ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดูการ์ตูนอย่างแมว ๆ

    ลำดับตอนที่ #419 : 10 Meme จากการ์ตูน ที่รู้ไปก็เท่านั้น!?

    • อัปเดตล่าสุด 14 พ.ย. 59


                    Meme  (อ่านว่า มีม)  มีความหมายว่าปรากฎการณ์กระแสต่างๆที่เกิดขึ้นบนโลกอินเทอร์เน็ต ท่าส่วนใหญ่จะไร้สาระ ฮา อึ้ง ทึ่ง แต่ก็แชร์ บอกต่อ ไม่ก็แต่งตัดต่อให้ขำขันอีกแล้วแชร์อีก ไม่มีที่สิ้นสุด แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว จนกว่าจะซาลงไป

    มีมเป็นได้หลายอย่าง ตั้งแต่ภาพ คลิปวีดีโอ คำพูด วลี ประโยคเด็ด ภาพตัดต่อ ฯลฯ ซึ่งมีที่มามีทั้ง ในอนิเมะ, ภาพยนตร์, ข่าว, เหตุการณ์ประหลาด, การตัดต่อ, คลิปวีดิโอ เป็นต้น

    กระแสของมีมนั้นมีทั้งชั่วคราวคือแพร่ไปอย่างรวดเร็วและหายไปอย่างรวดเร็วหรือ ยังคงอยู่ไปได้หายไปไหน (แต่ก็ไม่แพร่ทั่วไปทั่วเมืองเหมือนแต่ก่อน) เช่น  9gag ใบหน้าสุดกวนที่ยังคงฮิตในอินเทอร์เน็ตที่ยังคงอยู่ต่อไปอีกนาน

    อย่างที่บอก Meme นั้นมีหลายที่มา โดยเฉพาะที่มาจากการ์ตูน ดูเหมือนจะน่าสนใจเป็นพิเศษ ดังนั้นในบทความนี้เราลองค้นหาดูว่า Meme ไหนมาจากการ์ตูน (โดยเฉพาะการ์ตูนญี่ปุ่น) ซึ่งเราจะเข้าใจมุกหรือที่มาของมุกหรือเปล่า

     

    10. Amourshipping

    เริ่มต้นขอพูดถึงมุกที่ฮิตเวลานี้ดีกว่า  ก่อนอื่นขอบอกว่าผมไม่ได้ดูโปเกมอนมานานแล้ว และไม่ได้ซาบซ่าอะไรกับซาโตชิxเซเรน่าด้วย (เพราะผมชอบคาซิมิมากกว่า) ดังนั้นหากผิดพลาดตรงไหนขออภัยด้วย

    เรื่องของเรื่องคือ อนิเมะโปเกมอนที่ซาโตชิเป็นตัวเอก เป็นอนิเมะที่ฉายมาอย่างยาวนาน ฮิตไปทั่วโลก หากแต่นานๆ วันหลายคนเหมือนเก็บกดอะไรก็ไม่ทราบ ประมาณว่า ดูแล้วเกิดอาการหงุดหงิด ไม่ว่าจะเป็นเมื่อไหร่ซาโตชิจะได้แชมป์ลีก แต่ที่หงุดหงิดมากกว่าคือเมื่อไหร่ซาโตชิจะมีผู้หญิงที่ชอบสักที

    แม้ว่าซาโตชิจะเดินทางกับผู้หญิงหลายคน แต่ผู้หญิงที่ว่ากลับไม่แสดงออกถึงความชอบที่มีต่อซาโตชิเลย (แถมบางคนมีชายคนอื่นที่ชอบแล้วอีกต่างหาก) จนกระทั่งถึงเซเรน่า ในภาพโปเกมอนภาค XY&Z ซึ่งทำให้หลายคนคิดหนักแน่นเลย ว่าเซเรน่านี่แหละคือผู้หญิงของซาโตชิ

    ทำไมหลายคนถึงคิดแบบนั้น เพราะมีหลายฉากเลยที่เซเรน่าแสดงชัดเจนว่าชอบซาโตชิ เป็นต้นว่าทั้งคู่เคยเจอกันสมัยเด็ก (รักแรกพบ) ตั้งใจออกเดินทางเพื่อตามหาซาโตชิ และเมื่อเจอเธอก็ชอบสุดใจ คอยให้กำลังใจซาโตชิมาโดนตลอด

    ไม่แปลกที่เกิดกองอวยขึ้นมา จนเกิดคำว่า Ash x Serena = Amourshipping ซึ่งหมายถึงการจับคู่โรแมนติกระหว่างซาโตชิ กับเซเรน่า หลายคนบอกว่าใครที่บอกว่าเบื่อๆ โปเกมอนภาคกอนๆ ให้มาดูภาค XY&Z ให้ได้ละ มันโครตดี ลบภาพโปเกมอนเก่าๆ ออกหมดเลยแหละ (แต่ปรากฏว่าคนที่อวยต้องกลืนน้ำลายตนเอง เมื่อเจอ 3 เละ คือ ซาโตชิไม่ได้แชมป์ลีก, เซเรน่าจากซาโตชิ และขึ้นภาคใหม่ที่ซาโตชิติ๊งต๊อง)

