ลำดับตอนที่ #22
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #22 : วิถีชีวิตโอตาคุในแบบฉบับเศรษฐกิจพอเพียง
เนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองสิริราชสมบัติครบ60ปี ก็เห็นว่าคนไทยหลายๆท่านรักในหลวงกันมากยิ่งนักเนื่องด้วยโครงการในพระราชดำริที่มุ่งแก้ปัญหาความยากจนของพสกนิกรเป็นหลักตลอดระยะเวลาการครองสิริราชสมบัติ เหล่าพสกนิกรพร้อมใจกันใส่เสื้อเหลืองบ้าง ใส่สายรัดข้อมือเรารักพระเจ้าอยู่หัวบ้าง ซึ่งผมเห็นว่านั้นเป็นการแสดงความจงรักภักดีกันเพียงแค่เปลือกนอกเท่านั้น การน้อมรับเอากระแสพระราชดำรัสของพระองค์ท่านไปปฏิบัติต่างหากนั้นแหละถึงจะเป็นการแสดงความจงรักภักดีอย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหัวข้อการดำรงชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง
เรื่องของเศรษฐกิจพอเพียงนั้นสามารถหาอ่านได้อย่างละเอียดที่ http://www.sufficiencyeconomy.org เพราะถ้าพูดกันจริงๆกว่าจะเข้าเรื่องกันได้คอการ์ตูนหลายท่านคงจะเบื่อกันไปก่อนแน่ๆ ซึ่งผมจะขออัญเชิญพระราชดำรัสบางส่วนมาเกริ่นเข้าเรื่องสักเล็กน้อยนะครับ
". . . ความหมายของเศรษฐกิจพอเพียงและทำได้เศษหนึ่งส่วนสี่เท่านั้นจะพอนั้น ไม่ได้แปลว่าเศษหนึ่งส่วนสี่ของพื้นที่ แต่เป็นเศษหนึ่งส่วนสี่ของการกระทำ. . ."
จากนั้น ได้ทรงขยายความ คำว่า "พอเพียง" เพิ่มเติมต่อไปว่า หมายถึง "พอมีพอกิน"
". . . พอมีพอกิน ก็แปลว่า เศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง ถ้าแต่ละคนพอมีพอกินก็ใช้ได้ ยิ่งถ้าทั้งประเทศพอมีพอกินก็ยิ่งดี. . ."
". . . ประเทศไทยสมัยก่อนนี้ พอมีพอกิน มาสมัยนี้อิสระ ไม่พอมีพอกิน จึงจะต้องเป็นนโยบายที่จะทำเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อที่จะให้ทุกคนพอเพียงได้ พอเพียงนี้ก็หมายความว่า มีกิน มีอยู่ ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่หรูหราก็ได้ แต่ว่าพอ. . ."
ทรงเปรียบเทียบคำว่า พอเพียง กับคำว่า Self-Sufficiency ว่า
". . . Self-Sufficiency นั้น หมายความว่า ผลิตอะไร มีพอที่จะใช้ ไม่ต้องไปขอยืมคนอื่น อยู่ได้ด้วยตนเอง. . . เป็นไปตามที่เค้าเรียกว่ายืนบนขาของตัวเอง. . .
" แต่ว่าพอเพียงนี้มีความหมายกว้างขวางยิ่งกว่านี้อีก คือ คำว่าพอ ก็พอเพียงนี้ก็พอแค่นั้นเอง คนเราถ้าพอใจในความต้องการมันก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อยก็เบียดเบียนผู้อื่นน้อย
ถ้าประเทศใดมีความคิดอันนี้ มีความคิดว่าทำอะไรต้องพอเพียง หมายความว่าพอประมาณ ซื่อตรง ไม่โลภอย่างมาก คนเราก็อยู่เป็นสุข
พอเพียงนี้ อาจจะมี มีมาก อาจจะมีของหรูหราก็ได้ แต่ว่าต้องไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น ต้องให้พอประมาณ พูดจาก็พอเพียง ทำอะไรก็พอเพียง ปฏิบัติงานก็พอเพียง. . ."
