ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดูการ์ตูนอย่างแมว ๆ

    ลำดับตอนที่ #268 : อีกครั้งกับ Femdom และราคาหนังสือมังงะการ์ตูนญี่ปุ่น

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.8K
      0
      30 ม.ค. 57

    เรื่องของเรื่องคือจู่ๆ ผมนึกอยากอ่านหนังสือมังงะการ์ตูนของญี่ปุ่นดู ของญี่ปุ่นที่ว่าไม่ใช่หนังสือมังงะที่วางแผงในไทย แปลไทยหรอกน่ะครับ แต่เป็นหนังสือมังงะที่ขายในประเทศญี่ปุ่น ภาษาญี่ปุ่น ไม่แปลเป็นไทยนั้นเอง

    แม้ว่าทั้งชีวิตของผม อายุ 31 ปี จะสัมผัสหนังสือการ์ตูนหลายเรื่อง แต่ก็ยังห่างไกลจากโอตากุที่พบเห็นในทีวีเหลือเกิน เพราะผมไม่เคยซื้อหนังสือมังงะญี่ปุ่นแท้ๆ เลยแม้แต่เล่มเดียว หรือแม้แต่จับก็ไม่เคย  อย่างมากเคยจับจัมป์ในร้านหนังสือมือสอง กับเคยเห็นเท่านั้น ไม่เคยสัมผัสเนื้อในการ์ตูนแท้ๆ แต่อย่างใด

    จนกระทั่งวันหนึ่งนอนเบอร์ “หนอน” มาอวดหนังสือมังงะญี่ปุ่นที่สั่งตรงจากญี่ปุ่น ด้วยราคาหนังสือที่รู้แล้วก็เกิดความสงสัยว่าทำไมหนังสือเล่มที่มันอวดทำไมมันแพงนัก คือมันแพงกว่าที่ผมคิดไว้มาก  แพงกว่าหนังสือมังงะแปลไทยบ้านเราหลายสิบเท่า ทั้งๆ ที่จำนวนหน้าก็เท่ากับการ์ตูนมังงะแปลไทยที่วางแผง มันมีคุณภาพดีนักเหรอถึงต้องจำต้องเสียเงินซื้อสั่งตรงจากญี่ปุ่น

     ด้วยความอยากรู้ว่าหนังสือของญี่ปุ่นมันแตกต่างจากหนังสือการ์ตูนมังงะแปลไทยบ้านเราอย่างไร ผมก็เลยวาน “หนอน” ให้สั่งซื้อหนังสือการ์ตูนมังงะสั่งตรงจากญี่ปุ่นเรื่องหนึ่ง  ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ซื้อหนังสือประเภทนี้

     


    ห่อยิ่งกว่าหมูยอป้าปี๋

     

    กว่าหนังสือที่ผมสั่งที่ว่ากว่าจะมารอเป็นเดือน (กว่าๆ) เพราะหนังสือมังงะญี่ปุ่น (แท้ๆ) ที่ว่าไม่มีขายในประเทศไทย ต้องสั่งจากญี่ปุ่นสถานเดียว และเมื่อพัสดุจากหนอนส่งมาถึงผมนี้ ผมแทบตกตะลึงกับการห่อพัสดุยิ่งกว่าหมูยอป้าปี๋เชียงใหม่เสียอีก เพราะมันช่างเป็นการห่อพัสดุที่บ้าพลังเพียงแค่ปกป้องหนังสือเล่มเดียวเสียเหลือเกิน

    ก่อนที่จะพูดถึงตัวหนังสือการ์ตูนมังงะ ก็ขอพูดถึงการ์ตุนที่ผมวานที่วานให้หนอนซื้อหน่อย แน่นอนว่าหนังสือการ์ตูนมังงะที่ผมสั่งจะต้องเป็นการ์ตูนที่ไม่มีในประเทศไทย ไม่มีแปลไทย และไม่มีทางได้ลิขสิทธิ์ในไทยแน่นอน

     


    Upper Girls!