    หลายคนอวยคู่นี้มาก ตั้งแต่ภาค XY&Z ในสื่ออินเทอร์เน็ต ก็เริ่มลงภาพแฟนพีค (fanarts, fanfiction) ซาโตชิจูบกับเซเรน่า (ทั้งๆ ที่ตอนนั้นตัวอนิเมะจริงๆ ยังไม่มีฉากจูบกันเลย) โดยส่วนใหญ่จะเป็นภาพซาโตชิกับเซเรน่าจูบด้วยกันแบบโรแมนติกซึ่งแพร่กระจายมีหลายภาพในเวลาต่อมา (อย่างไรก็ตาม โดจินสายมืดเซเรน่านี้ผมว่าน้อยอยู่นะ สู้คาซึมิไม่ได้)

    จนในที่สุดตัวอนิเมะก็มีฉากจูบที่หลายคนรอคอยจนได้ ในตอนสุดท้ายของโปเกมอน XY&Z เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2016 ซึ่งเป็นฉากที่ซาโตชิต้องลาจากเซเรน่า แล้วเซเรน่าได้วิ่งขึ้นบันไดเลื่อนเพื่อจูบซาโตชิ และนี่คือฉากที่กองอวยบอกว่ามันสุดยอดแห่งปี (โครตๆ) ไป ซึ่งต่อมาฉากดังกล่าวก็แพร่กระจายไปทั่วอินเทอร์เน็ต สร้างความฟินแก่กองอวยเป็นอย่างยิ่ง  จนเรียกขานว่า “ฉากบันไดเลื่อนในตำนาน!” (ไม่เหมือนการ์ตูนบางเรื่อง ผมเหลืองวิน สร้างความเกลียดชังไปทั่ว)

     

    9. Mega Milk

                   

                 สำหรับมุกนี้ คนไทยอาจไม่คุ้นมากนัก (แถมผมไม่ค่อยเก็ทเท่าไหร่) อีกทั้งตอนนี้มันเสื่อมความนิยมไปแล้ว คือประมาณว่ามีภาพผู้หญิงคนหนึ่งกำลังยิ้มหน้าระรื่น พร้อมกับโน้มตัว เอามือคลึงหน้าอก (นมใหญ่) ของตัวเอง โดยที่เสื้อมีตัวหนังสือภาษาอังกฤษเขียนว่า “Mega Milk” (นมอภิมหาใหญ่)

                    ส่วนใหญ่คนจะเล่นมุกนี้ คือเอามาล้อเลียนตัวละครหญิงที่หน้าอกเล็ก (หรือตัวละครที่ไม่มีหน้าอกเลย เช่น ม้าโฟนี่) แล้วเอามาตัดต่อ หรือวาดโพสท่าล้อเลียนให้เหมือนตัวละครหญิงนมเมกกดังกล่าว (บางมุกก็เอาเสื้อผ้าเมกกะนมมาให้ผู้หญิงหน้าอกเล็กใส่ เพื่อแสดงให้เห็นว่า “จ้างให้นมเธอก็ไม่ใหญ่ขึ้นหรอก”)

                    หากใครที่เป็นแฟนการ์ตูนสายมืด หลายคนคงรู้ที่มาของมุกนี้ ว่าผู้หญิงนมเมกกะ นั้นมาจากการ์ตูนโป๊ ผลงานของ Shiden Akira  (ผลงานดีที่สุดคือ เพื่อนสมัยเด็กทอมบอย ส่วนแนวฮาเร็มคนเขียนคนนี้ไม่ค่อยมีมากนัก) ชื่อตอน “Hinyuu Kyonyuu History  หรือ “Tiny Boobs Giant Tits History” (ยัยจิ๋วไซต์นมใหญ่ที่สุดประวัติศาสตร์” (แปลง่าวๆ) เป็นการ์ตูนตีพิมพ์เมื่อปี 2007 พล็อตประมาณว่าพี่ชายได้ด่าน้องสาว (ไม่แน่ใจว่าพี่สาวหรือน้องสาว แต่ลักษณะการแสดงออกให้อารมณ์น้องสาวมากกว่า) ว่าหน้าอกเล็ก จนน้องสาวเสียใจมาก หากแต่เวลาต่อมาน้องสาวก็นมใหญ่ขึ้น พร้อมกับโพสท่าทำหน้าระรื่นสะใจที่พี่ชายูถูกเธอ  (ในหน้า 4 ตรงขวาล่าง) อันเป็นที่มาของภาพล้อเลียนดังกล่าว  (แน่นอนว่าเรื่องก็จบด้วยเรื่องอย่างว่า)

                    ต่อมาในปี 2008 เว็บ 4chan ก็เอาภาพนี้มาล้อเลียน จนกลายเป็นเรื่อตลกที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว มีแม้กระทั่งเสื้อผ้า “เมกกะนม” เอามาวางขายในออนไลน์

     

    8. “Uso Da!”

