คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #207 : Chikyuu no Houkago โลกหลังเลิกเรียนที่แสนอบอุ่น
Akihito Yoshitomi เป็นนักเขียนการ์ตูนคนหนึ่งที่คนไทยพอจะคุ้นหูบ้าง กับผลงานเรื่อง Eat-Man (1996) และ Ray (2007) ก่อนที่จะหันเอาดีกับการ์ตูนแนวยูริเรื่อง Blue Drop )มีหลายเวอร์ชั่น) ซึ่งปัจจุบันการ์ตูนนี้ก็ได้ถูกดัดแปลงเป็นอนิเมะไปแล้ว และปัจจุบันก็ยังมีผลงานอื่นๆ อื่นๆ อีกมากมายตามมา
จะว่าไปผมเองไม่ค่อยได้ติดตามอ่านการ์ตูนของคนเขียนคนนี้มากนัก เพราะด้วยหาอ่านหนังสือของนักเขียนคนนี้ยากมาก โดยเฉพาะ Eat-Man สนุกมากแต่ผมได้เพียงแค่อ่านแบบไม่มีลิขสิทธิ์เท่านั้นเองแบบสิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์สยามนี้ผมหาไม่ได้เลย (เศร้า) แถมปัจจุบันคนเขียนเอาดีกับยูริอีก แถมเป็นยูริจัดหนักด้วย ซึ่งผมไม่ถูกกับยูริแบบนี้เท่าไหร่ ผมเลยไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่(แต่ Blue Drop - Tenshi no Bokura ผมดูจบจบน่ะ แม้ดูไปส่ายหน้าไปก็เถอะ) และการ์ตูนนอกเหนือจากนี้ที่เป็นลิขสิทธิ์ส่วนใหญ่มักจบแบบ 2 เล่มแบบท้วนๆ อย่างน่าเสียดาย ทั้งที่เนื้อหาน่าสนใจแท้ๆ
อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่นานมานี้เอง สำนักพิมพ์วิบูลย์กิจได้วางแผงการ์ตูนของคนเขียนเรื่องนี้เรื่องหนึ่ง ซึ่งผมดูปกก็รู้ทันทีเลยว่าเป็นการ์ตูนของคนเขียนผู้วาด Eat-Man หากแต่ตอนแรกก็คิดว่าเป็นแนวยูริจ๋า แต่เมื่อเปิดอ่านแล้วผมก็อึ้งว่าเรื่องนี้ไม่ใช่แนวยูริ ไม่คิดเลยว่าคนเขียนวาดการ์ตูนเรื่องที่ไม่ใช่แนวยูริเป็น (ฮ่า) และนี่การ์ตูนอีกเรื่องนำเสนอโลกแฟนตาซีของคนเขียนได้อย่างน่าสนใจจนผมเก็บไว้ข้างที่นอนทีเดียว
Chikyuu no Houkago
แฟนตาซีไซไฟ, หายนะ, ชีวิตประจำวัน และโชเน็น
Chikyuu no Houkago หรือ Earth Afterschool แปลเป็นไทยว่า “โลกหลังเลิกเรียน” เป็นการ์ตูนของคนเขียน Akihito Yoshitomi วาดในปี 2009 (เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน) ลงต่อเนื่องใน Champion Red (Akita Shoten ซึ่งตอนที่เขียนบทความรวมเล่มออกมา 6 เล่มแล้ว และยังไม่จบ ได้ลิขสิทธิ์โดยสำนักพิมพ์วิบูลย์กิจในชื่อ “โลกสนธยาหลังเลิกเรียน”