     

    เรื่องที่ว่าคือ Upper Girls! เป็นแนวฮาเร็ม เอจจิ และแนว Femdom (ผู้หญิงเหนือกว่าผู้ชาย ที่พระเอกเป็นลูกไล่และโดนแกล้งจากเพื่อนหญิงทั้งหลาย) ผลงานของ Sorimura Youji ซึ่งเคยวาดสายมืดมาก่อน (ปัจจุบันก็ยังวาดโดจินมืดอยู่ ผลงานล่าสุดโดจินไอดอล มาสเตอร์)  แถมมืดส่วนใหญ่เป็นแนวโลลิคอน เด็กประถมเฉียดคุกอีกต่างหาก และสายสว่างก็ไม่พ้นโลลิคอน อย่างเรื่อง Cherry x Cherry  (มีแปลไทย 2 ตอน) แม้เรื่องที่ผมซื้อมาจะไม่มีโลลิ แต่ว่ามีตัวเอกก็ยังเตี้ยตัวเล็กอยู่ดี

    ปกติพระเอกของคนเขียนคนนี้จะดูเป็นผู้ใหญ่ แต่คราวนี้มาเปลี่ยนบรรยากาศ โดยเป็นเรื่องของพระเอกมัธยมต้นผู้หนึ่งที่แคะมากๆ (คือหน้าตาราวกับผู้หญิง ตัวเล็ก) ขี้แย อ่อนแอ ที่เริ่มต้นวันเปิดภาคเรียนใหม่ที่ตนคิดว่าจะเป็นการเริ่มต้นที่ดี แต่กลายเป็นว่าระหว่างทางเขาเกิดไปรู้ความลับของนางเอกสาวเตี้ยแบน ทวินเทลหัวสว่างเข้า (ไม่รู้ว่าเป็นรุ่นพี่ หรือชั้นปีเดียวกับพระเอก)  และนั้นเองทำให้พระเอกถูกลากเข้าชมรมของทวินเทลหัวสว่าง และยังไม่พอเพราะตัวของพระเอกนั้นแสนน่ารักน่าจับกดได้ดึงดูดให้สาวสวย 3 แบบ 3 โหด ที่ประกอบไปด้วย เพื่อนสมัยเด็กผู้ชอบจับพระเอกแต่งหญิง, สาวแว่นที่ชื่นชอบพวกเมือกลื่นๆ เป็นชีวิตจิตใจ และไอดอลจอมหื่นให้เข้าชมรมที่แสนปวดหัวนี้เพื่อเป้าหมายจับกดพระเอก!!

     

     

    ทวินเทลทำการแสดงอำนาจ

     

     

    เพื่อนสมัยเด็กจับกดพระเอกที่แต่งเป็นสาวดุ้น

     

     

    สาวแว่นหฤโหด

     

     

    ไอดอลหื่น

     (ปล. เนื่องด้วยเรื่องนี้ไม่มีแปลอังกฤษ การ์ตูนตัวเต็มก็จีนแดง ญี่ปุ่น ผมเลยไม่รู้ว่าใครเป็นใครบ้าง)

     

    ปกติแม้ว่าเราจะอยู่ในประเทศไทย ไม่ได้อยู่ในประเทศญี่ปุ่น แต่เราก็สามารถหาซื้อหนังสือการ์ตูนมังงะญี่ปุ่นได้อย่างง่ายดาย โดยสามารถซื้อหนังสือเหล่านี้ได้หลายแหล่ง  ไม่ว่าจะเป็นร้านหนังสือญี่ปุ่นนำเข้าใกล้บ้านซึ่งส่วนใหญ่จะมีหนังสือการ์ตูนดังๆ (ที่ออกเร็วกว่าแปลไทยบ้านเรา) มาวางขาย ที่ผมรู้จักก็ร้านหนังสือนำเข้าจากญี่ปุ่นที่กาดสวนแก้วเชียงใหม่ (ชื่อร้านจำไม่ได้) ก็มีการ์ตูนดังวัชพีช, โคนัน แต่ถ้าอยากได้การ์ตูนที่ไม่ดัง และไม่มีในร้านก็สามารถสั่งได้ทางร้านได้เหมือนกัน (ซึ่งผมเป็นกรณีนี้) เพียงแต่ราคาส่งค่อนข้างแพง และค่อนข้างใช้เวลานานกว่าของจะมา

