คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #430 : 9 รูทปักธงโครตดีงาม จากการ์ตูนที่ผมไม่ได้ตาม กับการ์ตูนที่น่าผิดหวัง
แม้บทความจะบอกว่า 10 แต่ตอนนี้ผมคิดได้แค่ 7 รูท ขอเขียนๆ ไปก่อน ถ้าจำได้อาจเพิ่มภายหลัง
การปักธง ถือว่าเป็นอีเวนส์ที่ความรักระหว่างพระเอกและนางเอก ที่หลายคนรอคอย และเป็นไคแม็กสำคัญในการติดตามการ์ตูนเรื่องนั้นๆ (ไม่ว่าจะเป็นแนวไหนก็ตาม) แน่นอนว่ามีการปักธงที่หลายคนประทับใจ น่าจดจำ และการปักธงที่โครตไม่ประทับใจโครตแย่มาก
อย่างไรก็ตาม บทความนี้เราจะพูดถึงการปักธงงามๆ ในการ์ตูน แต่บทความนี้แปลกหน่อย ตรงที่ การปักธงเหล่านั้นผมประทับใจก็จริง แต่ปัญหาคือมันมาจากการ์ตูนที่ผมไม่ได้ตาม (คือไม่ได้อวยมาก ดูแบบผ่านๆ) กับการ์ตูนที่น่าผิดหวัง (ผิดหวังที่ว่าไม่ใช่การ์ตูนห่วย แต่เป็นการ์ตูนที่หลายคนออกมาบ่นว่า ตัดเนื้อหาไปเยอะ, เมากาว, หรือทำอะไรไม่ถูกใจคนดู เป็นต้น) มันช่างน่าเจ็บใจเสียจริง
ใช่ครับ คือทุกคนคงมีประสบการณ์เหมือนกับคน คือเราดูการ์ตูนเรื่องหนึ่งๆ ปรากฏว่ามีฉากปักธงที่พระเอกทำได้สุดยอดมากๆ สุดยอดจนน่าติดตาม หากแต่เนื้อเรื่องของการ์ตูนมันดันรู้สึกอนาถจับใจ มันไม่สนุกเลย ตัดใจ หรือน่าผิดหวัง หรือฉากปักธงที่ว่ามันที่สุดเราแล้ว ไม่กล้าตามต่อกลัวทำอะไรที่น่าผิดหวัง
และเมื่อเราไม่ตาม หรือพยายามที่จะลืมมัน ปัญหาคือเราดันจดจำฉากปักธงฟินๆ นี้อยู่ในหัว สลัดมันไม่หมด ซึ่งบางทีเราแลกที่จะจำด้านดีด้านเดียวของฉากปักธง มากกว่าภาพรวมของอนิเมะนั้น
เชื่อว่าหลายคนมีประสบการณ์ด้านนี้ไม่มากก็ไม่น้อย ซึ่งผมก็มีฉากปักธงแบบนี้เยอะ จึงขอเอามาเขียน แม้การ์ตูนเรื่องนี้อาจไม่ดังอะไรมากมาย แต่ผมว่ามันน่าจะเป็นตัวที่หลายคนคิดว่าจะแต่งนิยายแล้วติดปัญหาการปักธงว่าจะทำยังไงให้ประทับใจ ไม่มากก็ไม่น้อย
9.เอริริ สเปนเซอร์ ซาวามูระ –ร้องไห้ด้วยกันเถอะ
ความจริง ผมไม่ได้ชอบเรื่อง Saenai Heroine no Sodatekata มากสักเท่าไหร่ ตรงที่พระเอกเรื่องนี้มันโง่ทึบ (แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าเจ้าแว่นตกหญิงหน่อยหนึ่ง) ผมไม่ได้อ่านไลท์โนเวล, ไม่ได้ดูอนิเมะ หากแต่ในมังงะ แต่ผมดูเพียงแค่ภาคเพื่อนสมัยเด็กเท่านั้น และโครตประทับใจฉากเพื่อนสมัยเด็กเป็นอย่างมาก
เป็นเรื่องราวของ Saenai Heroine no Sodatekata เป็นเรื่องของ อากิ โทโมโยะ หนุ่มโอตาคุ ผู้ที่ตั้งใจจะสร้างผลงานที่เหนือกว่าระดับงานโดจิน (ทั่วไป โดยหวังจะขอความช่วยเหลือกับเพื่อนสาวลูกครึ่ง ซาวามูระ สเปนเซอร์ เอริริ นักวาดโดจินที่มีชื่อพอสมควร และรุ่นพี่สาว คาซึมิงาโอกะ อุทาฮะ นักแต่งนิยายไลท์โนเวล แต่ทั้งสองสาวได้ปฏิเสธที่จะร่วมงานกับเขา อากิจึงหันไปหา คาโต้ เมกุมิ ที่ไม่ได้มีราศีนางเอกแบบสองคนที่เขารู้จัก อีกทั้งดูจะเรียบง่ายกว่าคาแร็กเตอร์หญิงในเกมด้วยซ้ำ แต่มันทำให้เขารู้สึกว่าเธอน่าจะกลายเป็นนางเอกให้กับงานของเขาได้ในอนาคต จึงพยายามหาวิธีที่จะปั้นเธอให้สมกับเป็นนางเอกให้ได้
Saenai Heroine no Sodatekata มีจุดเด่นเรื่องการปังธง ที่ค่อนข้างงดงาม รวมไปถึงคาแร็คเตอร์ตัวละครที่โดดเด่น โดยเฉพาะเอริริ ซึ่งเป็นเพื่อนสมัยเด็กของพระเอก ลูกครึ่ง ทวินเทล รวย เก่ง เป็นไอดอลโรงเรียน แต่ความจริงแล้วทั้งหมดเป็นเพียงละคร เพราะตัวจริงของเธอคือเป็นโอตาคุที่นิสัยไม่ยอมใครง่ายๆ มีรสนิยมพอๆ กับพระเอก แถมเป็นนักวาดโดจินที่มีชื่อพอสมควร
แม้ภายนอกจะทำเหมือนไม่ชอบพระเอก แต่ความจริงแล้วชอบพระเอกมากด้วยซ้ำ แต่เพราะเหตุการณ์อดีต ทำให้ทั้งคู่ไม่สามารถปรับ และขี้หึ่งเวลาพระเอกอยู่กับคนอื่น จึงไม่สามารถพูดความในใจออกมาได้เสียที
รูทปักธงของเอริริ เริ่มต้นขึ้น เมื่อเจ้าโทโมยะไปสะกิดแผลใจให้เอริริเข้า (หุผลที่ทำให้เอริริโกรธค่อนข้างซับซ้อน ย้อนแย้งพอสมควร เอาเป็นว่า แม้เอริริจะทำเป็นเกลียดพระเอก หากแต่ความจริงแล้ว เธอนั้นชอบพระเอก แต่เพราะเหตุการณ์อดีตที่บาดหมางจากว่าเป็นโอตาคุ ทำให้เอริริกับพระเอกจึงไม่สนิทกันออกนอกหน้า แต่ถึงอย่างนั้นเอริริก็ยังคงสนิทกับพระเอก สิ่งที่เอริริสามารถเข้าหาพระเอกได้นั้นคือความสามารถในการวาดภาพ หากแต่วันหนึ่งเอริริรู้ว่ามีคนที่วาดเก่งกว่าตนและเป็นคนใกล้ชิดพระเอก ทำให้เธอพบว่าตนเองไม่สามารถใกล้ชิดกับพระเอกได้อีกแล้ว)