    เชื่อว่าหลายคนคงคุ้นเคยกับมุกนี้ดี ปัจจุบันก็ยังพอมีให้เห็นบ้าง  โดยเป็นมุกที่ฮิตในช่วงปลายปี 2006

    มุกนี้เริ่มขึ้นในฉากหนึ่ง จากนิยายแว่วเสียงเรไร (Higurashi no Naku Koro ni ) (แต่ผมเรียกมันว่า แว่วเสียงจัญไร)บทปีศาจลักซ่อน (เล่ม 1)  เนื้อเรื่องโดย Ryukishi07 และภาพโดย Karin Suzuragiซึ่งเป็นพระเอกเคอิจิ กับเด็กสาวที่ชื่อริวงุ เรนะ กำลังหาของที่น่ารักบนกองขยะของหมู่บ้าน หลังจากที่พูดคุยกัน เรนะก็เริ่มมีสีหน้าที่ดูมืดมน เธอเข้ามาใกล้เคอิจิ และก็ทำน่าตาน่ากลัว พร้อมกับพูดว่า “ไอ้ตอแหล!!” (คนโกหก) เรียกได้ว่าหลายคนสะดุ้งไปเลย เพราะไม่คิดว่าเด็กสาวที่น่ารักอ่อนโยนอย่างเรนะจะทำหน้าตาน่ากลัวแบบนี้ ซึ่งต่อมาเรนะก็ได้กลายเป็นสุดยอดยันคิเระ (Yangire) ตัวละครที่ชอบความรุนแรงและความบ้าคลั่ง ซึ่งเกิดจากเหตุการณ์อดีต ไปในที่สุด

    ความจริงแล้ว แววเสียงเรไรนั้นเป็นเกมนิยายภาพมาก่อนที่จะดัดแปลงมาเป็นอนิเมะ และมาดังที่สุดในอนิเมะ ซึ่งต่อมาภาพใบหน้ายามโกรธพร้อมประโยค “ไอ้ตอแหล” (Uso Da!) ก็เป็นใบหน้าสุดฮิต เอามาล้อเลียนเยอะมาก ส่วนมากมักล้อเลียนตัวละครหญิงคนอื่นๆ ที่มีนิสัยเรียบร้อย แล้วไปปล่อยอารมณ์โกรธ โมโห จะมีหน้าตาน่ากลัวเป็นอย่างมาก เพื่อให้รู้ว่า “กรูก็โกรธเป็นนะ”

                 

    7. Ashita no joe

                   

                 หนึ่งในมีมที่ได้รับความนิยม เรียกได้ว่าเก่าแก่กว่าอินเทอร์เน็ต และยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน โดยมีมนี้เป็นฉากจบของพระเอกในการ์ตูนเรื่อง Tomorrow's Joe หรือ Ashita no joe

    Ashita no joe หรือโจ แห่งวันพรุ่งนี้ หรือชื่อไทยคือ โจสิงห์สังเวียน เป็นการ์ตูนแอ็คชั่นกีฬามวย วาดโดยเท็ตทซึยะ จิบะ(Tetsuya Chiba) เรื่องโดยอาซาโอะ ทากาโมริ(Asao Takamori) ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตสาร Shukan Shonen Mangajin ในปี 1968 การ์ตูนเรื่องนี้จัดอยู่ในบรรดาผลงานระดับคลาสสิกของสุดยอดการ์ตูนญี่ปุ่น เทียบเคียงกับผลงานของเท็ตซึกะ โอซามุ เลยทีเดียว โดเป็นการ์ตูนที่เล่าเรื่องเส้นทางการต่อสู้ของพระเอกที่ชื่อ ยาบุกิ โจที่แตกต่างจากการ์ตูนกีฬามวยเรื่องอื่นๆ ตรงที่เนื้อหาบางส่วนนอกจากจะตะลุยชกมวยบนผืนผ้าใยแล้ว ยังถ่ายทอดมุมมองการสู้ชีวิตเพื่อไขว้คว้าหาความฝัน เพราะโจเป็นเด็กกำพร้าผู้เต็มไปด้วยทะเยอทะยาน ที่มีทัศนคติที่ว่า ไม่สู้ก็ตายดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องแข็งแกร่ง และสิ่งอย่างเดียวของเขาทำคือการชกมวย