ได้มีพระราชกระแสเพิ่มเติมระหว่างเข้าเฝ้าถวายงานมาอีกว่า เศรษฐกิจพอเพียงเป็นเสมือนรากฐาน ของชีวิต รากฐานความมั่นคงของแผ่นดิน เปรียบเสมือนเสาเข็มที่ถูกตอกรองรับบ้านเรือนตัวอาคารไว้นั้นเอง สิ่งก่อสร้างจะอยู่มั่นคงได้ก็อยู่ที่เสาเข็ม แต่คนส่วนมากมองไม่เห็นเสาเข็ม และลืมเสาเข็มเสียด้วยซ้ำไป
ขออนุญาตพูดถึงชีวิตโอตากุโดยทั่วไปเล็กน้อยนะครับ จากบทความนิยามของโอตากุที่มีผู้เอามาโพสต์เผยแพร่ทางWebboard โอตากุมักจะมีงานอดิเรกส่วนตัวในการสะสมสิ่งของและสืบค้นหาข้อมูลต่างๆอย่างบ้าคลั่ง(Information Fetish) ไม่ชอบการติดต่อสัมพันธ์ทางกาย คลั่งสื่อมัลติมีเดียและเทคโนโลยี ไม่ได้จำกัดความสนใจส่วนตัวเฉพาะหัวข้อการ์ตูนเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงเกม ,วงการบันเทิง ,ดารา ,หุ้นการลงทุน ,การเมือง ,วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฯลฯ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆไม่หยุดนิ่ง ทำให้ต้องมีการเสพบริโภคข้อมูลข่าวสารกันทางสื่อต่างๆทั้งInternet,หนังสือพิมพ์,นิตยสาร กันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ดังนั้นเพื่อให้พวกเราชาวโอตากุมีชีวิตแบบพอมีพอกินตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง และมีส่วนในการสร้างประโยชน์ให้กับสังคม ผมจึงขอนำเสนอวิถีการดำรงชีวิตแบบฉบับเศรษฐกิจพอเพียงในสไตล์โอตากุกันนะครับ
1.อาหารการกิน ผมก็เหมือนหลายๆท่านที่ชอบกินอาหารตรงที่รสชาติทั้งๆที่รู้ว่ามันให้คุณค่าทางอาหารกับร่างกายเราไม่คุ้มกับเงินที่เสียไปเลย
อีกทั้งถ้ากินสะสมมากไปก็จะกลายเป็นโรคอ้วนเป็นปัญหาต่อสุขภาพอีก เผลอๆจะพ่วงโรคมะเร็งจากสารปรุงแต่งแปลกๆที่ร่างกายไม่เคยได้รับมาก่อนเข้าไปอีกคราวนี้ได้ตายผ่อนส่งแน่ๆ เพราะความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐนะ
ซึ่งเราควรใช้เงินซื้ออาหารที่ตัวเองชอบกินแค่พอรู้สึกอิ่มท้องเท่านั้นละครับ และพยายามปรับนิสัยหาผักที่ตัวเองกินได้โดยไม่กระดากลิ้นมากินให้เยอะๆ ถึงจะไม่มากเป็นครึ่งหนึ่งของที่กินไปอย่างที่เขารณรงค์ ผักครึ่งหนึ่งอย่างอื่นครึ่งหนึ่ง นั้นละครับ
2.การเดินทาง เนื่องจากการเดินทางไปกลับในแต่ละวันเพื่อไปเรียนหนังสือในสถานศึกษา หรือแม้แต่ทำงานในบริษัท จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีวางแผนเพื่อลดค่าใช้จ่ายและเวลาที่สูญเสียไปในการเดินทาง เช่น
- สำหรับคนที่มีบ้านอยู่ไม่ไกลจากถนนใหญ่นักก็ให้เดินเท้าเป็นการออกกำลังแทนการขึ้นมอเตอร์ไซด์รับจ้าง
- ใช้ระบบขนส่งมวลชนอย่างรถเมล์หรือรถไฟฟ้า แทนการใช้รถส่วนตัวในช่วงที่น้ำมันราคาสูงมากถึงเกือบ30บาทต่อลิตร
- ลองคำนวณว่าในการเดินทางแต่ละครั้งใช้เวลาไปนานแค่ไหน เพื่อจะได้กำหนดเวลาในการตื่นนอนทำธุระส่วนตัวและออกจากบ้านได้อย่างลงตัว เพื่อจะได้ไม่ส่งผลกระทบต่อการเรียนและการงานที่ไม่ตรงต่อเวลา
- เมื่อเราต้องอยู่ในรถเมล์ในสภาพการจราจรที่ติดขัดอยู่เกือบตลอดเวลา ซึ่งแม้แต่ต้องรอคอยเที่ยวรถที่ยังไม่มา ให้วางแผนบริหารเวลาตรงนี้ให้เป็นประโยชน์อย่างเช่น เอาการ์ตูนมานั่งอ่านฆ่าเวลา ทบทวนเนื้องานที่เราจะทำ ฯลฯ
- เมื่อคิดจะวางแผนทำธุระหรือไปเที่ยวนอกบ้าน ควรคำนึงถึงประโยชน์ความพอใจที่จะได้รับจากสิ่งที่ทำให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อไม่ให้เกิดการสิ้นเปลืองทั้งเรื่องเวลาและค่าใช้จ่ายที่เสียไปหากต้องเดินทางไปกลับหลายๆเที่ยว
