ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดูการ์ตูนอย่างแมว ๆ

    ลำดับตอนที่ #173 : Mousou Soldier Yamamoto ด้านลบของโอตาคุ?

    • อัปเดตล่าสุด 10 พ.ค. 57


     

    เรื่องราวเริ่มต้น (โดยไม่มีใครคาดคิดว่านี้คือการผลกระทบครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์วงการการ์ตูนญี่ปุ่น) เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม ค.ศ. 1989 ตำรวจได้จับกุมชายคนหนึ่งนามว่า “ทสึโทมุ มิยาซากิ ชายกลางคนที่ต้องข้อหาทำอาณาจารเด็กคนหนึ่งโดย ลักพาตัวเด็กที่พยายามเล่นอยู่ในสวนสาธารณะและพยายามยัดกล้องเลนส์ซูมเข้าไปในช่องคลอดของเด็กหญิง โชคดีที่ในขณะที่เขายังไม่ได้ทำอะไรมากนัก ผุ้ปกครองของเด็กก็เข้ามาช่วยเสียก่อน

                    ในขณะที่สอบปากคำอยู่นั้นทสึโทมุมีสีหน้าราบเรียบ ก่อนที่เขาจะสารภาพสิ่งที่น่ากลัว น่าขนหัวลุก ยิ่งกว่าอานาจารเด็กร้อยเท่า เมื่อเขาสารภาพว่าเขาเป็นฆาตกรต่อเนื่องฆ่าเด็กผู้หญิง 4 คนอย่างโหดเหี้ยม ที่เกิดขึ้นในระยะนี้ (ระหว่างปี 1988-1989) และเขายังสารภาพว่าเขาได้กินเนื้อและดื่มเลือดบางส่วนของเหยื่อผู้ตายรายที่ 4 อย่างโหดเหี้ยมแบบไม่สะทบสะท้าน

                    ต่อมาตำรวจก็พบว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องจริง พร้อมกับรายงานการพบซากศพของเหยื่อทั้ง 4 ตามมา เมื่อข่าวแพร่ออกไปคนญี่ปุ่นก็ตกตะลึงไปทั่วประเทศ เพราะญี่ปุ่นขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่ปลอดภัยมากที่สุดในโลก เด็กสามารถออกไปข้างนอกได้ปลอดภัย แต่เมื่อเกิดดังกล่าวขึ้นทำให้หลายคนตั้งคำถามใหม่ว่าทำไมจึงเกิดคดีสะเทือนขวัญนี้ขึ้น อีกทั้งฆาตกรยังเป็นคนโรคจิตอีก

    หลังทสึโทมุสารภาพการค้นบ้านพักบังกะโลสองห้องของเขาก็พบวีดีโอเทปจำนวนมากมายกว่า 5,763 ม้วน (บางสื่อรายงานว่า 6,000 ม้วน) ส่วนใหญ่เป็นมังงะและวีดีโอลามก และภาพยนตร์สยองขวัญ แต่ที่น่าตกใจมากที่สุดคือแนวการ์ตูนเป็นแนวโลลิคอนเด็กผู้หญิงโป๊ ซึ่งตามกฎหมายญี่ปุ่น(สมัยก่อน)แล้วโดจินแนวดังกล่าวสามารถหามาได้อย่างง่ายดาย เพราะกฎหมายไม่ได้กวดขังเรื่องดังกล่าว ขอเพียงอย่าวาดอวัยวะเพศหญิงสมจริง(หรือไม่ควรมี) เท่านั้นเอง (นี้เป็นสาเหตุว่าทำไมเวลาเราดูการ์ตูนโป๊มักมีเซ็นเซอร์ปกปิดอวัยวะเพศหญิงทุกครั้ง)

    ทสึโทมุยังได้เล่าว่าการก่อคดีฆาตกรรมของเขาว่ามีแรงบันดาลใจมาจากภาพยนตร์สยองขวัญเรื่อง ดอกไม้แห่งเลือด” (Flower Of Flesh And Blood : 1985)  ซึ่งเป็นหนึ่งในชุดภาพยนตร์ซีรีย์ “แกสบี้” (Guinea Pig)  โดยมีเนื้อหากล่าวถึงฆาตกรโหดหั่นชำแหละหญิงสาวคนหนึ่งอย่างโหดเหี้ยม นอกจากนั้นยังมีการพบวีดีโอเทปภาพยนตร์ “เงือกเน่า” (Mermaid in a Manhole : 1988) ซึ่งเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ชุดซีรีย์แกสบี้อยู่ในคอลเลกชั่นวีดีโอเทปของทสึโทมุเช่นกัน หลังจากค้นพบดังกล่าวทำให้ทางการญี่ปุ่นทำการแบนภาพยนตร์ชุดดังกล่าวโดยทันที

