ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดูการ์ตูนอย่างแมว ๆ

    ลำดับตอนที่ #225 : รีวิว Anime Winter 2012/2013 ซีซั่นแห่งความโมเอะและม้ามืด

    • อัปเดตล่าสุด 2 เม.ย. 56


    ตั้งกระทู้

    http://www.dek-d.com/board/view.php?id=2663670&pno=1#comment
    (ในบทความนี้จะพูดเฉพาะอนิเมะที่ผมดูเอาในซีซั่นนี้ครับ ส่วนภาพรวมก็ดูที่ลิงค์ด้านบนน่ะครับ)

     

    โดยภาพรวมอนิเมะฤดูหนาวปี 2013   ที่ผมดูนอกจากสงครามเพื่อนสมัยเด็กชมรมไร้เพื่อนแล้ว ผมแทบมองไม่ออกเลยว่าเรื่องไหนน่าสนใจและน่าแนะนำ ส่งผลทำให้ผมต้องดูการ์ตูนเรื่องนั้นให้เห็นกับตา

    และผลตามมาก็คือ มันก็ส่งผลต่อจิตใจครับ คือบางเรื่องม้ามืดสนุกโครต ในขณะที่บางเรื่องโครตดราม่าปวดตับปวดมน และบางเรื่องกุมหัวไม่น่าดูเลยพับผ่า

    สำหรับนิยามอนิเมะปีนี้ เป็นซีซั่นแห่งความ โมเอะครับ กล่าวคือ การ์ตูนหลายเรื่องขายความโมเอะตัวละครหญิงเต็มที่ มีทั้งแบบสูตรสำเร็จ สร้างสรรค์ ไปจนถึงแหวกแนวเลยทีเดียว บางเรื่องลายเส้นโมเอะแต่เนื้อหานี้ไม่ใช่เลย

    ต่อไปนี้คือการรีวิวความคิดเห็นส่วนตัวของผมกับการ์ตูนเรื่องนั้นๆ ครับ ซึ่งผมไปดูตอนที่ 1 มาแล้ว ว่ามันน่าสนใจขนาดไหน

    ในซีซั่นนี้ผมดูอนิเมะใหม่ 8 เรื่อง (ไม่รวมอนิเมะเก่าจากซีซั่นก่อนอีก 3 เรื่อง

    Boku wa Tomodachi ga Sukunai Next

    Sasamisan@Ganbaranai

    Ore no Kanojo to Osananajimi ga Shuraba Sugiru

    Vividred Operation

    Love Live!

    Tamako Market

    Da Capo III (เสียวจบไม่ฮาเร็มโครตเลย)

    และ GJ-bu 

    สุดท้ายนี้ ฝากสำหรับใครหลายๆ คนที่กำลังจะดูอนิเมะครับว่าอย่าพึ่งมองภายนอก อย่าพึ่งอคติโดยเฉพาะโมเอะ คือจะต้องดูเสียก่อนว่าเนื้อหาเป็นอย่างไร ค่อยตัดสินในภายหลังครับ อย่าไปเชื่อรีวิวจากที่อื่นมาก และไม่ต้องเชื่อผมก็ได้ เพราะคนเรารสนิยมไม่เหมือนกัน เอาเป็นว่าผมขอจบการรีวิวเพียงแค่นี้ ขอบคุณที่หลายคนเข้ามาอ่านครับ

     

    Boku wa Tomodachi ga Sukunai Next


                    “
    ผมไม่มีเพื่อนก็จริง แต่ผมมีฮาเร็มครับ!!

    Boku wa Tomodachi ga Sukunai Next (12 ตอนจบ) เป็นอนิเมะภาคต่อจากภาคแรกที่แล้ว ที่ฉายในปี 2011 ซึ่งเป็นอนิเมะสร้างจากนิยายไลน์โนเวล เขียนโดย Yomi Hirasaka (ภาพโดย Buriki) ตั้งแต่ปี 2009 ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน และได้รับความนิยม จนดัดแปลงเป็นมังงะและโดจินมากมายตามมา  ซึ่งภาค Next นี้ต่อจากนิยายในช่วงเล่มที่ 4 (และน่าจะดำเนินเรื่องไปถึงตอนล่าสุดของไลท์โนเวลเล่ม 8)

    Boku wa Tomodachi ga Sukunai Next  เป็นเรื่องราวต่อจากภาคแรก เมื่อพระเอก ฮาเซกาว่า โคดากะที่มีสีผมทองชาและหน้าตาเหมือนนักเลง แต่ความจริงแล้วจิตใจแสนดีงาม และอยากได้เพื่อนมาก จนกระทั่งพบ มิคาซึกิ โยโซระ” (อดีตเพื่อนสมัยเด็ก) ที่เธอได้ก่อตั้งชมรมเพื่อนบ้านขึ้น และชมรมนี้ได้รวบรวมแต่สมาชิกที่ทุกคนต่างไม่มีเพื่อน (โดยสาเหตุแตกต่างกัน) และชมรมนี้จะไปรอดไหมก็ติดตามต่อไป!!

    Boku wa Tomodachi ga Sukunai Next  แตกต่างจากภาคแรกนิดหน่อยเพราะว่าเปลี่ยนผู้กำกับและสตูดิโอ แต่กลายเป็นว่าภาค 2 สวยกว่าภาคแรกอีก ภาพดูสวยงามขึ้น ตัวละครน่ารักขึ้น เผาน้อยลง จุดเด่นเรื่องนี้คงเป็นอยากอวยตัวละคร ดูเหมือนตัวละครในเรื่องจะน่ารักขึ้นน่ะ โยโซระผมสั้น ผมว่าเหมาะกว่าตอนตัดผมน่ะ เพราะเสียงแหบๆ เข้ากันดีเลย ซึ่งภาคนี้น่าจะอวยโยโซระมากขึ้น ยูคิมูระมากขึ้น ริกะมากขึ้น โคบาตะมากขึ้นกว่าภาคก่อนๆ แม้ยังคงเน้นอวยเซนะเหมือนเดิม (แต่ผมบอกว่าผมรักตัวละครในเรื่องนี้ทุกคนครับ )