โทโทยะอยากจะคืนดีกับเอริริ จึงจัดฉากปักธงขึ้นมาซึ่งฉากปักธงนี้ก็คล้ายๆ จากแว่นอดีตเทพจีบสาวที่ปักธงอดีตคุณหนูทวินเทลนั้นแหละ เพียงแต่มันแตกต่างคือ การที่ทั้งสองเปิดอกคุยกัน (หายากนะ รูทประเภทเพื่อนสมัยเด็กแบบนี้ เพราะส่วนใหญ่ที่เราเห็นจะเป็นพวกเก็บกด ไม่พูดอะไรมากกว่า)
ทั้งเอริริ กับโทโมยะต่างทะเลาะกัน ว่าใครเป็นคนที่ทรยศกันแน่ โทโมยะโทษเอริริว่าเธอต่างหากที่ทรยศเขาตั้งแต่เด็ก ไม่พูดคุยกันอีกเลย จากนั้นโทโมยะก็ร้องไห้ บอกให้เอริริขอโทษ
อย่างไรก็ตาม เอริริปฏิเสธขอโทษโทโมยะ และร้องไห้เหมือนกัน เธอบอกว่า ทำไมฉันต้องขอโทษนายด้วย ในเมื่อการที่คุยกับนายที่โรงเรียนไม่ได้ ตอนที่หลบหน้านาย ฉันเหงาแค่ไหน เศร้าแค่ไหน ร้องไห้มากแค่ไหน ทำไมต้องขอโทษนายอีก
ดูรูทนี้ต้องคิดครับ ว่าตัวโทโมยะเป็นพระเอกที่ไม่ค่อยคิดถึงจิตใจของคนอื่นสักเท่าไหร่ มักคิดว่าตนเองนั้นตกเป็นเหยื่อคนเดียว ทั้งๆ จริงๆ แล้ว ฝ่ายที่ทำร้ายจิตใจโทโมยะเองก็เจ็บปวดไม่แพ้กับเขาเสียอีก มันเป็นรูทที่เข้าถึงคำว่า “เพื่อนสมัยเด็ก” มากๆ ที่ดูจริงใจ แต่ก็น่าประทับใจ
แน่นอนว่า Saenai Heroine no Sodatekata ไม่ได้จบเพียงเท่านี้แน่นอน
8.นิชิโซโนะ มิโอะ-เอาเธอคนเดิมกลับมานะ
หากพูดถึงค่ายทำอนิเมะอย่าง Key หลายคนแทบส่ายหน้า สาเหตุอาจมีอะไรหลายๆ อย่าง เป็นต้นว่าคุณภาพของอนิเมะ เนื้อเรื่อง ไปจนถึงตอนจบที่ไม่เคยจบถูกใจคนดูเลย ไม่แปลกเลยตอนที่อนิเมะ Little Busters! ถูกประกาศจะทำเป็นอนิเมะโดยค่าย Key หลายคนร้องยี้เลยทีเดียว
แม้ว่า Little Busters! หลายคนจะบอกว่าน่าผิดหวัง (หลักๆ ก็เนื้อหาตัดถอน ซึ่งเป็นปกติอยู่แล้วกับอนิเมะแนวๆ นี้) แต่สำหรับผมแล้ว ถือว่าเป็นอนิเมะที่สนุกดี สื่อมิตรภาพ, พยายาม, ครอบครัว ความผูกพัน ในวัยที่แตกต่างกัน
Little Busters! เป็นเรื่องราวชีวิตของ นาโอเอะ ริกิ นักเรียนมัธยมปลาย ซึ่งเป็นสมาชิกของกลุ่มเพื่อนสมัยเด็กชื่อ Little Busters ซึ่งริกิได้พาผู้หญิงหลายคน เข้ากลุ่มเพื่อจะได้เพียงพอต่อการเล่นเบสบอล ซึ่งพวกเพื่อนๆ ของริกิล้วนมีอดีตปมดราม่า แฝงไว้ด้วยความลับและเรื่องเหลือธรรมชาติ ที่จะสร้างเสียงหัวเราะ, อบอุ่น และน้ำตาให้กับผู้ชมไปด้วยย
อนิเมะเรื่องนี้มีการแบ่งรูทของแต่ละตอน บางคนสาม-สี่ตอนขบ ซึ่งแต่ละคนก็มีดราม่าแตกต่างกัน แต่ถ้าถามว่าคนไหนที่ผมชอบเป็นพิเศษนั้น ก็คงเป็นน้องร่ม หรือ นิชิโซโนะ มิโอะ
หลายคนอาจชอบน้องคุดก็เถอะ แต่โดยส่วนตัว ในฐานะที่ไม่ได้เล่นเกมมาก่อน ผมวค่อนข้างชอบน้องร่มนะ คือหากเทียบกับรูทคนอื่นๆ นี้ บางรูทพระเอกไม่ค่อยสำคัญสักเท่าไหร่ (อย่างรูทพี่น้องผมม่วง) จริงอยู่ที่อนิเมะไม่ได้เน้นเรื่องรักใคร่ๆ เกี่ยวกับความรักของพระเอกที่มีต่อพวกผู้หญิงสักเท่าไหร่ (ทำให้บทรูทเจ๊กลายเป็นรูทแสนธรรมดาซะงั้น) แต่น้องร่มนี้ค่อนข้างสื่อว่า พระเอกให้ความสำคัญกับเธอค่อนข้างมาก....
นิชิโซโนะ มิโอะ หรือ น้องร่ม (ขอเรียกแบบนี้นะครับ แม้คุณเธอจะอยู่ห้องเดียวกับพระเอกก็เถอะ) ร่างกายอ่อนแอ ถือร่มนอกอาคารตลอดเวลา เป็นคนชอบอ่านหนังสือมาก ซึ่งริกิได้ไปเจอเธอขณะอ่านหนังสืออยู่ใต้ต้นไม้ และเกิดสนใจเธอ จึงได้ขอให้เธอเข้าชมรม แม้ว่าตัวเธอจะไม่ได้เล่นเบสบอลก็เถอะ
แม้ภายนอกน้องร่มจะเป็นสาวที่ดูคูๆ สีหน้านิ่ง แต่ความจริงแล้วเธอค่อนข้างมีปมในใจลึกๆ คือเธอมักคิดอยู่เสมอว่าตนเองนั้นไร้ตัวตน แม้ว่าเธอจะไม่อยู่ หรือหายไป คนอื่นก็ไม่รู้สึกด้วยซ้ำ และนั้นเองจึงเป็นที่มาของรูทดอพเพลแกงเกอร์
รูทปักธงน้องร่ม อยู่ในตอนที่ 12-14 วันหนึ่งมิโอะได้บอกริกิว่าได้เห็นใครบางคนที่เหมือนกับตนเองในเมือง หากแต่เธอไม่ได้ถือร่มกันแดดเหมือนเธอ ทำให้เชื่อว่าเธอคือดอพเพลแกงเกอร์ หากแต่ตอนนั้นริกิยังไม่ได้สนใจอะไรมากนัก
วันต่อมามิโอะไม่ได้ปรากฏตัวที่โรงเรียน หากแต่ริกิกลับพบมิโอะในโรงเรียน แต่เป็นริโกะที่มีบรรยากาศแตกต่างกันออกไป เธอไม่เหมือนมิโอะที่เขารู้จัก เพราะเธอไม่ถือร่ม
ต่อมาริกิได้พบมิโอะคนเดิมอีกครั้ง ซึ่งเธอกับริกิได้ไปเที่ยวที่ชายหาด หากแต่จู่ๆ หญิงสาวที่เหมือนมิโอะปรากฏตัวขึ้น พร้อมเผยเหตุผลว่าทำไมมิโอะถึงต้องพกร่มกันแดดตลอดเวลา นั่นคือสาเหตุที่แท้จริงก็เพราะเธอปกปิดไม่ให้คนอื่นรู้ว่าตนเองไม่มีเงาต่างหาก ไม่ใช่ร่างกายอ่อนแอแต่อย่างใด
