คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #423 : (ดูการ์ตูนแล้วมาดูภาพยนตร์) I am Hero ข้าคือฮีโร่
(บทความนี้โครตสปอย และไม่ใช่การรีวิวภาพยนตร์ แต่เป็นการบ่นของคนที่ดูมังงะเรื่องนี้มาแล้ว จึงมีการเปรียบเทียบเป็นธรรมดา)
ครั้งหนึ่งผู้กำกีบหนังจอร์จ โรเมโร (George A. Romero) ผู้ที่หลายคนรู้จักกันดีในฐานะ “เจ้าพ่อแห่งหนังแนวซอมบี้” ( Night of The Living Dead , Dawn of The Dead 1978, Day of The Dead ฯลฯ) ได้ออกมาบ่นว่าหนังแนวซอมบี้กำลังจะตายเพราะ The Walking Dead และ World War Z
โดยจอร์จ โรเมโรให้ความเห็นว่า“การมาของ The Walking Dead ทำให้วงจรเดิมของหนังแนวซอมบี้เปลี่ยนไปในทันที คุณไม่สามารถสร้างภาพยนตร์แนวซอมบี้ที่มุ่งเน้นเนื้อหาได้อีกต่อไป แต่มันต้องเป็นหนังที่มีแต่พวกซอมบี้สติปัญญาซื่อบื้อและบ๊องตื้นเท่านั้น”
โรเมโรเสริมว่า The Walking Dead ที่นำเสนอแต่ฉากแหวะ และความรุนแรง ส่วน World War Z อาจทำให้ค่านิยมการสร้างหนังซอมบี้เปลี่ยนไป จากที่ต้องใช้ทันต่ำ มาเน้นทุนสูง เน้นฉากตื่นเต้นแทน (แถมเนื้อเรื่องก็กว้างขึ้น แทนที่จะอยู่ในที่แคบๆ เหมือนหนังซอมบี้เรื่องอื่นๆ) นอกจากนี้ยังบอกว่าทั้งสองเรื่องทำให้ความตั้งใจเจตนาที่จะเน้นไปที่การจิกกัดสังคมและการเมืองผ่านการกระทำต่างๆ ของเหล่าซอมบี้เหล่านี้ได้ยากขึ้นด้วย (หรือไม่มีเลย)
ความจริงสิ่งที่โรเมโรถูกก็ครึ่งหนึ่ง แต่อีกครึ่งนั้นต้องเข้าใจหนังซอมบี้ปัจจุบันด้วย ที่เนื้อหาก็ไม่ค่อยจะสร้างสรรค์ หรือโดดเด่นอะไรที่น่าจดจำ ส่วนมากเน้นไปทางสูตรสำเร็จ ประเภทว่าจู่ๆ ก็เกิดซอมบี้ระบาดขึ้น ผู้คนกลายเป็นซอมบี้หมด และพระเอกกับพวกก็พยายามผ่าฝูงซอมบี้ไปช่วยคนรัก ส่วนการเสนอก็ฉากแหวะๆ ฉากรุนแรง ประเด็นจิกกัดสังคมไม่ค่อยมีมากนัก ทำให้หนังแนวซอมบี้ดีๆ เริ่มหายาก
ส่วนเรื่องเงินทุนสร้างหนังนั้น
อย่างไรก็ตาม โรโมโรก็คงลืมหนังซอมบี้ ว่าในปี 2016 มีหนังซอมบี้ๆ ดังๆ สองเรื่อง คือ Train To Busan และ I am Hero ที่น่าสนใจคือหนังซอมบี้ทั้งสองนี้ เป็นหนังของเอเชีย (ไม่มีใครสนใจผีห่าอโยธยาเลยเรอะ)
และที่น่าสนใจมากกว่าคือ I am Hero เป็นหนังที่สร้างจากมังงะในชื่อเดียวกัน ซึ่งหากเราพูดถึงหนังจากการการ์ตูนญี่ปุ่นส่วนมากหลายคนอาจรู้สึกอนาถ เพราะที่ผ่านมาหนักไปทางห่วยมากกว่าดี (ซึ่งผมพูดไปแล้วในบทความ 10 ภาพยนตร์คนแสดงที่ดัดแปลงจากการ์ตูนญี่ปุ่น (ที่ดูมาแบบแมวๆ)) แต่ I am Hero นั้นกลับเป็นหนังที่ทำออกมาได้น่าติดตาม แถมยังเคารถสูตรหนังซอมบี้ของฉบับโรเมโรได้เป็นอย่างดี
