” จู่ๆยุนโฮก็พูดขึ้นมา ทั้งที่ในมือยังถือแก้วใบเดิมอยู่เลย ตาคมปรือปรอยจนแทบจะมองไม่เห็นนัยน์ตาดำข้างใน
“อ้าว เฮ่ย!!” ร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อ อยู่ดีๆชางมินก็ฉวยข้อมือเค้าแล้วกระชากให้เดินตามเฉย
ไม่รู้เหรอไงว่าตัวเองแรงควายแค่ไหน มันเจ็บนะเว้ยยย ไอ้น้องบ้า!!
แต่ก็ได้แค่เถียงอยู่ในใจนั้นแหละ ขืนพูดออกไปตอนนี้คงไม่พ้นโดนตวาดจนหูชาอีก
สรุปแล้วใครมันเป็นลีดเดอร์กันแน่วะ?
“อ่ะ ถึงแล้วรีบอาบน้ำซะ จะได้นอน” ชองยุนโฮเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆกับคำพูดของน้องชาย กะอีแค่ให้เค้ามาอาบน้ำเนี่ย ทำไมต้องชุดกระชากลากถูกันมาด้วยวะ(?)
“อืม..” แต่สิ่งที่พูดออกไปก็เป็นเพียงคำตอบรับเบาๆเท่านั้น ในเมื่อตอนนี้ร่างกายที่ถูกใช้งานมาอย่างหนักทั้งวันเรียกร้องที่จะให้เค้าพักผ่อนซักที
ผ่านไปได้ไม่นานร่างสูงของยุนโฮก็เดินออกมาจากห้องน้ำ ตาตี่ๆเบิกกว้างอย่างตกใจเมื่อเห็นว่าร่างของน้องชายกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงเค้า
“อาบเสร็จแล้วเหรอ?” พูดจบปุ๊ปก็กระโดดลงจากเตียง ดึงข้อมือของคนที่ยืนนิ่งให้มานั่งบนเก้าอี้หน้ากระจกบานใหญ่ มือหนาหยิบเอาผ้าขนหนูผืนเล็กที่วางอยู่บนศีรษะของพี่ชาย มาเช็ดผมให้เบาๆจนมันแห้งสนิทดี แถมยังจัดการค้นตู้เสื้อผ้าคว้าเอากางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดมายื่นให้อีก
“ใส่ซะ เดี๋ยวก็เป็นปอดบวมตายพอดี” ว่าพลางก้าวฉับๆไปยังเก้าอี้เล็กๆข้างเตียงแล้วทรุดตัวนั่งลง
ยุนโฮรับเอาชุดนอนมาถือในมืออย่างงๆ วันนี้ชางมินเป็นอะไร ทำไมเผด็จการกับเค้าจัง สั่งนู่นสั่งนี่ตั้งแต่เดินเข้ามาในห้องแล้ว
ขาเรียวเดินไปที่เตียงนุ่มของตัวเอง ล้มตัวลงนอนตั้งใจจะหยิบผ้าห่มที่อยู่ปลายเตียงขึ้นคลุมแต่ก็โดน คนเป็นน้องชิงหยิบขึ้นมาก่อน มือหนาคลี่ผ้าออกก่อนจะห่มให้อย่างเบามือ
“นอนสิครับ ไหนบอกว่าง่วงไง?” เอ่ยถามเมื่อเห็นว่าคนที่สมควรจะหลับได้แล้วนั่งจ้องเค้าตาแป๋ว
“ฮ่ะๆ วันนี้นายเป็นอะไรเหรอเปล่า ชางมิน?” ยุนโฮหัวเราะเบาๆก่อนจะถามสิ่งที่จนสงสัยออกไป
“ผมเหรอ? ก็ไม่ได้เป็นอะไรนิ” พูดเรียบๆ พร้อมกับพิงหลังกับเก้าอี้ตัวเล็กและหยิบเอาหนังสือที่หัวเตียงขึ้นมาอ่าน
“หึ นายโกหกไม่เก่งเลยนะ”
“พี่ก็โกหกไม่เก่งเหมือนกันนั้นแหละ” ปลายเสียงเริ่มจะหงุดหงิดเล็กๆก่อนจะพยายามทำเป็นไม่สนใจแล้วตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือในมือแทน
“...”