    หลังจากได้ดูอนิเมะเรื่องนี้ เป็นที่ชัดเจนว่าเดี๋ยวนี้การ์ตูนเมะไม่ค่อยได้เห็นกางเกงในผู้หญิงแล้ว ขนาดฉากที่เสี่ยงจะเห็นกางเกงใน กลับไม่เห็นซะงั้น เห็นแต่ก้นตัวละครสาวๆ ราวกับไม่ใส่กางเกงใน ไม่รู้เพราะกฎหมายญี่ปุ่นห้ามไม่ให้สาวๆ โชว์กางเกงในหรือเปล่าก็ไม่รู้

    โดยภาพรวม Boku wa Tomodachi ga Sukunai Next   ไม่แตกต่างจากภาคก่อนๆ มากนัก คือดำเนินเรื่องแตกต่างจากไลท์โนเวลสักหน่อย ไม่เรียงตอน ตัดเนื้อหาบางส่วน ทำให้ดูเหมือนเร่งไปนิด แต่กระนั้นเนื้อหาสำคัญของการ์ตูนยังคงเล่นกับตัวละครที่ทำกิจกรรมที่ดูไร้สาระไม่มีประโยชน์ ซึ่งมักจบด้วยความชวนหัว ตลก ขบขัน ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีพล็อตอะไรมากมาย ขอให้ดูเพลินๆ ดูอย่างสบายใจก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ดูคลายเครียด ใครที่ชอบการ์ตูนเรื่องนี้เป็นทุนเดิม หรือดูตั้งแต่ภาคแรกแล้วก็ดูได้เพลินๆ

     

    Sasamisan@Ganbaranai


                  Sasamisan@Ganbaranai ถือว่าเป็นอนิเมะม้ามืดแห่งปี เพราะตอนแรกผมไม่สนใจด้วยซ้ำ ผมโหลดเพราะมีหน้าที่ต้องรีวิวการ์ตูนซีซั่นนี้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ และเมื่อดูครั้งแรก งง ชิบหายเรื่องบ้าอะไร แต่พออ่านสปอยเท่านั้นแหละ ความ งง กลายเป็นสุดยอดซะงั้น!!

    Sasamisan@Ganbaranai เป็นผลงานของ Akiyuki Shinbo  ผู้กำกับเทพที่มีผลงานมากมายอย่างคนบ้าใต้สะพาน (Arakawa Under the Bridge) และสาวน้อยคลื่นไฟฟ้า (Denpa Onna to Seishun Otoko) และหลายเรื่องอีกมากมายที่หลายคนรู้จักกันดี ซึ่งจุดเด่นของผู้กำกับคนนี้คือศิลปะฉากหลังงานฮาร์ต มุมกล้องแปลกๆ ซึ่งการ์ตูนเกือบทุกเรื่องของผู้กำกับคนนี้จะกลายเป็นม้ามืดที่สนุกทุกซีซั่นก็ว่าได้

    โดยการ์ตูนเรื่องนี้สร้างจากไลท์โนเวล โดยอากิระ ซึ่งผู้เขียนนั้นเคยมีผลงานชื่อดังที่ได้เป็นอนิเมะมาก่อนอย่างKyouran Kazoku Nikki (2008)ที่ตีพิมพ์เป็นฉบับภาษาไทยโดยเอพลัสชื่อ "บันทึกครอบครัวตัวป่วน" และเป็นอนิเมะที่ดูตอนแรก ผมเชื่อว่าหลายคนคง งง ดับเบิล งงงวย หากคุณไม่ได้อ่านไลท์โนเวลต้นฉบับมาก่อน เพราะอนิเมะไม่ได้เล่าเหตุผลและโครงเรื่องโดยรวมเลยแม้แต่น้อย

    หากเล่าเรื่องย่อเรื่องตอนแรก เนื้อหาการ์ตูนกล่าวถึงพี่น้องสองคนคู่หนึ่งที่อาศัยอยู่ด้วย คนแรกชื่อ สึคุโยมิ คามิโอมิพี่ชายที่เป็นอาจารย์โรงเรียนมัธยมที่ท่าทางใสซื่อ และรักน้องสาวที่ชื่อ สึคุโยมิ ซาซามิซึ่งเรียนอยู่โรงเรียนเดียวกับพี่ชาย หากแต่ ซาซามินั้นเป็นสาวน้อยที่เป็นฮิคิโมริ ชอบเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง  และขี้เกียจตัวเป็นขน แต่เพราะความน่ารักของเธอ ทำให้พี่ชาย (และคนดู) ไม่ว่าอะไร ไม่เคยบ่น แถมตามใจ เลี้ยงดูน้องสาวประหนึ่งข้ารับใช้ (ขี้ข้า) กับเจ้าหญิงไม่ปาน

    ทุกเช้า เมื่อพี่ชายออกจากบ้าน ซาซามิจะเฝ้ามองหน้าจอคอมสังเกตการณ์ที่ชายอยู่เสมอ (ด้วยระบบพิเศษ) เสมือนมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นด้วยตาตนเอง ซี่งสาเหตุที่เธอต้องจับตาดูพี่ชายเพื่อไม่ให้เขาทำอะไรแปลกๆ ซึ่งหากพี่ชายคิดอะไรบ้าบอโลกหากถึงขั้นหายนะก็ว่าได้

    เป็นอนิเมะที่มาแปลก เพราะปกติตอนแรกของการ์ตูนเรื่องหนึ่งๆ จะอธิบายโครงเรื่อง ความเป็นมาของตัวละครและเรื่องราวให้เกิดขึ้นเพื่อให้ผู้ชมได้เข้าใจ แต่ตอนแรกการ์ตูนเรื่องนี้ไม่พูดอะไรสักอย่าง บ่อยให้คนดูมานั่งเดาเอาเอง ตอนแรกดูสาบายใจ แต่ตอนหลังอะไรว่ะเนี้ย มาถึงโลกช็อกโกแลต สาวพี่น้องเหนือมนุษย์ ตอนแรกผมก็นึกว่าเป็นเล่นจูนิเบียว แต่พอตอนท้ายอ้าวของจริงเหรอ งง ชิบหาย