    นอกจากนี้ยังมีหลายวิธีที่จะหาหนังสือการ์ตูนนำเข้าจากญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นการสั่งซื้อทางอินเทอร์เน็ต ทั้งเว็บขายหนังสือนำเข้าญี่ปุ่นดังๆ อย่างอเมซอน, ร้านหนังสือนำเข้า ไปจนถึงวานให้คนรับซื้อ (ซึ่งเราสามารถซื้อหนังสือนำเข้าญี่ปุ่น ไปจนถึงโดจินมืดได้เลย) และวิธีสุดท้ายคือการหาซื้อหนังสือนำเข้าที่ร้านหนังสือมือสองซึ่งราคาจะถูกกว่ามือหนึ่งมากโขเลยก็ว่าได้

    สำหรับราคาหนังสือการ์ตูนมังงะนำเข้าจากญี่ปุ่นนั้น หลายคน (โดยเฉพาะผม) มักบ่นว่าหนังมือการ์ตูนบ้านเรานับวันแพงขึ้นทุกที สมัยก่อนเล่มแค่ 25 บาท ต่อมาก็ขึ้น 30 ก็ยังไม่บ่น พอต่อมาก็ขึ้นไป 35 เริ่มบ่นนิดหน่อย ต่อมาอีกก็ขึ้น 40, 45, 50, 60 บาทก็เริ่มมีความคิดว่าหนังสือการ์ตูนบ้านเราจะแพงเกินเหตุไปแล้ว เพราะแม้ว่าราคามันจะขึ้น แต่คุณภาพเหมือนเดิม บางสำนักพิมพ์ กระดาษสีน้ำตาลที่แสนจะบางจนเห็นลายเส้นหน้าถัดไป การแปลที่แสนจะแย่ลงจนบางเรื่องใช้ศัพท์เฉพาะไม่ถูกต้อง (จนกินทามะยังเอามาแซว) ตัดขอบหนังสือไม่ดี และที่สำคัญสำนักพิมพ์บางแห่งใช้อักษรศีลธรรมที่บังมิด อย่างเมื่อก่อนบูรพัฒน์เคยใช้อักษรศีลธรรมบังตัวละครที่สวมชุดว่ายน้ำ จนหลายคนรับไม่ได้ถึงขั้นดราม่า (ปัจจุบันสำนักพิมพ์ที่ใช้อักษรศีลธรรมที่รับได้ที่สุดคือ สยาม และรักพิมพ์) และที่ไม่เข้าใจคือในเมื่อมันการ์ตูนที่ใช้อักษรศีลธรรมเป็นแนวเอจจิ ขายหื่น หากบังจนมิดหน้าแบบนี้ ไม่ต้องซื้อลิขสิทธิ์มาขายไม่ดีกว่าเหรอ?

    เรื่องอักษรศีลธรรมนี้ ใครมีความคิดเห็นอย่างไรนั้นผม ไม่รู้ แต่ความคิดของผม ในเมื่อผมซื้อการ์ตูนมาก็เพื่อหวังที่จะได้เห็นความตรงต้นฉบับของญี่ปุ่น ไม่อยากมีอะไรมาบังให้เสียอารมณ์ อีกทั้งบางคน (โดยเฉพาะผม) ต้องการศึกษาลายเส้น มุมกล้อง สรีระของผู้หญิง อีกทั้งบางสำนักพิมพ์ชอบซื้อลิขสิทธิ์แนว “เอจจิ” หลายเรื่อง (ซึ่งแนวพวกนี้คนไม่ค่อยนิยมอ่านแล้ว) แต่พอใช้อักษรศีลธรรม มันเสียความรู้สึกยังไงชอบกล