3. น้ำ ไฟฟ้า โทรศัพท์ หลายคนมักจะมองข้ามการประหยัดเงินตรงนี้ไปเพราะเห็นแก่ความสะดวกสบาย กับนิสัยมักง่ายเป็นหลัก โดยเฉพาะไฟฟ้าซึ่งหลายคนต้องเปิดแอร์เย็นๆก่อนถึงจะหลับสนิท ถ้าเกิดวันไหนมีฝนตกให้เปิดหน้าต่าง เปิดพัดลมรับอากาศเย็นๆแทนการเปิดแอร์ต่อหลับได้สบายแล้วครับ
การประหยัดในส่วนตรงนี้จะไม่ขอกล่าวละเอียดเพราะมาตรฐานความสบายของแต่ละคนมีความแตกต่างกันไปครับ
4.แฟชั่นตามกระแสนิยม ไม่ว่าจะเป็นการโหลดWallpaper Ringtone Screensaver Javagame พวกนี้โดยรวมแล้วมันก็คือแฟชั่นมือถืออวดโก้ให้ใครเขารู้กันทั่วว่าตัวเองทันกระแสIntrend ซึ่งถ้าโหลดมาใช้เพื่อประดับให้เข้ากับตัวเองจริงๆเพียงไม่กี่ลายก็แล้วไปครับ แต่ถ้าใช้ๆแล้วอยู่เกิดเบื่อขึ้นมามันก็ต้องหาของใหม่ก็ต้องไปโหลดของใหม่แล้วก็ต้องเงินเพิ่มอีกเป็นวัฏจักรแบบเนี่ยไม่รู้จักจบสักที เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายก็เช่นกันครับ ถ้ามันไม่ทำให้ตัวเองดูแปลกแยกจากคนรอบข้างมากจนเกินไปนักละก็ใส่ๆชุดเดิมไปเถอะครับอย่าเป็นคนประเภทซื้อง่าย หน่ายเร็วตามกระแสนิยมจะดีกว่า เพราะการตามกระแสนิยมจนเกินไปอาจผลาญเงินกระเป๋าท่านอย่างน่าเสียดาย
มือถือนั้นจริงๆก็มีไว้ใช้แค่ติดต่อฉุกเฉิน ตามตัวพูดคุยกันได้ถึงตัวตรงๆในตอนแรกๆ แต่หลังๆมือถือมีOptionอื่นๆดึงดูดใจมากมายไม่ว่าจะเป็นเกม เปลี่ยนเสียงเรียกเข้า(Ringtone) รับส่งข้อความตัวอักษร เครื่องคิดเลข นาฬิกา โอนสาย ถ่ายรูป เล่นWap GPRSฯลฯ ซึ่งก็อัพเดตไปอย่างรวดเร็วไม่แพ้คอมพิวเตอร์เลย
ซึ่งแนะนำว่าซื้อเท่าที่จำเป็นจะใช้ และคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปจะดีกว่านะครับ คอมพิวเตอร์ก็เช่นกัน
5.การบริโภคสื่อ เริ่มจากสื่อรอบตัวในบ้านอย่างInternet ซึ่งพวกนี้เสียค่าใช้จ่ายเพียงแค่ไฟฟ้าและค่าต่อสายเท่านั้น ปัจจุบันมีเน็ตความเร็วสูงADSLเหมาจ่ายแบบรายเดือนโดยคิดราคาตามความเร็วที่ใช้ไม่เสียค่าต่อสาย ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการโหลดสื่อข้อมูลแบบมาราธอนโดยเฉพาะไฟล์เพลง ภาพยนตร์Animation รูปภาพศิลปะ ฯลฯ ค่าใช้จ่ายอย่างต่ำคือ600บาทขึ้นไปครับ เทียบกับเน็ตฟรีของTOTที่ผมใช้เสียค่าต่อครั้งละ3บาทใช้ได้นาน2ชั่วโมง แต่โหลดข้อมูลเท่าที่จำเป็นและพอเพียง กับความเร็วประมาณ4-6Kb.ต่อวินาที(ประมาณ1/10ของADSL) ถ้าต่อเน็ตใช้วันละ4ชั่วโมงก็จะเสียแค่เดือนละไม่ถึง200เลยครับ สนองความต้องการบริโภคข้อมูลของโอตากุได้แทบทุกคนเลย เพียงแค่เข้าไปค้นหาผ่านทางWeb Search Engineชื่อดังโดยใช้Keywordคำที่ต้องการ
โทรทัศน์ ก็เป็นสื่อที่ใช้บริโภคกันแทบทุกบ้านทุกครัวเรือนเสียแค่ค่าไฟเท่านั้น แต่ก็ไม่อาจตอบสนองความต้องการของโอตากุได้หมดเพราะรายการโทรทัศน์ในปัจจุบันมีแต่ข่าวสารการเมือง กีฬา ดารา เพลง บันเทิงละคร ซะส่วนใหญ่และเนื้อหาก็มักจะวนอยู่ในวงแคบๆ ถ้าไม่ใช่โอตากุในสาขานี้ละก็แทบจะไม่มีความสนใจในสื่อนี้เลย
หนังสือพิมพ์นิตยสาร เป็นสื่อที่มีมากมายหลายหัวเรื่องแยกตามความสนใจของโอตากุแต่ละคนได้หลากหลายกว่าสื่อโทรทัศน์โดยเฉพาะเรื่องของการ์ตูน ,ภาพยนตร์ ,หุ้นเศรษฐกิจการลงทุน ,สัตว์เลี้ยง ,อาหาร ,วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ,การท่องเที่ยว ฯลฯ ซึ่งหาอ่านได้ในนิตยสารที่มีขายกันทั่วไปในแผงหนังสือ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการติดตามข้อมูลสาระกันอย่างละเอียดต่อเนื่องไม่ขาดตอน
แต่สำหรับคนที่นานๆจะติดตามข้อมูลสาระทีหนึ่งแนะนำให้เลือกซื้อหนังสือรวมเล่มรวบยอดเนื้อหาจากนิตยสารที่นำเสนอไปแล้วจะประหยัดกว่าการไล่ตามซื้อนิตยสาร ซึ่งผมยึดถือความเป็นโอตากุในสไตล์นี้เป็นหลัก