    ตลอดทั้งเรื่อง นอกจากเรื่องชกมวยที่ดุเด็ดเผ็ดมันแล้ว เนื้อเรื่องยังเต็มไปด้วยดราม่าชีวิตของโจที่มีทั้งสุขและทุกข์ รวมไปถึงการชกในสังเวียนที่บางครั้งกว่าชนะก็แทบรากเลือดจนเกือบตาย จนกระทั่งมาถึงศึกสุดท้าย เมื่อโจท้าชกกับโฮเซ่ แมนโดร่า แชมป์โลกรุ่นแบนตั้มเวท ผู้ที่ไม่เคยมีคำว่าพ่ายแพ้ แต่ก่อนชกนั้นโจมีอาการป่วย(อาการทุพลภาพ) ซึ่งคนใกล้ชิดของโจพยายามให้โจยกเลิกแม็กซ์นี้ แต่โจไม่สน เขาไม่ฟังเหตุผลใดๆ และเมื่อถึงเวลาชก โฮเซ่เป็นฝ่ายถลุงชกโจอย่างเมามัน เหมือนกระสอบทราย แต่โจก็ไม่ยอมแพ้ ส่วนโฮเซ่ก็ยังชกโจต่อไปรั่วๆ อีก แต่ โจก็ไม่แพ้อีก จนกระทั่งในยกสุดท้ายโจได้ส่งสายตาพิฆาตใส่เซ่ พร้อมกับรั่วหมัดเช่นกัน จนเกือบล้มคาเวที หากแต่สุดท้าย และเมื่อสิ้นสุดการแข่งขันกรรมการประกาศให้โฮเซ่เป็นฝ่ายชนะคะแนน ส่วนฝ่ายโจถอดนวมและนิ่งเก้าอี้ที่มุมเวทีอีกฝากหนึ่ง จากนั้นเขาก็ยิ้มหลับตาและไม่นิ่งเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น และเรื่องก็จบลงโดยไม่รู้ว่าโจเป็นหรือตาย

    หลังจากนั้นฉากจบของโจก็กลายเป็นฉากจบในตำนาน เพราะมันเป็นฉากที่สื่อได้อย่างดีเกี่ยวกับชายคนหนึ่งที่ผ่านชีวิตหนักหนาสาหัส จากดินสู่ดาว จากจุดตกต่ำในชีวิต จนกระทั่งมาถึงจุดสูงสุด แม้ว่าสุดท้ายอาจไม่สมหวัง แต่เขาก็ทำเต็มที่ และไม่มีอะไรต้องเสียใจ  

                   ต่อมาฉากฉากจบสุดคลาสสิกของโจก็กลายเป็นมุกตลกที่เอามาล้อเลียนโดยนักเขียนการ์ตูนรุ่นใหม่หลายต่อหลายคน และต่อด้วยในเป็นมีมในอินเทอร์เน็ตจนถึงปัจจุบัน

      

                 6.You Are Already Dead

    เชื่อว่าหลายคนรู้จักมุกนี้ดี “แกนะตายแล้ว”  (You Are Already Dead / お前はもう死んでいる (Omae Wa Mou Shindeiru)) ซึ่งเป็นประโยคอมตะ เท่ๆ จากพระเอกเคนชิโร่ จากฤทธิ์หมัดดาวเหนือ (Hokuto no Ken  หรือ Fist of the North Star) เป็นการ์ตูนญี่ปุ่นแนวต่อสู้ แต่งเนื้อเรื่องโดย บุรอนซอน และวาดภาพโดย เท็ตสึโอะ ฮาร่า ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารโชเน็นจัมป์ ปี 1983

                    ความจริงประโยค “เจ้านะตายไปแล้ว” เป็นมุกที่ฮิตมานานแล้ว เพราะการ์ตูนญี่ปุ่นหลายเรื่องเอามาล้อกัน แต่พึ่งมาฮิตเป็น Meme  ไม่กี่ปีที่ผ่านมา (2010) โดยจุดเริ่มต้นของมุกนี้ก็ตั้งแต่การ์ตูนเรื่องนี้เปิดตัว (อนิเมะฉายปี 1984) เคนชิโร่ ได้ช่วยเหลือชาวบ้านจากการกดขี่จากกลุ่มคนป่าเถื่อน  โดยเคนชิโร่ก็ได้ใช้ท่าหมัดอุดรเทวะ (Hokuto Hyakuretsu-ken / "AH TATATATATATA") รั่วหมด ใสพวกคนเถื่อนเหล่านั้น

                    จากนั้นเคนชิโร่ก็หัวหลัง โดยที่พวกคนเถื่อน งง ว่าเขายังสู้ได้อยู่ แต่เคนชิโร่พูดว่า “แกนะตายไปแล้ว” และทันใดนั้นหัวของพวกคนเถื่อนที่ถูกเคนชิโร่รั่วหมดก็ได้พองและระเบิด ร่างเละไป ฉากนี้แม้โหดไปหน่อย แต่ยอมรับว่ามันโครตเท่สมัยนั้น

                    อย่างไรก็ตาม ภาพ “เจ้านะตายแล้ว” ที่เราเห็นบ่อยๆ นั้น มาจากอนิเมะตอนที่ 3 ซึ่งเป็นตอนที่เคนชิโร่เผชิญหน้ากับคนเถื่อนไดมอนด์  เคนชิโร่ใช้ท่าปิดฉาก  Koshu Hagan Ken  (Neck-Twistng, Face-Breaking Pungh!) ประมาณส่งคู่ต่อสู้ขึ้นฟ้า แล้วกระโดพุ่งไปใช้มือสองข้างสับที่คอ แล้วถีบด้วยเข่าที่หน้าหนึ่งดอก จากนั้นเจ้าก็ล้มลง และมันก็พยายามสู้ต่อ ก่อนที่เคนชิโร่จะทำหน้าเข้ม แล้วชี้มาที่เขา แล้วพูดว่า “เจ้านะตายแล้ว” และหัวของก็ระเบิดตายอนาถ