    แต่พออ่านสปอยเท่านั้นแหละ จากที่ งง หนักตอนแรก กลับกลายเป็นสนุกโครต ยอดเยี่ยม ส่งผลให้ ต้องดูหลายรอบเพื่อตีความกับเนื้อหาการ์ตูนที่ต้องสื่อออกมา

    จุดเด่นของการ์ตูนเรื่องนี้ก็คือศิลปะฉากหลังของตัวละครที่สุดยอดมาก ภาพห้องของซาซามิที่วาดด้วยสีหน้าจางๆ หรือบางฉากเหมือนกระดาษ ราวกับว่าเป็นอีกโลกหนึ่งที่ไม่ใช่โลกของมนุษย์

    แน่นอนการที่จะทำให้การ์ตูนน่าติดตาม สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือการทำให้ตัวละครน่ารักน่าอวยเสียนก่อน และด้วยการเนรมิตของผู้กำกับได้จัดการให้หนูซาซามินั้นน่ารักชิบหายวายวาย แม้นิสัยคุณเธอจะเอาแต่ใจถ้าเป็นในชีวิตจริงนี้ส่ายหน้านี้แน่นอน แต่พอเป็นการ์ตูนเรื่องนี้ซาซามิน่ารักสุดๆ โพกัสมุมก้องแปลกๆ ฉากอาบน้ำ ฉากเปลี่ยนเสื้อผ้า ฉากมุดผ้าห่ม โอ้มายกีอต มิน่าพี่ชายของซาซามินั้นรักน้องสาวนักน้องสาวนักหนา

    ส่วนตัวละครคนอื่นๆ ก็ถือว่าใช้ได้ระดับหนึ่ง แต่จะเน้นแปลกๆ เหมือนล้อเลียนอะไรสักอย่างที่ผมเดาไม่ถูกคือมันล้ออะไร เล่นสามพี่น้องที่รูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกันสักนิด พี่คนโตป้าโลลิผมแดง (แต่อายุจริงคือ 31 ปี), พี่รองเอาแต่ง่วงนอน และน้องสาวคนเล็กเด็กโข่งแต่เรียนประถม แต่ที่แปลกคือตัวละครพี่ชายของซาซามินั้นคุณไม่มีทางเห็นหน้าตาที่แท้จริงแน่นอน เพราะพี่แกไม่ว่าจะฉากไหนก็ต้องมีอะไรที่ปิดบังใบหน้าทุกครั้ง สุดพี่แกหน้าตาเป็นยังไงก็ไม่รู้ แต่ดูจากเสียแล้วคงแก่แน่นอน แต่ผมเชื่อว่าสาเหตุที่บดบังใบหน้าเพื่อให้คนอ่านจิตนาการเอาเองว่าพี่ชายของซาซามิคือตัวเรานั้นเอง ซึ่งน่าติดตามอย่างมากว่าตอนต่อไปจะเล่นมุกอะไรอีก


     

    Ore no Kanojo to Osananajimi ga Shuraba Sugiru

     
                   
    ต่อให้คุณมีเงินเท่าภูเขาลงกา แต่คุณไม่สามารถหาซื้อแฟนสมัยเด็กมาเป็นคนรักของคุณได้หรอกน่ะ

    Ore no Kanojo to Osananajimi ga Shuraba Sugiru (เดี๋ยวนี้การ์ตูนญี่ปุ่นมันชื่อยาวจำยากชิ๋บเป๋ง) แต่ถ้าแปลเป็นไทยล่ะก็ “Caught in the carnage between my girlfriend and my childhood friend” (การแย่งชิงอันนองเลือดระหว่างเพื่อนหญิงของฉันและเพื่อนสมัยเด็กของฉัน) ครั้งแรกถูกทำเป็นไลท์โนเวลผลงานของยูจิยูจิ (เรื่องนี้มีฮาเร็มอยู่ 4 คน) และมังงะวาดโดย Nanasuke จัดพิมพ์โดย Square Enix

    Ore no Kanojo to Osananajimi ga Shuraba Sugiru พระเอกเอย์ตะ ที่ไม่สนใจเรื่องความรัก เเอาแต่ตั้งใจเรียนเพื่อจะเป็นหมอในอนาคต โดยเขาอาศัยอยู่คนเดียวเพราะพ่อแม่หย่ากัน มีเพียงจิวะเพื่อนสมัยเด็กของเขาเท่านั้นที่อยู่เคืองข้าง ทุกวันเขาต้องทำอาหารและกินข้าวร่วมกับจิวะอยู่เสมอ และตามสูตรจิวะแอบชอบเอย์ตะ แต่อนิจาเอย์ตะไม่รู้ตัว จนกระทั่งวันหนึ่ง จู่ๆ เขาก็ถูกนัตสึคาวะ มาสึซึ สาวงามประจำห้องมาแบล็กเมย์เขาว่าแฉที่อดีตเอย์ตะเคยเป็นจูนิเบียว หากอยากให้เธอปิดปากก็ขอให้มาเป็นแฟนหลอกๆ กับเธอซะ และนี่คือจุดเริ่มต้นของสงครามอวย!!