I Am A Hero
I am Hero เป็นภาพยนตร์ของผู้กำกับ (และนักเขียนบทวีดีโอเกม) Shinsuke Sato ซึ่งมีชื่อเสียงของญี่ปุ่นก่อนหน้านั้นก็มี Gantz, Death Note: Light Up โลกใหม่ และ Bleach (ผู้กำกับเขาสัญญาว่าจะรักษาต้นฉบับเดิมให้ได้มากที่สุด ตัวภาพยนตร์จะฉายปี 2018)
I am a Hero
ฮิเดโอะ นั้นไม่มีความเป็นพระเอกเลย คือมีนิสัย ไม่ค่อยสู้คน ไม่กล้าเสนอความเห็น อยากจะโต้คนอื่นก็ทำไม่ได้ ได้แต่พูดพึมพำ บ่นกับตัวเองอยู่เสมอ เรียกได้ว่าเป็นคนซื่อบื้อโดยสมบูรณ์
ในด้านชีวิตประจำวัน ก็ไม่ค่อยดีมากนัก แม้เขามีแฟนเป็นสาวแว่น แต่เขาก็รู้สึกไม่พอใจที่เธอไปอวยนักเขียนการ์ตูนที่ดังกว่าตน จนรู้สึกว่าเธอนอกใจเขาด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม ชีวิตปกติธรรมดาของฮิเดโอะก็ได้สิ้นสุดลง เมื่อ โลกอยู่ภาวะไข้หวัดมรณะระบาด (ภายหลังจากเน็ต เรียกว่าเชื้อไวรัส ZQN) ตอนแรกเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก นึกว่าเป็นเรื่องไกลตัว หากแต่วันหนึ่งเขาไปหาแฟน ก็พบว่าเธอเปลี่ยนไป เมื่อเธอคืบคลานมุ่งหมายเพื่อจู่โจมเขา แบบกระหายเลือด เหมือนในภาพยนตร์สยองขวัญไม่มีผิด
และนั่นเองเป็นจุดเริ่มต้นการผจญภัยของฮิเดโอะ ที่ต้องหนีตายในโลกที่ซอมบี้ระบาด
I Am a Hero เป็นหนึ่งการ์ตูนแนวมังงะซอมบี้ที่ดีที่สุดในเวลานี้ก็ว่าได้ หลายคนอาจมองว่าการ์ตูนญี่ปุ่นแนวซอมบี้ส่วนใหญ่ เน้นเอามัน โหดเลือดสาด ขายฉากเซอร์วิสอย่างเดียวละก็คิดผิด เพราะการ์ตูนเรื่องนี้ได้นอกจากฉากสยองขวัญ ระทึกขวัญหนี และสู้ซอมบี้ที่มันและสมจริงแล้ว มันยังสอดแทรกการจิกกัดสังคม (ญี่ปุ่น) และการเมือง เอาไว้อย่างพึงพริกถึงขิง ตามหลักของโรเมโรที่พึงมีเอาไว้ครบถ้วน (ซึ่งจะกล่าวในเนื้อหาถัดไป)
นอกจากนี้ตัวการ์ตูนนำเสนอเกี่ยวกับตัวเอกได้อย่างสมจริง ไม่โอเวอร์ ไม่บ้าพลัง การพัฒนาตัวตนของฮิเดโอะ จากชายไม่ได้เรื่อง กลายเป็นชายที่กล้าหาญในโลกของซอมบี้ รวมไปถึงตัวละครต่างๆ ในเรื่อง ล้วนทำได้น่าสนใจ น่าติดตาม เอาใจช่วย
ปัจจุบันเนื้อเรื่อง I Am a Hero ไปไกล (กว่าภาพยนตร์) มาก แม้จะมีอะไรหลายอย่างที่ดูเหนือธรรมชาติบ้าง (เช่น พลังจิต มนุษย์กลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดไคจู และมีเรื่องมนุษย์ต่างดาวเกี่ยวข้องด้วย) แต่ถึงอย่างนั้น เนื้อเรื่องของมันก็ยังสนุกน่าตื่นเต้นอยู่ดี