                    หลังจากนั้นเป็นต้นมาภาพของเค็นชิโร่ผู้ใช้หมัดอุดรเทวะ มีรอยแผลเป็นรูปดาวเหนือเจ็ดดวงทำหน้าเข้มแล้วมีประโยคว่า “แกนะตายแล้ว” ใต้ภาพ ก็กลายเป็นที่แพร่หลายในเน็ทเอาไว้ล้อเลียนกันอย่างสนุกสนาน (การเอาไปใช้แล้วแต่สถานการณ์)

     

                    5.The 30-Year-Old Virgin Wizard

    เป็นมุกเดียวในบทความนี้ ที่ต้นกำเนิดไม่ได้มาจากการ์ตูน แต่หลายคนคงคิดว่ามาจากการ์ตูน โดยมุก “หากหนุ่มเวอร์จิ้นคนใด อายุ 30 ปี จะกลายเป็นพ่อมด” จะเป็นมุกของโอตาคุ ที่พบเห็นในการ์ตูน หรือบอร์ดบางแห่ง อารมณ์มีทั้งเชิงปลอดใจ (โอตาคุปลอบใจตนเอง) กับเชิงประชด โดยเป็นตำนานในอินเทอร์เน็ตบอกว่าหากชายใดที่ยังคงบริสุทธิ์ไม่มีความสัมพันธ์ทางเพศกับหญิง (หรือชายด้วนกัน) ใดๆ จะบรรลุ มีพลังวิเศษ (ทักษะอะไรบางอย่างสูงส่ง)

    ปัจจุบันมุกนี้มักเอามาพูดในวงการโอตาคุที่ส่วนใหญ่อายุ 30 ปียังเวอร์จิ้นอยู่ จนบางคนมองว่าเป็นพวกหลุดโลก เหนือโลก (ชอบสาว 2D มากกว่าสาวจริงๆ) ประมาณนั้น

    เรามักเห็นมุกนี้ในโอตาคุ จนหลายคนคิดว่ามาจากการ์ตูน ความจริงมันมาจากวลีการบริการฟรีบริการหนึ่งของญี่ปุ่น The Automatic Enquete Generator หรือ 自動アンケート作成 (ไม่รู้เป็นบริการอะไร เพราะปัจจุบันมันปิดบริการไปแล้ว) เมื่อช่วงต้นปี 2001 ก่อนที่จะมีการหยิบไปใช้ในเน็ตเผยแพร่

    ต่อมาในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน 2011 ในอนิเมะชมรมไร้เพื่อน ตอนที่ 5 ได้ออกอากาศที่ญี่ปุ่น ในตอนนั้นพวกพระเอกฮาเซกาวะ โคดากะได้เล่นเกม RPG กับเพื่อนในชมรม โคดากะได้เลือกเป็นพ่อมด แต่ปรากฏว่าโคดากะเป็นโอตากุซะงั้น เมื่อเขาถามริกะซึ่งเป็นคนออกแบบพัฒนาวีดีโอเกม เธอก็บอกว่าพ่อมดในที่นี้หมายถึงโอตาคุอายุ 30 ปีแล้วะกลายเป็นพ่อมดต่างหาก เรียกได้ว่าเป็นฉากเรียกเสียงฮ่าไปทั่ว


    4. Wife

                   

                  ช่วงนี้หลายคนคงคุณคำว่า “ไวฟุ” แต่ไม่ทราบที่มาและความหมาย เอาความหมายก่อน ไวฟุ แปลว่า “ภรรยา” ซึ่งเรามักได้ยินคำนี้จากพวกโอตาคุ หรือพวกบ้าเกมมือถือที่อยากได้ตัวละครหญิงนี้มากๆ โดยการได้มาก็ต้องกดกาซาปอง (ระบบสุ่ม) ให้ได้ แต่ส่วนมากจะไม่ได้ แม้จะหมดเงินเป็นแสนก็ไม่ได้  แต่พวกเขาก็ไม่ท้อเพราะตัวละครหญิงที่เขาอยากได้นั้นมันน่ารักมากๆ (แถมเก่งด้วย) เรียกได้ว่าหมดเงินมากกว่าสินสอดของเจ้าสาวเสียอีก กว่าจะได้ไวฟุที่ฝันเอาไว้   ซึ่งส่วนใหญ่เกมมือถือญี่ปุ่นมีระดับกาซาที่ความเคี้ยวมาก (ยากกว่าตัวเกมด้วยซ้ำ) โดยเฉพาะ เฟท เกลือ (Fate/Grand Order จนญี่ปุ่นออกกฎหมายควบคุมกาซ่าเลยทีเดียว