“นอกจากจะโกหกไม่เก่งแล้ว ยังเก็บความรู้สึกไม่เก่งด้วยนะ!”
ฉึก! แทงใจดำอ่ะ
ยุนโฮยิ้มอย่างผู้มีชัยเมื่อเห็นว่าชางมินเถียงต่อไม่ออก ก็ในเมื่อมันเป็นอย่างนั้นจริงๆนิ นอกจากเค้าจะโกหกคนอื่นไม่เก่งแล้ว ยังเก็บความรู้สึกไม่เก่งอย่างนั้นจริงๆ ต่างกับอีกคนที่เก็บเก่งซะจนแทบมองไม่เห็น
นี่คือหนึ่งในความแตกต่างระหว่างเค้ากับยุนโฮ
เวลามองรูปใบหนึ่งที่มีเค้ากับยุนโฮอยู่ด้วยกัน จะเห็นว่าพวกเค้ากำลังยิ้มอย่างมีความสุขเพื่อทำให้แฟนคลับยิ้มตามแต่...ถ้ามองดีๆแล้วล่ะก็ จะเห็นว่าในแววตาของชิมชางมินไม่ยิ้มตามไปด้วยเลยสักนิด เพียงแค่ลองมองดีเท่านั้นเอง...
ไม่เหมือนกับอีกคน ไม่เหมือนกับยุนโฮ คนๆนี้เก็บความเจ็บปวดไว้ลึกเกินกว่าที่ทุกคนจะมองเห็น ไม่มีใครรู้ว่าภายในแววตาที่แสนสดใสนั้นซ่อนความเศร้าสร้อยไว้มากมายเพียงใด มองไม่ออกเลย...
ชองยุนโฮเป็นคนที่เก็บงำความรู้สึกได้มากกว่าใครและดีกว่าใคร
ในขณะที่ชิมชางมิน แค่มองตาก็รู้แล้วว่าคิดอะไร
จนบางครั้ง.. บางครั้งที่ชางมินก็ไม่อาจรู้เลยว่า “คนๆนี้” คนข้างๆเค้าคนนี้
มีความสุขหรือทุกข์กันแน่...!
“บางครั้ง..ผมก็มองพี่ไม่ออกเหมือนกันนะ ไม่สิ ต้องบอกว่าบ่อยๆมากกว่าที่มองพี่ไม่ออกเลย”
“หืมม?” ยุนโฮหันหน้ามาทางชางมิน คิ้วเรียวขมวดชนกันอย่างไม่เข้าใจ
“พี่เก็บความรู้สึกเก่งเกินไป เมื่อไหร่ที่ผมมองตาพี่มันเหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ในนั้น..แต่..ผมก็มองไม่ออกว่ามันคืออะไร ในขณะที่เรานั่งกันอยู่ในรถสองคน ผมมองเห็นว่าพี่ซ่อนความเสียใจไว้ในแววตาแต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องขึ้นแสดง สิ่งนั้นมันก็หายไป.. จนผมไม่เข้าใจว่าพี่.. รู้สึกยังไงกันแน่”
“มันก็เหมือนกัน... บางทีฉันก็ไม่เข้าใจนายเหมือนกัน”
“.....”
“บนคอนเอสเอ็มทาวน์..ในขณะที่นายกำลังยิ้มกว้างเล่นอย่างสนุกสนานดูมีความสุขอยู่กับมินโฮ.. มันเหมือนกับว่าฉันถูกทิ้ง มองไปทางไหนเหมือนไม่มีใครสนใจ ไม่รู้ว่าจะทำตัวยังไงจะให้ไปเล่นเหมือนเป็นเด็กๆก็ไม่ได้ หึ พูดง่ายๆ มันเป็นความน้อยใจ อิจฉาไม่เข้าเรื่องของฉันเอง”
“พี่....”