    ปกติทั่วไปแล้วคนที่เป็นฆาตกรย่อมเป็นที่รังเกียจของสังคมญี่ปุ่นอยู่แล้ว  แต่นี้มีทั้งฆ่าเด็ก อีกทั้งยังฆ่ามากกว่าหนึ่งคน และที่น่ารังเกียจคือทสึโทรุไม่มีสีหน้าหรือความรู้สึกผิด ไม่ขอโทษผู้ตายหรือญาติผู้ตาย ไม่แสดงความเสียใจ เขาสีหน้าราบเรียบ ปกติ เยือกเย็นแม้แต่น้อย ตอนที่เขาเดินไปกับตำรวจชี้จุดเกิดเหตุสังหารเหยื่อ เขาสวมชุดขาว สีหน้าไม่ทุกข์ร้อน พูดง่ายๆ ใครเห็นหน้าเขาในตอนนั้นต้องพูดเสียงเดียวกันว่า “กวนตีน” (นอกจากนี้ยังไม่พฤติกรรมน่ารังเกลียดมากมาย ชอบคุกคามครอบครัวของเหยื่อผู้ตาย ก่อกวนด้วยโทรศัพท์โรคจิต จดหมายโรคจิต ของขวัญใส่กระดูกขี้เถ้าของผู้ตาย ฯลฯ)

    ไม่แปลกเลยว่าทำไมคนญี่ปุ่นถึงเกลียดทสึโทรุ และแล้วกระแสความเกลียดชังของทสึโทรุก็เริ่มลามไปยังวงการการ์ตูน เพราะจากการตรวจสอบประวัติก็พบว่าทสึโทรุเป็นคนชอบดูการ์ตูนญี่ปุ่น ในคอลลักชั่นของเขามีการ์ตูนญี่ปุ่นมากมายหลายเรื่อง ทั้งโป๊และไม่โป๊ ทำให้หลายคนโทษการ์ตูนว่าเป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด โทษว่าหากคนที่หมกหมุ่นอ่านการ์ตูนอะไรมากเกิน จะทำให้กลายเป็นคนโรคจิต หรือเก็บกด สักวันอาจก่อคดีรายแรงยิ่งกว่าทสึโทรุก็เป็นไปได้

    และแล้วกระแสเกลียดชังการ์ตูนญี่ปุ่นก็ลุกลามมาถึงกลุ่มบุคคลหนึ่งแบบโดมิโน่ เรียกว่ากลุ่ม “โอตาคุ” (Otaku)  ซึ่งเป็นคำใช้เรียกบุคคลที่มีความสนใจคลั่งไคล้ในสิ่งที่ตนชอบจนเกินผิดปกติ (เช่น แมลง, คอมพิวเตอร์, รถไฟ ฯลฯ)  หากแต่หลังจากการก่อคดีฆาตกรรมของทสึโทมุ ทำให้สังคมญี่ปุ่นและชาวต่างชาติเข้าใจพวกโอตาคุผิดว่าเป็นพวกคลั่งการ์ตูนญี่ปุ่นมากเกินปกติ รวมไปถึงนิยามลักษณะโอตาคุว่าตาอมประวัติชีวิตของทสึโทรุว่าเป็นพวกไม่ชอบเข้าสังคม เก็บตัว เก็บกด มีอาการทางจิต  ซึ่งบุคคลเหล่านี้เป็นบุคคลอันตราย

     นี่คือเรื่องราวคราวๆ ของทสึโทมุ มิยาซากิชายผู้สร้างกระแสหวาดกลัวโอตาคุ ใครที่สงสัยว่าเขาทำให้คนญี่ปุ่นเกลียดยังไงก็เป็นอย่างที่เห็นแหละ แน่นอนว่าหลายคนสงสัยว่าเหตุผลเพียงแค่นี้ทำให้คนเราเกลียดโอตาคุเหรอ ไม่มีเหตุผลเลย ไม่เข้าใจ ปลาเน่าทั้งรังเหม็นทั้งซอยได้ไง อันนี้ไม่ใช่ประเด็น ก็อย่างที่บอกว่าคนเราเวลาจะเกลียดอะไรไม่ต้องมีเหตุผลลึกซึ้ง ขอให้มันน่าเกลียด มีพฤติกรรมน่าเกลียดตามจิตสำนึกเรา ก็ทำให้เราเกลียดสิ่งนั่นได้แล้ว 