6.เรียนรู้สังคมโอตากุรอบข้าง เนื่องจากการเพ็งความสนใจไปในสิ่งใดสิ่งหนึ่งบ่อยๆนานๆย่อมบั่นทอนสุขภาพจิตรวมไปถึงสุขภาพกายตามไปด้วย ดังนั้นลองทำตัวเป็นกบนอกกะลามาเรียนรู้สังคมและสาระนอกสาขาที่เราไม่เคยสนใจมาก่อนเลยบ้าง ขยายฐานความสนใจในเนื้อหาสาระของตนเองให้กว้างขึ้น จะช่วยพัฒนาสมองสติปัญญาของเราให้เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ลองพบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคนอื่นๆในความสนใจและความรู้เท่าที่เรามีอยู่จะช่วยลบจุดอ่อนสำคัญของโอตากุในเรื่องของการปฏิสัมพันธ์ได้ดียิ่งขึ้น โดยในช่วงเริ่มต้นมันอาจจะยากลำบากแต่ถ้าทำบ่อยๆเข้าก็จะเป็นความเคยชินได้
ที่นี้มาว่ากันถึงการเลือกซื้อการ์ตูนให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งต่อตนเองและลูกหลานกันบ้าง
การ์ตูนที่ผมซื้อสะสมนั้นสิ่งที่ผมคำนึงถึงอยู่ตลอดเลยคือ ความคุ้มค่าของเนื้อหาในระยะยาว ซึ่งสามารถนำมาใช้สอนลูกหลานรุ่นหลังๆได้อย่างมีประโยชน์และประสิทธิ์ภาพกว่าหนังสือเรียนธรรมดาทั่วไป รวมถึงความสนุกสนานอันเป็นต้นแบบของจินตนาการในการแต่งนิยายในอนาคตข้างหน้าให้มีความสลับซับซ้อน เนื้อหาไม่ซ้ำซากจำเจน่าเบื่อ มีคุณค่าทางวรรณกรรมสืบไป รวมไปถึงงานศิลปะลายเส้นที่วิจิตรพิสดารเป็นต้นแบบในการเอามาใช้วาดการ์ตูนให้สวยงามมีชีวิตชีวายิ่งขึ้น
ซึ่งการ์ตูนที่ดีนั้น เทะสึกะ โอซามุ บิดาแห่งศิลปะการ์ตูนญี่ปุ่นได้กำหนดหลักไว้4ข้อ ตามหลักการ์ตูน4ช่องจบด้วยกันอันได้แก่
1.บทนำ สร้างเกริ่นเรื่อง
2.บทรับ ความเป็นไปของเรื่อง
3.บทรับ ใส่เหตุผลลงไป
4.บทส่ง สรุปให้เรื่องจบแบบไม่คาดคิด
ซึ่งการ์ตูนที่ดีควรค่าแก่การสะสมนั้น จะต้องสามารถผสมผสานหลักทั้ง4อย่างนี้ได้อย่างกลมกลืนเหมาะสม อีกทั้งเนื้อหาต้องฉีกแนวไปจากผลงานเดิมที่มีผู้นำเสนอไปแล้ว
เนื่องจากกว่าจะคัดเลือกการ์ตูนที่ควรจะซื้อออกมาได้ จำเป็นจะต้องมีการสำรวจเนื้อหาในเล่มของการ์ตูนซะก่อนจะตัดสินใจว่าจะซื้อสะสมหรือไม่ตามมาตรฐานความสนใจที่แตกต่างกันไป ซึ่งแน่นอนว่าการ์ตูนที่วางขายกันตามร้านเขาผนึกพลาสติกใส่ห่ออย่างดี เนื่องจากถ้าปล่อยให้ลูกค้าเปิดอ่านกันตามใจชอบอาจทำให้สินค้าเสียหายหมดราคาได้
ทางออกที่ดีที่สุดก็คือการเช่ามาอ่านครับด้วยค่าใช้จ่าย10%ของราคาหัวหนังสือต่อ1เล่ม ซึ่งนับถึงตอนนี้ผมคงเช่า+ซื้ออ่านการ์ตูนมาจนถึงตอนนี้ก็พันเล่มขึ้นไปได้แล้ว โดยใช้เวลาว่างจากงานหรือช่วงคอยรถเมล์กับรถติด อ่านไปเรื่อยๆ
นอกจากนี้สำหรับคนที่ไม่สะดวกที่จะไปร้านขายหนังสือการ์ตูน ก็สามารถติดตามข่าวสารการ์ตูนออกใหม่จากเน็ตทางWebsiteของสำนักพิมพ์หรือทางกระทู้ในWebboardเพื่อวางแผนลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางรวบยอดซื้อการ์ตูนที่เราชอบไปในครั้งเดียวโดยเลือกไปในร้านที่ให้ส่วนลดมากที่สุดคือ20%ซึ่งเท่าที่ผมรู้จักมีอยู่2ที่ด้วยกันคือร้านJC.สาส์น สะพานควายและร้านบุ๊คส์ราม รามคำแหง49 เลือกไปได้ตามแต่สะดวกครับ
ก็จบแล้วสำหรับข้อแนะนำในการใช้ชีวิตโอตากุแบบฉบับเศรษฐกิจพอเพียง ท่านผู้อ่านที่ปฏิบัติตามที่เขียนมานี่ได้ก็ขอให้มีเงินมีทองใช้กันสุขสบายตลอดชาตินะครับ
เรื่องของเศรษฐกิจพอเพียงนั้นสามารถหาอ่านได้อย่างละเอียดที่ http://www.sufficiencyeconomy.org เพราะถ้าพูดกันจริงๆกว่าจะเข้าเรื่องกันได้คอการ์ตูนหลายท่านคงจะเบื่อกันไปก่อนแน่ๆ ซึ่งผมจะขออัญเชิญพระราชดำรัสบางส่วนมาเกริ่นเข้าเรื่องสักเล็กน้อยนะครับ
". . . ความหมายของเศรษฐกิจพอเพียงและทำได้เศษหนึ่งส่วนสี่เท่านั้นจะพอนั้น ไม่ได้แปลว่าเศษหนึ่งส่วนสี่ของพื้นที่ แต่เป็นเศษหนึ่งส่วนสี่ของการกระทำ. . ."