    ในปี 2013 การ์ตูนเรื่องนี้ก็ถูกทำเป็นเมะ และขอบอกว่าเป็นเรื่องที่ตั้งหน้าตั้งตารอที่สุดในซีซั่นนี้ก็ว่าได้ (รองจากชมรมไร้เพื่อน 2 เลยแหละ) ซึ่งเมื่อได้ดูจบที่หนึ่งขอบอกว่าไม่ผิดหวังเลย เพราะทำตรงกับต้นฉบับทุกอย่าง ผู้กำกับได้Kanta Kamei (ผลงานก่อนหน้า Drop Usagi) สตูดิโอ AS-1 จึงไม่แปลกแต่อย่างใดที่ภาพจะออกมาแบบสีจางๆสื่อถึงความโรแมนติก งานภาพเทพดี แต่ขอตินิดๆ ตรงแอ็คชั่นโพสท่าตัวละครตอนที่คุณแฟนโชว์สมุดอดีตอันดำมืดของพระเอกมาโชว์น่าจะทำให้ฉากดูเด่นๆ สักนิด  มากกว่า แม้จะไม้เน้นโทนอลังการแบบจูนิเบียว แต่ผมชอบน่ะมันเรียบง่ายดี (ที่ฮ่าคือหน้าเปิดมีแค่ 4 สาวในฮาเร็มแต่ดันไม่มีพระเอกออกมาซะฉาก ฮ่า)

    ส่วนตัวผมชอบเพื่อนสมัยเด็ก (และคู่รักชาติก่อน) มากกว่าคุณแฟนปลอมอีก เพราะเพื่อนสมัยเด็กมันรักแบบบริสุทธิ์ใจ อยู่ด้วยกันมานาน แต่อนิจจา สู้คุณแฟนปลอมไม่ได้ อีกทั้งการพัฒนาจิตใจคุณแฟนปลอมนี้จะน่าตื่นติดตามมากกว่า แต่ทำเอาใจช่วยจิยุน่ะ (แต่ผมรักทุกคนในเรื่องน่ะเออ)  สู้เขาจิยุ...เฮ้ย จิวะต่างหากเฟ้ย!!

     

    Vividred Operation


                   “
    สาวน้อยจอมเวทย์ชวนแตะบอล! ถูกใจเฒ่าหัวงูอย่างผมแท้ๆ

    Vividred Operation พูดตามตรงว่านี้คือเรื่องที่ 3 ที่ผมตั้งหน้าตั้งตารอคอยในซีซั่น เมื่อเห็นภาพตัวละครหญิงกับชุดกางเกงขาสั้น ใน PV แรกที่เผยแพร่ ผมได้เห็นภาพดวงอาทิตย์ขึ้นในกรอบหว่างขาเป้าของเด็กสาวคนหนึ่งที่นุ่งกางเกงขาสั้น เรียกว่านั้นทำให้ผมรู้สึกสยิวกิ๊ว หัวใจพองโต และทำให้ของขึ้นอย่างอกไม่ถูก ทำให้ความรู้สึกของผม

    Vividred Operation  เป็นผลงานกำกับโดย Kazuhiro Takamura ผู้สร้างและออกแบบตัวละคร Strike Witches หรือหลายคนรู้จักชื่อไทยว่า กางเกงในบินได้จึงไม่แปลกแต่อย่างใดที่คุณเห็นเนื้อเรื่องของการ์ตูนเรื่องนี้คล้ายกับกางเกงใน นอกจากเนื้อหายังเหมือนแล้วบางฉากก็เหมือน เช่นฉากที่นางเอกขึ้นต้นไม้และโฟกัสเห็นเห็นก้นน้อยๆ ของเธอให้ชวนสยิวกิ๊ว

    เนื้อเรื่องของอนิเมะอยู่ในโลกอนาคตที่สงบสุขราวกับแดนในฝัน ด้วยเทคโนโลยี Manifestation Engine (Expression Engine) ทำให้โลกผ่านพ้นปัญหาวิกฤตด้านพลังงานที่ขาดแคลนในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาได้ปัจจุบัน พวกเอเลี่ยนลึกลับปรากฏก่อความเดือดร้อนแก่ชาวโลก ทำให้เด็กสาวธรรมดาอย่างอิชิกิ อากาเนะและพรรคพวก ต้องสวมชุดสูทที่พัฒนาขึ้น และต่อสู้กับเหล่าผู้รุกราน

    (ข้อมูลจาก http://www.online-station.net/entertainment/cartoon/241)

    สาเหตุที่ผมดูการ์ตูนเรื่องนี้นานกว่าเรื่องอื่น เนื่องจากหัวใจแทบวายเมื่อเห็นบลูมเมอร์กับกางเกงขาสั้นชวนแตะบอลของสาวๆ ในเรื่อง สำหรับคนโสด โอตากุแล้วถือว่าอนิเมะนี้ทำขึ้นมาเพื่อฆ่าโอตากุชัดๆ  กว่าที่ผมจะดูเรื่องนี้จบหนึ่งตอนต้องปิดๆ เปิด หลายรอบทีเดียว  (แล้วผมจะพูดถึงทำไมเนี้ย) จึงไม่แปลกแต่อย่างใดที่ผมดูการ์ตูนเรื่อง Strike Witches หรือ Sky Girls ไม่เคยจบสักที ดูแล้วหัวใจจะวาย

    ถ้าหากเปรียบเทียบระหว่าง Vividred Operation  กับ  Strike Witches แน่นอนว่าน่าจะเป็นภาพที่เรื่องแรกคมชัดกว่าตามยุคสมัย เนื้อหาคงยังไซไฟและอยู่ในเรื่องมนุษย์ต่างดาวบุกโลกเหมือนเดิม แต่เนื้อหาน่าจะยืดหยุ่นกว่าเพราะตังละครไม่ได้มากมาย ดราม่าอาจไม่มีจัดหนักเหมือนเรื่องก่อนๆ

    ในด้านตัวละครแทบถอดแบบมาจาก  Strike Witches และ Sky Girls คือตัวหลักจะเป็นสามสาว (ส่วนตัวละครอื่นๆ จะมาเสริมที่หลัง) ซึ่งตัวเอกจะร่าเริงสดใส, ตัวรองจะเรียบร้อย และตัวที่สาวจริงจังและลึกลับ ซึ่งคาแร็คเตอร์แทบเหมือนๆ กับเรื่องอื่นไม่มีแหวกแม้แต่น้อย

    โดยภาพรวมอนิเมะเรื่องนี้ไม่ได้มีความแปลกใหม่นัก เรียกว่าถอดแบบจาก Strike Witches และ Sky Girls จนเกือบทุกอย่าง แต่อย่างไรก็ตามผมก็ติดตามอรนิเมะเรื่องนี้แน่นอน เพราะว่าเดี๋ยวนี้การ์ตูนอนิเมะขาดฉากเซอร์วิสเหลือเกิน พอดีมีการ์ตูนเรื่องนี้มาจัดหนักก็ชอบทันที โดยไม่ต้องสนเนื้อเรื่อง ดังนั้นอนิเมะนี้จะเน้นขายตัวละครที่สดใส โดยเฉพาะชุดสยิ๊วกิ๊วหัวใจจะวาย ฉากชุดกางเกงขาสั้นและบลูเมอร์ สามารถเรียกคนแก่อย่างผมเข้ามาดูได้เลย แต่ขอติดชุดสาวน้อยเวทมนต์โดเรมีไม่โมเอะ ซึ่งเนื้อหาของการ์ตูนเรื่องนี้จะสดใสหรือดราม่าจัดหนักก็ติดตามต่อไป

     

    Love Live!