    แน่นอน เพราะอารมณ์เสียอารมณ์เหล่านี้ ทำให้บางคนเริ่มเข้าหาการ์ตูนมังงะนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น แม้บางเรื่องจะมีแปลไทยวางแผงแล้วก็ตาม อย่าง โคนัน, วัชพีช, แฟรี่ สำหรับคนซื้อส่วนใหญ่จะเป็นแฟนพันธุ์แท้ หรือแฟนคลั่งการ์ตูนที่ชอบการ์ตูนเรื่องนั้นๆ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ที่อยากซื้อการ์ตูนนำเข้าจากญี่ปุ่นเพื่อเอาไปสะสม อวดบารมี หรืออยากเสพความสวยงามของการ์ตูนมังงะญี่ปุ่นแท้ๆ บ้าง

    คุณภาพของหนังสือการ์ตูนมังงะจากญี่ปุ่นแท้ๆ กับหนังสื่อการ์ตูนวางแผงบ้านเราช่างแตกต่างราวกับฟ้าและเหว เพราะคุณภาพหนังสือการ์ตูนจากแดนต้นตำรับดีมากๆ เริ่มจากปกสีมีความมันคมชัดกว่า หน้าสีของไทย กระดาษก็มีความหนา (แตกต่างจากหน้าสีไทย บางเล่มก็ไม่ได้เป็นหน้าสีเปลี่ยนเป็นขาวดำแทน หรือถ้าเป็นหน้าสีก็แสนจะบาง) กระดาษเนื้อในนั้นเป็นกระดาษถนอมสายตาที่มีความหนา การตัดหน้ากระดาษก็ถูกต้อง ไม่ตัดเกิน ไม่ตัดส่วนสำคัญของภาพการ์ตูนออกไปเลย

    (กระดาษถนอมสายตาเป็นกระดาษที่มีอัตราการสะท้อนแสงน้อยกว่ากระดาษทั่วไป แสงสะท้อนที่ว่าทำให้เกิดความเมื่อยล่าในการอ่าน ทำให้คนอ่านสามารถอ่านหนังสือได้ไม่นาน  ซึ่งกระดาษถนอมทั่วไปจะมีสีหม่นกว่าปกติเล็กน้อย ไม่โปร่งใสมากเกินไป โดยเป็นกระดาษที่เหมาะแก่การอ่านมากที่สุด อีกทั่งยังเก็บรักษาได้นานด้วย)

    ที่สำคัญสุดๆ คือไม่มีเซนเซอร์เลยแม้แต่น้อยกับเอจจิที่ผมซื้อมา (ก็แน่นอนสิ) ขอบอกว่าการ์ตูนเรื่องนี้เอจจิรุนแรงกว่า To Love-Ru มาก (เพราะมีฉากขยี้ไข่, ลูบไล้, บีบนม, ซาดิสต์ ฯลฯ) แต่ไม่มีอักษรศีลธรรมมาบดบังให้เสียอารมณ์แต่อย่างใด อีกทั้งหมึกที่พิมพ์การ์ตูนนั้นมีความเข้ม ชัดเจน คมกริบมาก

    ผมเคยอ่านคอลัมน์หนึ่งที่เขียนว่าหนังสือการ์ตูนมังงะมีสองแบบ คือแบบแรกคือแบบสะสมโดยเฉพาะ ซึ่งเน้นการ์ตูนเรื่องเดียว (รวมตอนในนิตยสารเป็นเล่มเดียว) หรือรวมผลงาน (เล่มเดียวจบ ตอนเดียวจบ ตอนสั้น) ของนักเขียนคนเดียวในเล่มเดียว เพราะทำเพื่อสะสมนั้นเอง ทำให้ตัวหนังสือต้องมีความทน (กระดาษหนา) มีรูปเล่มสวยงาม ใช้กระดาษอย่างดี หากนำไปจัดเรียงตู้จะสวยงามมาก