                    ที่มาของไวฟุมาจากการ์ตูนเรืAzumanga Daioh เป็นอนิเมะที่สร้างจากมังงะ แนวมุกตลกจบใน 4 ช่อง ผลงานของ Kiyohiko Azuma เรื่องราวของเด็กสาวมัธยมปลายญี่ปุ่นที่มีเอกลักษณ์ ที่ใช้ชีวิตประจำวันในโรงเรียน ซึ่งได้รับความนิยมในญี่ปุ่นและในโลกตัวตะวันตกด้วย

    และนอกจากตัวละครหญิงหลักแล้ว หนึ่งในตัวละครที่ดังพอๆ กับสาวๆ ในเรื่องคือ อาจารย์คิมูระ ซึ่งเป็นอาจารย์ที่ดูไม่มีความเป็นอาจารย์สักนิด แถมพี่แกบ้าๆ บอๆ มีนิสัยลามก (เฒ่าหัวงู) เป็นครูเพราะอยากส่องสาวมัธยมปลาย ส่วนมากพี่แกชอบเล่นมุกหื่นๆ ใส่พวกผู้หญิงเป็นประจำ

    มีอยู่ตอนหนึ่ง พวกผู้หญิงได้เห็นรูปสาวสวยคนหนึ่งตกอยู่บนพื้น และพวกเธอสงสัยว่าเป็นใคร ทันใดนั้นอาจารย์คิมูระก็โผล่มาแล้วบอกว่า “Mai Waifu” (พูดเป็นภาษาอังกฤษ)” จนพวกผุ้หญิงตะลึงขึ้นมา

     ความจริงแล้วประโยคที่อาจารย์คิมูระควรพูดคำว่า  My Wife ที่แปลว่าภรรยาของฉันเองแหละ แต่กลายเป็นว่ามันเพี้ยนเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า Mai Waifu แทน (แต่ความหมายเหมือนกัน)  

    อนิเมะ Azumanga Daioh ออกอากาศในประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่เดือนเมษายน ถึงเดือนกันยายน 2002 และเผยแพร่เป็นชุดดีวีดีในสหรัฐอเมริกาในเดือนกันยายน 2005 ซึ่งฝรั่งเห็นก็ฮ่า หลังจากปี 2007 มันก็กลายเป็นคนที่โอตาคุในอินเทอร์เน็ตนิยมเรียกตัวละครหญิงในมังงะ, อนิเมะ, วีดีโอเกม ที่รักมากๆ มากจนกลายเป็นภรรยาไปแล้วว่า Waifu นั้นเอง

                    (ส่วนผู้หญิงจะใช้คำว่าฮัชเบิน (Husband) แปลว่า “สามี”) 

     

    3.Gununu - ぐぬぬ

    เชื่อว่าหลายคนคงลุ้นๆ กับภาพน่ารักนี้ดี ที่เป็นภาพผู้หญิงผมทอง กำลังทำหน้าตาโกรธ แต่แทนที่คนเห็นจะโกรธ แต่กลับดูน่ารัก น่าแกล้งแทน

    ผู้หญิงผมทองในภาพนี้คือ อานะ (“Ana” แต่ผมอบเรียกว่า “แอนนาจัง” ) จาก Strawberry Marshmallow  ผลงานของ Barasui ลิขสิทธิ์ในไทยโดยสำนักพิมพ์สยาม ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2002 ซึ่งเป็นเรื่องราวของ 4 สาวโรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง กับพี่สาววัยมัธยม (ที่ชอบดูดบุหรี่) ซึ่งเนื้อหาเน้นชีวิตประจำวัน –โมเอะ ไร้พิษภัย เน้นความน่ารัก ตลก ของตัวละคร

    ในตอนที่ 2 ของอนิเมะ ภายเมื่อวันที่ 21 กรกฏาคม 2005  ในเรื่องนั้น อานะเป็นเด็กลูกครึ่งอายุ 11 ซึ่ง 5 ปีก่อน เธอย้ายจากเมืองคอร์นวอล ประเทศอังกฤษ  มาอยู่ประเทศญี่ปุ่น ต่อมาเธอก็พบกับ มัตสึริ ซึ่งต่ก็รู้จักกับเพื่อนของมัตสึริอีกสามคน ซึ่งหนึ่งในนั้นมีเด็กที่ชื่อ มิอุ มัตสึโอกะ ซึ่งมีสัยชอบยั่วโมโหคนอื่นๆ ระหว่างที่ทั้ง 5 คุยกัน มิอุได้พบว่า อานะมีนามสกุลว่า คอปโปล่า (ตัวคันจิของญี่ปุ่นนั้นจะแปลว่า หลุม กระดูก และ ถ้ำ) มิอุจึงตั้งชื่อเล่นให้อานะว่า คอปโปล่าจัง และล้อเธอ ซึ่งอานะไม่ชอบมาก จึงทำหน้าโกรธ  พร้อมส่งเสียง “อึ่มม”จนเป็นที่มาของภาพ Meme ในเวลาต่อมา

