คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #148 : Shingeki no Kyojin ชัยชนะของมนุษย์
ตลอดประวัติศาสตร์ของการ์ตูนญี่ปุ่นมีการ์ตูนหลายเรื่องเน้นแอ็คชั่นหน่วยรบสู้กับสัตว์ประหลาดค่อนข้างมาก ปัจจุบันการ์ตูนแนวแบบนี้ยังอยู่ ไม่ได้จางหาย และยังคงอยู่ในแผงการ์ตูนญี่ปุ่นอีกนานเท่านาน แน่นอนว่ามีการ์ตูนแนวดังกล่าวก็หลายเรื่องที่ดังเปรี้ยงปราง ในขณะที่บางเรื่องก็ดับ(คนเขียนก็ดับไปด้วย) แต่อย่างไรก็ตามเมื่อไม่นานมานี้เองได้มีการ์ตูนแนวสัตว์ประหลาดเรื่องหนึ่งได้สร้างความมหัศจรรย์เกิดขึ้นในแผงหนังสือในประเทศญี่ปุ่นทั้งที่ นักเขียนโนเนมไม่มีผลงานเรื่องใดๆ มาก่อน ลายเส้นก็ธรรมดาแทบไม่มีจุดเด่นอะไร เทคนิคพิเศษก็ไม่มี แต่การ์ตูนกลับได้รับความนิยม ขายดิบขายดียิ่งกว่าสามล้อถูกหวย แซงหน้าการ์ตูนจัมป์หรือการ์ตูนหลายเรื่องที่ดังอย่างหน้าตาเฉย เป็นเพราะอะไรที่ทำให้การ์ตูนเรื่องนี้ดัง บางทีประโยคที่ว่า “เนื้อเรื่องสุดยอด ลายเส้นเป็นรอง” อาจเป็นคำตอบที่ดีสำหรับการ์ตูนเรื่องนี้ก็ได้ และมันจะจริงหรือไม่นั้น คุณเท่านั้นเป็นผู้ตัดสิน
Shingeki no Kyojin
แอ็คชั่น เขย่าขวัญ แฟนตาซี
Shingeki no Kyojin ชื่อไทยคือ "การโจมตีของยักษ์" เป็นการ์ตูนมังงะ ที่เขียนโดย Hajime Isayama ตีพิมพ์ตั้งแต่ปี 17 มีนาคม 2010 ต่อเนื่องในนิตยสาร Bessatsu Shonen Magazine การ์ตูนถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Manga Taisho 4 (2011) และชนะรางวัล 35 Kodansha Manga ที่ดีที่สุดประจำปีสาขาโชเน็น(Shounen) ปัจจุบันการ์ตูนไม่เข้าไทย และไม่มีใครแปลไทย (และน่าจะได้ลิขสิทธิ์อย่างยิ่งเพราะเชื่อว่าราคาไม่น่าจะแพง)
Shingeki no Kyojin เป็นเรื่องราวของโลกอนาคตข้างหน้าที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ใกล้จะสูญสิ้น เนื่องจากการบุกรุกโดยสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่เรียกว่า “ยักษ์” ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่ามนุษย์หลายร้อยเท่า มันไม่ค่อยมีสติปัญญา แต่มันโหดเหี้ยม พละกำลังมาก และมันชอบกินมนุษย์ มันกินมนุษย์จนเกือบหมดโลก เพื่อความอยู่รอดทำให้มนุษย์บางส่วนจำเป็นต้องกักขังตัวเองเองด้วยกำแพงสูง(สูงกว่ายักษ์)ล้อมรอบเมืองตนเองเอาไว้ เพื่อป้องกันยักษ์ดังกล่าว