                    ความจริงแล้วนิยามฆาตกรโอตาคุ ของทสึโทมุนั้นมาจากสื่อที่ตั้งชื่อให้กับเขา ซึ่งตอนหลังเอง(ซึ่งผ่านไปหลายปีหลังเกิดคดีทสึโทมุ) นักข่าวที่ทำคดีเองก็ออกมาสารภาพว่าคดีดังกล่าวพวกเขาตอกไข่ใส่สีให้สังคมเกลียดโอตาคุเอง ความจริงแล้วคอลักชั่นของทสึโทมุนั้นมีการ์ตูนลามกค่อนข้างน้อย แต่พวกเขาจัดฉากให้สังคมคิดไปว่าเขาสะสมการ์ตูนลามกมากจนน่ากลัว อีกทั้งยังประโคมข่าวเพื่อให้สังคมมองโอตาคุด้านลบ อย่างไรก็ตามแม้ว่าปัจจุบันโอตาคุมีการนำเสนอภาพลักษณ์ที่ดีขึ้น แต่กระนั้นเวลาที่ก่อคดีอะไรสังคมมักโทษการ์ตูนหรือไม่ก็โอตาคุทุกที (ส่วนหลายๆ เว็บบอกว่าทสึโทมุนั้นไม่ใช่โอตาคุ อันนี้ผมว่าไม่เชิงเพราะเขาเป็นนักสะสมวีดีโอ ชอบดูภาพยนตร์สยองขวัญ ปริมาณขนาดนี้ก็เรียกว่าโอตาคุได้แล้ว)

    หลังจากคดีของโอซามุก็เกิดคดีอาชญากรรมที่เกี่ยวของกับการ์ตูนและโอตาคุตามมา (พร้อมกับขุดคดีในอดีตไปด้วย) เช่นในวันที่ 20 มีนาคม 1995 เกิดเหตุการณ์โศกนาฏกรรมสำคัญในประเทศญี่ปุ่น เมื่อมีผู้ก่อการร้ายกลุ่มหนึ่งปล่อยแก๊สพิษซาริน โจมตีสถานรถไฟใต้ดินกรุงโตเกียว ย่านชินจุกุส่งผลทำให้มีผุ้เสียชีวิต 12 คน บาดเจ็บ 6,000 คน ภายหลังสืบไปสืบมาก็พบว่ากลุ่มก่อการร้ายดังกล่าวเป็นสาวกของลัทธิโอม ชินริเกียว ที่นำโดย นายอาซาฮาระ โชโกะซึ่งอ้างว่าเป็นผู้วิเศษที่มีสาวกจำนวนมากให้การศรัทธาเคารพบูชา และนอกจากนี้เจ้าลัทธิยังโฆษณาลัทธิสื่อต่างๆ มากมาย อีกทั้งตัวเขาสมัยเด็กเป็นคนชื่นชอบการ์ตูนแนวหุ่นยนต์ และการ์ตูนที่มีเรื่องวันสิ้นโลกซึ่งได้นำเรื่องเหล่านี้เป็นคำสอนดังกล่าว อีกทั้งเขายังนำ การ์ตูนเป็นสื่อในการดึงดูดคนให้เข้าลัทธิ ซึ่งเขามีทีมงานโดยเฉพาะในการสร้างอนิเมะในการเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อลัทธิโดยเอาตัวลัทธิเป็นตัวเอก เสมือนหนึ่งนักบุญช่วยเหลือผู้คน(โดยเฉพาะพวกสาวก) ทั้งที่ของจริงตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง ซึ่งประเด็นดังกล่าวทำให้อนิเมะญี่ปุ่นถูกวิพากษวิจารณ์อีกครั้ง

    เดือนมิถุนายน 2003 มีชายคนหนึ่งชื่อฮิโรยูกิ ทซึจิดะ อายุ 22 ปีได้ใช้ไม้เบสบอลตีหัวแม่ของเขาจนตาย จากการสอบสวนพวกเขาก็พบเรื่องตกใจเขาได้อ้างว่าอนิเมะอีวานเกเลียน (Neon Genesis Evangelion) ซึ่งทำให้เกิดความคิดว่ามนุษย์สมควรถูกจำกัด (และไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบต่อการทำลายสิ่งแวดล้อม) และเขาได้เริ่มต้นฆ่ามนุษย์ด้วยการฆ่าคนในครอบครัวเขาเสียก่อน

    การเกิดกลุ่มโอตาคุนั้นแสดงให้เห็นความอุตสาหกรรมการ์ตูนญี่ปุ่นที่เฟืองฟู แม้ว่าตอนนี้เศรษฐกิจของโลกจะซบเซา และญี่ปุ่นก็ย่ำแย่ทุกวัน แต่เรื่องการ์ตูนญี่ปุ่นแล้วคุณภาพไม่ลดลงเลย แม้ว่าปัจจุบันปริมาณการ์ตูนจะมีมากและเนื้อหาดีบ้างไม่ดีบ้าง แต่ในจำนวนนั้น(ในแต่ละปี)ก็จะมีการ์ตูนดีมีคุณภาพปรากฏออกมาสร้างกระแสสังคมให้ได้ตื่นตัวสักเรื่อง อย่างมาโดกะเป็นต้น สิ่งเหล่านี้แสดงให้ถึงเสน่ห์ของการ์ตูนญี่ปุ่น ที่การตลาดได้ผล ความคิดสร้างสรรค์ มีความหลากหลาย การดำเนินเนื่องเรื่องน่าติดตาม ดูแล้วอิน