ริกิรู้ความจริงนี้เขาก็เกิดอาการ “โรควูบ” ฉับพลัน และตื่นขึ้นมาในห้องพักของเขา หากแต่เขาจำไม่ได้ว่าอะไรเกิดขึ้นที่ชายหาด ต่อมาในตอนเช้าเขาก็พบว่ามิโอะกลายเป็นคนใหม่ที่เรียกตัวเองว่า “มิโดริ” เธอกลายเป็นคนร่าเริง เข้ากับคนอื่นได้ง่าย หากแต่ริกิไม่ยอมรับว่านั้นคือมิโอะ และคิดว่ามิโดรินั้นแท้จริงเป็นดอพเพลแกงเกอร์ของมิโอะ และตัวตนของมิโอะก็กำลังหายไป
ทุกคนรอบข้าง แม้แต่เพื่อนต่างลืมมิโอะคนเก่าจนหมดสิ้น มีเพียงแค่ริกิเท่านั้นที่ยังเด็ดเดี่ยวว่าเขาจะไม่มีวันลืมมิโอะเด็ดขาด ในที่สุดริกิด้เผชิญหน้ากับมิโดริที่ชายหาด แล้วก็พบความจริงว่ามิโดริก็คือเด็กสาวในจิตนาการที่สร้างขึ้นโดยมิโอะ ซึ่งเป็นตัวตนที่มิโอะอยากจะเป็น และมันจะมาแผนเธอ มิโดริได้บอกว่ามิโอะนั้นยืนยอมว่าตนเองอยากให้หายตัวไปจากโลก แม้ว่าริกิขอร้องให้มิโอะคนเก่ากลับมาหาเขา หากแต่มิโอะปฏิเสธแล้วกลายเป็นนกบินออกไป แต่ริกิก็ยังคงไม่ลืมเธอ เขาร้องไห้ที่มิโอะจากไป อยากมห้เธอกลับมาหาเขาอีกครั้ง จนในที่สุดมิโอะก็ได้รับรู้ว่าแม้คนบนโลกจะลืมเธอ ไม่สนใจเธอ แต่ก็ยังคงมีชายคนหนึ่งที่ยังคงคิดถึงเธอนั้นคือริกิ และนั้นเองทำให้มิโอะกลับมา พร้อมกับร่วมร่างกับมิโดริ ในที่สุดมิโอะก็ได้เงากลับคืนมา
ในฉากสุดท้ายของตอน ริกิกับมิโอะได้เดินไปกลับโรงเรียนด้วยกัน และพวกเขาก็พบเพื่อนๆ ลิตเติ้ลบัสเตอร์ ที่ริกิให้ความสำคัญยิ่งกว่าชีวิตของตน......
7.ชิมาดะ มินามิ -ฉันกับญี่ปุ่นและถ้อยคำที่ไม่รู้จัก!
Baka to Test to Shoukanjuu Ni! เป็นเรื่องราวของ “โยชิอิ อาคิฮิสะ” เป็นนักเรียนที่โง่ทึบ และเป็นเจ้าบ้า ที่ถูกคัดให้อยู่ห้อง F ซึ่งเป็นห้องที่ห่วยที่สุด แต่เจ้าบ้ามันโครตโชคดีที่มีสาวหลายคนชอบ โดยหลักๆ แล้วมีสองคนคือ “ฮิเมจิ มิสึกิ” และ “ชิมาดะ มินามิ” หากแต่เจ้าบ้านี้มันทึบมากเกินไปโดยไม่รู้เลยว่าสาวรอบข้างชอบมัน (หรือไม่ก็ติดดุ้นก็ไม่รู้)
Baka to Test to Shoukanjuu Ni! เป็นการ์ตูนที่ผมไม่ได้ติดตาม แม้ว่าช่วงแรกๆ จะดูอนิเมะจนจบภาคแรก หากแต่ภาคสองนี้เลิกดูกลางคันเพราะทนกับพระเอกบ้าที่ทำให้ผู้หญิงร้องไห้ไม่ไหว (ประกอบกับไม่ชอบคู่รองในเรื่องด้วย)
อย่างไรก็ตาม มีสิ่งหนึ่งที่ผมชอบในอนิเมะนี้ก็คือ รูทงามๆ ของ ชิมาดะ มินามิ (Shimada Minami)ในอนิเมะ Baka to Test to Shoukanjuu Ni! 2 ตอนที่ 8 ชื่อตอน “ฉันกับญี่ปุ่นและถ้อยคำที่ไม่รู้จัก!” เรียกได้ว่าเป็นธงที่งาม จนผมคิดว่ามันเต็มอิ่ม พอใจ และสิ้นสุดที่จะตามการ์ตูนเรื่องนี้อีกเลย (นิยายไม่ได้อ่าน มังงะก็ไม่ได้อ่าน)
โดยตอนที่ 8 นั้น จะมีบทของมินามิล้วนๆ (และเป็นมุมมองของมินามิด้วย) โดยเป็นเรื่องราวที่นานามิต้องย้ายมาเรียนที่ญี่ปุ่นใหม่ๆ ซึ่งตอนแรกนั้นเธอยังไม่ได้เป็นสาวที่ร่าเริงอย่างที่เห็น เพราะช่วงย้ายมาใหม่ๆ นั้นมินามิไม่ได้คุ้นเคยญี่ปุ่น บ้านของเธออยู่เยอรมัน ซึ่งเธออ่านภาษาญี่ปุ่นแทบไม่ออกเลย ทำให้รู้สึกกังวลเรื่องภาษา กลัวที่จะสื่อสารคนอื่น ทำให้ตอนแรกเธอไม่ค่อยมีเพื่อน รู้สึกโดดเดี่ยว และไม่ชอบญี่ปุ่นเลย
จนกระทั่งวันหนึ่ง จู่ๆ โยอิชิก็ได้มาตีสนิทกับมิสึกิ และพูดประโยคหนึ่งซึ่งนานามิฟังไม่รู้เรื่องเลย ตอนแรกนานามินึกว่าโยอิจิล้อเลียนเธอ ทำให้เธอเกิดไม่พอใจ หากแต่นานวันเข้านานามิก็เริ่มสงสัยประโยคนี้ จึงพยายามค้นหาคำตอบ จนได้ทราบคำตอบว่า แท้จริงแล้วประโยคที่โยชิอิพูดนั้นคือ “มาเป็นเพื่อนกันเถอะ” ซึ่งเป็นภาษาเยอรมัน แต่ด้วยความโง่ทึบของโยชิอิทำให้มันเปลี่ยนรูปประโยคและทำให้มันเพี้ยนไป
แต่นานามิไม่ได้มองว่าโยชิอิสมองทึบ แต่เธอมองโยชิอิว่าเป็นคนที่มีความพยายาม ความจริงใจ และเป็นคนทำให้เธอยิ้มได้ และนั้นเองทำให้มินามิรู้สึกชอบโยชิอิตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ชิมาดะ มินามิ อาจจะเป็นตัวละครที่เป็นรองหน่อย เมื่อเทียบกับฮิเมจิ มิสึกิ และสาวคนอื่นๆ ในเรื่อง แถมยังนิสัยเหมือนทอมบอย (นมแบนอีกต่างหาก) แถมเวลาเขินอาย (ซึน) ก็จะชอบจับพระเอกหักกระดูกอีกต่างหาก ความจริงแล้วมินามินั้นเป็นสาวขี้อาย และอารมณ์อ่อนไหวมาก หากแต่เมื่อมาดูสาเหตุที่นินามิชอบพระเอกก็เข้าใจ และน่าประมับใจมาก โดยเฉพาะรอยยิ้มของนินามิในตอนท้ายนี้ แค่เห็นโลกก็สดใสมาก มันมากจนผมอิ่มจนไม่ตามตอนต่อไปเลยทีเดียว (เพราะคิดว่ารูทอื่นคงไม่มากเท่ามินามิอีกแล้ว)
6. อายาโตะ นาโออิ (Ayato Naoi)
อันดับนี้แปลกกว่าใครเพื่อนครับ คือ เป็นการปักธงผู้ชาย!? ใช่ครับ มันเป็นรูทที่พระเอกปักธงตัวละครที่เป็นผู้ชายแท้ๆ เลยไม่ใช่ผู้หญิง และเป็นรูทแรกและรูทเดียวที่ผมรู้สึกฟินผู้ชายปักธงผู้ชาย!??