    ส่วนอีกแบบก็คือ หนังสือการ์ตูนรายสัปดาห์ รายเดือนที่รวมผลงานของนักเขียนในเครือ แบบจัมป์คุณภาพเล่มนั้นจะลดลง เพราะวัตถุประสงค์ในการซื้อต้องการอ่านการ์ตูนที่ติดตามมากกว่าเอาไปสะสม อีกทั้งรูปเล่มจะมีขนาดใหญ่และหนากว่า ดังนั้นกระดาษที่ใช้จึงเป็นกระดาษรีไซเคิล (สีเหลือง) มากกว่า (สมัยก่อนกระดาษทุนต่ำที่ส่วนใหญ่มักใช้เป็นกระดาษในสมุดโทรศัพท์) ประมาณว่าเมื่ออ่านจบแล้วก็จะนำไปทิ้งได้เลย (อย่างที่เราเห็นคนญี่ปุ่นเอาการ์ตูนรายสัปดาห์มัดเป็นกองๆ แล้วเอาเป็นทิ้งนั้นแหละ)   อย่างไรก็ตามปัจจุบันก็มีหลายคนสะสมการ์ตูนรายสัปดาห์เพราะมีรูปเล่มที่สวยงามเหมือนกัน

    แน่นอนว่ายิ่งของดีมีคุณภาพ สิ่งที่ตามมานั้นก็คือราคาที่แพงตามคุณภาพ บ้านเราบ่นหนังสือแพง แต่ญี่ปุ่นหนังสือแพงกว่าบ้านเราหลายเท่า ญี่ปุ่นขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่ค่าครองชีพสูงที่สุดในเรื่อง ไม่ว่าอะไรก็แพงหมด ไม่ว่าจะเป็นอาหารชั้นเลิศ ปัจจัยการดำรงชีวิต ตลอดไปจนถึงหนังสือที่แพงกว่าที่เราคิดไว้มาก

    ราคาหนังสือของญี่ปุ่นนั้นมีหลายระดับ ขึ้นอยู่กับปัจจัยอะไรหลายอย่าง อย่างการ์ตูนที่ผมซื้อมานั้น Upper Girls! ราคาหน้าปกนั้นราคา 562 เยน (คิดเป็นเงินไทยประมาณ 178.34 บาท)  แต่อย่างไรก็ตามเมื่อรวมภาษีแล้วจะมีราคา 590 เยน (คิดเป็นเงินไทยประมาณ 187.23 บาท) แต่อย่างไรก็ตาม หากรวมค่าสั่ง ค่าส่งอีกผมต้องเสียไป 300 บาท เพื่อได้หนังสือเล่มนี้มา (ความจริงผมเสียไป 400 บาท แต่ 100 ถือว่าเป็นค่าน้ำชาอ่ะนะ)

    ลองเทียบราคาการ์ตูนดังๆ ที่น่าสนใจอยู่ อย่าง www.amazon.co.jp (น่าจะรวมภาษีแล้ว) ผ่าพิภพไททัน 450 เยน, เมไจ 450 เยน, วันพีช 420 เยน, To Love-Ru Darkness 460 เยน ซึ่งสังเกตว่าหนังสือราคาแบบนี้เป็นการ์ตูนดังและลงประจำทุกสัปดาห์และรายเดือน ส่วนการ์ตูนที่แพงกว่านี้จะมีลายเส้นสวยๆละเอียด จะมีราคาแพง. นานๆ ครั้งออก, จำนวนหน้าเยอะ, เอจจิแรงๆ ยกตัวอย่างเช่น SPOILER!!! เจ้าสาวแห่งทางสายไหม 651 เยน, BTOOM! 540 เยน, Pupa 625 เยน

    ถ้าเป็นโดจิน หรือการ์ตูนสายมืดก็ยิ่งแพงกว่านี้อีก หากเป็นซีรีย์ 650 เยน, หากเป็นรวมผลงานนักเขียนดัง 1,000 เยนขึ้นไป