    มีคำกล่าวไว้ว่าการหมกมุ่นดูแต่การ์ตูนญี่ปุ่นมากเกินไปจะทำให้พฤติกรรมรุนแรงนั้น ความจริงแล้วตามหลักเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มีการยอมรับแล้วว่าการหมกมุ่นดูการ์ตูนที่มีความรุนแรงส่งผลทำให้เด็กเกิดความก้าวราวได้ ยิ่งเป็นประเทศญี่ปุ่น สังคมมักจ้องจับผิดการ์ตูนอยู่แล้ว ยิ่งมีเนื้อหารุนแรง หรือมืดมน ยิ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์เป็นพิเศษ ซึ่งตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันก็มีคดีฆาตกรรมที่เกี่ยวข้องกับการหมกมุ่นในการ์ตูนเกิดขึ้นมาก ส่งผลทำให้ประเด็นเหล่านี้กลายเป็นประเด็นละเอียดอ่อนของญี่ปุ่นทันทีทันใด

    วันที่ 27 กันยายน 2007 มีการฉายตอนสุดท้ายของการ์ตูนอนิเมะเรื่องดังของญี่ปุ่นคือเรื่องSchool Days (ตอนที่ 12) ซึ่งความจริงแล้วตอนที่ 12 นั้นถูกฉายล่าช้าก่อนกำหนด เนื่องจากวันก่อนตอนสุดท้ายที่มีการกำหนดออกอากาศที่ประเทศญี่ปุ่นเกิดคดีสาวอายุ 16 ปี ฆ่าพ่อของเธอด้วยขวาน ในจังหวัดโตเกียวซึ่งเป็นคดีสะเทือนขวัญมากในตอนนั้นทำให้ทางสถานีโทรทัศน์จำเป็นต้องเลื่อนตอนดังกล่าวไปเพื่อไม่ให้หลายคนเอาการ์ตูนเรื่องนี้มาเชื่อมโยงกับคดีฆาตกรรมและต่อมามีการปรับเปลี่ยนสีเลือดโดยจากตอนแรกเป็นสีแดงมาเป็นสีดำแทน ซึ่งกรณีดังกล่าวแสดงให้ถึงความอ่อนไหวของคนญี่ปุ่นที่มีต่อการ์ตูนญี่ปุ่นพอสมควร

    วันที่ 8 มิถุนายน ค.ศ.2008 ไม่กี่ปีก่อนที่จะมีประหารทสึโทมุ ญี่ปุ่นก็ได้เกิดคดีสังหารหมู่ในประวัติศาสตร์ของประเทศเกิดขึ้น เมื่อนายโทโมฮิโร คาโต้ (Tomohiro Kato) ก่อเหตุไล่แทงคนในอากิบาฮาระ (Akihabara) กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น จนมีคนเสียชีวิต 7 ราย ซึ่งภายหลังสื่อมวลชนก็นำเสนอว่าเขาเป็นโอตาคุชอบดูการ์ตูนและติดอินเตอร์เน็ตเป็นอย่างมาก (มีการเปิดเผยว่าเขาวาดร่างตัวการ์ตูนสมมุติตัวหนึ่งที่ชื่อว่าคาโต้โดยรูปร่างเหมือนพระเอกในการ์ตูนผจญภัยรูปร่างหน้าตาหล่อเหล่า พร้อมกำกับความสามารถเป็นเป็นภาษาอังกฤษใต้ภาพซึ่งต่อมามีการเปิดเผยว่ามีแรงบันดาลใจจากเกม Tales of Destiny ) ส่งผลทำให้ประเด็นด้านลบโอตาคุถูกหยิบขึ้นมาพูดคุยอีกครั้ง

    นี่คือคดีไม่กี่คดีที่มีนำเสนอว่าการคลั่งการ์ตูนเรื่องหนึ่งได้ส่งผลทำให้เกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นเพียงใด แน่นอนว่าโอตาคุไม่ได้เป็นภัยสังคมกันทุกคน มีเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นที่เป็นอันตราย อย่างไรก็ตาม ตัวอย่างที่เกิดคดีที่แล้วมาก็สื่อได้ชัดเจนว่าบุคคลอาการหนักที่ไม่สามารถแยกความจริงและความฝันได้ ส่งผลทำให้ระบายสิ่งที่ไม่มีทางเป็นไปได้มาทำในโลกแห่งความจริง จนเกิดเรื่องร้ายแรงตามมา

    หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็มีการนิยามลักษณะโอตาคุตามความคิดของคนทั่วไป คือเป็นเพศชาย ตัวอ้วน ๆ สิวเขรอะ ๆ ใส่แว่น ผมเผ้ารุงรังไม่สระผม กลิ่นเหงื่อโชย เสื้อยืด กางเกงยีนส์ รองเท้าแตะ แบกเป้ พูดจาหรือหายใจก็มีแต่การ์ตูน และคนฟัง ฟังไม่รู้เรื่อง เพราะส่วนมากเป็นคำศัพท์ที่เฉพาะในวงการการ์ตูนเท่านั้นจะรู้เรื่อง เช่น โมเอะ, โลลิคอน ฯลฯ ซึ่งทำให้การ์ตูนหลายเรื่องมักล้อเลียนลักษณะโอตาคุเหล่านี้ในลักษณะด้านลบแท้ทั้งสิ้น ว่าเป็นบุคคลโรคจิต น่ากลัว หลงใหลการ์ตูนจนลามปามมาถึงของจริง อย่าเข้าไปใกล้ เพราะสามารถก่อคดีเหมือนทสึโทมุได้ทุกเมื่อ 