ตัวละครที่พระเอกปักธงนี้ ก็คือนายอายาโตะ นาโออิ จาก Angel Beats ซึ่งปักธงในตอนที่ 6 ชื่อตอน “เรื่องในครอบครัว”
หลายคนนี้มีความคิดก้ำกึ่งอนิเมะเรื่องนี้พอดู คนหนึ่งก็โครตชอบ ขณะที่บางคนโครตน่าผิดหวัง ส่วนตัวผมแล้วก็กลางๆ นะคือมีทั้งชอบและเกลียด ชอบในตอนต้นๆ ส่วนเกลียดช่วงบทสรุปของเนื้อเรื่อง และบทของตัวละครที่น้อยไปหน่อยเอาง่ายๆ รู้สึกผิดหวังตอนท้าย
Angel Beats กล่าวถึงโลกหลังความตาย ตัวเอกคือ โอโตนาชิ เด็กหนุ่มที่ไร้ซึ่งความทรงจำใดๆ เขาได้มาโผล่ที่โรงเรียนหลังความตาย ซึ่งอยู่ระหว่าง โลกมนุษย์ กับ สวรรค์ ทำให้เขาไม่มีวันตาย หากแต่ถ้าใครใช้ชีวิตแบบหมดห่วง เติมเต็มความฝันที่ขาดหายไปในขณะมีชีวิตอยู่จนสมหวังแล้วก็จะถูกลบไป โอโตนาชิ ได้พบกับ ยูริ และเธอก็ได้ชวนเขาเข้ากลุ่ม SSS (Shinda Sekai SenSen, แนวรบโลกหลังความตาย) ซึ่งองค์กรนี้มีเธอเป็นหัวหน้าหน่วย และเธอมีจุดหมายคือต้องการต่อต้านกับพระเจ้า
คือ.....มันน่าเจ็บใจจริงๆ แม้ว่าอนิเมะนี้มีเรื่องรูทเรื่องรักๆ แต่ฉากประทับใจผม ก็คือฉากปักธงนาโออิ นี้แหละที่ทำออกมาได้ทรงพลัง งดงาม กว่าใครเขาเพื่อน!!
ตอนแรกที่นาโออิ ปรากฏตัวนี้ ถือว่าเป็นตัวร้ายที่เกรียนมากๆ เป็นรองประธานสภานักเรียน (ที่ตอนแรกเป็นศัตรูของหน่วย SSS ) มีพลังขี้โกงคือสามารถควบคุมจิตใจ หรือเปลี่ยนความทรงจำคนอื่นได้
ในตอนแรกๆ นาโออิเป็นตัวละครที่ออกเกรียนๆ มากตัวร้ายมหาภัยเลยทีเดียว ไม่ว่าจับพระเอกกับแองจี้ไปขัง แล้วก็ทำร้ายสมาชิก SSS อย่างโหด แม้ว่าตอนหลังพระเอกจะออกจากที่คุมขังแล้วไปช่วย ปรากฏว่ามันก็สายไปแล้ว เพราะพวกพื้นเกือบทั้งหมดก็อยู่สภาพเละ นอนกองเป็นซากศพ เลือดนองเต็มพื้น
ยอมรับเลยว่าตอนที่พระเอกเผชิญหน้ากับนาโออินี้มันสุดยอดมากๆ แบบภาพโหดร้าย กับสายฝนที่ตกลงมามันได้อารมณ์ แถมนาโออิยังเกรียนด้วยการใช้พลังสะกดจิตกับนางรอง (ผมม่วง) ให้ไปเกิดใหม่อีกต่างหาก เรียกว่าสร้างความเกลียดชังคนดูไม่น้อย
อย่างไรก็ตาม พระเอกก็ทนไม่ไหว จัดการไปต่อยนาโออิไปหนึ่งดอกและบอกว่าอย่าเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่น ทุกคนที่มาอยู่โลกนี้ล้วนมีช่วงเวลาชีวิตที่เป็นของจริง มีตัวตน ไม่ใช่เรื่องปรุงแต่ง นายเองก็มีชีวิตเหมือนคนอื่นไม่ใช่เหรอ
หลังจากนั้นนาโออิก็ย้อนช่วงเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ว่า เกิดในตระกูลช่างปั้นเก่าแก่ มีพี่ชายที่พรสวรรค์ในการปั้น หากแต่วันหนึ่งพี่ชายและเขาประสบอุบัติเหตุ เขารอด แต่พี่ชายเสียชีวิต เขาจึงเป็นคนเดียวที่จะสืบทอด แม้ว่าเขาจะได้รับรางวัลมากมาย แต่พ่อของเขาไม่ยอมรับเขาเลย และทำตัวเหมือนเขาไม่มีตัวตน ทำให้นาโออิโดดเดี่ยว จนมีความคิดว่าเขาที่เสียชีวิตน่าจะเป็นเขามากกว่าพี่ชาย เขาอยากให้พ่อสนใจเขา (เชื่อว่าสาเหตุที่นาโออิเสียชีวิต คือฆ่าตัวตาย)
หลังจากจบช่วงย้อนอดีต พระเอกก็ได้ดุด่า แล้วโผโอบกอดนาโออิ พระเอกได้ยอมรับตัวตนทั้งหมดของนาโออิ ไม่ว่าเขาจะเป็นคนยังไง นาโออิได้ยินคำพูดของพระเอกนั้นก็ได้ร้องไห้ เลิกเป็นศัตรูและเกิดความรู้สึกชอบ (?) พระเอกตั้งแต่นั้นมา.......... เรียกได้ว่านาโออินี้เป็นตัวละครที่ผมชอบมาก ถ้าไม่มีตัวละครนี้ผมก็ไม่ตามเรื่องนี้ต่อหรอก
5.วาคายาชิ ฮัทสึนะ (Wakabayashi Hatsune) -พวกเธอสำคัญกว่าชีวิตของฉัน
Gokukoku no Brynhildr เป็นการ์ตูนที่ค่อนข้างน่าผิดหวัง ความจริง Gokukoku no Brynhildr ช่วงแรกทำออกมาได้ดี ซึ่งพระเอก “ทาคุมิ” ซึ่งเป็นคนธรรมดาได้ไปเจอสาวกลายพันธุ์ “คุโรฮะ เนโกะ” และเพื่อนของเธออีกหลายคน ” ประกอบด้วย คานะ, คาซูมิ รวมถึง โคโตริ และ ฮาสึนะ ที่มาทีหลัง พวกเธอนั้นเป็นเด็กสาวที่ถูกจับตัวมาทดลอง พยายามหนีจากองค์กรลับที่มองสาวกลายพันธุ์เป็นเพียงเครื่องมือ หากใช้งานไม่ได้ก็ถูกจำกัด พระเอกช่วยเหลือพวกเธอ เพื่อให้พวกเธอใช้ชีวิตในโลกใบนี้เหมือนคนธรรมดา ต้องผ่านปัญหาหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น การแก้ปัญหาเรื่องยาที่เธอจำเป็นต้องกินยาไม่งั้นต้องตาย, ต้องรับมือจากนักฆ่าที่ส่งมาฆ่าพวกเธอ ซึ่งพระเอกต้องเสี่ยงอันตรายหลายครั้ง แต่มันก็คุ้มค่าที่ทำให้เขาสามารถอยู่กับพวกเธออย่างมีความสุข