I Am a Hero เป็นการ์ตูนเรื่องหนึ่งที่เหมาะจะทำเป็นภาพยนตร์คนแสดงเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากลายเส้นไม่ได้ขายความโมเอะตัวละคร แต่เป็นลายเส้นที่ดูสมจริง จึงไม่กังวลที่จะหานักแสดงที่หน้าตาเหมือนตัวเอกในเรื่อง อีกทั้งเนื้อหาหากปรับปรุงดีๆ ก็เป็นแนวซอมบี้ที่สนุกไม่แพ้ซอมบี้ของตะวันตกเลยทีเดียว
และเมื่อการ์ตูนเรื่องนี้ทำเป็นภาพยนตร์คนแสดง ผลปรากฏว่า มันทำดีกว่าที่คิด และเป็นภาพยนตร์จากการ์ตูนอีกเรื่อง ที่ลบข้อด้อยของภาพยนตร์ญี่ปุ่นที่เอาการ์ตูนญี่ปุ่นมาดัดแปลงทำด้วย
แน่นอน เมื่อข้อด้อยที่เรานึกถึงเกี่ยวกับภาพยนตร์ญี่ปุ่นที่ดัดแปลงจากการ์ตูนญี่ปุ่น สิ่งแรกที่เราคิดก็คือ เนื้อหาจะต้องมีการตัดตอนจกต้นฉบับเดิมแน่นอน ซึ่งบางเรื่องก็ตัดทอนเนื้อหาสำคัญ ไม่สามารถถ่ายทอดต้นฉบับเดิมได้ บางเรื่องก็แค่เอาชื่อมาเฉยๆ แล้วสร้างเนื้อเรื่องขึ้นมาใหม่ขึ้นมา แต่เจ้าเนื้อเรื่องใหม่มันต่างจากต้นฉบับราวกับฟ้ากับเหว แถมมันไม่สนุกอีกต่างหาก (บางเรื่องใส่ปรัชญาอะไรก็ไม่รู้ ดูไม่รู้เรื่องเลย) มันไม่เหมือนกรณีภาพยนตร์จากดัดแปลงคอมมิค พวกของมาเวล กับ DC ที่สร้างโลกขึ้นมาใหม่ ที่มา เนื้อเรื่องต่างกัน แต่ในขณะเดียวกันก็เคารพต้นฉบับเดิมแบบไม่น่าเกียจด้วย
ดังนั้นโจทย์ภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากการ์ตูนญี่ปุ่น ก็คือ ทำยังไงให้เคารพต้นฉบับ แม้จะตัดทอนเนื้อหา แต่ก็ยังคงสาระสำคัญ สามารถสื่อสิ่งที่ต้นฉบับเดิมที่ให้ไว้แก่คนดู อีกทั้งยังต้องมีความน่าติดตาม ตั้งแต่ต้นจนจบ
ตอนแรก ในมังงะ นอกจากตัวพระเอกฮิเดโอะมีจะมีนิสัยซื่อบื้อ ไม่กล้าสู้คนแล้ว ตัวของเขายังมีสิ่งที่เรียกว่าจิตหลอน คือฮิเดโอะมักเจอพวกผี หรือสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็นเป็นประจำ และมีการสร้างเพื่อนในจิตนาการเพื่อพูดคุยด้วยกัน จนตอนแรกๆ การ์ตูนออกไปทางหลอนประสานด้วยซ้ำ ตรงจุดนี้ภาพยนตร์ตัดเรื่องนี้ออกเลย เหลือเพียงว่าฮิเดโอะชอบมโน (แต่ไม่กล้าทำ) แทน เพราะมองว่ามันไม่ค่อยมีความสำคัญเท่าใดนัก แถมมันอาจเป็นจุดที่คนดูอาจไม่รู้ด้วย อีกทั้งในมังงะเองช่วงหลัง จิตหลอนของฮิเดโอะก็แทบไม่มีอีกแล่ว (สิ่งที่ทดแทนคือบางครั้งฮิเดโอะ โทรจิต หรือพวกฝันประหลาดเชื่อมต่อใครบางคนเท่านั้น)