    ภาพลบการ์ตูนญี่ปุ่นที่เราพบเห็น (หากไม่ใช่การ์ตูนแนวโอตาคุ) ส่วนมากมักนำเสนอเป็นคนขี้แพ้ทั้งชาติ มีจำนวนมาก หลายคนสอบเข้ามหาลัยไม่ได้ จนต้องปล่อยชีวิตอย่างไร้จุดมุ่งหมายอาศัยอยู่กับพ่อแม่เกาะพ่อแม่กินเป็นวันๆ สะสมฟิคเกอร์ มังงะการ์ตูน  เล่นอินเทอร์เน็ต เกมออนไลน์ (อีกทั้งยังเกรียน เก่งแต่มในคอม) หน้าตาไม่หล่อ โดนรังแกมาตั้งแต่เด็ก มองโลกในแง่ร้าย มีนิสัยริษยา หมั่นไส้ เกลียดคนที่ดีต่อตน โทษสังคม โทษรัฐบาล (เกรียน) นี้คือสิ่งที่พบเห็นคาแร็คเตอร์โอตาคุในการ์ตูนญี่ปุ่นทั่วไป (ที่ไม่ใช่แนวโอตาคุ) ตัวอย่างเช่น การ์ตูนโป๊ มักนิยามโอตาคุว่าเป็นพวกหื่นกาม หากรวมตัวกันมากๆ ก็พร้อมจะข่มขืน ลงแขกผู้หญิงโดยไม่รู้สึกผิดแต่อย่างใด หรือการ์ตูนแนวแอ็คชั่น โอตาคุ(จำพวกตัวประกอบหรือคนเลว) เป็นพวกอ่อนแอ นิสัยเอาเปรียบคนอื่น ชอบเอาตัวรอดคนเดียว ไม่สนใจคนอื่น ฯลฯ จริงอยู่ที่โอตาคุตัวจริงไม่ใช่มีแต่ลักษณะแบบนี้เสมอไป เพราะมีแต่คนๆ สวยๆ หล่อๆ (การ์ตูนแนวโอตาคุคนหล่อคนสวยเป็นโอตาคุก็มีมาก) แต่การ์ตูนส่วนมากมักหยิบคาแร็คเตอร์อ้วนใส่แว่นนิสัยดังกล่าวออกมามาย เพราะสื่อให้คนอ่านเข้าใจง่ายว่าตัวละครนี้เป็นโอตาคุ (และนิสัยไม่ดี)

                    อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันภาพลักษณ์ของโอตาคุเป็นไปในทางที่ดีขึ้น แม้ว่าสื่อหรือการ์ตูนส่วนใหญ่มักนำเสนอโอตาคุเป็นเหยื่อของสังคม แต่กระนั้นก็มีการ์ตูนแนวหนึ่งที่นำเสนอด้านดีๆ ของโอตาคุ ซึ่งผมขอเรียกสั้นๆ ว่า “การ์ตูนแนวโอตาคุ” ซึ่งนำเสนอภาพลักษณ์ว่าโอตาคุไม่ใช้พวกอ้วนใส่แว่นเก็บตัว คลั่งแต่การ์ตูน และนิสัยไม่ดีเสมอไป ชีวิตของโอตาคุ กิจกรรมของโอตาคุ ความรักและข้อดีของการ์ตูนที่เห็นว่าอบอุ่น น่ารักถึงเพียงใด

    ตัวอย่างการ์ตูนแนวโอตาคุ เช่นอนิเมะ “Otaku no Video" ที่นำเสนอกลุ่มโอตาคุในเชิงขบขัน ล้อเลียน แต่แฝงไปด้วยความภูมิใจเพื่อให้สังคมมองโอตาคุในด้านบวก หรือจะเป็นเรื่อง  Genshiken” ที่นำเสนอว่ากลุ่มโอตาคุนั้นไม่ใช่พวกเก็บตัวเสมอไป บางคนเป็นคนธรรมดา เป็นนักศึกษามหาลัย บางคนมีการศึกษาดี หน้าดี ยังชอบการ์ตูนและหลงไหลการ์ตูนไม่เสื่อมคลาย ซึ่งต่อมาคนเขียนก็เขียนเรื่องการ์ตูนแนวโอตาคุตามมามากมาย เช่นมีการ์ตูนเรื่องหนึ่งนำเสนอคุณแม่คนหนึ่งกำลังตั้งครรภ์ แต่คุณแม่คนนั้นเป็นโอตาคุ (สามีเป็นคนธรรมดา) จนมีความคิดถึงขั้นตั้งชื่อลูกเป็นชื่อของตัวละครชื่อดังๆ ก็มี (เช่น เหล่าตัวละครมาโดกะ) หรือจะเป็นเรื่องดังๆ อย่าง Ore no Imouto ga Konna ni Kawaii Wake ga Nai ที่แสดงให้เห็นว่ากลุ่มโอตาคุนั้นอบอุ่นและเป็นเพื่อนรักหรือแท้ขนาดไหน อีกทั้งคนธรรมดาก็สามารถอยู่ร่วมกับโอตาคุก็ได้