จนกระทั้งร้อยปีต่อมา เด็กหนุ่มชื่อเอเรน เจเกอร์ และน้องสาวบุญธรรมชื่อ มิกาซ่า เอคเคอร์แมน ทั้งคู่อยู่กันอย่างมีความสุขในเมืองที่อารมณ์เหมือนในการ์ตูนแฟนตาซียุคกลาง จนกระทั้งวันหนึ่งทั้งสองก็พบฝันร้ายเมื่อได้เห็นเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัว กำแพงที่เคยปกป้องเมืองได้ถูกทำลายลงด้วยน้ำมือของอภิยักษ์ตนหนึ่ง "ชื่อไททัน" และเมื่อกำแพงพังลงเหล่ายักษ์ทั้งหลายก็บุกเข้ามาในเมืองและกินคนไปจำนวนมาก ทั้งสองคนได้พยายามหนีเอาตัวรอด และทั้งสองก็ได้เห็นแม่ของตนถูกกินทั้งเป็น ด้วยความแค้นเอเรน จึงได้สาบานว่าเขาจะสังหารยักษ์ทุกตัวที่พบเพื่อแก้แค้นแทนมนุษยชาติ
หลายปีต่อมาเอเรนและมิกาซ่า ได้กลายเป็นทหารมนุษย์ฆ่ายักษ์ระดับแนวหน้า โดยทหารมนุษย์เป็นหน่วยจัดตั้งขึ้นเพื่อฆ่ายักษ์โดยเฉพาะ (นอกจากนี้ยังมีหน้าที่ออกนอกเมืองเพื่อติดต่อกับเมืองอื่นๆ เพราะข้างนอกเต็มไปด้วยยักษ์) แต่ละคนจะมีเครื่องมือทันสมัยมาช่วยเหลือให้เคลื่อนไหวดีขึ้น เช่น ใบมีด ร้องเท้าที่สามารถเหาะเดินอากาศได้ ไรก็ตามแค่ศึกแรกเอเรนกับพรรคพวกก็ถูกเหล่ายักษ์เล่นงานจนสะบัดสะบอม และอาเรนก็ยังถูกพวกยักษ์ตัวหนึ่งกิน ระหว่างที่อาเรนกำลังสิ้นหวังในท้องของยักษ์นั่นเองจู่ๆ ก็มีการเปลี่ยนแปลงร่างกายของเขาเกิดขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้มนุษย์ชาติสามารถชนะพวกยักษ์หรือไม่ก็ติดตามตอนต่อไป
เอเรน เจเกอร์ ตัวเอกของการ์ตูนเรื่องนี้ ค่อนข้างเป็นคนห่าม ใจร้อน มีอุดมการณ์รุนแรง แต่รักเพื่อนพ้องสูง มีความมุ่งมั่นที่จะฆ่าไททัน เคยเข้าเรียนโรงเรียนมนุษย์ทหาร และจบออกมาเป็นอันดับที่ 5 ของชั้นเรียน ตอนเป็นเด็กเคยถูกพ่อเอาเข็มฉีดอะไรแปลกๆ เข้าไปในร่างกาย ทำให้มีความสามารถแปลกๆ คือสามารถเรียกและควบคุมไททันที่มีความสูงถึง 15 เมตรได้(ให้นึกถึงอุลตร้าแมนตอนแปลงร่าง)
มิกาซ่า เอคเคอร์แมนนางเอกและเป็นน้องสาวบุญธรรมของตัวเอก ที่เอเรนช่วยเหลือเธอจากพวกลักพาตัวหลังจากที่ทำการฆาตกรรมครอบครัวของเธอ และหลังจากเหตุการณ์นั้นทำให้เธอกลายเป็นคนสงบเงียบ ใจเย็น เป็นนักเรียนดีเด่นจากโรงเรียนทหารมนุษย์ที่จบการศึกษาด้วยคะแนนอันดับ 1 ของชั้น มีความเก่งกล้าสามารถ อีกทั้งยังควบคุมอารมณ์ไม่หลงไปตามสถานการณ์(และคอยยับยั้งอารมณ์ของเอเรนด้วย) จนกลายเป็นมนุษย์ทหารที่ดีเยี่ยมแข็งแกร่งกว่าชายร้อยคนเลยทีเดียว (พูดตรงๆ คือ เธอเท่มาก)
อาร์มิน เพื่อนสนิทของเอเรนและมิกาซ่า เรียนในโรงเรียนมนุษย์ทหารเช่นเดียวกัน แต่ไม่เก่งเท่าทั้งสอง เลยเรียนเน้นวางกลยุทธ์แทน เป็นคนอ่อนแอถูกแกล้งตั้งแต่ยังเด็ก ทำให้เกลียดตนเองที่ต้องพึ่งพาเอเรนและมิกาซ่า อยู่เรื่อย