“บางครั้งระหว่างที่เราสองคนนั่งข้างกันนายก็เงียบเฉย ไม่ปริปากพูดอะไรแต่เพียงมีคยูฮยอนหรือมินโฮเข้ามานายก็เปิดปากพูดขึ้นทันที ใบหน้าที่เรียบนิ่งก็มีรอยยิ้ม ทั้งๆที่ฉันก็นั่งอยู่ตรงนั้นแต่ทำไมถึงได้รู้สึกเหมือนไม่ตัวตนก็ไม่รู้ แต่ในวันนั้นวันที่กลับมาจากงานอีเว้นท์ที่ญี่ปุ่น ถ้าฉันไม่เข้าข้างตัวเองเกินไป ฉันสังเกตุเห็นว่าในแววตาของนายดูเหมือนเป็นห่วงฉันอยู่ รู้ไหม ว่าฉันวางตัวไม่ถูกนะ เด็กแสบ!” นิ้วยาวจิ้มเบาๆที่แก้มเนียนของน้องชายอย่างหยอกล้อ
“...”
“ไม่ใช่นายคนเดียวหรอกที่มองฉันไม่ออก เพราะบางครั้งฉันก็ยังไม่เข้าใจตัวเองด้วยซ้ำ จะน้อยใจไปทำไม เสียใจไปเพื่ออะไร ในเมื่อเราเป็นอะไรกันก็น่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจ จริงไหม?”
ริมฝีปากหยักระบายยิ้มอ่อน ก่อนจะกระชับผ้าห่มที่คลุมอยู่ ร่างสูงซุกตัวหาผ้าห่มมากขึ้น
“อื้อ แค่กๆ”
“หนาวเหรอ? ให้หรี่แอร์ไหม?”
“อืม”
มือหนาดึงผ้าห่มให้ขึ้นคลุมร่างยุนโฮจนถึงลำคอ นิ้วเรียวเกี่ยวเส้นผมที่ลงมาปรกใบหน้าได้รูปออกเบาๆ ยุนโฮขยับตัวไปมาอยู่สองสามทีก่อนเปลือกตาจะค่อยๆปิดลงสนิท
“ฝันดีนะครับ”
แทนคำพูดใดๆ ใบหน้ายุนโฮเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้มบางทั้งที่หลับสนิท เรียกให้อีกคนที่มองอยู่ยิ้มตาม
“อืมม” ร่างสูงพลิกกายขึ้นมานอนหงาย นัยน์ตาสีเข้มทอดมองเพดานห้องอย่างครุ่นคิด ทั้งที่ๆมันก็ดึกมากแล้วแต่ยุนโฮกลับนอนไม่หลับ ทั้งๆที่ควรจะพักผ่อนให้พอกลังจากทำงานหนักมาทั้งวัน แต่ร่างกายกลับทรยศซะนี่ ชายหนุ่มยันตัวลุกขึ้นจากที่นอนนุ่ม ก่อนจะก้าวลงจากเตียงเดินไปที่ระเบียงห้องแทน
มือเรียวเลื่อนบานประตูออก ความรู้สึกแรกที่สัมผัสคือลมหนาวที่กระทบกับผิวกาย สองแขนยาวยกขึ้นกอดอกไว้หลวมๆ พลางมองลงไปด้านล่าง
แสงไฟระยิบระยับส่องสว่างอยู่ทั่วกรุงโซล แม้จะเป็นเวลาที่ทุกคนควรจะปิดไฟเข้านอนกันได้ แต่กับกรุงโซลมันไม่เป็นเช่นนั้น ในเมื่อโซลเป็นเมืองหลวงของเกาหลีใต้ เป็นเมืองแห่งการช้อปปิ้ง เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจเพราะฉะนั้นคงจะไม่แปลกที่ในเวลาตีสามกว่าๆจะเห็นเหล่าร้านค้า โรงแรม ร้านอาหารชื่อดัง เปิดไฟสว่างจ้าราวกับเป็นตอนกลางวันแบบนี้
“ใจตรงกันนะครับ นอนไม่หลับเลยมามองวิวโซลตอนนี้” ยุนโฮหันหน้ามองไปทางต้นเสียงที่มาโดยเค้าไม่รู้ตัว และก็พบกับชางมินที่ยืนท้าวขอบระเบียงอยู่
ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมเค้าถึงได้ยินเสียงชางมิน ก็ในเมื่อห้องนอนอยู่ติดกัน แล้วตรงระเบียงก็มีแค่ประตูกระจกบางๆกั้นไว้เท่านั้น จึงไม่แปลกที่เค้าจะได้ยินแถมในยามดึกสงัดแบบนี้ยิ่งชัดเจน
“พี่... ไม่หนาวเหรอไง?” ชางมินเอ่ยถามขึ้น ทั้งที่ตัวเองก็มีสภาพไม่ต่างจากอีกคนสักเท่าไหร่ คือยกแขนขึ้นโอบกอดร่างตัวเองเอาไว้ แต่เพราะรู้ว่ายุนโฮไม่ค่อยสบายอยู่ถึงได้เป็นห่วงขึ้นมา
“หนาวสิ..แล้วนายล่ะจับขอบระเบียงแบบนั้นมือไม่เย็นเหรอไง?”