ตัวภาพยนตร์เล่าเรื่องของฮิเดโอะได้กระชับกว่าในมังงะมาก แต่ก็เป็นกระชับที่ครบถ้วน สื่อถึงชีวิตประจำวันของฮิเดโอะที่เขาก็อยากประสบความสำเร็จเป็นนักเขียนการ์ตูน แต่ไม่ประสบความสำเร็จ การ์ตูนไม่เป็นที่ยอมรับ ทำงานเป็นเพียงลูกมือของนักเขียน บรรยากาศการงานก็ไม่ดี (รุ่นพี่อ้วนก็ชอบโวยวาย) แฟนสาวก็เริ่มโมโหที่ฮิเดโอะเอาแต่ไล่ตามความฝันที่เป็นไปไม่ได้ และตอนนี้แทบไม่มีเงินจ่ายค่าเช่า เรียกได้ว่าชีวิตของชายไม่ได้เรื่องกำลังจะล้มเหลวโดยแท้
จากนั้น ก็ถึงช่วงเวลาชิบหายแบบไม่คาดคิด ในตอนเช้าฮิเดโอะหวังจะไปคืนดีแฟน แต่กลับเห็นแฟนกลายเป็นซอมบี้แทน แม้รอดมาได้ เขาก็กลับไปที่ทำงานก็พบฉากฆ่ากัน และฉากรุ่นพี่กลายเป็นซอมบี้ (ในมังงะไม่มี) ซึ่งก็ยอมรับว่ามันโหดกว่าในมังงะหลายเท่า ทั้งฉากเอาไม้เบสบอลมาตีและฉากเชือดคอ ชนิดว่าใครใฝ่ฝันอยากตีหัวซอมบี้ในโลกแห่งความจริง ต้องมีเปลี่ยนใจ เพราะไม่รื่นรมย์เลย ยอมรับว่า จนบางครั้งผมก็แทบหลับตาเพื่อหลีกหนีจากฉากที่หวาดเสียวน่าสยดสยองนั้น
หลังจากนั้นก็มาถึงช่วงเวลาที่ตื่นเต้นอีกช่วงหนึ่งของภาพยนตร์ คือฉากฮิเดโอะต้องวิ่งหนีตาย หนีแบบไม่คิดชีวิต จากซอมบี้ที่กระหายเลือด ที่ทำได้อลังการ ตื่นเต้น และสิ้นหวังโดยแท้ เพราะอย่างที่รู้ว่าญี่ปุ่นมีประชากรจำนวนมาก หากซอมบี้เกิดที่เมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยผู้คนเดินผ่าน มันจะเป็นอะไรที่นรกแตกทันที ซึ่งฮิเดโอะต้องวิ่งหนีท่ามกลางผู้คนที่ไม่รู้ว่ายังเป็นคนหรือซอมบี้ นอกจากหนีฝูงซอมบี้ ก็มานั่งรถที่ซอมบี้ตีนผีนรก
ยิ่งกว่านี้ซอมบี้เรื่องนี้น่ากลัวจริงๆ มีทั้งวิ่งเร็ว วิ่งช้า บางตัวก็มีสกิลยังเป็นคนติดตัวมาด้วย หรือบางตัวก็เคลื่อนไหวแปลกๆ จับทางไม่ได้ มันเป็นอะไรที่ฝันร้ายมาก จนไม่อยากจะเจอพวกมันเลย ต้องยอมรับว่างานนี้ทีมงานแต่งหน้าเสริมสเปเชียล เอ็ฟเฟ็กต์ต้องได้เครดิตมากๆ ที่ทำได้สมจริงถึงขนาดนี้
หากโรเมโร่บ่นๆ ว่าซอมบี้สมัยนี้โง่กระจอก มาดูเรื่องนี้ต้องเปลี่ยนใจ แถมยังจิกกัดสังคมทุนนิยม ความบ้างานของญี่ปุ่น กล่าวคือ แม้จะเป็นซอมบี้แล้วยังคงมีสำนึกของมนุษย์ที่บ้างาน บ้าวัตถุนิยม หลงเหลืออยู่ พร้อมกับเผยสันดานดิบที่ปกปิดไว้ในใจออกมา, พนักงานขายของกลายเป็นซอมบี้ ยังมีกะจิตกะใจพูดคำว่า “ยินดีต้อนรับครับ” พร้อมพุ่งไปกัดมนุษย์ธรรมดา, หรือคนขับรถแท็กซี่ที่ไม่เคยทำผิดกฎจราจรโดนซอมบี้กัดก็กลายเป็นซอมบี้ที่ยังคงขับรถต่อไป (และเผยสันดานดิบว่า “กรูก็อยากขับรถผิดจราจรด้วยเว้ย” และขับรถเร็วเต็มสปีด), หรือแม่บ้านโดนซอมบี้กัดก็ยังคงเป็นซอมบี้ที่บ้าชอปปิ้ง หรือนักการเมืองโดนซอมบี้กัดก็กลายเป็นนักการเมืองนิสัยเสียที่ด่าว่าประชาชนไม่จ่ายภาษี เป็นต้น
พูดง่ายๆ ฉากที่ฮิเดโอะหนีตายในภาพยนตร์ทำดีกว่าในมังงะมาก เพราะในภาพยนตร์มีการเคลื่อนไหวที่วุ่นวาย ที่ดุรวดเร็ว เข้าใจง่ายกว่าของมังงะ อันนี้ต้องชมจากใจจริงๆ
ความจริงในมังงะนี้สอดแทรกประเด็น เกี่ยวกับความไม่แยเสของคนญี่ปุ่นแบบเจ็บแสบเหมือนกัน มีอยู่ฉากหนึ่ง (ภาพยนตร์ไม่มี) ที่พระเอกขึ้นรถไฟฟ้า ที่คนในรถไปไม่รู้ว่าตอนนี้ซอมบี้ระบาด แถมยังไม่ค่อยสนใจควันไฟในเมือง ตอนซอมบี้กัดคน ก็แทบไม่มีใครช่วยเหลือคนที่ถูกกัด หรือตอบสยองช้าไป จนชิบฉายวายวอดทั้งรถไฟ อันนี้ก็โทษใครไม่ได้ เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิด ไม่มีใครคิดถึง ด้วยซ้ำ
อีกทั้ง มุมหนึ่งที่มีทั้งในมังงะและญี่ปุ่น คือ สังคมที่ไม่สนใจโลก หรือก็คือพวกเก็บตัว นีท ทั้งหลาย กลายเป็นมนุษย์ที่อยู่รอดในโลกซอมบี้ระบาดไปเสียได้ ถึมแม้โลกจะแตกยังไง มันก็ไม่เลิกที่จะเล่นเน็ต เล่นบอร์ด 2 –จัง
หลังจากผ่านช่วงตื่นเต้นหนีตายมาได้ เนื้อเรื่องก็เอื่อยๆ ไปบ้าง เมื่อเนื้อเรื่องเริ่มมีตัวละครสำคัญ นั่นก็คือนางเอกสาวมัธยมปลาย ฮายาคา ริ ฮิโรมิ (นำแสดงโดย มาซามิ นากาซาวะ) ที่ไม่ได้รู้จักมักจี่กับพระเอกเลยแม้แต่น้อย หากแต่จับพลัดจับผลูหนีตายไปพร้อมกัน จนกลายเป็นคู่หูไปในที่สุด และการปรากฏตัวของฮิโรมินั่นเอง ที่ได้เปลี่ยนชีวิตของฮิเดโอะไปด้วยสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตามก็มีจุดที่ตินิดหนึ่ง คือภาพยนตร์ไม่ค่อยเล่าเรื่องของฮิโรมิมากนัก ในมังงะนี้เล่าความเป็นมาของฮิโรมิว่าเป็นใครมาจากไหน มีปมอะไร แต่ภาพยนตร์ไม่กล่าวถึง จนมองว่าเป็นตัวละครที่ไม่มีความลึกสักเท่าไหร่ ทำให้เมื่อเธอกลายเป็นซอมบี้รู้สึกธรรมดาไป ไม่ได้มีอารมณ์ร่วม (ในมังงะนี้ผมโครตโวยวายเลยแหละ) และน่าเสียดายที่ฉากที่ฮิโรมิฆ่าซอมบี้นั้นความจริงมันมีสาเหตุว่าทำไมเธอฆ่าซอมบี้โหดขนาดในมังงะด้วย แต่ก็ถูกตัดออก แต่ก็เข้าใจว่าภาพยนตร์จำเป็นต้องกระชับ เน้นมุมมอง ความเป็นมาของพระเอกอย่างเดียว แต่น่าจะเพิ่มฉากที่ฮิโรมิพูดถึงครอบครัวบ้างก็น่าจะดี แบบหนังภาพยนตร์ที่พวกตัวประกอบมักพูดเรื่องครอบครัวก่อนที่จะตาย ก็น่าจะช่วยเรื่องเหล่านี้ได้ไม่มากไม่น้อย