ยักษ์ สัตว์ประหลาดคู่ปรับของเหล่าพระเอกในเรื่องนี้ โดยพวกมันตัวใหญ่อย่างต่ำ 3 เมตร ในขณะที่บางตัวสูงถึง 15 เมตร ปัจจุบันไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับตัวมันมากนัก รู้แต่ว่ามันไม่ค่อยมีสติปัญญา ชอบยิ้มหัวเราะตลอดเวลา ชอบกินมนุษย์เป็นอาหาร ไม่มีอวัยวะเพศ นอกจากนั้นยังมีพลังการฟื้นตัวสูง จุดอ่อนมันอย่างเดียวคือต้นคอของมันเท่านั้น (ปล. ทำไมยักษ์หลายตัวหน้าเหมือนคนเขียนบทความเรื่องนี้ตอนเปลือยกายว่ะ)
ลำดับเวลาเหตุการณ์
738 : พวกยักษ์กินมนุษย์จนมนุษย์เกือบจะสูญพันธุ์ แต่กระนั้นก็มีมนุษย์บางส่วนที่รอดจากในกำแพงเมือง “มาเรีย”
745 : พวกยักษ์ไม่สามารถเจาะผนังยักษ์ได้ และประชากรมนุษย์สามารถอยู่อย่างสงบไปอีก 100 ปี
844 : เอเรนช่วยเหลือมิกาซ่า จากพวกลักพาตัวหลังจากที่ทำการฆาตกรรมครอบครัวของเธอ
845 : ยักษ์ไททันซึ่งเป็นยักษ์สูงเกิน 50 เมตรชั้น ปรากฏตัวขึ้นและทำลายกำแพงส่วนหนึ่งของมาเรีย
847 : เอเรนกับมิกาซ่าและอาร์มินเริ่มฝึกฝนตัวเองในโรงเรียนมนุษย์ทหาร
850 : เวลาปัจจุบัน
อย่างที่ผมบอกไว้ตอนต้นว่าการ์ตูนเรื่อง Shingeki no Kyojin ได้สร้างปรากฏการณ์เซอร์ไพรส์ในแผงการ์ตูนญี่ปุ่นครับ ทั้งที่เป็นการ์ตูนโนเนม นักเขียนโนเนม อายุเพียง 20 ปีเท่านั้น (คนเขียนการ์ตูนเรื่องนี้เกิดเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 1986) แต่กับติดชาร์ทการ์ตูนขายดีอันดับ 1 ไปครองอย่างน่าเหลือเชื่อ (สถิตจาก 11-17 เมษายน วางแผงเล่มสี่) ซึ่งปลายปีที่แล้วตอนวางแผงเล่ม 1 ครั้งแรกการ์ตูนก็ติดชาร์ทหนึ่งในสิบมาโดยตลอด
ทำไมการ์ตูนเรื่องนี้ถึงขายดี หลังจากที่ผมพิจารณาเนื้อหาและองค์ประกอบของการ์ตูนแล้ว พบว่าเนื้อหาการ์ตูนนั้นไม่ได้แตกต่างไปจากการ์ตูนทั่วไปแต่อย่างใด โดยเนื้อหาการ์ตูนเกี่ยวกับพวกพระเอกได้เข้าโรงเรียนหรือสังกัดองค์กรอะไรสักอย่างเพื่อรับมือกับสัตว์ประหลาดหรือทำภารกิจย่อยต่างๆ และมีฉากย้อนอดีตขั้นเรื่องราว ซึ่งพล็อตแบบนี้สามารถพบเห็นได้ทั่วไปและพิมพ์นิยม ส่วนลายเส้นนั้นเป็น ลายเส้นหยาบๆ ไม่สวยงามอะไรเลย บางส่วนผิดเพี้ยนด้วยซ้ำ และเป็นเพราะอะไรที่ทำให้การ์ตูนเรื่องนี้มีคนติดตามกันมากคำตอบที่ผมคิดได้ตอนนี้ก็คือการ์ตูนเรื่องมีนี้มี “การเรียบเรียงเนื้อหา” และ มี“จุดไคลแมกซ์” ได้ใจผู้อ่าน(ผม)หลายฉาก