Chikyuu no Houkago เป็นการ์ตูนแนวหายนะ (??) เมื่อมีสิ่งมีชีวิตปริศนาตัวหนึ่งชื่อ “แฟนธอม” (คล้ายๆ เยลลี่มีชีวิต) ที่เมื่อมันสัมผัสกับสิ่งมีชีวิต (แต่ดูเหมือนมันจะเน้นมนุษย์มากกว่า) ก็จะหายเข้าไปในตัวมันแบบไม่มีวันกลับมาอีก ซึ่งจู่ๆ เจ้าแฟนธอมมากมายก็ปรากฏออกมาทั่วโลกและจับมนุษย์เข้าไปในตัวจนมนุษย์ชาติหายไปจากโลกใบนี้
อย่างไรก็ตาม โลกของเรายังเหลือเพียงมนุษย์ชายหญิง 4 คนที่ยังมีชีวิตอยู่ และใช้ชีวิตแบบปกติสุขไปวันๆ โดย 4 คนประกอบไปด้วยพระเอก “มาซาซิ” เด็กมัธยมปลายธรรมดา (ที่จริงเป็นเสือซุ่ม) ที่แสนดี (จริงๆ) ที่ใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายกับน้องสาว แต่หลังปรากฏตัวของแฟนธอมทำให้น้องสาวหายไป แต่มาซาซิก็ยังคงเชื่อหนักแน่นว่าอีกไม่นานน้องสาวและทุกคนบนโลกจะกลับมา ซึ่งระหว่างนี้เขาต้องตามหาผู้รอดชีวิตคนอื่นๆ จนได้พบกับ 3 สาว 3 แบบ ประกอบไปด้วย “ซานาเอะ” เด็กแว่น, “ยาเอโกะ” สาวอกแบน (น่าจะเป็นลูกคุณหนู) และ “อันนะ” เด็กประถมตัวเล็กๆ (ที่เป็นตัวตลกประจำกลุ่ม) แม้ว่าทั้ง 4 คนจะไม่รู้จักกันมากก่อน พึ่งรู้จักกันและกันครั้งแรกหลังมนุษยชาติหายจากโลก แต่กระนั้นทั้ง 4 คนก็ได้รวมกลุ่มกันเป็นครอบครัว โดยมีมาซาซิเป็นหัวหน้าจัดการดูแลเรื่องทั้งหมดดั่งผู้ปกครองเลี้ยงดูบุตรหลาน (ทั้งทำอาหาร, เลี้ยงสัตว์, ปลูกข้าว, พาสาวๆ ไปเที่ยว และตามหาผู้รอดชีวิตคนอื่นๆ) จนเวลาผ่านไปหนึ่งปี แต่ทั้ง 4 คนยังคงมีจิตใจเข้มแข็ง ยังคงใช้ชีวิตประจำวันอย่างสงบสุขอย่างมีความหวัง และเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อนั้นก็ติดตามต่อในมังงะเอาเองล่ะกัน
มีเกร็ดนิดหน่อย เพราะแอบไปดูเล่มที่ 2 มา ความจริงแล้วตอนแรกคนเขียนออกแบบให้ซานาเอะไม่ได้ใส่แว่น และอันนะนั้นความจริงเป็นสาวทวินเทล แต่ที่ตกใจที่สุดคือแฟนธอมตอนแรกออกแบบอย่างกับเอเลี่ยนโหดสยองลากไส้ โชคดีที่มาเปลี่ยนใจมาใช้แฟนธอมเยลลี่แทนทำให้ไม่เน้นสยองมากนัก (แต่น่ากลัวอยู่ดีแหละ)
Chikyuu no Houkago เป็นการ์ตูนมังงะที่ผมชอบครับ ไม่ว่าจะเป็นตัวละคร การวาดฉากหลังเมืองโตเกียวร้างคน การดำเนินเรื่องที่เผยเรื่องราวที่ล่ะเล็กทีละน้อย แต่ที่โครตชอบที่สุดคือการสอดแทรกทฤษฏีเมื่อมนุษย์หายไปจากโลกที่สมจริงและน่าสนใจ