แม้จะน่าผิดหวัง แต่เรื่องนี้ผมประทับใจในช่วงแรก ที่เน้นเรื่องรูทพระเอกทำเพื่อสาวๆ ขอให้พวกสาวๆ มีความสุข ก็ยอมทำทุกอย่าง แม้กระทั่งเสียสละชีวิตของตนเองก็ยังได้ แม้ว่าจะมีการ์ตูนหลายเรื่องเน้นประเด็นนี้อยู่บ้าง แต่สำหรับผมแล้ว Gokukoku no Brynhildr มันเป็นอะไรที่น่าสนใจอยู่ดี
ถ้าจะถามว่าผมชอบรูทปักธงไหนของทาคุมิ ก็คงเป็นรูทปักธงของวาคายาชิ ฮัทสึนะที่แสดงให้เห็นว่าทาคุมิยอมตายเพื่อให้พวกเธอรอด โอเค...ลืมเรื่อง ช่วงครึ่งหลัง ที่ ไปชอบคนอื่นซะ (แต่ผมมโนว่าเธอก็บอกไปงั้นๆ เดี๋ยวก็กลับไปหาทาคุมิก็ได้)
ฉากปักธงฮิทสึนะอนิเมะจะอยู่ที่ตอนที่ 11 ส่วนของมังงะจะอยู่ช่วง 61-64 โดยฮัทสึนะเป็นแม่มดเกรด B ที่มีความสามารถคือมีพลังพื้นฟูตนเอง แม้ตนเองจะตาย ร่างกายแหลกเหลวก็ตาม (แต่จะตายจริงหากกดปุ่มที่ต้นคอ) โดยเธอนั้นได้หนีจากสถาบันวิจัยมาได้ และมาพึ่งกับพวกเนโกะ
เมื่อไปถึงชมรมดูดาวของพระเอก ฮัทสึนะก็ประหลาดใจที่เพื่อนของเธอน่าจะตายไปแล้ว อยู่พร้อมหน้า และได้เห็นทาคุมิเป็นครั้งแรก โดยเพื่อนฮัทสึนะบอกว่าเขาเป็นคนไว้ใจได้ ยอมช่วยพวกเรา แม้จะยอมสละชีวิตก็ตาม
ตอนแรกๆ ฮัทสึนะบอกไม่เชื่อ เลยอยากทดสอบกับทาคุมิ โดยเอาตนเองปีนขึ้นหอคอยและแกล้งว่าตนเองจะตก เพื่ทดสอบว่าทาคุมิจะมาช่วยหรือเปล่า ปรากฏว่าทาคุมิยอมมาช่วยจริง เขาปีนเพื่อมาช่วยเหลือฮัทสึนะ
แม้ว่าฮัทสึนะจะบอกว่าไม่จำเป็นต้องช่วยเหลือ เพราะตนมีพลังคืนชีพตนเอง หากแต่ทาคุมิไม่เชื่อ ซ้ำคิดว่าฮัทสึนะโกหกเพื่อให้เขารอดมากกว่า ทาคุมิจึงยืนยันว่าเขาไม่ปล่อยมือฮัทสึนะเด็ดขาด เขาต้องช่วยเหลือเธอ แม้จะพบกันครั้งแรกก็ตาม และนั้นเองทำให้ฮัทสึนะรู้สึกชอบทาคุมิ ว่าเป็นผู้ชายที่ไว้ใจได้ และได้จูบกับทาคุมิ (ซึ่งถือว่าเป็นจูบครั้งแรกของพระเอกก็ว่าได้)
นอกจากฉากปักธงของฮัทสึนะแล้ว อีกรูมหนึ่งก็คือฉากที่ทาคุมิบอกว่าพวกเธอนั้นสำคัญสำหรับฉัน เป็นรูทในมังงะอยู่ในตอนที่ 71 “ค่าของชีวิต” โดยเป็นตอนที่พวกตัวโกง (นายผมขาว กับยัยผมขาว) ได้มาพบรังของพวกพระเอก และตั้งใจจะฆ่าทั้งหมด
ทาคุมิได้ถามนายผมขาวว่า “ทำไมต้องฆ่าพวกเธอด้วย” พวกเธอไม่ได้ทำอะไรให้พวกคุณเลย แค่ปลอยให้มีชีวิตแค่นี้ไม่ได้เหรอ
นายผมขาวได้ตอบว่า “เพราะมันไม่มีค่าที่มีชีวิตอยู่ไงละ เป็นชีวิตที่ไร้ค่า นายนะเวลาฆ่าแมลงสักตัวเคยเห็นอกเห็นใจมันหรือเปล่า มันก็เหมือนกันแหละ”
หากแต่ทาคุมิได้เถียงว่า “สำหรับฉันแล้ว ชีวิตของทุกคนค่า” , “และชีวิตของพวกเธอสำคัญยิ่งกว่าของฉัน” ซึ่งพระเอกได้ยืนยันคำพูดของตนเองด้วยการเอาตัวมาบังการโจมตีของพวกตัวโกง ก่อนที่ตนเองจะตายอย่างช้าๆ ในเวลาต่อมา เรียกได้ว่าการตายของทาคุมินั้นสร้างความเสียใจต่อพวกสาวๆ จนกระทั่งอัทสึนะได้ยอมเสี่ยงตนเองใช้พลังคืนชีพเพราะทาคุมิคือคนที่เธอชอบ และมีค่าพอที่จะมีชีวิตอยู่ ทำให้รูทนี้เป็นรูทที่ผมชอบมากก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นมังงะหรืออนิเมะ แต่ของอนิเมะจะมีพลังมากกว่านิดหน่อย
4.รักสามเศร้าจบลงด้วย "พวกเธอทั้งคู่คือปีกของฉัน..."
อันดับนี้ไม่ได้เป็นการปักธงที่สวยงามอะไรหรอก แต่ประโยค “พวกเธอทั้งคู่คือปีกของฉัน...” ได้กลายเป็นประโยคฮาเร็มอมตะ (แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นประโยคที่โครตสิ้นหวังในตอนท้ายด้วย) ซึ่งหลายคนจดจำ และเป็นประโยคดับเพลิงกองอวยมาแล้ว (แต่ก็เป็นสั้นๆ เพราะภาคหนังโรงทำซะ....)