จากนั้น ได้ทรงขยายความ คำว่า "พอเพียง" เพิ่มเติมต่อไปว่า หมายถึง "พอมีพอกิน"
". . . พอมีพอกิน ก็แปลว่า เศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง ถ้าแต่ละคนพอมีพอกินก็ใช้ได้ ยิ่งถ้าทั้งประเทศพอมีพอกินก็ยิ่งดี. . ."
". . . ประเทศไทยสมัยก่อนนี้ พอมีพอกิน มาสมัยนี้อิสระ ไม่พอมีพอกิน จึงจะต้องเป็นนโยบายที่จะทำเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อที่จะให้ทุกคนพอเพียงได้ พอเพียงนี้ก็หมายความว่า มีกิน มีอยู่ ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่หรูหราก็ได้ แต่ว่าพอ. . ."
ทรงเปรียบเทียบคำว่า พอเพียง กับคำว่า Self-Sufficiency ว่า
". . . Self-Sufficiency นั้น หมายความว่า ผลิตอะไร มีพอที่จะใช้ ไม่ต้องไปขอยืมคนอื่น อยู่ได้ด้วยตนเอง. . . เป็นไปตามที่เค้าเรียกว่ายืนบนขาของตัวเอง. . .
" แต่ว่าพอเพียงนี้มีความหมายกว้างขวางยิ่งกว่านี้อีก คือ คำว่าพอ ก็พอเพียงนี้ก็พอแค่นั้นเอง คนเราถ้าพอใจในความต้องการมันก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อยก็เบียดเบียนผู้อื่นน้อย
ถ้าประเทศใดมีความคิดอันนี้ มีความคิดว่าทำอะไรต้องพอเพียง หมายความว่าพอประมาณ ซื่อตรง ไม่โลภอย่างมาก คนเราก็อยู่เป็นสุข
พอเพียงนี้ อาจจะมี มีมาก อาจจะมีของหรูหราก็ได้ แต่ว่าต้องไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น ต้องให้พอประมาณ พูดจาก็พอเพียง ทำอะไรก็พอเพียง ปฏิบัติงานก็พอเพียง. . ."
ได้มีพระราชกระแสเพิ่มเติมระหว่างเข้าเฝ้าถวายงานมาอีกว่า เศรษฐกิจพอเพียงเป็นเสมือนรากฐาน ของชีวิต รากฐานความมั่นคงของแผ่นดิน เปรียบเสมือนเสาเข็มที่ถูกตอกรองรับบ้านเรือนตัวอาคารไว้นั้นเอง สิ่งก่อสร้างจะอยู่มั่นคงได้ก็อยู่ที่เสาเข็ม แต่คนส่วนมากมองไม่เห็นเสาเข็ม และลืมเสาเข็มเสียด้วยซ้ำไป
ขออนุญาตพูดถึงชีวิตโอตากุโดยทั่วไปเล็กน้อยนะครับ จากบทความนิยามของโอตากุที่มีผู้เอามาโพสต์เผยแพร่ทางWebboard โอตากุมักจะมีงานอดิเรกส่วนตัวในการสะสมสิ่งของและสืบค้นหาข้อมูลต่างๆอย่างบ้าคลั่ง(Information Fetish) ไม่ชอบการติดต่อสัมพันธ์ทางกาย คลั่งสื่อมัลติมีเดียและเทคโนโลยี ไม่ได้จำกัดความสนใจส่วนตัวเฉพาะหัวข้อการ์ตูนเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงเกม ,วงการบันเทิง ,ดารา ,หุ้นการลงทุน ,การเมือง ,วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฯลฯ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆไม่หยุดนิ่ง ทำให้ต้องมีการเสพบริโภคข้อมูลข่าวสารกันทางสื่อต่างๆทั้งInternet,หนังสือพิมพ์,นิตยสาร กันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ดังนั้นเพื่อให้พวกเราชาวโอตากุมีชีวิตแบบพอมีพอกินตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง และมีส่วนในการสร้างประโยชน์ให้กับสังคม ผมจึงขอนำเสนอวิถีการดำรงชีวิตแบบฉบับเศรษฐกิจพอเพียงในสไตล์โอตากุกันนะครับ