Chikyuu no Houkago เป็นการ์ตูนแนวหายนะ ซึ่งหากพูดถึงหายนะหลายคนคงนึกอะไรที่น่ากลัว ไม่อยากให้เกิดขึ้นกับตัวเราเอง แต่ผมเชื่อครับใครที่อ่านหายนะในการ์ตูนเรื่องนี้ หลายคนอยากให้มันเกิดครับ (ฮ่า)
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนี้ ก็มีพล็อตหายนะประมาณนี้เหมือนกันครับ ซึ่งนำเสนอแตกต่างกันออกไป ประมาณจู่ๆ โลกเราโดนอะไรบางอย่างที่ทำให้มนุษย์หายไป เช่น โดนอุกาบาตรพุ่งชนโลก, ฝูงซอมบี้ระบาด, สัตว์ประหลาดโผล่มาฆ่าคน เรื่องเหนือธรรมชาติต่างๆ นาๆ จนเหลือแต่กลุ่มเราเป็นกลุ่มสุดท้ายที่เหลืออยู่บนนโลกใบนี้
ปกติหายนะแนวนี้ส่วนใหญ่ มักเน้นด้านมืดของมนุษย์ ความสิ้นหวัง อีกทั้งยังหนีตายจากอันตรายต่างๆ นาๆ อีก ตัวอย่างชัดเจนคือ ภาพยนตร์ I Am Legend (2007) ภาพยนตร์รีเม็กซ์จากภาพยนตร์ชื่อเดียวกัน (และภาพยนตร์ก็สร้างจากนิยายมาอีกที) แสดงโดยวิลล์ สมิธ ซึ่งเนื้อหาเป็นเรื่องชายคนสุดท้ายบนโลก ซึ่งโลกเต็มไปด้วยไวรัสที่ทำให้คนกลายพันธุ์เป็นผีดิบกระหายเลือดที่กลางวันจะหลบซ่อนมุมมืด แต่ตอนกลางคืนจะออกหาเหยื่อกิน (แต่ตัวภาพยนตร์ยังมีคนรอดอยู่ในที่ปลอดภัย แต่ตัวเอกอยู่ดงอันตราย) พระเอกต้องเผชิญกับความเหงา ขอบอกว่าเหงาๆ สุดๆ ชนิดพูดคุยกับหุ่นโชว์คนเดียว อันนี้ต้องเข้าใจเพราะพระเอกอยู่มานานหลายปีโดยไม่ได้คุยกับมนุษย์หน้าไหนสักคน (แม้จะมีสุนัขเป็นคู่หูก็เถอะ แต่ตอนหลังก็จากไปอีก) ไม่แปลกที่พระเอกจะสร้างตัวตนจิตตนาการบ้าง ซึ่งวันหนึ่งพระเอกก็ออกไปข้างนอก หาของกิน หาผู้รอดชีวิต หาอะไรแก้เหงา และตอนกลางคืนพระเอกก็ตัวสั่นงกๆ หวาดกลัวเมื่อต้องหลบซ่อนจากฝูงผีดิบกระหายเลือดตลอดทั้งคืน
Chikyuu no Houkago อารมณ์ก็คล้ายๆ I Am Legend (2007) แหละครับ เพียงแต่พระเอกไม่ได้เหงาแบบวิลล์ สมิธเท่านั้นเอง อีกทั้งเนื้อหาการ์ตูนได้เปลี่ยนหายนะโลกที่น่าหดหู่เศร้าใจมาเป็นอีกอารมณ์หนึ่ง คือความหวังและความสุข จนเป็นโลกในฝันของใครหลายคนที่อยากเข้าไปอยู่ในโลกของการ์ตูนเรื่องก็ว่าได้