"พวกเธอทั้งคู่คือปีกของฉัน..." ประโยคสุดเทพนี้ มาจากการ์ตูนอนิเมะ Macross Frontier ซึ่งกว่าจะถึงประโยคนี้ก็เป็นตอนจบโน้นแหละ และเป็นอนิเมะที่ผมไม่ได้ดู ไม่ได้ติดตาม ไม่ได้อวยอะไรทั้งสิ้น (คือคาแร็คเตอร์ ผมไม่ค่อยชอบน่าพระเอก แถม Macross 7 นี้มันที่สุดผมแล้วจริงๆ) พอดีช่วงที่อนิเมะออกฉายและจบลง ประโยคนี้เกิดดังขึ้นมา เลยสนใจว่าเป็นยังไง เลยไปดูนิดๆ หน่อยพอ
Macross Frontier เป็นแนวการ์ตูนสงครามอวกาศระหว่างมนุษย์กับสัตว์ต่างดาว ที่มีจุดเด่นคือ มีนมีเรื่องของร้องพลงเข้าไปต่อสู้ร่วมด้วย แม้ซีรีย์นี้ค่อนข้างเงียบ แต่มันก็ทำออกมาหลายภาค และมันมีจุดเด่นเรื่องเพลงไพเราะมาตลอด และนอกจากนี้ภาคล่าสุดก็มีสงครามอวยด้วย เช่นกัน นั้นคือการขับเคี้ยวกันระหว่างลี รันกะ และโนม เซอริล สองนางเอก สองสไตล์ สองนักร้อง ที่ทั้งสองต่างหลงรักชายคนเดียวกันนั้นคือซาโอโตเมะ อัลโต จนเกิดสงครามกองอวยมา หลายคนต่างลุ้นว่าสุดท้ายแล้วอัลโต้ที่เป็นพระเอกจะเลือกใครเป็นคนรัก ซึ่งมีเหตุการณ์ดราม่ามาตลอด
จนกระทั่งถึงตอนสุดท้ายของอนิเมะ Macross Frontier 25 Final ชื่อตอน "Your Sound" ซึ่งเป็นศึกสุดท้าย โดยไคแม็กซ์อยู่ที่พระเอกกับรันกะได้มาดูอาการเซอริลที่หมดพลังลง เพราะสู้ต่อไม่ไหว หากแต่เซอริสได้ปฏิเสธ แต่เชอริลล์รู้สึกว่างานของเธอจบลงแล้วและเธอไม่ไหวแล้ว รันกะจึงตบหน้าเชอริลล์เรียกสติให้พร้อมกับบอกว่าเชอริลล์นั้นเป็นแรงบันดาลใจให้กับทั้งเธอและอัลโตมาโดยตลอด อัลโตจึงเข้ามาร่วงวงด้วยโดยบอกให้เชอริลล์นึกถึงคำพูดย้ำตัวตนของเธอที่จะไม่ยอมแพ้ต่อสิ่งใด เขาบอกว่าทั้งรันกะและเชอริลล์ต่างก็เป็นคนที่เขารัก และ"พวกเธอทั้งคู่คือปีกของฉัน..." (You're...Both Of You Are My Wings!) ทำให้เซอริลกลับมาเป็นคนเดิมอีกทั้ง และทั้งสามก็ช่วยเหลือกัน จนสามารถพ้นเรื่องร้ายๆ มาได้ และจบลงอย่างงดงาม
หลังเหตุการณ์นั้น ทำให้อัลโต้ได้รับการยกย่อง ว่าเป็นพระเอกที่แน่ที่สุดในประวัติศาสตร์มาครอสทุกภาค (และออริจินอลทั้งหลายทั้งปวง) ที่กล้าประกาศเหมาสองแบบไม่เคยมีไมใครกล้าทำมาก่อน
อย่างไรก็ตาม ประโยค “พวกเธอทั้งคู่คือปีกของฉัน....” ก็ได้ดับลง หลังจากภาคหนังโรงออกฉาย (ไม่ฉายไม่ได้เหรอ) ซึ่งบทสรุปของเรื่อง ก็อย่างที่หลายคนรู้ๆ กัน ซึ่งมันส่งผลทำให้ผมเกิดความเชื่อพระเอกคนไหนพูดประโยคประกาศจะฮาเร็มนี้ ตอนท้ายๆ เม่ง...วงแตกตลอด.....
3. อากิชิโนะ ฮิเมะ (Akishino Himeka) -ชาติที่แล้วเราเป็นคู่รักกัน!?
Ore no Kanojo to Osananajimi ga Shuraba Sugiru เป็นอีกเรื่องที่ผมไม่ได้ติดตามเช่นกัน เพราะกลัวจบวิน (และอย่ามาสปอยใส่ผม) ซึ่งผมเลิกตามตั้งแต่ตอนจบของอนิเมะตอนสุดท้าย ที่ทั้งหมดไปเที่ยวทะเลกัน (มังงะก็จบลงตรงนี้เช่นกัน ส่วนนิยายผมไม่ได้อ่าน)
Ore no Kanojo to Osananajimi ga Shuraba Sugiru เป็นเรื่องราวพระเอกเอย์ตะ ที่ไม่สนใจเรื่องความรัก จนกระทั่งวันหนึ่ง จู่ๆ เขาก็ถูกนัตสึคาวะ มาสึซึ มาแบล็คเมล์และบีบให้เอย์ตะมาเป็นแฟน หากไม่ทำก็จะถูกแฉว่าเขาเคยเป็นจูนิเบียว และการเป็นแฟนปลอมนั้นทำให้ จิวะที่เป็นเพื่อนสมัยเด็กของเอย์ตะโกรธมาก และต่อมาทั้งสามก็ตั้งชมรมทำกิจกรรมให้ตนเองป๊อปขึ้นมา และนี่คือจุดเริ่มต้นของสงครามอวย
ก็ต้องยอมรับว่าเรื่องนี้ตัวละครหญิง(โดดเด่นมาก ไม่แปลกเลยที่ครั้งหนึ่งบ้านเรามีสงครามอวย (โหด) ดุเด็ดเผ็ดมันระหว่างแฟนปลอมกับเพื่อนสมัยเด็กอย่างดุเดือด ซึ่งต่างฝ่ายต่างเกลียดตัวละครนั้นๆ (ซึ่งก็มีสองคนนั้นแหละที่เลือกเกลียด) แบบไม่เผาผีกันเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ตัวละครที่ผมชอบที่สุดในเรื่องนี้กลับไม่ใช่แฟนปลอม กับเพื่อนสมัยเด็กแต่อย่างใด (จิวะไม่ได้ติดอันดับสุดยอดเพื่อนสมัยเด็กของผมด้วยซ้ำ) เพราะตัวละครที่ผมชอบที่สุดคืออากิชิโนะ ฮิเมะ หรือ น้องจูนิเบียว ที่นิสัยแสนดี น่ารัก และรูทที่พระเอกปักธงน้องจูนิเบียวนี้ทำได้โครตงดงาม
ความจริงเรื่องนี้พระเอกปักธงพวกสาวๆ งามๆ หลายครั้ง แต่ของน้องจูนิเบียวนี้มันระดับมาสเตอร์พีทเลยทีเดียว คือมันเป็นรูทตามสูตรการปักธงเลยก็ว่าได้
น้องจูนิเบียวคนนี้อาจเป็นเพียงตัวละครรอง หากเทียบกลับจิวะ กับจอมมารผมขาว ปรากฏตัวในช่วงตอนถัดมา โดยเป็นเด็กมัธยมปลายปี 1 ที่เขียนจดหมายรักให้พระเอก แล้วบอกพระเอกว่าเป็นคนรักของเอย์ตะเมื่อชาติก่อน ซึ่งความจริงแล้วเธอรู้จักเอย์ตะตั้งแต่ได้เห็นเขากยอมเจ็บตัวเพื่อช่วยเหลือจิวะเมื่อวันก่อน จึงได้สนใจเอย์ตะตั้งแต่นั้นมา
พระเอกเอย์ตะรู้เลยว่าฮิเมะคนนี้เป็นจูนิเบียว แม้ว่าจะเป็นคนแปลกๆ แต่ตอนหลังน้องจูนิเบียวก็ได้เข้าชมรมเดียวกับพระเอกและเป็นเพื่อนกับจิวะกับจอมมารผมขาวได้เป็นอย่างดี (เท่าที่รู้เห็นว่านิยายตอนล่าสุดน้องจูนิเบียวกำลังจะฉะกับจอมมารผมขาว)