1.อาหารการกิน ผมก็เหมือนหลายๆท่านที่ชอบกินอาหารตรงที่รสชาติทั้งๆที่รู้ว่ามันให้คุณค่าทางอาหารกับร่างกายเราไม่คุ้มกับเงินที่เสียไปเลย
อีกทั้งถ้ากินสะสมมากไปก็จะกลายเป็นโรคอ้วนเป็นปัญหาต่อสุขภาพอีก เผลอๆจะพ่วงโรคมะเร็งจากสารปรุงแต่งแปลกๆที่ร่างกายไม่เคยได้รับมาก่อนเข้าไปอีกคราวนี้ได้ตายผ่อนส่งแน่ๆ เพราะความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐนะ
ซึ่งเราควรใช้เงินซื้ออาหารที่ตัวเองชอบกินแค่พอรู้สึกอิ่มท้องเท่านั้นละครับ และพยายามปรับนิสัยหาผักที่ตัวเองกินได้โดยไม่กระดากลิ้นมากินให้เยอะๆ ถึงจะไม่มากเป็นครึ่งหนึ่งของที่กินไปอย่างที่เขารณรงค์ ผักครึ่งหนึ่งอย่างอื่นครึ่งหนึ่ง นั้นละครับ
2.การเดินทาง เนื่องจากการเดินทางไปกลับในแต่ละวันเพื่อไปเรียนหนังสือในสถานศึกษา หรือแม้แต่ทำงานในบริษัท จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีวางแผนเพื่อลดค่าใช้จ่ายและเวลาที่สูญเสียไปในการเดินทาง เช่น
- สำหรับคนที่มีบ้านอยู่ไม่ไกลจากถนนใหญ่นักก็ให้เดินเท้าเป็นการออกกำลังแทนการขึ้นมอเตอร์ไซด์รับจ้าง
- ใช้ระบบขนส่งมวลชนอย่างรถเมล์หรือรถไฟฟ้า แทนการใช้รถส่วนตัวในช่วงที่น้ำมันราคาสูงมากถึงเกือบ30บาทต่อลิตร
- ลองคำนวณว่าในการเดินทางแต่ละครั้งใช้เวลาไปนานแค่ไหน เพื่อจะได้กำหนดเวลาในการตื่นนอนทำธุระส่วนตัวและออกจากบ้านได้อย่างลงตัว เพื่อจะได้ไม่ส่งผลกระทบต่อการเรียนและการงานที่ไม่ตรงต่อเวลา
- เมื่อเราต้องอยู่ในรถเมล์ในสภาพการจราจรที่ติดขัดอยู่เกือบตลอดเวลา ซึ่งแม้แต่ต้องรอคอยเที่ยวรถที่ยังไม่มา ให้วางแผนบริหารเวลาตรงนี้ให้เป็นประโยชน์อย่างเช่น เอาการ์ตูนมานั่งอ่านฆ่าเวลา ทบทวนเนื้องานที่เราจะทำ ฯลฯ
- เมื่อคิดจะวางแผนทำธุระหรือไปเที่ยวนอกบ้าน ควรคำนึงถึงประโยชน์ความพอใจที่จะได้รับจากสิ่งที่ทำให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อไม่ให้เกิดการสิ้นเปลืองทั้งเรื่องเวลาและค่าใช้จ่ายที่เสียไปหากต้องเดินทางไปกลับหลายๆเที่ยว
3. น้ำ ไฟฟ้า โทรศัพท์ หลายคนมักจะมองข้ามการประหยัดเงินตรงนี้ไปเพราะเห็นแก่ความสะดวกสบาย กับนิสัยมักง่ายเป็นหลัก โดยเฉพาะไฟฟ้าซึ่งหลายคนต้องเปิดแอร์เย็นๆก่อนถึงจะหลับสนิท ถ้าเกิดวันไหนมีฝนตกให้เปิดหน้าต่าง เปิดพัดลมรับอากาศเย็นๆแทนการเปิดแอร์ต่อหลับได้สบายแล้วครับ
การประหยัดในส่วนตรงนี้จะไม่ขอกล่าวละเอียดเพราะมาตรฐานความสบายของแต่ละคนมีความแตกต่างกันไปครับ
4.แฟชั่นตามกระแสนิยม ไม่ว่าจะเป็นการโหลดWallpaper Ringtone Screensaver Javagame พวกนี้โดยรวมแล้วมันก็คือแฟชั่นมือถืออวดโก้ให้ใครเขารู้กันทั่วว่าตัวเองทันกระแสIntrend ซึ่งถ้าโหลดมาใช้เพื่อประดับให้เข้ากับตัวเองจริงๆเพียงไม่กี่ลายก็แล้วไปครับ แต่ถ้าใช้ๆแล้วอยู่เกิดเบื่อขึ้นมามันก็ต้องหาของใหม่ก็ต้องไปโหลดของใหม่แล้วก็ต้องเงินเพิ่มอีกเป็นวัฏจักรแบบเนี่ยไม่รู้จักจบสักที เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายก็เช่นกันครับ ถ้ามันไม่ทำให้ตัวเองดูแปลกแยกจากคนรอบข้างมากจนเกินไปนักละก็ใส่ๆชุดเดิมไปเถอะครับอย่าเป็นคนประเภทซื้อง่าย หน่ายเร็วตามกระแสนิยมจะดีกว่า เพราะการตามกระแสนิยมจนเกินไปอาจผลาญเงินกระเป๋าท่านอย่างน่าเสียดาย