ถ้าถามการ์ตูนเรื่องนี้ดำเนินเรื่องยังไง ก็บอกว่าเป็นเรื่องจบในตอน ไม่หวือหวา ราบเรียบ เรียบง่ายตามสไตล์ลายเส้นของคนเขียน (ที่หลายคนคุ้นดี) แม้ว่าจะเป็นแนวหายนะโลก แต่กระนั้นเนื้อหาสาระน่าจะเป็นการเน้นชีวิตประจำวันที่สงบสุขของหนุ่มสาวชายหญิงทั้ง 4 มากกว่า ประมาณว่าในหนึ่งวันทำอะไรบ้าง พระเอกตื่นมาก็ปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ หาอาหาร จากนั้นก็พาสาวๆ ไปเที่ยว (แต่ส่วนมากจะว่ายน้ำเป็นหลัก เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่มีแต่น้ำท่วม) หรือไม่ก็หาผู้รอดชีวิต จากนั้นก็กลับมาบ้านพูดคุยกัน ทำกิจกรรมกันอย่างสนิทสนม จบไปหนึ่งวัน พูดง่ายๆ ว่าพวกเขาทั้ง 4 พยายามสนุกสนานกับหายนะโลกนี้เท่าที่ทำได้
สาเหตุที่พระเอกและทุกคนไม่เคร่งเครียดมากนัก แม้ว่าพวกเขาทั้ง 4 คนจะเป็นกลุ่มสุดท้ายบนโลกใบนี้ก็เพราะกลุ่มตัวเอกคิดอยู่เสมอว่าวันใดวันหนึ่งทุกคนจะกลับมา ซึ่งก่อนจะถึงวันนั้นพวกเขาขอสนุกสนานในโลกที่ไม่มีคนอยู่ เสมือนโลกหลังเลิกเรียนนี้ล่ะกัน
อย่างไรก็ตามแม้เนื้อหาเรียบง่าย แต่ก็สอดแทรกความน่าติดตามและอารมณ์ตื่นเต้นเข้าไปเหมือนกัน เพราะเนื้อหาไม่ได้ปูเรื่องทั้งหมดตั้งแต่ต้นว่าเกิดอะไรขึ้นวันที่แฟนธอมปรากฏตัว? ตัวละครแต่ละตัวมีที่มาอย่างไร? ทำไมทุกคนถึงเจอกัน? ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาทั้งหมดอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างไรถึงมีจิตใจเข้มแข็งแบบนี้ โดยการ์ตูนจะตัดฉากย้อนอดีตเป็นระยะให้ทราบที่เล็กทีละน้อย เป็นต้นว่าอดีตของพระเอกที่ใช้ชีวิตเป็นแค่คนธรรมดาเดินดินอยู่กับน้องสาวแล้วไปโรงเรียน แต่แล้ววันหนึ่งแฟนธอมปรากฏตัวแล้วทำให้มนุษย์ชาตหายไปหมด พระเอกจำเป็นต้องกลายเป็นผู้นำ รับผิดชอบผู้รอดชีวิต (สาวๆ 3 คน) ดังกล่าว
ส่วนอารมณ์ตื่นเต้นก็คือการหนีจากแฟนธอมนั้นเอง อย่าลืมน่ะว่า โลกที่พระเอกอยู่ นอกเหนือกลุ่มพระเอกแม้มนุษย์บนโลกจะหมดไปแล้ว แต่เจ้าแฟนธอมยังอยู่ มันยังคงตามล่าหาคนรอดชีวิตดูดเข้าไปในตัวมันอยู่ไม่ลดล่ะ ซึ่งบางครั้งพวกพระเอกต้องเจอเจ้าแฟนธ่อมแบบจะๆ ด้วย ซึ่งเจ้าแฟนธอมนี้อย่างกับสัตว์ประหลาดสูตรสำเร็จ แต่ฤทธิ์เดธโครตน่ากลัว อิทธฤทธิเยอะมากมาย ชนิดว่าสู้ไม่ได้เลย ต้องโกยแน่บแบบ ตื่นเต้น ระทึกขวัญ เพราะตอนนี้ไม่ได้เฉลยว่าเจ้าแฟนธอมเป็นตัวกันแน่ เดี๋ยวมันขยายร่างได้ เปลี่ยนรูปร่างได้ ไม่มีอะไรฆ่ามันได้ เพราะไม่ความรู้นี้แหละ ที่ทำให้แฟนธอมน่ากลัวสุดๆ เลยก็ว่าได้ (ขอบอกว่าเล่มหลังๆ แฟนธอมสยองขวัญสุดๆ)