จากนั้นก็ถึงฉากฮิโรมิเป็นซอมบี้ (แบบครึ่งมนุษย์?) แต่ก็ไม่ได้มีอะไรสำคัญมากนัก นอกจากฉากน่ารักนิดๆ หน่อย ทั้งสองออกเดินทางเพื่อหาที่ปลอดภัย จนกระทั่งมาถึงห้างร้างแห่งหนึ่ง (ความจริง สถานที่ถ่ายทำที่ว่า ไม่ได้อยู่ที่ญี่ปุ่น แต่เป็นที่เกาหลีใต้ ซึ่งเป็นห้างร้าง) และได้มาพบกับเจ๊ใหญ่โอดะ ยาบุ (รับบทโดยนางาซาว่า มาซามิ) นางพยาบาล กับพวกที่รอดตายที่อาศัยในด่านฟ้าของห้างสรรพสินค้า (ในมังงะเรียก ตลาด โกเท็มบะ) ที่ข้างล่างเต็มไปด้วยซอมบี้จำนวนมาก เหมือนภาพยนตร์ในตำนานอย่าง รุ่งอรุณแห่งความตาย (Dawn of the Dead)
มาถึงตอนนี้ นอกจากจะความน่ากลัวของซอมบี้แล้ว สิ่งที่พลาดไม่ได้ในหนังซอมบี้ที่ต้องมี ก็คือด้านมืดของมนุษย์ เมื่อฮิเดโอะพบว่าตนดันอยู่ในกลุ่มคนกำลังขัดแย้ง ความช่วยเหลือไม่มา อาหารก็กำลังจะหมดไป จะตายวันไหนไม่รู้ และฮิเดโอะก็ถูกพวกผู้ชายทำร้าย แล้วยึดปืนลูกซองที่เขามีไป
ความจริง ในมังงะเลวร้ายกว่ามาก เกี่ยวกับพวกผู้ชายบนด่านฟ้า ที่ก้าวข้ามศีลธรรมไปนานแล้ว เป็นต้นว่า มีฉากปล่อยคนแก่ให้ซอมบี้กิน หรือการบีบหให้ผู้หญิงมีเซ็กต์กับพวกผู้ชายเพื่อระบายความใคร่ เป็นต้น แต่ภาพยนตร์ตัดเรื่องพวกนี้ไป โดยระบุว่ามีการตั้งกฎไม่ให้พวกผู้ชายทำอะไรให้ผู้หญิง แต่ฉากนั่งยางยังพอมีให้เห็นอยู่
(นอกจากนี้ หากสังเกตดีๆ จะพบว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ตัดเรื่องเซ็กต์ สิ่งล่อแหลมออกไป รวมไปถึง ตัวละครที่เป็นผู้สูงอายุ คนแก่ สูงวัยไม่มีเลย มีเพียงแค่ แม่บ้าน ผู้หญิงวัยกลางคน เท่านั้น)
จากนั้นฮิเดโอะก็ถูกบังคับให้เข้าร่วมหาเสบียงที่ชั้นใต้ดินของห้าง หากแต่ก็ไปเจอฝูงซอมบี้กลุ่มใหญ่ และความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ ทำให้เกือบทั้งหมดถูกฆ่าตาย
ส่วนฮิเดโอะก็ยังคงแสดงลูกขี้ขลาด ด้วยการหลบเข้าไปในตู้เก็บของ หนีซอมบี้ ไม่ยอมออกไปสู้ ซึ่งเราเองก็ว่าอะไรเขาไม่ได้ เพราะชีวิตที่ถูกกดหัว ขี้แพ้ ไม่กล้าตัดสินใจ ล่มเหลวมาตลอด ยิ่งสถานการณ์ที่เรื่องความตาย แรงกดดันเข้ามาเกี่ยวข้อง เป็นผมเองก็เลือกที่จะหนี ดีกว่าสู้ (แถมอาวุธฮิเดโอะในตอนแรกก็แสนน่าอนาถ มันไม่มีอาวุธดีๆ ให้ใช้แล้วเหรอ?)