                    ที่น่าแปลกประเทศไทยเรานั้นการ์ตูนแนวโอตาคุดันเป็นที่รังเกียจสำหรับคนอ่านบ้านเราครับ สังเกตได้จากคอมเมนต์เวลาเขาเอาการ์ตูนแนวโอตาคุดีๆ มานำเสนอเป็นต้องด่า ตำหนิ หรือประชดทุกที ไม่รู้ทำไมถึงอคติอะไรหนักหนา เพียงแค่บอกว่าการ์ตูนเรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับโอตาคุก็มีเสียงบ่นว่า “แนวโอตาคุยี้” อาจเป็นเพราะว่าบ้านเราชอบการ์ตูนแนวจัมป์มากก็ได้เลยแขวะพวกการ์ตูนโอตาคุ ที่คิดว่าเป็นการนำเสนอพวกขี้แพ้ ไม่มีอะไรหน้าดู ทั้งที่ไม่ได้อ่านด้วยซ้ำ

                    ส่วนมากการ์ตูนแนวโอตาคุจะนำเสนอด้านดีของโอตาคุเป็นหลัก แต่กระนั้นก็ดันมีการ์ตูนแนวโอตาคุเรื่องหนึ่งที่นำเสนอด้านลบโอตาคุเต็มๆ ซึ่งอ่านแล้ว “โดนว่ะ!” โอตาคุเป็นเช่นนั้นจริงๆ ให้ตายเถอะ

     

      

    Mousou Soldier Yamamoto

    ตลก ไซเน็น

     

    Mousou Soldier Yamamoto เป็นการ์ตูนตลก ผลงานของ Onodera Kouji (เชื่อว่าเป็นโอตาคุสายแว่น และคนเขียนเรื่องนี้ท่าจะเกลียดวันพีช)  มีทั้งหมด 5 เล่มจบ ในปี 2001 ซึ่งได้รับลิขสิทธิ์โดยบงกต ในชื่อ ยามาโมโต้ เทพบุตรจิตป่วน

    โดยเนื้อหาของการ์ตูนกล่าวถึงยามาโมโต้จ้าวแห่งโอตาคุ(สาเหตุคือเชี่ยวชาญการ์ตูนโมเอะทุกแนว ยกเว้นแนวน้องสาว) ซึ่งมักนำปัญหาและเรื่องวุ่นๆ มาให้มัตสึชิตะมนุษย์ปุถุชนธรรมดาเสมอ ซึ่งยามาโมโต้ชอบพา(ลาก)มัตสึชิตะเข้าไปอยู่สังคมโอตาคุที่เต็มไปด้วยคนโลกจิตคลั่งสายการ์ตูนเกินเหตุ เช่น วาตานาเบะเพื่อนของยามาโมโต้ที่คลั่งฟิกเกอร์โมเอะเข้าเส้นเลือด หรือนางุโมะศาสดาสาวแว่น และความคลั่งไคล้ของพวกเขาทำให้เป็นหมายหัวจากองค์กรที่คิดจะกำจัดโอตาคุไปจากประเทศญี่ปุ่น ชะตากรรมของพวกเขาจะเป็นอย่างไรต่อนั้นก็ติดตามกันเอาเอง

     Mousou Soldier Yamamoto เป็นผลงานตลกเรื่องแรกๆ ของ Onodera Kouji ซึ่งนักเขียนคนนี้คนไทยพอคุ้นหน้าบ้างเพราะการ์ตูนมีเอกลักษณ์ด้วยสีหน้าตัวละครที่แสนจะได้ใจ และมุกตลกบ้าๆ บอๆ ซึ่งผลงานล่าสุดที่แปลไทยในตอนนี้คือ Choujikuu Gankyoushi Moebius Jumper” (เจาะเวลาหาสาวแว่น)

                    Mousou Soldier Yamamoto อาจจะเป็นการ์ตูนบ้าๆ บอๆ ดูแล้วไม่มีสาระมากนัก หากแต่มองลึกๆ แล้วการ์ตูนเรื่องนี้ (อาจ) เป็นเรื่องเดียวที่แสดงถึงภาพลักษณ์ด้านลบของโอตาคุ สามารถตอบโจทย์ได้ว่าสังคมญี่ปุ่นมองโอตาคุอย่างไร ทำไมพวกเขาถึงมองโอตาคุน่ารังเกียจ และในขณะเดียวกันการ์ตูนยังสอดแทรกนำเสนอโอตาคุที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยอ่านการ์ตูนแนวโอตาคุมา