    หลังจากนั่น ภาพอานะโกรธ ก็กลายเป็น Meme ที่มักใช้เล่นกันในบอร์ด 2chan ซึ่งนิยมมาดัดแปลงเปลี่ยนภาพอานะเป็นตัวละครหญิงคนอื่นแทน (เช่น มิอุ, เนียวรุโกะ)


    2.Mirai Nikki Yandere Face

    ตอนแรกๆ คำว่ารักโรคจิตยันเดเระยังเป็นที่ไม่นิยมมากนักจนกระทั่งอนิเมะ Mirai Nikki ได้ออกฉายเมื่อ 10 ตุลาคม 2011 ก็เริ่มเป็นที่นิยม โดยเฉพาะตัวละครที่ชื่อกาไซ ยูโนะ ได้กลายเป็นตัวละครที่โครตเด่นที่สุดในโลก (ชนะตัวละครอื่นแบบขาดลอย) และกลายเป็นต้นแบบตัวละครยันเดเระที่ชนิดว่าจนบัดนี้ก็ไม่มีสาวยันเดเระคนใดเอาชนะเธอได้

    โดย Mirai Nikki เป็นอนิเมะแนวเซอร์ไวรัส ที่จต่อสู้เพื่อหาผู้ชนะคนสุดท้าย โดยตัวเอกคือพระเอกชื่อยูกิเทรุ ส่วนนางเอกคือ กาไซ ยูโนะ เด็กผู้หญิงเพื่อนร่วมห้องเดียวกัน ที่ภายนอกเหมือนเป็นเด็กสาวเพียบพร้อมไปทุกด้าน ทั้งการเรียนและการกีฬา บุคลิกหน้าตา ไหวพริบและสติปัญญาอันชาญฉลาด ผู้หากแต่เบื้องหลังคือเด็กสาวโรคจิต ความหลงใหลต่อยูกิเทรุมากจนเข้าขันอันตราย

    ในตอนท้ายของตอนแรก พระเอกได้ยินว่าเขาได้เข้าร่วมเกมอันตรายเข้า เขาก็รู้สึกกลัว ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงยูโนะบอกว่า “ไม่เป็นไรหรอก” และเมื่อยูกิเทรุหันไปข้างหลัง เขาก็พบยูโนะยืนอยู่ และเธอก็ บอกเขาว่า “ไม่ต้องกังวล ยูกี๊ ฉันจะปกป้องคุณเธอเองคะ” และกาไซก็ทำหน้าเคลิ้มหลงใหล แต่แฝงไปด้วยความรู้สึกอันตรายไปด้วย

    หลังจากนั้นเป็นต้นมา กาไซ ยูโนะก็กลายเป็นเจ้าแมแห่งยันเดเระที่รู้จักไปทั่ว (แต่อาจไม่ดังไปทั่วโลกมากนัก แต่ไทยนี้โครตดังเหมือนกัน) เกิดมีมเอาหน้าตอนที่กำลังเคลิ้มไปล้อตัวละครอื่นเพียบ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นตัวละครที่รักพระเอก (เรา) มากๆ รักมากจนแทบเป็นบ้า


    1.คิวเบย์ (Kyuubee )

                  ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ Kyuubee 

                ถ้าจะหาการ์ตูนเปลี่ยนประวัติศาสตร์การ์ตูนญี่ปุ่น ชื่อแรกที่หลายคนจะพูดถึง ก็ต้องมีสาวน้อยเวทมนต์มาโดกะ- Puella Magi Madoka Magica  แน่นอน เพราะมันเปลี่ยนสาวน้อยเวทมนต์ที่เรารู้จักไปโดยตลอดกาล

                    Puella Magi Madoka Magica  เป็นอนิเมะโทรทัศน์แนวสาวน้อยเวทมนตร์   กำกับโดย อะคิยูกิ ชินโบ ออกแบบตัวละครโดย อุเมะ อาโอกิ ดนตรีประกอบโดย ยูกิ คะจิอุระ  ออกอากาศทางช่อง TBS และ MBS ตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม 2011 เป็นเรื่องราวของคานาเมะ มาโดกะ ได้พบกับคิวเบย์ สิ่งมีชีวิตปริศนาและได้เสนอให้มาโดกะมาเป็นสาวน้อยเวทมนตร์ ในโลกของมาเพื่อกับแม่มด สัตว์ประหลาดชั่วร้ายที่เกิดมาจากคำสาปซึ่งทำให้เกิดการฆาตกรรมและการฆ่าตัวตายปริศนา ตอนแรกๆ เหมือนสาวน้อยเวทมนต์ทั่วๆ ไป จนกระทั่งเรื่องดำเนินมาถึงจุดที่เรียกว่ามันไม่ใช่อนิเมะแนวสาวน้อยเวทมนต์ธรรมดา