นอกจากนี้ ตลอดทั้งเรื่อง ฮิเดโอะแทบไม่กล้ายิงปืนลูกซองเลย กว่าจะยิงก็ต้องมาถึงตอนท้ายๆ ด้วยความกลัวว่าหากยิงแล้วมันจะเป็นการฆ่าคน ผิดกฎหมาย กลัวถูกจับ ประเด็นนี้หากมองลึกๆ แล้วฮิเดโอะพยายามหลอกตนเองว่าโลกยังสงบสุขอยู่ ซอมบี้ไม่ได้เกิดขึ้น มันยังควบคุมได้ หากเขายิงปืนขึ้นมา เท่ากับว่าเขายอมรับโลกอันเลวร้ายนี้แล้ว ซึ่งเขารับไม่ได้ที่ต้องปรับตัว
อย่างไรก็ตาม ในที่สุดฮิเดโอะก็ตัดสินใจที่จะเป็นฮีโร่ เมื่อเขาพบว่ายังมีใครต้องการเขาอยู่ นั่นคือฮิโรมิและเจ๊ใหญ่ที่มองเขาเป็นฮีโร่ แม้ว่าทั้งหมดเป็นเพียงแค่คนแปลกหน้า แต่เมื่อมีการเชื่อใจกัน ขอให้ช่วย เขาจะทำตัวอ่อนแอไม่ได้ ในที่สุดฮิเดโอะก็ลุกขึ้นเผชิญกับอันตรายข้างหน้า พร้อมกับปืนลูกซองคู่ใจ และประเดิมยิงกระสุนนัดแรกจนได้
หลังจากนั้น ก็มาถึงฉากที่สนุกที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี้ คือฉากพวกฮิเดโอะไม่กี่หยิบมือสู้กับฝูงซอมบี้นับร้อยตัวที่ต่างวิ่งมาหมายจะกินเลือดกันเนื้อ ฉากนี้สนุกมาก เรียกได้ว่าตื่นเต้นกว่า ระทึกกว่า ทำดีกว่าในมังงะด้วยซ้ำ
ความจริงประเด็นพระเอกกล้าหาญและรวมพลังฆ่าศซอมบี้ในตอนท้าย ก็ไม่ใช่ประเด็นใหม่ๆ ในภาพยนตร์ซอมบี้ปัจจุบันนัก อย่างภาพยนตร์ซอมบี้แลนด์ที่พระเอกถือคติ “อย่าทำตัวเป็นฮีโร่” ตอนหลังเพื่อที่จะช่วยสาวที่ตนชอบ ก็ยอมทิ้งคตินี้ไป จนสามารถช่วยเธอได้ เพียงแต่ I Am a Hero นำเสนอฉากต่อสู้ที่ดูแล้วสนุก ระทึก ผสมกับความสิ้นหวังที่ถาโถมแบบไม่มีวันหมด เรียกได้ว่าบ้าคลั่งดีแท้ แถมด้วยฉากโหด ไม่ว่าจะเป็น เลือดสาดกระจาย หัวเบาะ ตัวเป็นรู อวัยวะฉีกขาด เล่นเอาหลายคนหลับตา ไม่กล้าดูไปเลทีเดียว
ท่ามกลางความสิ้นหวังที่ถาโถม คนรอบข้างตายไปทีละคน สองคน กระสุนก็ใกล้จะหมด เป็นคนธรรมดาคงหมดหวัง ให้ซอมบี้กินไปแล้ว แต่ฮิเดโอะกล้าหาญ คงกัดฟันสู้กับความสิ้นหวังนั้น กระสุนถูกยิง จาอสองนัด สามนัด สี่นัด จนนับไม่ถ้วน ซอมบี้ตายไปทีละตัว สองตัว เกือบร้อยตัว สุดท้ายก็ถึงฉากตัดสินซอมบี้นักกีฬา (โผล่มายังกับลาสต์บอส) ที่เป็นฉากไม่มีในมังงะ แต่ก็ทำออกได้ดีอีกฉากหนึ่ง เพราะปกติหนังแนวซอมบี้ไม่มีฉากสู้ตัดสินกับลาสต์บอสแบบนี้ จึงเป็นอารมณ์ใหม่ๆ ที่ดูแล้วยิ่งใหญ่ ตอนฆ่าบอสใหญ่ได้นี้ ให้อารมณ์สะใจมาก