                 “
    วิธีที่ดีที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้โรงเรียนอันเป็นที่รักของทุกคนต้องปิดตัวคืออะไร? คำตอบคือก็ต้องเป็นไอดอลโรงเรียนน่ะสิ!!

    Love Live! เป็นโปรเจคต์ร่วมระหว่าง 3 บริษัทยักษ์ใหญ่ในญี่ปุ่น คือ บริษัทอนิเมชั่น Sunrise, บริษัทเพลง Lantis และนิตยสาร Dengeki G ของ ASCII Media Works เริ่มสร้างมาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2010 โดยให้แฟนๆ โหวตผ่านระบบมือถือเพื่อกำหนดทรงผมหรือชุดของเหล่าไอดอลในโลกเสมือนได้

     หลังเริ่มโปรเจ็กต์ เคยมี MV แบบอนิเมะผสมภาพ CG ประกอบเพลงมาก่อน แล้วยังวางจำหน่ายเพลง Single หลายชุด กับเพลงแบบอัลบั้ม ก่อนจะสร้างเป็นอนิเมะทาง TV ในปี 2013 (ข้อมูลจาก http://www.anime-th.com/)

    Love Live! (13 ตอนจบ) เป็นเรื่องราวของโรงเรียนมัธยมปลาย Otonokizaka ที่กำลังเจอกับปัญหาว่ามีนักเรียนมาเรียนน้อยลงทุกที และอาจถึงขั้นต้องปิดตัวลง แต่แล้วก็มีสาวน้อยชื่อ โฮโนกะ โคซากะเกิดไอเดียขึ้นว่า จะรวมกลุ่มกันเป็นไอดอลเพื่อให้โรงเรียนเป็นที่รู้จัก เพื่อไม่ให้โรงเรียนของพวกเธอต้องปิดตัว หากแต่ปัญหาคือเธอและเพื่อนไม่มีประสบการณ์เป็นไอดอลสักนิด และจะไปรอดหรือไม่ก็ติดตามต่อไป

    ในขณะผมดูAKB0048 Next Stage แบบรู้สึกอึดอัดใจ แต่สำหรับ Love Live! หรือ Love Live! School Idol Project กลับทำให้ผมรู้สึกติดตามอย่างลื่นใหล (ส่วนไอดอท มาสเตอร์ผมก็ไม่ได้ดูอะไรจริงจังสักเท่าไหร่ )ซึ่งน่าแปลกตรงที่อนิเมะนั้นดันฉายชนกับ AKB0048 Next Stage ที่ออกมาในวันเดียวกัน

    เปิดฉากอย่างน่าประทับใจ (ตามความรู้สึกของผม) เห็นว่าอนิเมะกำกับโดย Takahiko Kyogoku เขียนบทโดย Jukki Hanada (ที่มีส่วนร่วมในการสร้างเคอง!) จึงไม่แปลกแต่อย่างใดที่ทำให้คุณดูการ์ตูนเรื่องนี้เหมือนเคอง ตัวละครเหมือนเคอง บางส่วนยังนึกถึงไอดอลมาสเตอร์ด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตามการ์ตูนเรื่องนี้กลับทำหน้าติดตามเรื่องหนึ่งในซีซั่นนี้ทีเดียว

    แม้ว่าพล็อตโดยรวมไม่แตกต่างจากการ์ตูนทั่วไปคือการที่ตัวเอกทำอะไรสักอย่างเพื่อป้องกันไม่ให้โรงเรียนที่ตนเรียนต้องปิดตัวลง พล็อตแบบนี้เห็นจนเบื่อในการ์ตูนแนวกีฬา แต่ไอเดียคือสร้างกลุ่มไอดอลโรงเรียนก็นับว่าสนใจดี แม้ว่าโครงเรื่องอาจไม่ได้ยิ่งใหญ่ เท่า AKB0048 อนิเมะแนวไอดอลที่ฉายซีซั่นเดียวกัน ที่เน้นฉากหลังการ โครงเรื่องยิ่งใหญ่ แต่ผมกลับมองว่าไอดอลโรงเรียนมันดีกว่า  AKB0048ด้วยซ้ำ ด้วยการที่โครงเรื่องไม่ใหญ่โต แต่สามารถเข้าถึงอารมณ์มากกว่า เพราะความรู้สึกความรักของโรงเรียนใกล้บ้านมันใกล้ตัวเราอยู่แล้ว ดีกว่าปัญหายากๆ ระหว่างดวงดาวเห็นๆ  อีกทั้งการที่คนธรรมดามีความคิดที่ยิ่งใหญ่ ดูแล้วมันบิวอารมณ์อย่างบอกไม่ถูก

    สิ่งที่การ์ตูนเรื่องนี้น่าติดตามคือ มันเริ่มต้นจาก 0 เริ่มจากคนธรรมดา อย่างโฮโนกะ โคซากะคล้ายๆ กับตัวเอกเคองคนหนึ่ง ที่มีความคิดที่อยากจะทำวงไอดอล ทั้งๆ ที่ตนแทบไม่มีความพร้อมอะไรสักอย่าง (แต่คุณเธอร้องเพลงเปิดและปิดเพราะมากเลยแหละ คุณเธอเก่งโดยไม่ต้องซ้อมเลยน่ะ พรสวรรค์ชัดๆ ฮ่า) ความสนุกมันอยู่ตรงนี้แหละว่าเธอจะทำอย่างไร จะหาช้างเผือกในโรงเรียนได้ไหม จะปั้นยังไงให้เป็นดาว แม้ภารกิจของพวกเธอจะไม่ยิ่งใหญ่ระดับจักรวาล แต่น่าเอาใจช่วยกว่าเยอะ