กลอุบายการเขียนการ์ตูนให้สนุกนั้นจะวางเนื้อหาให้อยากติดตามในตอนต่อไป การตัดจบตอนต้องเจ๋ง และมีการเพิ่มความสนุกในเล่มต่อไปขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นกลอุบายที่ใช้ได้ผลมานักต่อนัก แต่อย่างไรก็ตามทุกวันนี้มีการ์ตูนหลายเรื่องที่ตีโจทย์พวกนี้ไม่แตก ทำให้เนื้อหาการ์ตูนเสียคุณค่า ยิ่งเพิ่มเนื้อหายิ่งออกทะเล ความสนุกลดลงไปเรื่อยๆ จนหลายคนเบื่อหน่ายถึงกับเลิกอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นเลยนั้นๆ ไปเลยก็มี
สิ่งสำคัญที่ทำให้การ์ตูนสนุกไม่ใช่พล็อตที่แปลกใหม่หรือลายเส้น หากแต่อยู่ที่กลวิธีการเล่าเรื่องและการเรียบเรียงเนื้อหาผู้อ่านสามารถติดตามการ์ตูนเรื่องนั้นได้ๆ เรื่อยๆ โดยไม่ทำลายหลักการพื้นฐานของการ์ตูนลง การเขียนการ์ตูนก็เหมือนการเขียนนิยาย จะต้องกำหนดพล็อต โครงเรื่องให้ซับซ้อน สับสน( แต่ไม่ใช่ดูแล้วไม่รู้เรื่อง) ทำให้มีหลายมิติ การสร้างสถานการณ์ทำให้พระเอกและนางเอกเลวร้ายอันตรายย้ำแย่ไร้ทางรอด แต่แล้วก็ได้เกิดอะไรบางอย่างที่ทำให้รอดสถานการณ์นี้ได้อย่างหวุดหวิด นอกจากนี้ยังต้องสร้างปริศนาเผยเรื่องราวที่ละนิดไม่ปล่อยมาจนหมด สร้างความอยากรู้อยากเห็น สร้างความประหลาดใจให้แก่คนอ่าน เล่นกับคนอ่าน การใช้ฉากย้อนอดีตหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต้องทำอย่างฉลาดรู้ว่าควรออกตอนไหน ไม่ออกตอนไหน และสุดท้ายการต้องทำให้เรื่องราวน่าเชื่อถือ สมเหตุสมผลเพื่อให้คนอ่านรับได้ด้วย
สำหรับลายเส้นนั้น คนเขียนเลือกใช้ลายเส้นดิบเถื่อน อันเป็นลายเส้นที่นิยมนำมาใช้ในการ์ตูนแอ็คชั่น ที่สื่ออารมณ์ ดิบ เถื่อน ไม่ต้องตกแต่ง หรือลีลาอะไรมาก เน้นความรวดเร็ว และความมันของการวาดเป็นหลัก ซึ่งสื่อให้เห็นภาพแห่งหายนะ ความสิ้นหวัง ความลึกลับ ความซับซ้อนได้เป็นอย่างดี จากการสัมภาษณ์ของคนเขียน คนเขียนได้บอกว่านักเขียนที่เป็นแรงบันดาลใจของเขาคือ Tsutomu Nihei (ผลงานสร้างชื่อ Biomega) นอกจากนี้ยังมีอีกหลายคน เช่น Miura Kentarou (ผลงานสร้างชื่อ Berserk)} Arai Hideki (ผลงานสร้างชื่อ Kiichi!!), Minagawa Ryoji (ผลงานสร้างชื่อ Spriggan) ซึ่งนักเขียนที่กล่าวมาทั้งหมดล้วนลายเส้นดิบเถื่อน เต็มไปด้วยความรุนแรง จึงไม่แปลกแต่อย่างใดที่ผลงานของคนเขียนคนนี้จะได้รับอธิบายจากตัวอย่างดังกล่าวไม่มากไม่น้อย
ความรู้สึกที่ผมอ่านการ์ตูนเรื่องนี้ก็คือการ์ตูนสอบผ่านด้วยดี ทำให้ผมได้มีอารมณ์ร่วม สิ่งที่ชอบก็มีหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างโลกอนาคตที่อารยธรรมหมุนกลับไปยังยุคกลาง แทนที่จะสร้างให้มันเป็นโลกล้ำยุคอย่างที่หลายคนทำ อีกทั้งตัวละครแต่ละตัวมีมิติ โดยตัวละครที่ผมชอบอย่างมิกาซ่าก็เป็นตัวละครหญิงที่มีมิติและบทบาทของเธอน่าสนใจ เวลาที่เธออกเมื่อไหร่ ผมค่อนข้างมีความรู้สึกสบายอกสบายใจ เธออยู่ที่ไหนก็ปลอดภัยเมื่อนั่น เพราะเธอมีความเป็นผู้นำ เก่งกาจ ให้ประโยชน์ส่วนรวมมาก่อน คนอื่นก็เชื่อถือ