ถ้าถามอีกข้อว่า (อันนี้สำคัญ) เรื่องนี้เป็นการ์ตูนฮาเร็มหรือเปล่า ถ้าพูดตามความหมายตรงๆ ก็ใช่อยู่เพราะว่า 3 สาวชอบพระเอกทุกคน แต่องค์ประกอบอื่นๆ นี้อาจสวนกับคำนิยามของฮาเร็มที่ว่าเป็นเรื่องความรักชายหญิงบ้าง เพราะการ์ตูนเรื่องนี้ความรักชายหญิงนั้นดูเหมือนการ์ตูนเรื่องนี้ไม่ใส่ใจนัก อาจมีแต่เป็นแบบน่ารัก แบบให้กำลังให้แก่กัน ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้ม และพระเอกก็เป็นคนดีที่หนึ่ง ซึ่งแทบไม่มีข้อเสียอะไรแม้แต่น้อย (ถ้าข้อเสียก็คงเป็นคนธรรมดาเดินดินสุดๆ ล่ะมั้ง) ที่ไม่เคยมองผู้หญิงทั้ง 3 คนว่าเป็นแฟนหรือผู้หญิงคนรัก แต่เป็นเหมือนครอบครัวที่ต้องเลี้ยงดู เป็นที่พึ่งทางใจกันและกัน เสมือนพ่อเลี้ยงดูบุตรหลาน หรือพี่ชายเลี้ยงดูน้องสาวประมาณนั้น
หลายคนบอกว่าการ์ตูน Chikyuu no Houkago เรื่องนี้สนุก ถ้าถามว่าสนุกยังไง ก็ตอบยากเหมือนกัน บางอาจเป็นความคุ้นเคยของคนเขียนที่วาดการ์ตูนมานาน หากจะ ไล่ตามผลงานเก่าๆ ของคนเขียน แม้ว่าการ์ตูนจะลายเส้นเรียบง่าย หน้าตาตัวละครจะธรรมดา แต่สิ่งที่สุดยอดคือคนเขียนสร้างความเรียบง่ายนี้ให้น่าติดตาม อย่างการ์ตูนเรื่อง Eat-Man (1996) แม้การ์ตูนเรื่องนี้เป็นแฟนตาซีธรรมดาจบในตอน (ผลงานส่วนใหญ่ของคนเขียนชอบแฟนตาซี) แต่คนเขียนได้สร้างโลกแฟนตาซีธรรมดานี้ให้โดดเด่น ด้วยการสร้างพระเอกที่หน้าตายกินน็อต และสอดแทรกมุกตลกหน้าตายให้มีแอบขำหึๆ แม้มีหักมุกตอนท้ายเรื่องอีก เรียกได้ว่าขอให้ตัวละครมีเสน่ห์ก็น่าอ่านขึ้นเยอะ
ช่วงหลังคนเขียนก็ชอบสร้างโลกไซไฟแปลกๆ ออกมาเยอะ ตัวอย่างเห็นได้ชัดคือ Blue Drop ที่เป็นโลกหลังมนุษย์ต่างดาวที่รูปร่างเป็นมนุษย์เพศหญิง (และยังเป็นยูริอีก) ปกครองโลก และกดขี่มนุษย์เพศชาย และเพิ่มสิทธิมนุษย์ผู้หญิงเป็นพิเศษ ต่อมายังมีเรื่องสั้นแนวสลับเพศที่กล่าวถึงโลกที่ประชากรเพศหญิงลดลง เลยต้องจับผู้ชายมาแปลงเพศเป็นเพศหญิงเพื่อสืบพันธุ์ได้อีก พูดง่ายๆ คือการ์ตูนของคนเขียนคนนี้เดาทางไม่ออก ไม่ว่าจะเป็นผลงานใหม่ของคนเขียนจะเป็นแนวไหน การดำเนินเรื่องจะเป็นอย่างไร จะเป็นในทิศทางใด ไปจนถึงมุกตลกหน้าตายประเภทตัวละครทำท่าแปลกๆ ให้น่ารัก