    อย่างไรก็ตามการเป็นไอดอลไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากน่ารักแล้ว คุณจะต้องจดจำเพลง และการเต้นให้สมบูรณ์แบบ ทำให้ความคิดของตัวเอกโดนดูถูกว่าคิดอะไรตื้นๆ อย่างไรก็ตาม ตอนท้ายตอนมีตัวละครหนึ่งพูดว่า "รีบทำในสิ่งที่ยังไม่ได้ทำแล้วจะได้ไม่มาเสียใจทีหลัง" แน่นอนว่าถ้าคิดอะไรให้เรียบทำเลย ไม่ใช่ว่าคิดเล่น แต่ไม่ลงมือทำสักที คนเขาจะดูถูกเอา เราควรแสดงให้คนอื่นว่าเราพูดจริง ทำจริง จะออกมาดีหรือล้มเหลวก็ค่อยพูดต่อไป

    ในด้านงานภาพ ทำได้สวย ตัวละครก็มีจุดเด่น (แม้จะเหมือนเคเองบวกไอดอล มาสเตอร์ก็เถอะ) และยังคงแบบฉบับการ์ตูนโมเอะล่าฝันที่กลุ่มตัวเอกมักมี 3 คน(ไม่ก็ 4 คน) และตัวเอกต้องร่าเริง ไฮเปอร์สุดขีด และตัวรองจะเป็นตัวละครแบบใจจริงช่วยเบรกอารมณ์ของตัวเอกเอาไว้ แม้ฉากที่ตัวละครเต้นบนวีทีจะ การ์ตูนเฉด อาจดูขัดตาบ้าง แต่ก็เนียนกว่าของ AKB0048 อีกอย่างเพลงเพราะดี มีจังหวะ และชอบตอนเพลงปิดนี้แหละ ซึ่งเมื่อหักลบข้อดีข้อเสียแล้วอนิเมะเรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่ผมชอบที่สุดในซีซั่นนี้ครับ

     

    Tamako Market


                   Tamako Market เป็นแนวที่ผมไม่ออกเลยในตอนแรกว่าเป็นแนวไหน เห็นไข่(ความจริงมันคือโมจิ) กับไก่ (ความจริงเป็นนก) และนางเอกที่หน้าตาเหมือนตัวละครสักตัวในเคอง และเมื่อผมดู ไม่รู้ทำไมผมชอบอ่ะ 

    Tamako Market เป็นผลงานกำกับของ Naoko Yamada (ผู้กำกับเคอง) สตูดิโอ Kyoto Animation ซึ่งสานต่อจูนิเบียวผลงานก่อนๆ ซึ่งมาคราวนี้เป็นแนวที่ดูสดใส บรรยากาศย่านการค้า แบบสบายๆ (คงไม่ดราม่าตอนท้ายแบบจูนิเบียวน่ะ ผมไม่เอาแล้ว)

    เป็นเรื่องราวของทามาโกะลูกสาวคนโตของครอบครัวที่ทำอาชีพโมจิ ในย่านตลาดที่คึกคักผู้คนเป็นมิตรสามัคคีกัน (ปกติการ์ตูนส่วนใหญ่ชอบมาแบบย่านค้าซบเซาร้านค้าต่างปิดตัวลง) และด้วยนิสัยที่ร่าเริงเข้าคนง่ายทำให้ทามาโกะมีเพื่อนในย่านค้าหลายคน จนกระทั่งวันหนึ่งเธอก็ได้พบนกพูดได้ประหลาดชื่อ เดร่า โมจิมัซซุย (โมจิไม่อร่อย) และเจ้านกนี้ได้มาอาศัยในบ้านของทามาโกะจึงเกิดเรื่องวุ่นวายตามมา

    Tamako Market อาจดูไม่หวือหวาเท่าจูนิเบียวเหมือนซีซั่นก่อน  ไม่ว่าจะเป็นด้านงานภาพหรือตัวละคร เพราะผู้กำกับเคอง! มาเอง ซึ่งหลังจากที่ผมดูตอนแรกไปผมรู้สึกชอบน่ะ ซึ่งก็ขอสารภาพว่าหากโลกนี้ไม่มีฮาเร็ม การ์ตูนที่ผมชอบรองลงมานี้คือการ์ตูนเกี่ยวกับย่านร้านค้าญี่ปุ่นนี้แหละ มันเป็นการ์ตูนที่เรียบง่าย สื่อถึงด้านดีของญี่ปุ่น ที่ทุกวันนี้ญี่ปุ่นหลายคนมองว่าเป็นประเทศที่มีแต่เครียดผู้คนไร้น้ำใจ อย่างไรก็ตามเมื่อเราดูการ์ตูนแนวนี้ก็พบว่ายังมีคนญี่ปุ่นหลายคนที่ยังคงมีจิตใจดีงามดั่งเช่นย่านค้าญี่ปุ่น

    หลังจากที่ผมเข้าไปดูทีมงานผมพบว่าทีมงานสร้างการ์ตูนเรื่องนี้เป็นผู้หญิง ผู้กำกับมีผลงานค่อนข้างน้อย มีเพียง เคอง! ซึ่งเป็นผลงานที่ประสบผลสำเร็จที่สุด และคนออกแบบก็มาจากเคอง! จึงไม่แปลกแต่อย่างใดที่ตัวละครเรื่องนี้เหมือนเคอง! ทามาโกะนิสัยน่ารักเป็นมิตรกับทุกคนและมีน้องสาว (สรุปคือการ์ตูนแนวโมเอะซีซั่นนี้ตัวเอกหญิงมีน้องสาวหมด!)  มีเพียงเจ้านกที่นิสัยหยิ่งๆ ชอบพูกเหน็บแนมเท่านั้นแหละที่พอจะเป็นตัวละครแปลกใหม่สำหรับผู้กำกับบ้าง ส่วนนอกนั้นยังคงตามสไตล์ของทีมงานเคเอง! ที่เน้นวันสบายๆ