    Mousou Soldier Yamamoto เปิดเรื่องมาก็เป็นภาพของยามาโมโต้ เด็กมัธยมปลายที่คลั่งการ์ตูนเข้าสายเลือด คลั่งจนเพื่อนไม่กล้าคบ ไม่กล้าสบตา อีกทั้งยังคลั่งชนิดที่เรียกว่าไม่สามารถแยกโลกแห่งความจริงและโลกแห่งจินตนาการได้เลย มักเอาเรื่องมุกการ์ตูนมาเปรียบกับชีวิตจริงๆ

    ตัวอย่างเช่น เห็นแมวท้องถนนก็คิดว่าหากช่วยเหลือมัน มันจะกลายเป็นเมดหูแมวมาตอบแทนคุณ เห็นสาวแว่นที่ย้ายมาใหม่ก็ไม่พอใจเพราะมันไม่ดำเนินเรื่องแบบเลิฟคอมมาดี้ เมื่อมัตสึชิตะพยายามเตือนสติยามาโมโต้ก็ไม่ฟังท่าเดียว แถมพูดทฤษฏี (ความฝัน) ที่เป็นไม่ไปได้อีก เรียกได้ว่ายามาโมโต้นั้นเป็นคนบ้าการ์ตูนเกินเยียวยาจริงๆ ชนิดที่เรียกว่าก่ออาชากรรมนี้ก็ไม่แปลกหรอก

    สิ่งที่ดูการ์ตูนเรื่องนี้นำเสนอนอกจากพฤติกรรมบ้าๆ ของเหล่าโอตาคุที่แต่ละอย่างนี้เฉียดคุกซะเหลือเกินแล้ว สิ่งที่ได้จากการอ่านการ์ตูนเรื่องนี้ก็คือโลกของโอตาคุนั้นเป็นโลกยากแท้จะหยั่งถึง เพราะพวกคลั่งการ์ตูนมาก ยิ่งกว่าลัทธิศาสนาเสีย ชนิดที่เรียกว่าไม่ว่าจะเป็นใครก็ลบหลู่ไม่ได้ และลัทธิที่ว่านั้นไม่ใช้แค่ชอบการ์ตูนอย่างเดียว พวกเขายังแบ่งชนชั้นวรรณะ รวมทั้งสายการ์ตูนที่ตนชอบและคลั่งมาก เช่น สายหูแมว, สายเมด, สายมิโกะ(นักบวชสาว), สายสาวแว่น (ส่วนผมสายสาวทวินเทลซึนเดระ) ไปจนถึงสายเฉียดคุกโลลิคอน

    ปกติแล้วโอตาคุทั่วไปจะไม่เอาเรื่อง 2D มาปนกับ 3D โดยเด็ดขาด เพราะมันคนละเรื่องกัน โลกแห่งความจริงนั้นไม่น่ารักแบบนี้หรอก แต่การ์ตูนยามาโมโต้กลับทำตรงข้าม  ตัวเอกยามาโมโต้นั้นถือว่าเป็นบุคคลที่อินกับการ์ตูนมากจนเผลอรักตัวการ์ตูนเต็มหัวใจ รักมาก คลั่งมาก จนไม่สามารถแยกแยะว่าอันไหนแห่งความจริงหรือโลกการ์ตูน มักเอาเรื่องการ์ตูนมาปนกับชีวิตจริงและมีวีรกรรมหลายครั้งเฉียดคุกด้วยซ้ำ ไม่เพียงแต่ยาโมโต้เท่านั้นพรรคยังโรคจิตอินกับการ์ตูนไม่แพ้กัน เฉียดคุกไม่แพ้กัน เช่น ชอบผู้หญิงมาแต่คอสฯ, แอบสตองเกอร์, แอบถ่ายรูป, ลักพาตัว ฯลฯ  จนหลายคนคิดว่าโอตาคุนี้มันน่ากลัวขนาดนี้เลยเหรอ? แต่โชคดีที่บรรยากาศการ์ตูนตลกทำให้หลายคนไม่ได้คิดมากกับเรื่องนี้มากนัก

     Mousou Soldier Yamamoto เป็นการ์ตูนตลกที่ผมชอบนะครับ อ่านกี่ที่ไม่มีเบื่อ หากใครที่รู้เรื่องโอตาคุหรือเป็นโอตาคุนี้ขอบอกว่ามุดโดนใจหลายมุกเลยครับ นอกเหนือจากการสร้างโอตาคุเป็นที่น่ารรังเกียจของสังคมได้ใจแล้ว ก็มีมุกแทงใจดำ(ชนิดเถียงไม่ออก) หลายมุก เป็นต้นว่าเสียดสีอากิฮาบาร่าว่าเป็นศูนย์รวมแหล่งเลวร้ายของพวกโอตาคุ, ศาสดาสาวแว่นที่บ้าแว่นไม่ลืมหูลืมตา, การประลองพลังจิ้น(ไกล)ทั่วประเทศ หรือการเก็บกดของมัตสึฮิตะ ฯลฯ