ก่อนที่จะเข้ารูทปักธง เนื้อเรื่องก็พยายามเล่าเรื่องของน้องจูนิเบียวที่เป็นคาแร็คเตอร์ที่มาถึงหลัง (กว่าใครเพื่อน) ว่า แม้จะเป็นสาวที่ดูเรียบๆ เฉี่ยวชา เชื่อมช้า เฟ้อฝัน แต่น้องจูนิเบียวนั้นถือว่าเป็นสาวที่ดีที่สุดแล้วในเรื่อง เพียงแต่เธอกลับไม่ค่อยมีเพื่อนมากนัก ทำให้ช่วงหลังๆ จะเห็นจิวะเป็นเพื่อนกับน้องจูนิเบียวบ่อยๆ
จนกระทั่งมาถึงฉากปักธงฮิเมะ เป็นช่วงปักธงที่โครตงามอีกธงหนึ่ง ซึ่งผมไม่รู้ว่าอยู่ตอนไหนของนิยาย หรือตอนไหนของอนิเมะ แต่ของมังงะอยู่ตอนที่ 19 ซึ่งเป็นช่วงที่ฮิเมะเขียนเรื่องกิจกรรมชมรม (หรือนิยายจูนิเบียว) ใส่สมุดของเธอ และไปหาเอย์ตะที่ห้องชมรม ซึ่งตอนนั้นทั้งจิวะและจอมมารผมขาวไม่มา
ระหว่างที่ทั้งสองคุยกันอย่างราบรื่นอยู่นั้น จู่ๆ ทวินเทลเกรียม (นัตสึคาวะ มานะ) ได้ปรากฏตัวแล้วแย่งสมุดชมรมของฮิเมะไปอ่าน พร้อมกับหัวเราะ และดูถูกฮิเมะว่าเป็นจูนิเบียวอีกต่างหาก จนฮิเมะร้องไห้
แน่นอนว่า เมื่อเอย์ตะเห็นน้ำตาของฮิเมะ เขาก็ทนไม่ไหว เขาได้มีลุกขึ้นสู้ แล้วเถียงทวินเทลเกรียนไปว่า “ความเพ้อเจ้อไม่ดีตรงไหน มนุษย์อยู่ได้เพราะจินตนาการ ต่อให้มันจะเป็นเรื่องเพ้อเจ้อยังไง หากแต่ก็ต้องมีสักอันบ้างที่กลายเป็นจริง หรือหากมันเป็นไปได้ก็ต้องบดขยี้ความจริงนั้นซะ”
“ขอแค่ความหวังเท่านั้น อย่าทิ้งมันไป”
“ฉันน่ะเป็นแฟนของนัตสึคาวะ มาสึซึ เป็นเพื่อนสมัยเด็กของฮารุซากิ จิวะ และเป็นแฟนชาติที่แล้วของอากิชิโนะ ฮิเมกะ”.... “เบิร์นนิ่งไฟติ้ง ไฟเตอร์คิโด้ เอย์ตะยังไงละ!!” ((ถ้าจิวะอยู่ที่นั้นคงมีเถียงว่า “กรูไม่ได้อยากเป็นแค่เพื่อนสมัยเด็กเว้ย”แน่นอน)
และนั้นก็เป็นการปักธงที่สวยงามอีกธงหนึ่ง เรียกได้ว่าเป็นอีกฉากที่พระเอกมันเท่มากๆ และทำให้ฮิเมะชอบเอย์ตะมากยิ่งขึ้น และเขาก็กลายเป็นเจ้าชายในใจของเธอโดยสมบูรณ์
2.นิตะ ไอเอะ (Nitta Io) –วันศุกร์อำลา (แต่ฉันไม่ยอมให้เธอไป)
Devil Survivor 2 เป็นอนิเมะจากเกม DS โดยเป็นเรื่องราวของพระเอกคุเซ ฮิบิกิ กับ ชิจิมะ ไดอิจิ และนิตตะ ไอโอะนักเรียนม.ปลายธรรมดา ที่ได้เข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์ประหลาดมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเกือบตายในเหตุการณ์อุบีติเหตุรถไฟใต้ดิน , คลิปความตายจากอนาคตคนใกล้ตัว, องค์กรลับ, ภัยพิบัติ, รวมถึงการได้เป็นผู้ถูกเลือกให้ต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตประหลาดที่มาพิพากษาโลก (?)
(เกม Devil Survivor 2 เป็นเกมโปรดผมเลย เล่นจบหลายรอบมาก)
สำหรับภาพรวมอนิเมะ Devil Survivor 2 ค่อนข้างน่าผิดหวัง เพราะติดเนื้อหารายละเอียดจากเกมเพียบ ทำให้อารมณ์ช่วงท้ายๆ ออกมาเหมือนทำแบบรวบรัด (หากจะให้เนื้อหาดีตรง 26 ตอนโน้นแหละ) จนน่าผิดหวัง
อย่างไรก็ตาม มีสิ่งดีๆ ในอนิเมะเรื่องนี้เหมือนกัน นั้นคือรูทของไอเอะนั้นพระเอกปักธงได้งามมาก เรียกได้ว่าประทับใจกว่าในเกมเสียอีก (มังงะไม่แน่ใจว่ามีรูทนี้หรือเปล่า)
รูทที่ว่านั้นอยู่ในตอนที่ 10 ซึ่งเป็นตอนใกล้ท้ายๆ ของเกม โดยเรื่องของเรื่องคือมีปีศาจชื่อ Mizar จะปรากฏตัวออกมา มันมีพลังร้ายกาจมาก วิธีการจะสู้มันได้ก็คืออิโอะต้องเสียสละตนเองเพื่ออัญเชิญเทพลักฮ์ (Lugh) มาสิงร่าง เพื่อปราบมันถึงจะสำเร็จ หากแต่ปลายทางสุดท้ายผู้ที่ถูกสิงจะต้องเสียชีวิต (ร่างกายอาจรับไม่ได้ ถูกเทพสิงตลอดไป หรือถูกฆ่า)
แน่นอนว่าพวกพระเอกไม่เห็นด้วย ที่จะให้ผู้หญิงตัวเล็กๆ เสียสละ แต่ทางองค์กรบอกว่ามันเป็นวิธีเดียวเท่านั้นที่ช่วยเหลือโลก และอิโอะเองก็ยอมรับเรื่องเหล่านี้ ยกเว้นพระเอกนั้นไม่สามารถรับได้ จึงออกไปเผชิญหน้ากับอิโอะที่ถูกสิงโดยเทพลักฮ์
และแล้วก็ พระเอกได้สร้างปาฏิหาริย์เกิดขึ้น ด้วยการใช้พลังทั้งหมดเพื่อรับพลังทำลายของอิโอะ แล้วก็ลอยไปทางอิโอะ พระเอกได้ร้องขอให้เทพลักฮ์ออกจากตัวอิโอะ แต่เทพลักฮ์ปฏิเสธโดยบอกว่าวิญญาณของเธอได้หายไปแล้ว สิ่งที่เห็นมีเพียงแค่เปลือกนอกเท่านั้น
หากแต่พระเอกไม่เชื่อ เขาได้ตะโกนออกมาว่าอิโอะยังอยู่ตรงหน้าเขา พร้อมกับบิยสูงขึ้นไปบนอากาศไปหาอิโอะพร้อมกันป้องกันการโจมตีของเทพลักฮ์
และแล้วการโจมตีของเทพลักฮ์หยุดลง จากนั้นฉากหลังก็กลายเป็นสีขาว เหมือนเวลารอบข้างหยุดลง อิโอะได้สติกลับมาอีกครั้ง หากแต่เธอปฏิเสธที่อยู่โลกใบนี้ เพราะเธออ่อนแอ อีกทั้งชีวิตไม่หลงเหลืออะไรอีกแล้ว พ่อแม่ของเธอตายหมด หากแต่พระเอกไม่ยอม เขาได้ยืนมือมาหาอิโอะ พร้อมตะโกนไปว่า “ผมไม่อยากเสียเธอไป พวกเราต้องรอดไปด้วยกันสิ อิโอะ!!” และด้วยคำพูดของพระเอกนั้นเอง ทำให้เทพลักฮ์ก็ได้ออกจากร่างของอิโอะไปจนหมดสิ้น และแล้ว อิโอะก็ได้จับมือกับพระเอกแล้วโอบกอด เป็นอันจบรูทของอิโอะอย่างงดงาม