สิ่งที่ชอบก็คือการ์ตูนเรื่องนี้สร้างฉากไคลแม็กซ์ (Climax) หรือจุดสำคัญสูงสุด(หรือจุดเปลี่ยน)ของเหตุการณ์ได้ดีเยี่ยม ผมอ่านแล้วรู้สึกชอบ พูดถึงฉากไคลแม็กซ์หลายคนมักนึกถึงฉากใกล้จบที่เป็นฉากการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของพระเอกกับผู้ร้ายที่เป็นหัวหน้าใหญ่มากกว่า ความจริงแล้วฉากไคลแม็กซ์ไม่จำเป็นต้องเป็นฉากจบเรื่อง ในการ์ตูนสามารถนำฉากไคลแม็กซ์มาไว้ตอนต้นเรื่อง หรือฉากใกล้จบตอนก็ได้ โดยฉากไคแม็กซ์ก็คือจุดตื่นเต้น จุดลุ้นของเรื่องที่เน้นความรู้สึกอารมณ์ของตัวละครในเรื่องถึงที่สุด การเติบโตของตัวละคร การสร้างอารมณ์ เช่นฉากที่อาเรน (ในร่างยักษ์) ช่วยมิกาซ่าจะยักษ์ได้ทันถ้วนที หรือฉากอาร์มินร้องขอหัวหน้าให้ไว้ชีวิตอาเรน เป็นต้น
จะว่าไปฉากที่ผมชอบที่สุดในการ์ตูน คือเป็นฉากความสัมพันธ์ระหว่างมิกาซ่ากับเอเรนเสียเป็นส่วนมาก แม้ในการ์ตูนอาเรนจะเป็นคนที่ไม่ค่อยเอาไหน และทำอะไรตามอารมณ์ (แถมเกรียนอีกต่างหาก ตอนแปลงร่างเป็นยักษ์และสติไม่อยู่ตัวนี้ เล่นเอาผมหมดแรง) แต่กระนั้นชายคนนี้กลับเป็นคนสำคัญของมิกาซ่า พวกเขาไม่ได้เป็นเพียงแค่เพื่อนสมัยเด็ก ครอบครัว หรือคนรักกันธรรมดา พวกเขาเป็นมากกว่านั้น ทั้งคู่ผ่านสถานการณ์ที่คล้ายกัน พบสิ่งที่สูญเสียเหมือนกัน ฆ่าคนด้วยกันก็ทำมาแล้ว จึงไม่แปลกแต่อย่างใดที่สายสัมพันธ์ของทั้งสองนั้นเป็นได้มากกว่าความรัก แม้ว่าในการ์ตูนจะไม่มีฉากเลิฟซีน หรือฉากกอดจูบอะไรแต่ แต่สิ่งที่ทั้งสองแสดงออกซึ่งกันและกันนี้ดูก็รู้ว่าเป็นได้มากกว่าเพื่อน เช่น อยากมิกาซ่าพยายามระงับอารมณ์เหมือนรู้ข่าวว่าอาเรนถูกยักษ์กิน และยังเรียกกำลังใจให้เพื่อนพ้อง แม้ภายนอกจะดูเหมือนเข้มแข็งแต่ความจริงแล้วก็เป็นผุ้หญิงคนหนึ่ง หรือจะฉากมิกาซ่าช่วยเหลืออาเรนในตอนฝึกเป็นทหารมนุษย์ใหม่ๆ และมิกาซ่า(และอาร์มิน)ปกป้องเอเรนตอนคนอื่นรู้ว่ามันเป็นพลังเรียกยักษ์ เป็นฉากที่ผมชอบที่สุด แสดงให้เห็นว่าแม้ว่าอาเรนจะเป็นตัวอะไรก็ตาม แต่สายใยความผูกพันธุ์มันตัดไม่ขาด ต่อให้คนทั้งโกเป็นสัตรูกับอาเรนแต่เธอขอเชื่อใจเขาจนหยดสุดท้าย