แต่อย่างไรก็ตาม การ์ตูนของการ์ตูนเรื่องนี้มีจุดร่วมเหมือนกัน นั้นคือมีอารมณ์อบอุ่น (เพราะรายเส้นเรียบง่ายสื่ออารมณ์แบบนี้ได้ง่ายอยู่แล้ว) และเน้นเรื่องความรัก ความรักที่ว่านั้นมีหลากหลาย ไม่ได้เน้นความรักชายหญิงอย่างเดียว บางทีอาจเป็นความรักเพื่อน รักญาติพี่น้อง รักหญิงกับหญิง ฯลฯ ช่วงหลังคนเขียนก็เน้นเรื่องแปลกๆ ดังนั้นจึงไม่แปลกแต่อย่างใดที่คนอ่าน Chikyuu no Houkago ก็วาดความรักปกติธรรมดาเป็น
จุดเด่นของการ์ตูนเรื่องนี้คือฮาเร็มของมาซาซิคุงและชุดว่ายน้ำ เอ้ย!!......... ไม่ใช่ เป็นโลกหลังไม่มีมนุษย์เหลืออยู่เลยต่างหาก (เท่าที่อ่านมาน่าจะผ่านมานาน 1 ปีแล้ว) ที่คนเขียนการ์ตูนได้ถ่ายทอดอย่างฉากหลังที่สวยงาม อลังการ ไม่ว่าจะเป็นภาพบ้านเรือนร้างคน เงียบสงบเสมือนเวลาหยุดนิ่ง ที่ธรรมชาติเริ่มลุกล้ำเข้ามา (มีหญ้าวัชพืชหรือตะไคร้ขึ้นตามถนนและบ้านเรือน) ธรรมชาติร่มรืนไม่ว่าจะเป็นทะเลขาวใส เห็นปลาวาฬตัวใหญ่แบบใกล้ชิดจะๆ ตา
เชื่อเถอะใครที่อ่านการ์ตูนนี้แล้วในใจเราก็รู้สึกอยากจะโดดเข้าไปในโลกที่พวกมาซาซิอยู่บ้างไม่มากก็ไม่น้อย เพราะทั้งเรื่อง เห็นพวกมาซาซิคุงเล่นกันอย่างสนุกสนาน นอนบนถนนแบบไม่มีใครดุด่าว่ากล่าว เอาเสื้อผ้าแบบไหนก็ได้มาใส่เล่น เอาเฟอร์นิเจอร์มาตั้งกลางถนนทำเหมือนไปปิกนิกหรือเป็นที่พักตากอากาศ อาบน้ำนอกบ้านโดยไม่มีใครมามอง ว่ายน้ำอย่างสนุกสนานในชายหาด หรือในเมือง (เพราะน้ำขัง) แถมน้ำใสใหลเย็นน่าว่าย จุดพลุกลางเมืองแบบอลังการงานสร้าง และสามารถทำอะไรบ้าบอกลางเมืองแบบไม่อายใคร ฯลฯ (ชอบเล่ม 3 ที่พวกมาซาซิโบยเงินล้าน หลายคนคงอยากทำแบบนี้บ้างล่ะ)
พูดตามตรงว่าผมชอบตรงจุดนี้แหละ ประมาณในหนึ่งวันตัวเอกทำอะไรบ้าง เห็นพวกพระเอกทำแล้วน่าอิจฉา ไปไหนมาไหนก็ได้ จะทำอะไรก็ได้ (แต่ต้องระวังแฟนธอมด้วย) ดูแล้วสบายใจ อมยิ้มอย่างบอกไม่ถูก ถ้าผมเป็นพระเอกในเรื่องแค่นั่งบนโซฟาดูสาวๆ ในเรื่องใส่ชุดว่ายน้ำ เล่นน้ำอย่างร่าเริง ดูแล้วเพลินใจ เพลินตาแบบไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว (อย่างที่เห็นหน้าปก เล่ม 1 แหละ พระเอกปล่อยตัวตามสบายเลย) เวลาอ่านแต่ละตอนก็อยากติดตามว่าวันนี้พวกพระเอกทำอะไรบ้าง?