    แน่นอนว่า เห็นราคาแบบนี้แล้วหลายคนคงคิดหนักที่จะหาหนังสือจากญี่ปุ่นแบบนี้มาอ่าน ซึ่งผมเองก็ไม่ได้สนับสนุนให้ซื้อแต่อย่างใด เพราะเงินนั้นมีค่า ต่อให้เรามีงานการมีงาม หรือขอเงินพ่อแม่ก็ตาม แต่การซื้อหนังสือเพียงเล่มเดียวที่มีราคาแพงกว่าหลายเท่าก็คิดหนักอยู่ดี อย่างไรก็ตาม หากซื้อเพื่อคุณค่าทางจิตใจ ก็ขอให้เลือกเล่มที่มีเราต้องการจะซื้อ ไม่เดือดร้อนกระเป๋าของเรา (ไม่เดือดร้อนผู้อื่น) และเหมาะสมกับฐานะด้วย

    แน่นอนว่าใครไม่ค่อยมีเงิน ก็ต้องเข้าหาการ์ตูนลิขสิทธิ์ไทยดีกว่า อาจจะซื้อ, เช่า, ขอเพื่อน, ยื่มเพื่อนก็แล้วแต่ ส่วนคุณภาพหนังสือการ์ตูนมังงะนั้นก็ทำใจเพราะคุณภาพก็ตามรูปเล่มของหนังสือ แต่อย่างไรก็ตามความหวังที่ผมจะเห็นอักษรศีลธรรมหมดไปจากวงการการ์ตูนไทยนี้มันยากเหลือเกิน

    เคยมีคนดราม่าเรื่องหน้าปกหนังสือมังงะไทย นั้นไม่เหมือนหนังสือต้นฉบับญี่ปุ่น เป็นต้นว่าพื้นหลังแบบโคนัน ทั้งนั้นทั้งนั้นก็เนื่องมาจากการลดต้นทุนในการผลิต เป็นต้นว่า การ์ตูนมังงะเรื่องฆาตพยากรณ์ หรือชื่อญี่ปุ่น "Yokokuhan" ที่ปกญี่ปุ่นญี่ปุ่นเป็นสีโทนเหลือง แต่ปกไทยใช้พื้นสีดำ ทั้งนี้เพื่อลดต้นทุนเพราะสีเหลืองนั้นมีต้นทุนสูงกว่าสีดำ เป็นต้น ซึ่งทั้งนี้ก็ขอให้เข้าใจว่าค่าครองชีพบ้านเรากับญี่ปุ่นมันต่างกันมาก และธุรกิจหนังสือการ์ตูนบ้านเรายังจำกัดอะไรหลายอย่าง ทำให้ยอดขายแตกต่างกันที่โน่น แน่นอนทำให้ผู้ผลิตจำเป็นต้องลงต้นทุนอะไรหลาย เพื่อให้ขายได้ อยู่ได้  (แต่ลดคุณภาพพวก การแปลก็ไม่ไหวเหมือนกัน)

     

     

    หน้าสารบัญสีคมชัด

     

    ต่อไปก็มาถึงเรื่อง Upper Girls! ยอมรับเลยว่าซื้อการ์ตูนเรื่องนี้เพราะความหื่นเป็นเป้าหมายหลัก บวกชอบลายเส้นของคนเขียน ฉากเอจจิ อยากเห็นการ์ตูนญี่ปุ่นแท้ๆ ที่ไม่มีอักษรศีลธรรมเจือปน ที่สำคัญทำชอบเนื้อหาการ์ตูนที่เป็นแนวโลกผู้หญิงที่เหนือกว่าผู้ชาย ที่พระเอกในเรื่องนักมากๆ ส่วนเหล่าสาวๆ ในเรื่องนี้น่ารักไม่แพ้กัน