“ตอนแรกมันก็เย็น แต่พอจับไปนานๆมันก็คุ้นมือไปเองแล้วก็อุ่นขึ้นด้วย” รอยยิ้มละมุนถูกส่งมา ผ่านกระจกที่กั้นอยู่แต่สำหรับชองยุนโฮแล้วมันชัดเจนเสมอ รอยยิ้มของคนๆนี้อบอุ่นและสดใส
“งั้นเหรอ.. ถ้าเป็นอย่างที่นายบอกถ้าได้เจอกันนานๆ ได้เห็นหน้ากันทุกวัน ได้สัมผัสได้ใกล้ชิด..มันจะอุ่นขึ้นด้วยเหรอเปล่า หรือว่ามันจะยังหนาวเหมือนเดิม หัวใจน่ะมันจะอุ่นขึ้นไหม? หรือว่า หัวใจกับฝ่ามือมันไม่เหมือนกัน?” เอ่ยถามกลับไปพร้อมรอยยิ้ม ในขณะที่อีกคนก็ตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้มดังเดิม
“ฝ่ามือเมื่อเพิ่งสัมผัสกับความหนาวเย็น มันก็ต้องเย็นไปด้วยเป็นธรรมดาแต่เมื่อลองสัมผัสไปนานๆแล้วก็เกิดความคุ้นชิน เหมือนกับคนสองคนที่ได้เจอกัน เห็นหน้ากัน อยู่ด้วยกัน รับรู้ถึงความรู้สึกของกันแล้วกันมันก็กลายเป็น ความคุ้นเคย...”
“ถ้าอย่างนั้นเราก็คงคุ้นเคยกันจริงๆแล้วล่ะนะ ชางมิน นายว่าไหม?”
“มองดูกระจกให้ดีๆนะ” แทนที่จะได้คำตอบแต่ยุนโฮกลับได้ประโยคซึ่งฟังดูเหมือนคำสั่งมากกว่า
ชางมินขยับตัวเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูกระจกบานใหญ่ เพราะอากาศที่หนาวเย็นทำให้เกิดฝ้าบางๆขึ้นไม่ยาก และนั้นคือสิ่งที่เค้าต้องการ ชายหนุ่มลากปลายนิ้วบนแผ่นกระจกกลายเป็นตัวอักษร และไม่นานมันก็เกิดเป็นคำขึ้นมา
사랑해요
ตัวอักษรสี่ตัวสั้นๆ แต่ความหมายของมันกลับมีค่ามากกว่านั้น
ซารางเฮโย...รัก
ยุนโฮยิ้มและรอยยิ้มก็ยิ่งกว้างขึ้นไปอีกกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนถ้าเป็นไปได้ปากอาจจะฉีกถึงรูหูไปแล้วก็ได้
“นี้แหละคือคำตอบของผม.. มากกว่าคุ้นเคยแต่...มันคือรักต่างหากล่ะ”
“ฉันก็รักนาย ชิมชางมิน”
-THE END-
ความคิดเห็น