มือถือนั้นจริงๆก็มีไว้ใช้แค่ติดต่อฉุกเฉิน ตามตัวพูดคุยกันได้ถึงตัวตรงๆในตอนแรกๆ แต่หลังๆมือถือมีOptionอื่นๆดึงดูดใจมากมายไม่ว่าจะเป็นเกม เปลี่ยนเสียงเรียกเข้า(Ringtone) รับส่งข้อความตัวอักษร เครื่องคิดเลข นาฬิกา โอนสาย ถ่ายรูป เล่นWap GPRSฯลฯ ซึ่งก็อัพเดตไปอย่างรวดเร็วไม่แพ้คอมพิวเตอร์เลย
ซึ่งแนะนำว่าซื้อเท่าที่จำเป็นจะใช้ และคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปจะดีกว่านะครับ คอมพิวเตอร์ก็เช่นกัน
5.การบริโภคสื่อ เริ่มจากสื่อรอบตัวในบ้านอย่างInternet ซึ่งพวกนี้เสียค่าใช้จ่ายเพียงแค่ไฟฟ้าและค่าต่อสายเท่านั้น ปัจจุบันมีเน็ตความเร็วสูงADSLเหมาจ่ายแบบรายเดือนโดยคิดราคาตามความเร็วที่ใช้ไม่เสียค่าต่อสาย ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการโหลดสื่อข้อมูลแบบมาราธอนโดยเฉพาะไฟล์เพลง ภาพยนตร์Animation รูปภาพศิลปะ ฯลฯ ค่าใช้จ่ายอย่างต่ำคือ600บาทขึ้นไปครับ เทียบกับเน็ตฟรีของTOTที่ผมใช้เสียค่าต่อครั้งละ3บาทใช้ได้นาน2ชั่วโมง แต่โหลดข้อมูลเท่าที่จำเป็นและพอเพียง กับความเร็วประมาณ4-6Kb.ต่อวินาที(ประมาณ1/10ของADSL) ถ้าต่อเน็ตใช้วันละ4ชั่วโมงก็จะเสียแค่เดือนละไม่ถึง200เลยครับ สนองความต้องการบริโภคข้อมูลของโอตากุได้แทบทุกคนเลย เพียงแค่เข้าไปค้นหาผ่านทางWeb Search Engineชื่อดังโดยใช้Keywordคำที่ต้องการ
โทรทัศน์ ก็เป็นสื่อที่ใช้บริโภคกันแทบทุกบ้านทุกครัวเรือนเสียแค่ค่าไฟเท่านั้น แต่ก็ไม่อาจตอบสนองความต้องการของโอตากุได้หมดเพราะรายการโทรทัศน์ในปัจจุบันมีแต่ข่าวสารการเมือง กีฬา ดารา เพลง บันเทิงละคร ซะส่วนใหญ่และเนื้อหาก็มักจะวนอยู่ในวงแคบๆ ถ้าไม่ใช่โอตากุในสาขานี้ละก็แทบจะไม่มีความสนใจในสื่อนี้เลย
หนังสือพิมพ์นิตยสาร เป็นสื่อที่มีมากมายหลายหัวเรื่องแยกตามความสนใจของโอตากุแต่ละคนได้หลากหลายกว่าสื่อโทรทัศน์โดยเฉพาะเรื่องของการ์ตูน ,ภาพยนตร์ ,หุ้นเศรษฐกิจการลงทุน ,สัตว์เลี้ยง ,อาหาร ,วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ,การท่องเที่ยว ฯลฯ ซึ่งหาอ่านได้ในนิตยสารที่มีขายกันทั่วไปในแผงหนังสือ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการติดตามข้อมูลสาระกันอย่างละเอียดต่อเนื่องไม่ขาดตอน
แต่สำหรับคนที่นานๆจะติดตามข้อมูลสาระทีหนึ่งแนะนำให้เลือกซื้อหนังสือรวมเล่มรวบยอดเนื้อหาจากนิตยสารที่นำเสนอไปแล้วจะประหยัดกว่าการไล่ตามซื้อนิตยสาร ซึ่งผมยึดถือความเป็นโอตากุในสไตล์นี้เป็นหลัก