    ความจริงผมได้พูดเรื่องโลกของผู้หญิงเหนือกว่าผู้ชายไว้แล้วใน บทความที่ 240 http://writer.dek-d.com/cammy/story/viewlongc.php?id=125456&chapter=240 ซึ่งปกติในการ์ตูนญี่ปุ่นหลายเรื่องเราก็เห็นตัวละครหญิงเก่งกว่าผู้ชายอกสามศอก หรือพวกเธอมาปกป้องพระเอกมามากแล้ว แต่โลกของ Femdom นั้นมีอะไรมากกว่านั้น เมื่อผู้หญิงเป็นเจ้าชีวิตของพระเอก ชอบใช้พระเอก ต้องการให้พระเอกเอาใจตน หากพระเอกขัดใจ หรือเมินเธอ  คุณเธอจะทำการลงโทษ เช่น เอาเท้าย่ำที่หัว หรือเอาแส้เฆี่ยน โดยที่พระเอกไม่สามารถตอบโต้ได้เลย

    อย่างในเรื่อง  Upper Girls! เวลายัยหัวสว่านไม่พอใจที่พระเอกเมินตน แอบไปมองสาวคนอื่น (ซึ่งสาวหัวสว่านแต่งตั้งเจ้าพระเอกเป็นทาสเรียบร้อยแล้วหลังเจ้าพระเอกรู้ความลับของเธอ) คุณเธอจะลงโทษพระเอกด้วยการเอาเท้าเหยียบเป้าพระเอก จนพระเอกร้องไห้ (บวกฟิน) ไม่สามารถตอบโต้ได้เลย (ความจริงท่าที่ใช้ลงโทษนี้มีศัพท์เฉพาะอังกฤษด้วย แต่เป็นศัพท์ลามก จึงขอผ่าน)

    แน่นอนว่าหลายคนอาจไม่ชอบการ์ตูนแนวนี้ แต่สำหรับผมนี้แนวนี้เป็นที่โปรดปรานมาก อาจมีเลือดมาโซก็ได้ ความจริงแล้วผมชอบพระเอกเรื่องนี้ หน้าตาแคะ หน้าตาเหมือนผู้หญิง ดูแล้วอ่อนแอดี ตอนโดนสาวแต่ละคนจับกดนี้ร้องไห้ ทำซะน่ารัก มากกว่าน่าสงสาร เห็นแล้ว

    อารมณ์คล้ายๆ การ์ตูนผู้หญิงตาหวาน ที่พระเอกหล่อชอบแกล้งนางเอก แต่ของ Femdom สถานะกลับกัน และออกมาแรงกว่านิดหน่อย

    ปกติแนว มักเห็นพระเอกแคะๆ หน้าตาเหมือนสาวน้อย หรือพระเอกธรรมดาที่ไม่สู้คน แต่ไม่นานมานี้ ผมไปเปิดดูสายมืด แนว Femdom ผมถึงขั้นแอบอ้วก (อาจแค่พะอืดพะอม) เมื่อพระเอกแนวที่ว่าเป็นหนุ่มตัวใหญ่ กล้ามโต ชนิดว่านักเพาะกายยังอาย แถมยังน่าตาดี สาวติดตรึมอีกต่างหาก แต่อนิจาใจนั้นอ่อนแอสุดๆ เพราะตกเป็นทาสของสาวเพื่อนบ้าน (ไม่อยากเรียกเพื่อนสมัยเด็กเลย) ที่ซาดิสต์สุดๆ ที่กำความลับพระเอกเอาไว้ หากเวลาว่างเมื่อไหร่จะจับพระเอกจับมัด จับพระเอกใส่ปลอกคอสุนัขเปลือยกาย (ประมาณว่าหากคุณเห็นแนวซาดิสต์โป๊ๆ คงนึกออก เพียงแต่เปลี่ยนจากหญิงที่โดนซาดิสต์เป็นชายเท่านั้น) พูดตรงๆ ว่ามันไม่น่าดูเลย บางทีสิทธิพระเอกแนว Femdom ต้องพระเอกน่ารักเท่านั้น

     