                    อนิเมะเรื่องนี้ได้เปลี่ยนประวัติศาสตร์ของแนวสาวน้อยเวทมนต์จริงๆ เพราะมันลบภาพสาวน้อยเวทมนต์ เพราะหากพูดถึงแนวนี้หลายคนจะนึกถึงแนวน่ารัดสดใส เนื้อหาเบาสมองแน่นอน หากแต่ต่อมามันเริ่มปวดตับ ตับแตก ดราม่า กินนอนไม่หลับไปจนได้ เมื่อเตือนเราทางอ้อมว่า “โตได้แล้วเว้ย ให้มาดูความเป็นจริงบ้าง”

     ปัจจุบัน ผลของมาโดกะ ได้ส่งผลต่อคนดูอย่างมหาศาล กลายเป็นว่าเมื่อมีอนิเมะเรื่องไหนมา ที่ตอนแรกสดใส หลายคนก็เริ่มไม่ไว้ใจแล้ว ว่าตอนหลังจะดราม่า จะมีตัวละครตายหรือเปล่า ยิ่งปัจจุบันมีแนวสาวน้อยเวทมนต์เรื่องใหม่มา มี ดราม่า ปวดตับ แน่นอน

    ความจริงสาวน้อยเวทมนต์มาโดกะมีมีมหลายอย่างเหมือนกัน เป็นต้นว่า นามิหัวขาด. แว่นตาซายากะที่ออดอ้อนคาดหวัง แต่จะเอาที่ดังที่สิก็คือสิ่งมีชีวิตที่หลายคนเกลียด และดังที่สุดจนถึงปัจจุบัน นามว่า คิวเบย์

    คิวเบย์ เป็นสิ่งมีชีวิตลึกลับรูปร่างเหมือนแมวพูดได้ มีหน้าที่เป็น ผู้ชักพาพวกมาโดกะให้กลายเป็นผู้ใช้เวทมนตร์ คิวเบย์จะเปลี่ยนร่างของผู้ทำสัญญาเป็นโซลเจ็ม (มีพลังเวทมนต์) เพื่อต่อสู้กับแม่มด

    แม้ว่าตอนแรกๆ คิวเบย์จะเหมือนสัตว์เลี้ยงเหมือนแนวสาวน้อยเวทมนต์ทั่วไป ดูน่ารักด้วยซ้ำ หากแต่เมื่อเรื่องดำเนินมาถึงจุดหนึ่ง ก็พบว่าคิวเบย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ารังเกียจ และหลอกลวงที่ทำให้พวกมาโดกะสู่ความชิบหาย

    หลังจากนั้นคิวเบย์ก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของความน่ากลัว ความชิบหาย ความซวย แถมในเรื่องก็ฆ่ามันไม่ตาย แม้จะพยายามสังหารคิวเบย์มากเท่าไหร่ก็จะมีตัวอื่นมาแทนที่อยู่ตลอด ความจริงแล้ว คิวเบย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีอารมณ์จึงไม่เข้าใจความรู้สึกของมนุษย์ และไม่คิดว่าสิ่งที่ตนทำไปนั้นเป็นเรื่องโหดร้ายแต่อย่างใด จุดประสงค์ที่แท้จริงของเผ่าพันธุ์คิวเบย์คือการรวบรวมพลังงานมารักษาการคงอยู่ของจักรวาลไว้โดยถือเป็นหน้าที่ของเผ่าพันธุ์เท่านั้น

                    นอกจากนี้คิวเบย์ยังปรากฏเป็นมีมมากมาย และหลายมีมคือพยายามจะถล่มคิวเบย์  เช่น เอาตัวละครที่กล้ามไปชกไปต่อยคิวเบย์ เรียกได้ว่าคิวเบย์กลายเป็นที่ระบายความโกรธไปแล้ว



    เรื่องของมีมในบทความนี้ก็จบเพียงเท่านี้ แน่นอนว่ายังมีมีมอีกมากมายที่ไม่ได้พูดถึง ส่วนมากมาจากการ์ตูนดังๆ อย่าง โจโจ้, เอวานเกเลี่ยน, ฮารุฮิ, ดราก้อนบอล ฯลฯ เพียงแต่ไม่ได้เอามาพูดถึงเท่านั้น โดยอันดับที่ว่าเป็นการจัดมุกมีมที่น่าสนใจ ไล่จากไม่ดัง ไปจนถึงมาก บางทีโอกาสหน้าผมอาจเขียนการ์ตูนเปลี่ยนประวัติศาสตร์ดู ว่าจะน่าสนใจหรือเปล่า

    เรื่องของมีมก็ยังคงอยู่ตบอดไป มีทั้งมีมใหม่ๆ ที่มาแล้วดังแต่แป๊บเดียวก็หายไป บางมีมก็กลายเป็นอมตะจนถึงปัจจุบัน แต่ถึงอย่างนั้นการเรียนรู้มีม ทำให้เราได้ทันเรื่องราว ไม่ตกยุค รวมไปถึงที่มาน่าสนใจ ทำให้เรารู้จักการ์ตูนเรื่องนี้มากขึ้น มากกว่าความบันเทิง ไม่มากก็ไม่น้อย

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×