6.เรียนรู้สังคมโอตากุรอบข้าง เนื่องจากการเพ็งความสนใจไปในสิ่งใดสิ่งหนึ่งบ่อยๆนานๆย่อมบั่นทอนสุขภาพจิตรวมไปถึงสุขภาพกายตามไปด้วย ดังนั้นลองทำตัวเป็นกบนอกกะลามาเรียนรู้สังคมและสาระนอกสาขาที่เราไม่เคยสนใจมาก่อนเลยบ้าง ขยายฐานความสนใจในเนื้อหาสาระของตนเองให้กว้างขึ้น จะช่วยพัฒนาสมองสติปัญญาของเราให้เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ลองพบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคนอื่นๆในความสนใจและความรู้เท่าที่เรามีอยู่จะช่วยลบจุดอ่อนสำคัญของโอตากุในเรื่องของการปฏิสัมพันธ์ได้ดียิ่งขึ้น โดยในช่วงเริ่มต้นมันอาจจะยากลำบากแต่ถ้าทำบ่อยๆเข้าก็จะเป็นความเคยชินได้
ที่นี้มาว่ากันถึงการเลือกซื้อการ์ตูนให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งต่อตนเองและลูกหลานกันบ้าง
การ์ตูนที่ผมซื้อสะสมนั้นสิ่งที่ผมคำนึงถึงอยู่ตลอดเลยคือ ความคุ้มค่าของเนื้อหาในระยะยาว ซึ่งสามารถนำมาใช้สอนลูกหลานรุ่นหลังๆได้อย่างมีประโยชน์และประสิทธิ์ภาพกว่าหนังสือเรียนธรรมดาทั่วไป รวมถึงความสนุกสนานอันเป็นต้นแบบของจินตนาการในการแต่งนิยายในอนาคตข้างหน้าให้มีความสลับซับซ้อน เนื้อหาไม่ซ้ำซากจำเจน่าเบื่อ มีคุณค่าทางวรรณกรรมสืบไป รวมไปถึงงานศิลปะลายเส้นที่วิจิตรพิสดารเป็นต้นแบบในการเอามาใช้วาดการ์ตูนให้สวยงามมีชีวิตชีวายิ่งขึ้น
ซึ่งการ์ตูนที่ดีนั้น เทะสึกะ โอซามุ บิดาแห่งศิลปะการ์ตูนญี่ปุ่นได้กำหนดหลักไว้4ข้อ ตามหลักการ์ตูน4ช่องจบด้วยกันอันได้แก่
1.บทนำ สร้างเกริ่นเรื่อง
2.บทรับ ความเป็นไปของเรื่อง
3.บทรับ ใส่เหตุผลลงไป
4.บทส่ง สรุปให้เรื่องจบแบบไม่คาดคิด
ซึ่งการ์ตูนที่ดีควรค่าแก่การสะสมนั้น จะต้องสามารถผสมผสานหลักทั้ง4อย่างนี้ได้อย่างกลมกลืนเหมาะสม อีกทั้งเนื้อหาต้องฉีกแนวไปจากผลงานเดิมที่มีผู้นำเสนอไปแล้ว
เนื่องจากกว่าจะคัดเลือกการ์ตูนที่ควรจะซื้อออกมาได้ จำเป็นจะต้องมีการสำรวจเนื้อหาในเล่มของการ์ตูนซะก่อนจะตัดสินใจว่าจะซื้อสะสมหรือไม่ตามมาตรฐานความสนใจที่แตกต่างกันไป ซึ่งแน่นอนว่าการ์ตูนที่วางขายกันตามร้านเขาผนึกพลาสติกใส่ห่ออย่างดี เนื่องจากถ้าปล่อยให้ลูกค้าเปิดอ่านกันตามใจชอบอาจทำให้สินค้าเสียหายหมดราคาได้
ทางออกที่ดีที่สุดก็คือการเช่ามาอ่านครับด้วยค่าใช้จ่าย10%ของราคาหัวหนังสือต่อ1เล่ม ซึ่งนับถึงตอนนี้ผมคงเช่า+ซื้ออ่านการ์ตูนมาจนถึงตอนนี้ก็พันเล่มขึ้นไปได้แล้ว โดยใช้เวลาว่างจากงานหรือช่วงคอยรถเมล์กับรถติด อ่านไปเรื่อยๆ
นอกจากนี้สำหรับคนที่ไม่สะดวกที่จะไปร้านขายหนังสือการ์ตูน ก็สามารถติดตามข่าวสารการ์ตูนออกใหม่จากเน็ตทางWebsiteของสำนักพิมพ์หรือทางกระทู้ในWebboardเพื่อวางแผนลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางรวบยอดซื้อการ์ตูนที่เราชอบไปในครั้งเดียวโดยเลือกไปในร้านที่ให้ส่วนลดมากที่สุดคือ20%ซึ่งเท่าที่ผมรู้จักมีอยู่2ที่ด้วยกันคือร้านJC.สาส์น สะพานควายและร้านบุ๊คส์ราม รามคำแหง49 เลือกไปได้ตามแต่สะดวกครับ
ก็จบแล้วสำหรับข้อแนะนำในการใช้ชีวิตโอตากุแบบฉบับเศรษฐกิจพอเพียง ท่านผู้อ่านที่ปฏิบัติตามที่เขียนมานี่ได้ก็ขอให้มีเงินมีทองใช้กันสุขสบายตลอดชาตินะครับ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น