ในที่สุดภาพยนตร์ก็มาถึงฉากสุดท้าย ฮิเดโอะ,ฮิโรมิ และเจ๊ใหญ่ก็ออกจากห้างสรรพสินค้าด้วยรถยนต์ ทิ้งความเลวร้าย ไปยังหนทางข้างหน้า ที่ไม่รู้ว่ามีอะไรรอพวกเขาอยู่ เป็นจบเรื่อง (ภาพยนตร์) เอาไว้เพียงเท่านี้
I Am A Hero ถือว่าเป็นภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากการ์ตูนมังงะได้ดีอีกเรื่องหนึ่ง แม้บางอย่างจะตัดออก และเสริมเนื้อเรื่องสิ่งที่ไม่มีในมังงะ แต่ก็ออกมาในด้านบวก เพราะทำให้กระชับ เข้าใจง่าย ไม่ต้องเกริ่นอะไรมา จึงน่าชื่นชม น่าติดตาม และน่าตื่นเต้นไม่น้อย
แม้ว่าเนื้อเรื่องจะสูตรสำเร็จ เพราะพล็อตก็ยังคงอยู่การหนีตายซอมบี้ เจอคนที่ต้องปกป้อง และการกล้าหาญในตอนท้าย อันเป็นสูตรที่ภาพยนตร์ ซอมบี้เขามีกัน (ส่วนใหญ่พวกทุนต่ำ) แต่สิงที่ทดแทนคือการใส่ฉากที่ตื่นเต้น ความอลังการ ความสิ้นหวัง และสิ่งที่ชอบคือการต่อสู้ในท้ายเรื่อง และการต่อสู้กับซอมบี้นักกีฬาที่ดูแล้วอย่างกับสู้กับบอสใหญ่ที่มันทีเดียว ซึ่งหนังซอมบี้ไม่ค่อยทำนัก (ถึงทำ ก็ตายง่อยไป)
ส่วนด้านนักแสดงนั้น ก็ทำได้ตรงต้นฉบับ และสามารถดึงความเป็นตัวละครได้เป็นอย่างดี ถ้าจะให้ติหน่อยก็แค่บทของนางเอกที่น่าจะมีสักนิดเท่านั้น ส่วนเจ๊ใหญ่นี้ดูแก่นะตามความรู้สึกของผม (ในการ์ตูนผมว่าเจ๊แกไม่ค่อยแก่สักเท่าไหร่นะ ผมว่า)
สรุปได้ว่า ภาพยนตร์ญี่ปุ่นที่สร้างจากการ์ตูนมังงะเรื่องที่ดี ส่วนมากจะเป็นประเภทที่ฉากเวทีเป็นประเทศญี่ปุ่นและเนื้อหาอยู่ในยุคปัจจุบันมากกว่า และลายเส้นต้นฉบับต้องแบบสมจริงมากกว่าลายเส้นโมเอะ ถึงจะทำออกมาดี ส่วนภาพยนตร์แฟนตาซีอลังการก็ยังคงทำออกมาแย่เช่นเคย เหมือนเรื่องผ่าพิภพไททัน ซึ่งผมจะมีโอกาสมาบ่นที่มีโอกาส
แน่นอนว่าในเมื่อประสบความสำเร็จ I Am A Hero ภาค 2 ก็อาจจะตามมา เพราะในเรื่องก็มีการเปรยเหมือนจะมีภาคต่อไว้แล้ว เพียงแต่ปัญหาคือ สิ่งใหญ่ภาคต่อของภาพยนตร์ดัดแปลงจากการ์ตูนมังงะมันทำออกมาแย่ ออกทะเล น่าผิดหวัง ซึ่งต้องดูต่อไปว่า I Am A Hero จะทำภาคสองต่อหรือไม่ และทำแล้วมันจะออกมาดีหรือเปล่า
(ส่วนเรื่องเสียงพากย์ ผมดูเสียงพากย์ไทยพันธมิตรที่ หลายคนชอบวิจารณ์ในแง่ลบ ส่วนตัวแล้วผมชอบนะ มันให้อารมณ์ตลกร้ายๆ ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดดี)
ความคิดเห็น