    และที่โดนใจ(แทงใจดำ)ที่สุดของเรื่องคือ องค์กรพิเศษปราบปรามความงมงายของญี่ปุ่น ที่เหล่าสมาชิกเป็นอดีตที่เคยทำงานเกี่ยวกับการ์ตูนแต่ด้วยเหตุการณ์หนึ่งทำให้เกลียดโอตาคุไป เช่น คนเขียนกาณ์ตูนเด็กที่รับไม่ได้ที่พวกโอตาคุเอาการ์ตูนของเขาไปบู้ยี้บูยำจนเละ หรือนักร้องไอดอลที่ร้องเพลงอนิเมะที่แสนน่ารัก น่ารักจนโอตาคุบุกเข้ามาถึงตัวจนกลายเป็นโรคเกลียดโอตาคุ แค่ได้ยินชื่อของโอตาคุก็ผื่นขึ้นตัว ฯลฯ และวิธีแก้แค้นโอตาคุนี้ช่างแสบสันต์จริงๆ เป็นต้นว่า ระเบิดอากิฮาบาร่ากระจุย, แจกฟิกเกอร์ตุ๊กตุ่นระเบิด, จับโอตาคุไปขังในเรือนจำและจับไปล้างสมองให้กลายเป็นคนปกติธรรมดา ฯลฯ ไม่รู้ว่าใครบ้า ใคร

                    อ่านการ์ตูนเรื่องนี้จบก็รู้เลยว่าคนญี่ปุ่นก็มองการ์ตูนเหมือนกับบ้านเรา ก็คือมองว่าการ์ตูนเป็นเรื่องของเด็ก ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วการ์ตูนญี่ปุ่นนั้นมีความละเอียดลึกซึ้งมาก มีหลายสาย และนอกจากนี้ยังมีหลายช่วงอายุให้ได้เสพหากัน อย่างไรก็ตามก็เป็นปัญหาอีกเพราะเมื่อมีหลายคนมองการ์ตูนสำหรับผู้ใหญ่ว่ามีแต่โป๊ เปลือย เซ็กต์  ความรุนแรง ซึ่งมันก็ถูกส่วนหนึ่ง แต่กระนั้นก็อยากให้มองว่าการ์ตูนญี่ปุ่นก็เหมือนสิ่งต่างๆ ที่มีทั้งด้านดีและไม่ดีเหมือนกัน ขนาดเหรียญยังมีมีสองหน้า กลางวันก็ต้องมีกลางคืน มีดีก็ต้องมีชั่ว สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นธรรมดาของโลก

     ประเด็นต่อมาคือการเกิดกลุ่มโอตาคุของญี่ปุ่น จะโทษการ์ตูนญี่ปุ่นก็ไม่ได้ สาเหตุเพราะสังคมญี่ปุ่นเองที่เป็นตัวบ่มเพาะทำให้เกิดโอตาคุ(ประเภทเก็บตัว) ซึ่งสังคมญี่ปุ่นสมัยใหม่ที่เติบโตท่ามกลางสังคมร่ำรวย สะดวกสบาย และปลอดภัย ทำให้ก่อให้เกิดนิสัยรักความสุขสบายเป็นธรรมดา บวกกับสภาพสังคมที่ขาดความอบอุ่น พ่อแม่ไม่ค่อยอยู่บ้านและให้เงินให้ใช้จ่ายเอง ทำให้เกิดความโดดเดี่ยวสิ่งเหล่านี้ทำให้หลายคนต้องหาอะไรแก้เหงาหรือสิ่งยึดเหนียวเอาไว้ สิ่งเหล่านี้ทำให้หลายคนมีพฤติกรรมเก็บตัว ใช้เงินจำนวนมากซื้อสิ่งฟุ่มเฟือยโดยไม่มีความรู้สึกอะไรเลย

    เรื่องของโอตาคุกับสังคมญี่ปุ่นยังคงเป็นหัวข้อโลกแตกทุกครั้งที่ทำมาพูดถึงกัน อย่างไรก็ตามสิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงกลุ่มบุคคลที่มีความใจรักในสิ่งที่ตนชอบอย่างไม่เสื่อมคลาย จนกลายเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจนกลายเป็นลัทธิด้วยซ้ำ แม้การชอบและแสดงออกของพวกเขาจะทำให้สังคมมองเป็นด้านลบไปบ้าง แต่ตราบใดเป็นความสุขและความชอบของพวกเขาไม่กระทบต่อสังคมญี่ปุ่น และไม่คลั่งการ์ตูนมากเกินไปจนออกมาเพี้ยนๆ แยกความจริงและจินตนาการไม่ออกก็ไม่มีใครว่าหรอกครับ 

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×