อย่างไรก็ตามในโลกแห่งความจริง มันไม่ได้สดใสอย่างที่เห็นในโลกของการ์ตูน เมื่อครั้งหนึ่ง History Channel ได้จัดทำสารคดี “ Life After People” เป็นสารคดีเกี่ยวกับว่า ถ้าอยู่ดีๆ พรุ่งนี้โลกของเราไม่มีมนุษย์เหลืออยู่บนโลกเลย อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง
ในการ์ตูนนั้นเริ่มต้นที่ 1 ปีนับจากวันที่มนุษย์ชาติหายไปจากโลก (ซึ่งในการ์ตูนมีเพียงกลุ่มพระเอกเท่านั้นนะครับ ส่วนกลุ่มคนนอกเหนือพระเอกนี้ไม่รู้จะมีอยู่หรือเปล่า) จะเห็นว่าสิ่งแรกที่ไม่มีคือไม่มีไฟฟ้าใช้ ไม่มีน้ำใช้ แม้ตอนแรกยังพอมีไฟฟ้าใช้อยู่เพราะมีพลังงานสำรองอยู่บ้าง หากแต่เมื่อไม่มีคนมาดูแลก็ไม่กี่สัปดาห์ก็หยุดทำงาน มานช่วงกลางคืนโลกก็จะเข้าสู่โหมดมืดมิดที่มีแต่เเสงจากดวงจันทร์และแสงไฟเท่านั้นถึงจะมองเห็น
นอกจากนี้ อาหารตามซูเปอร์มาเก็ตก็จะเน่า เวลานี้อาหารสำเร็จรูปจำพวก มาม่า อาหารกระป๋องจะมีค่ามาก ส่วนสัตว์เลี้ยงหมาและแมวจะต้องเปลี่ยนสัญชาติญาณดิบดุร้ายขึ้นเพื่อเอาตัวรอด พวกหนูและแมลงสาปก็จะเยอะมากขึ้น และสัตว์ต่างๆ ในป่าก็เริ่มเข้ามาในเมือง (ญี่ปุ่นคงจะมีสัตว์พวกแรคคูนหรือหมีมั้ง)
เพียงแค่หนึ่งปี ป่าก็จะล้อมเมืองเหมือนการ์ตูนอย่างที่เห็น หากพื้นที่ใดที่แสงแดดส่องถึงก็มีจะวัชพืชเข้ามา ถนนเริ่มมีรอยแตกร้าว ตะไคร้และเห็ดราเริ่มครอบคลุมบ้านและถนน
โตเกียวที่พระเอกอยู่นั้นเป็นเมืองใหญ่มีท่อและอุโมงค์ที่ซับซ้อน เพื่อระบายน้ำและสายเคเบิล ซึ่งจะต้องมีควบคุมตลอดเวลา หากไม่มีก็จะไม่มีใครควบคุมสวิทซ์ระบายสูบน้ำ ผลก็คือเกิดน้ำท่วมอย่างรวดเร็วเพราะอยู่ระดับต่ำวกว่าน้ำใต้ดิน ผลก็คือน้ำจะท่วมถนน จนกลายเป็นสระขนาดย่อมๆ ให้พวกสาวๆ ในการ์ตูนใส่ชุดว่ายน้ำเล่นอย่างสบายอุรา
สรุปคือหนึ่งปีโตเกียวยังคงเป็นแดนสวรรค์อยู่เหมือนโลกหลังเลิกเรียนอยู่ อย่างไรก็ตามหากเวลาผ่านไปนานมากขึ้นเรื่อยๆ 10-20 ปี เมืองใหญ่ของโลกจะจมอยู่ใต้บาดาล บ้านเรือนจะทรุดโทรมอย่างรวดเร็วเพราะพวกปลวกจะเข้ามาอยู่อาศัยแทน ไม่ว่าจะเป็นไม้ อิฐ หรือปูน ปลวกกินเรียบ กระจกตึกสูงจะแตกร่วงหล่นสูพื้น สัตว์ป่าจะมากขึ้นและดุร้ายมากขึ้น ฯลฯ เรียกได้ว่าโลกปราศจากมนุษย์หลังจากนั้นจะไม่ใช่แดนสวรรค์อีกแล้ว สิ่งเหล่านี้พวกพระเอกต้องเผชิญหน้าในอนาคต หากไม่สามารถนำมนุษยชาติกลับคืนมาได้