     Femdom มีหลายระดับ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการนำไปใช้  ก็มีระดับผู้หญิงมีอำนาจเหนือผ็ชายประเทศเป็นเจ้านายบ่าวแบบน่ารัก (หรือแบบเกรียนแบบยัยหลุยส์ 0 ก็ว่าไป) หรือแบบเอจจิมีฉากสื่อเรื่องเพศ (มีชักว่าว เอาเท้านวดเจ้าหนูน้อยของพระเอก) ก็อย่างเรื่อง SS Sisters ก็เป็นแนวผู้หญิงมีอำนาจเหนือพระเอกที่สื่อไปทางเพศ และความอ่อนด้อยของผู้ชาย (แต่ในขณะเดี่ยวกันฝ่ายชายก็พยายามจะเข้มแข็งเพื่อเป็นฝ่ายปกป้องผู้หญิงบ้าง)

    ส่วนเรื่องUpper Girls! ออกไปทางตลกมากกว่า เพราะภาพไม่ได้สื่อว่าผู้หญิงมีอำนาจเหนือผู้ชายในทางเพศ (แม้จะมีภาพเอจจิพอสมควร โดยเฉพาะฉากหัวสว่านเหยียบเจ้าหนูน้อยของพระเอก) แต่ออกไปทางพระเอกมันน่ารักน่าแกล้ง พอโดนสาวจับกดที่ไรนี้ถือว่าเป็จุดเด่นของการ์ตูนเรื่องนี้ไปแล้ว และนี้ถือว่าเป็นผลงานที่ดีที่สุดของคนเขียนอีกด้วย (ในแง่ลายเส้นที่วาดสวยกว่าผลงานก่อนๆ)

    บางครั้ง Femdom ก็มีมุมหนึ่งที่น่ารัก และมีความเป็นเอจจิที่น่าหลงใหลเหมือนกัน

     

     

    สุดท้ายก็ขอพูดสิ่งที่หลายคนสงสัยก่อนว่า “ทรงผมหัวสว่าน” ที่เรามักเห็นตัวละครในการ์ตูนญี่ปุ่นนั้นแท้จริงแล้วมันเรียกว่าอะไร ทรงหัวสว่าน (Drill Hair) หมายถึงการดัดผมให้เป็นลอน ไม่ว่าจะเป็นผมด้านหน้า หรือทรงทวินเทล ซึ่งในการ์ตูนญี่ปุ่นถือว่าเป็นทรงที่มักเห็นบ่อยครั้ง และเป็นทรงที่วาดยาก

    ปกติแล้วทรงผมตัวละครต่างๆ ของการ์ตูนญี่ปุ่นนั้นไม่เพียงแค่ทำให้ตัวละครมีสเน่ห์เฉยๆ แต่ยังเป็นตัวกำหนดนิสัยตัวละครนั้นๆ ด้วยว่าตัวละครเหล่านั้นมีนิสัยยังไง ซึ่งแต่ละทรงผมสื่อนิสัยแตกต่างกันไป โดยหัวสว่านนั้นถือว่าเป็นทรงผมที่สื่อลักษณะนิสัยที่ค่อนข้างจะเด่นชัดที่สุด ชนิดที่คนเห็นตัวละครที่ไว้ผมทรงหัวสว่านก็รู้เลยว่านิสัยยังไง ปกติแล้วผู้หญิงที่ใช้ทรงผมหัวสว่านจะเป็นพวก Ojou Ringlets (Ojou (โอโจ้) แปลว่าลูกสาว ใช้ในการเรียกลูกสาวของบุคคลอื่นในเชิงยกย่อง พอเติม sama ซึ่งเป็นคำยกย่องแปลง่ายๆว่าท่าน โดยรวมจึงเป็นคำยกย่องที่ใช้เรียกหญิงสาวสูงศักดิ์) ผู้หญิงชั้นสูง พวกเจ้าหญิง หรือขุนนาง หรือไม่ก็บ้านรวย คุณหนู นอกจากนี้ยังสื่อถึงการมีนิสัยเอาแต่ใจด้วย นอกจากนี้ทรงผมนี้นิยม เอามาใช้ในตัวละครหญิงที่แต่งชุดโกธิตลิล้าที่ค่อนข้างเข้ากันอย่างรุนแรง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×