    ทางด้านงานภาพแม้ไม่หวือหวาเท่าจูนิเบียว! แต่การถ่ายทอดย่านร้านค้าทำได้ดี สวยงาม เห็นแล้วอยากไปเดินเล่นจัง (ไม่รู้ว่าวาดจากสถานที่จริงหรือเปล่า) และฉากที่ดีที่สุดสำหรับตอนแรกก็คือฉากที่ตัวละครทานขนมโมจิและขนมหวานญี่ปุ่น เห็นแล้วอยากกินจังเลย  นี้สิน่ะการโฆษณาชวนเชื่อที่มีประสิทธิภาพที่สุดที่ชาญฉลาดของญี่ปุ่น เชื่อเลยว่าใครดูอนิเมะนี้คงอยากกินโมจิไม่มากก็ไม่น้อย

    อย่างไรก็ดี การ์ตูนเรื่องนี้จะมาแบบหักหลังแบบจูนิเบียวหรือไม่ ที่ตอนแรกจูนิเบียวมาแบบตลกหกฮ่าแต่ตอนหลังดราม่าเฉยเลย แต่ผมเชื่อว่าเรื่องนกกับโมจินี้ไม่น่าจะแบบจูนิเบียว อาจมีดราม่าแต่คงไม่ได้มากมายอะไร เพราะธีมของเรื่องนี้น่าจะเป็นตลกเบาสมองตามสไตล์ของผู้กำกับอยู่แล้ว

     

    Da Capo III


                    Da Capo III เป็นอนิเมะที่สร้างจากเกมจีบสาว (visual novel เรต +15  )  ซึ่งถือว่าเป็นภาค 3 ในซีรีย์นี้ ซึ่งผมเองก็ไม่เคยเล่นเกม ไม่เคยดูภาคก่อนหน้าเป็นอย่างไร แต่เนื้อหายังคงเกิดในสถานที่บนเกาะกลางทะเล และยังคงอยู่เรื่องตำนานซากุระบานสะพรั่นเหมือนเดิม

    Da Capo III เปิดฉากเหมือนกันสองภาคก่อนๆ คือเกิดที่บนเกาะฮันสึเนะ และซากุระร่วมโรย โดยเป็นฝันของพระเอก คิโยทากะที่ฝันถึงใครสักคนที่เป็นสาวน้อยที่กำลังพูดอะไรบางอย่าง ก่อนที่เขาจะตื่นขึ้นพบว่าเขาอยู่ท่ามกลางสาวๆ ในสมาชิกชมรมหนังสือพิมพ์ ซึ่งประกอบด้วยเขา และสมาชิกชมรมคนอื่นที่ล้วนเป็นผู้หญิงอีก 5 คน (มาถึงก็โครตฮาเร็มเลยน่ะเจ้าพระเอก) ที่กำลังประชุมหาหัวข้อเพื่อมาเขียนข่าว และทั้งหมดก็ได้ไปพิสูจน์ตำนานต้นซารุกะใหญ่กลางสวนว่าหากใครอธิษฐานใต้ต้นซากุระนั้นจะเป็นจริง จากนั้นทุกคนก็อธิษฐานใต้ต้นซากุระนั้น และบังเกิดความอัศจรรย์ขึ้น

    Da Capo III เปิดฉากตอนแรกทำได้น่าสนใจเลยน่ะ สำหรับผม ไม่ว่าจะเป็นคาแร็คเตอร์ แม้ว่าคาแร็คเตอร์ผู้หญิงจะดูธรรมดา แต่ว่าการอวยตัวละครทำได้น่าสนใจขึ้นมาพอดู ด้วยมุมกล้องโพกัส หน้าอก โบว์ (ผู้หญิงในเรื่องผูกโบว์ทุกคน) และกระโปรง ทำให้ผมมองตัวละครหญิงทั้งหมดน่ารักน่าอวยยังไงบอกไม่ถูก (ซึ่งตอนที่ 1 ลูกพี่ลูกน้องชนะขนาด เพราะนมเด้งดึงมาก) นอกจากนี้ภาพยังสวย บรรยากาศซากุระออกดอกและปลิวตามลม ได้บรรยากาศมาก เรียกได้ว่าเป็นอนิเมะจากเกมจีบสาวที่สวยอีกเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว

    สิ่งที่ชอบเป็นพิเศษคือพระเอกในภาคนี้ ดูดีกว่าที่ผ่านๆ มา  คือหน้าตาดี น่ารัก ไม่น่าหมั่นไส้   ไม่ได้ออกแบบกากเหมือนการ์ตูนจีบสาวเรื่องอื่นๆ แถม.... เซอุส เอย พระเอกทำบุญด้วยอะไร  อยู่ในสถานการณ์ฮาเร็มโลกสีชมพู อยู่ชมรมเดียวกับสาวๆ นอนห้องเดียวกับรุ่นพี่และมีศักดิเป็นรุ่นพี่ลุ่ยย้อง ห้องคล้ายๆ ก็มีเพื่อนสมัยเด็ก (อายุน้อยกว่า) ประธานก็อย่างกับฮารุฮิ รุ่นน้องก็น่ารัก พระเจ้าครับ ชาติหน้าผมขอเกิดเป็นพระเอกแบบการ์ตูนเรื่องนี้ได้เปล่า

    อย่างไรก็ตาม ตอนที่หนึ่งยังวางใจไม่ได้ อย่างที่หลายคนรู้ ที่ผ่านมาการ์ตูนที่สร้างจากเกมจีบสาวล้วนสอบตกหมด ไม่ว่าจะเป็นการอวยตัวละครหญิง การเรียงร้อยเนื้อเรื่องที่มีหลายเส้นทางให้เป็นเรื่องเดียวกัน ทุกอย่างลงตัวนั้นยังทำไม่ดีนัก และที่สำคัญคือตอนจบควรจะต้องจบฮาเร็ม หรือจบความรักค้างๆ คาๆ เพื่อไม่ให้คนอวยตัวละครที่ชอบแล้วไม่เข้าวิน ซ้ำรักต้องเซ็งแถบๆ ซึ่งที่น่าสนใจคือที่ผ่านมาการ์ตูนอนิเมะ Da Capo สองภาคก่อนล้วนจบเข้าวินหมด