อย่างที่บอกเอาไว้ตอนต้น แม้การ์ตูนเรื่องนี้จะนำเสนอชีวิตหลังภัยพิบัตประชากรของโลกหายไป หากแต่ไม่ได้นำเสนอความโหดร้ายของโลก หรือด้านมืดของมนุษย์แต่อย่างใด (เท่าที่อ่านมา 3 เล่มแรก มนุษย์ทุกคนในเรื่องเป็นคนดีหมด) แต่การ์ตูนตั้งใจนำเสนอชีวิตประจำประจำวันของหนุ่มสาวทั้ง 4 ที่อยู่รอดว่าพวกเขาปรับตัวอย่างไรในโลกที่ไม่มีมนุษย์อยู่ พวกเขาไม่ได้แย่งชิงอาหาร หรือเป็นสัตว์ป่า หากแต่ใช้ชีวิตทำตัวให้สบายให้เหมือนปกติมากที่สุดเท่าที่ทำได้ พวกเขาลงมือทำสวนผัก ทำไร่นา เลี้ยงสัตว์ ผ่าฟืน หากิจกรรมมาเล่นเพื่อแก้เหงา
สิ่งที่ผมประทับใจที่สุด มีอยู่ฉากหนึ่งที่พระเอกหาหนังสือจำพวก “ทำไร่ ทำนา” มาอ่าน แสดงให้ชัดว่าพระเอกเรื่องนี้ใช่ว่าจะเก่งทุกเรื่อง ต่อให้คนเก่งขนาดไหน แต่บางอย่างก็ไม่รู้ อย่างทำสวน ทำนา เลี้ยงสัตว์ หากไม่รู้ก็หาหนังสืออ่านแล้วลองผิดลองถูกเอา ไม่ใช่ว่างานไหนฉันไม่รู้ฉันไม่ทำ กลัวล้มเหลว กลัวที่จะเรียนรู้ ฯลฯ
ตัวละครเรื่องนี้แม้จะออกแบบธรรมดา (ตามสูตรของคนเขียนอยู่แล้ว) แต่ก็มีเสน่ห์อย่างเหลือเชื่อ เพราะคนเขียนมีการย้อนอดีตตัวละครแต่ละตัวว่ามีที่มาอย่างไร ทำให้ความสัมพันธ์ของตัวละครนั้นๆ แน่นมากขึ้น โดยเฉพาะตัวละครพระเอกมาซาซิ (ขอบอกว่าเล่มที่ 3 พระเอกจะโมเอะมาก) ที่แตกต่างจากพระเอกแนวต้องรอดหรือแนวหายนะคนอื่น ที่เป็นคนธรรมดาเดินดินสุดๆ (แต่เป็นเสือซุ่ม) ไม่โดดเด่น เรื่อยเปื่อย ไม่หวือหวา อาศัยอยู่กับน้องสาว แถมมีผู้หญิงที่แอบชอบ หากแต่เมื่อน้องสาวและคนบนโลกหายไป มาซาซิจำเป็นต้องเป็นผู้นำและเป็นคนรับผิดชอบแบบไม่ปริปากบ่น และเมื่อมีอันตรายเข้ามาเขาก็พร้อมปกป้องคนที่เขารักและเสียสละได้เหมือนกัน จนผมประทับใจพระเอกเรื่องนี้เป็นพิเศษ
อย่างไรก็ตามโลกที่พวกพระเอกพยายามใช้อย่างมีความสุขก็ไม่สงบสุขอย่างที่คิด เพราะยังมีเรื่องลึกลับและอันตรายอีกมากที่รอพวกเขาอยู่ แต่สิ่งที่พวกพระเอกกำลังเผชิญหน้าในตอนนี้และกำลังเป็นปัญหาใหญ่คือ “ความเหงา” หรือความคิดถึงบุคคลอันเป็นที่รัก (หรืออยากเจออีกสักครั้ง) ซึ่งเมื่อการ์ตูนเรื่องนี้ได้นำเสนอเรื่อง “ความเหงา” ออกมาได้น่ากลัวเหมือนกัน ซึ่งมันจะน่ากลัวอย่างไรนั้นก็ขอให้ติดตามเอาเอง
ความคิดเห็น