คือมันงดงามจริงๆ คือฉากที่พระเอกมาช่วยเหลืออิโอมันเป็นอะไรที่ดูยิ่งใหญ่ อลังการมาก แม้ช่วงฉากสีขาวมันจะดูว่างเปล่า แต่มีเสียงเพลงประกอบแสนไพเราะ การเคลื่อนไหวแบบช้าๆ พร้อมคำพูดปักธงพระเอกนี้มันเป็นอะไรที่ซาบซ่า ชุ่มช่ำหัวใจมาก
เรียกได้ว่าตอนที่ 10 เหล่าแฟนๆ Devil Survivor 2 ได้ลงความเห็นว่าเป็นฉากที่ดีที่สุดของอนิเมะเรื่องนี้ ที่มีทั้งสิ้นหวัง ความหวัง ลุ้น ตั้งแต่ต้นจนจบเลยทีเดียว
1. คาซาเนะ ฮิโยริ-รอยยิ้ม และเสียงกระดิ่ง
Heaven's Lost Property the Movie: The Angeloid of Clockwork เป็น Sora no Otoshimono ฉบับภาพยนตร์ที่โครตน่าผิดหวังสำหรับผม และแฟนๆ การ์ตูนเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง ด้วยสาเหตุคือ ฉากเปิดเรื่องตอนต้นเต็มไปด้วยการเล่าย้อนความ เอาตอนเก่าๆ มาย้อน ยาวหลายนาที (ยาวกว่า 30 นาที ทั้งๆ ที่น่าจะรู้ว่าคนดูภาพยนตร์เขาเป็นแฟนการ์ตูนเรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว ไม่จำเป็นต้องระลึกชาติเลย ซึ่งมันน่าเบื่อมาก) กราฟฟิกก็โครตแสนธรรมดา รวมไปถึงการทำบทของ “คาซาเนะ ฮิโยริ” แตกต่างจากมังงะแบบไม่น่าให้อภัย
คาซาเนะ ฮิโยริ เป็นหนึ่งในฮาเร็มของโทโมกิ ปรากฏในมังงะช่วงตอน 34-40 ฮิโยรินักเรียนมัธยมปีที่ 2 ที่แอบรู้สึกชอบโทโมกิ ได้ขอเข้าชมรมที่โทโมกิอยู่เพื่อใกล้ชิดเขา ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังมีความสุขอยู่นั้น วันหนึ่งฮิโยริได้ถูกรถบรรทุกชน แต่เธอไม่ได้ไปต่างโลก กลายเป็นว่าแท้จริงแล้วเธอก็คือเทวดา (ชาวเบื้องบน) ที่อยู่ในซิแนปส์ ที่เข้าสู่ระบบหลับฝัน ความนึกคิดได้เชื่อมต่อให้เธอมีร่างกายเป็นมนุษย์ธรรมดาในโลก และเมื่อร่างมนุษย์ถูกฆ่า ฮิโยริก็จะเป็นชาวเบื้องบน และระบบจะลบตัวตนของฮิโยริให้คนรอบข้างจำไม่ได้ ว่าฮิโยริมีตัวตนอยู่จริงๆ
แต่โทโมกิไม่ยอมลืมฮิโยริ แม้จะเจ็บปวดทรมานแค่ไหนเขาก็ไม่มีวันลืมฮิโยริ จนทำให้ ฮิโยริอยากกลับไปมาโทกิอีกครั้ง และนั้นเองทำให้เธอถูกดัดแปลงเป็นแองจีรอยด์ เพื่อส่งไปยังโลกเบื้องล่าง เพื่อพบโทโมกิ หากแต่ไม่ได้มาในฐานะเพื่อน แต่มาในฐานะศัตรู (ฮิโยริถูกล้างสมอง แถมถูกใส่ปลอกคอเชื่อฟังคำสั่ง)
ในภาคมังงะฮิโยริถูกช่วยเหลือโดยนิมฟ์ที่อัพเกรดพลังใหม่ แต่ในภาพยนตร์ฮิโยริได้ระเบิดตัวตาย เรียกได้ว่าแตกต่างชนิดมือเป็นหลังมือ จำได้ว่าฉากที่ฮิโยริระเบิดกลางเวหานี้ทำเอาผมสิ้นหวังสุดๆ เลยก็ว่าได้
แม้ว่าภาพยนตร์จะน่าผิดหวัง แต่ถึงอย่างนั้นก็มีฉากที่ผมประทับใจสำหรับภาพยนตร์ เริ่มจากในภาพยนตร์จะมีการเล่าสาเหตุที่ฮิโยริชอบโทโมกิ ซึ่งในมังงะไม่มี โดยในภาพยนตร์มีฉากที่ฮิโยริในตอนเด็กเคยพบโทโมกิในตอนเด็ก ซึ่งทั้งคู่เคยเป็นเพื่อนเล่นกันในระยะสั้นๆ (น่าจะเป็นรักแรกของโทโมกิด้วย) หากแต่เมื่อทั้งสองโตมา แม้ว่าฮิโยริจะจำได้ แต่โทโมกินั้นลืมไปแล้ว เขาจำได้แต่เพียงเขาเคยรู้จักผู้หญิงคนหนึ่ง และสถานที่ที่ทั้งสองเคยพบกัน นั้นคือริมหน้าผาของป่าเมืองโซรามิเท่านั้น
อีกฉากที่ผมค่อนข้างประทับใจ คือฉากโทโมกิไม่ได้รังเกียจฮิโยริในโหมดสาวชาวไร่ที่เนื้อตัวมอมแมมด้วยปุ๋ยและโคลน โทโมกิไม่ได้รู้สึกรังเกียจ พร้อมกับยิ้มและชมว่าถั่วลันเตาที่ฮิโยริปลูกนั้นดูน่าทานมาก และนั้นเองทำให้ฮิโยริรู้สึกชอบโทโมกิขึ้นมาจริงๆ แต่เธอไม่สามารถบอกเขาออกไปตรงๆ ได้ ตรงฉากนี้ดีกว่าในมังงะครับ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าโทโมกิจะจดจำฮิโยริได้ แต่เขาก็ต้องมาเสียใจที่ฮิโยริระเบิดตัวเองเพื่อปกป้องเขา ซึ่งสร้างความเสียใจต่อโทโมกิเป็นอันมาก หลังฮิโยริระเบิด ความทรงจำของทุกคนที่มีต่อฮิโยริก็กลับคืนมาอีกครั้ง ในตอนท้ายของเรื่องโทโมกิได้ไปหน้าผาสถานที่พบกับฮิโยริอีกครั้ง เพื่อหวังจะเจอตัวอีกครั้ง แต่โทโมกิก็ไม่พบเธอ จนกระทั่งฉากสุดท้ายปรากฏขนนกร่วมหล่นจากฟ้า และเมื่อเขาหันหลังมา เขาก็เห็นอะไรบางที่อย่าง ที่ทำให้ร้องไห้ แล้วก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอีกครั้ง
(ฮิโยริรอด เธอได้กลับมาหาโทโมกิ และปรากฏตัวตอนต้นของภาค Sora no Otoshimono Final Eternal My Master The Movie แต่ภาคนี้ผมไม่ได้ดู เพราะโครตน่าผิดหวัง)
ก็จบลงเพียงเท่านี้ สำหรับรูทงามๆ จากการ์ตูนน่าผิดหวัง กับการ์ตูนที่ผมไม่ตาม หากมีอะไรที่ขัดใจหายคนก็ขออภัยด้วย เพราะปกติผมไม่ค่อยได้ดูอนิเมะมากนักหากเนื้อหามันไม่ถูกใจ และมักหลีกหนีถ้าการ์ตูนเรื่องนี้มไม่สามารถตอบสนองความชอบส่วนตัวผมได้ ผลออกมาก็เป็นแบบนี้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผมต้องการจะเขียนถึง คือการให้ความสำคัญต่อบทปักธงในนิยาย หรืออีเวนส์เรื่องความรัก ที่น่าจะใส่ใจมากกว่านี้ เพราะมันจะช่วยกลบข้อด้อยอะไรต่างๆ ในนิยายได้ในระดับหนึ่ง และทำให้คนสนใจที่อยากติดตามนิยายต่อได้อีกด้วย
ความคิดเห็น