    ผมย้ำอีกรอบ ฉากจบอนิเมะนี้จบแบบฮาเร็มสถานเดียวครับ จบเข้าวินตัวละครใดตัวละครหนึ่ง วอดแน่นอน

    แต่กระนั้นผมเชื่อว่าอนิเมะเรื่องนี้ชอบฮาเร็มครับ สาเหตุเพราะมาคราวนี้ผมเห็นในกลุ่มสาวๆ ไม่มีใครหัวแดง (ฮ่า) และก็ตั้งแต่ดูมาไม่มีการล็อกผู้หญิงคนใดคนหนึ่งเป็นพิเศษ และผมดูดูฉากจบของเกมนี้มาแล้ว ซึ่งเชื่อว่าจบรูทหมดทุกคนก็น่าจะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขแหละครับ  ซึ่งผมก็หวังอย่างงั้นน่ะ ขึ้นอยู่กับผู้กำกับแล้วละว่าจะเห็นด้วยเหมือนผมเปล่า

     
     

    GJ-bu


                   GJ-bu เป็นอนิเมะ (12 ตอนจบ) ที่สร้างจากนิยายที่แต่งโดยอาราคิ (2010-2013 มี 9 เล่มจบ ปัจจุบันมีภาค 2 ออกมา ซึ่งผมก็ไม่รู้ตอนจบภาคแรกสักเท่าไหร่ คงไม่ใช่มาแบบสภาฮาเร็มมั้ง รายนั้นล้างไพ่ซะ....)

    เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของเคียวยะ ชิโนมิยะ ถูกบังคับให้เข้าชมรม GJ ชมรมเถื่อน (ไม่เป็นที่ยอมรับของทางโรงเรียน) ที่อยู่ในห้องของอาคารเก่าของโรงเรียน ที่นั่นเขาได้พบสี่สาวที่มีนิสัยไม่เหมือนใครโดยประกอบไปด้วย มาโอะหัวหน้าชมรมที่เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ เตี้ย แบน ซึน นางเอกของเรื่อง, “เมกุมิน้องสาวของมาโอะชอบชงชาให้สมาชิกในชมรม, “ชิอนสาวอัจฉริยะชอบเล่นหมากรุก และ คิราระสาวหูแมวที่ชอบกินเนื้อตลอดเวลา (และนอกจากนี้ยังมีสมาชิกใหม่อีกคนแต่ยังไม่ปรากฏมาในตอนนี้) ซึ่งชมรมนี้แทบไม่มีกิจกรรมอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน สมาชิกแต่ละคนทำกิจกรรมของตนเองแบบสบายๆ ชิวๆ

    GJ-bu ดำเนินเรื่องอารมณ์แบบการ์ตูน 3 นาทีจบเลยครับ (เห็นบอกว่ามังงะเป็นการ์ตูน 4 ช่องจบ) เพียงแต่ว่าเรื่องนี้นานกว่า 23 นาทีเท่านั้นเอง และน่าจะเป็นการ์ตูนโมเอะแนวเดียวในซีซั่นนี้ด้วยสิ มาพึงดีครับเพราะแนะนำตัวละครหลัก (สาวๆ ) โดยเฉพาะประธานชมรมน่ารัก ทั้งเตี้ย แบน ซึน โมเอะ แม้จะเป็นคาแร็คเตอร์สูตรสำเร็จ (และตัวละครสาวๆ ที่เหลือก็สูตรสำเร็จเช่นกัน) แต่ก็น่ารักอยู่ดี ตามสูตรสาวซึนเลย

    GJ-bu เป็นแนวชมรมหรรษาอีกเรื่อง ที่ยังคงเล่นมุกกิจกรรมชมรมฆ่าเวลาตามใจฉัน ไซึ่งเนื้อหาอาจไม่แตกต่างจากการ์ตูนเรื่องอื่นๆ มากนัก

    แล้วเราได้อะไรจากการ์ตูนเรื่องนี้ หากตอบแบบกำปั้นทุบดินก็คือดูแล้วสนุก แล้วเรื่องนี้มีจุดสนุกตรงไหน คำตอบก็คงน่าจะเป็นสูตรสำเร็จของการ์ตูนโมเอะ ที่สร้างตัวละครน่ารักน่าชัง อย่างที่การ์ตูนหลายเรื่องเท่ากัน และดูเหมือนว่าความน่ารักนี้น่าจะอยู่ที่นางเอกเตี้ย แบน ซึน ที่น่ารักดี สมัยก่อนมีคาแร็คเตอร์ประเภทนี้เยอะมากแต่เดี๋ยวนี้ดูเหมือนจะสูญพันธุ์จนแทบไม่ค่อยมีแล้วละ (สาเหตุเพราะหากมีคาแร็คเตอร์แบบนี้รูทฮาเร็มจบแบบฮาเร็มจะเกิดยากมั้งเพราะคุณเธอห่วงก้าง) ส่วนคาแร็คเตอร์อื่นๆ ก็ยังคงสูตรสำเร็จที่พบเห็นตามการ์ตูนทั่วไป

    ดังนั้นการ์ตูนเรื่องนี้จึงไม่แหวกแนวหรือเป็นมหากาพย์แต่อย่างใด แต่ผมบอกว่าการ์ตูนเรื่องนี้เป็นการ์ตูนยอดเยี่ยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ชอบอนิเมะน่ารัก ไม่จำเป็นต้องมีดราม่า ไม่ต้องมีศัตรู เนื้อหาไม่ตำเป็นต้องจริงจังอะไรมากมาย อีกอย่างผมชอบเสียงพระเอกที่พากย์โดย

     

     

     

    ส่วนนี้เป็นการรีวิวสรุปอนิเมะที่ผมดูจบในซีซั่นนี้ครับ

    http://www.dek-d.com/board/view.php?id=2721066

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×