สิ่งที่ผมชอบก็คือยักษ์ในเรื่อง ที่ค่อนข้างแปลกไปกว่ายักษ์ในการ์ตูนเรื่องอื่นๆ ที่นอกจากไททันในเรื่องแล้ว ยักษ์เกือบทุกตัวในเรื่องออกแบบเหมือน “คนปัญญาอ่อน” รูปร่างอ้วนเปลือยกาย ซึ่งแตกต่างจากยักษ์เรื่องอื่นๆ ที่ดูเท่ มากกว่า แต่อย่างไรก็ตาม แทนทีมันจะขบขัน แต่กลายเป็นว่ามันน่ากลัว สยองขวัญ ระทึกขวัญ ขนาดบางคนเห็นคนปัญญาอ่อนธรรมดายังกลัวเลย นับประสาอะไรกับคนปัญญาอ่อนระดับบิ๊กยักษ์แถมมีนิสัยชอบกินคนอีก ชนิดว่า ใครเห็นยักษ์ดังกล่าวสู้ฆ่าตัวตายดีกว่าจะถูกตัวบ้าแบบนี้จับกิน นอกจากนี้ด้วยรูปลักษณ์ดังกล่าวทำให้เราสะใจในการฆ่ามันด้วยเพราะมันไม่มีจุดทำให้สงสารมันเลย แต่ให้จับมันทรมานก็ถือว่าสาสมแล้ว
หลายๆ คนอาจจะบ่นว่าไม่ชอบการ์ตูนเรื่องนี้ตรงที่พระเอกมีพลังอิทธิฤทธิ์อิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ง่ะ มีอย่างที่ไหนสามารถเรียกยักษ์มารวมร่างได้ มันไม่ค่อยสมจริง และลดความตื่นเต้นของการต่อสู้ลง อันนี้ผมไม่เห็นด้วยครับ เพราะดูจากการ์ตูนก็เห็นได้ชัดเลยว่าคนเขียนตั้งใจให้พระเอกมีพลังนี้แต่แรกแล้ว และคนเขียนก็คงนึกเนื้อหาในอนาคตข้างหน้าได้ว่าควรเป็นเช่นไร ไม่ได้จับยัดหรือนึกแล้วเขียนโดยไม่วางบทเหมือนการ์ตูนบางเรื่อง (แขวะการ์ตูนเรื่องอะไรหว่า) แถมผมว่าพระเอกมีพลังแบบนี้ดีด้วยซ้ำ เพราะมันมีอะไรให้เล่นเยอะดี ตอนอัดยักษ์นี้ทำได้มันพับผ่า ช่วงหลังๆผมยังลุ้นเลยว่าพระเอกจะแปลงร่างตอนไหน
สิ่งสุดท้ายที่ทำให้การ์ตูนเรื่องนี้ประสบผลสำเร็จ ก็คือเป็นการ์ตูนที่ทำให้ผู้อ่านรู้สึกถึงบรรยากาศเอาชีวิตรอดค่อนข้างมาก ผู้อ่านสามารถลุ้นไปกับทุกตัวละครแม้แต่ตัวประกอบ บางตัวละครเห็นมาหลักๆ ยิ้มกับเมื่อฉากที่แล้ว พอฉากต่อมากับตายอย่างอนาถ แถมยังมีฉากย้อนอดีตไปด้วยว่าตัวละครแต่ละตัวร่วมทุกข์ร่วมสุขกันยังไงบ้าง ทำให้ตัวประกอบไม่ได้ไร้ค่าเหมือนการ์ตูนเรื่องอื่นๆ ยิ่งฉากที่คนเป็นต้องมาเก็บศพเพื่อนของตนเอง ทำแล้วได้อารมณ์ของภาพยนตร์สงครามเรื่องดีๆ เรื่องหนึ่งเลยทีเดียว
สิ่งที่การ์ตูนเรื่องนี้ขายดีอีกอย่างก็คือการเล่นอะไรที่ใหญ่โตและเป็นศัตรูกับเรา ทางจิตวิทยาแล้วมนุษย์ชอบเอาชนะสิ่งที่ใหญ่กว่าตัวเรามาก ในสมัยโบราณมนุษย์ชอบล่าปลาวาฬที่ใหญ่กว่าตัวเรา ปัจจุบันเองภาพยนตร์ที่อะไรใหญ่ๆ เป็นศัตรูกับมนุษย์ก็ขายดีมากไม่ว่า ฉลามยักษ์ ลิงยักษ์ สัตว์ประหลาดนยักษ์ กระต่ายยักษ์ก็มีมาแล้ว สิ่งเหล่านี้เอามาเล่นแล้วขายดีทุกครั้ง และพล็อตส่วนใหญ่จะเป็นแนวการล้างแค้นพวกสัตว์ยักษ์ของตัวเอกง ที่สัตว์ยักษ์นั้นฆ่าครอบครัวตัวเองอย่างโหดเหี้ยม และตัวเอกพยายามฆ่าสัตว์ยักษ์เหล่านี้ทุกวิธีการ ซึ่งพล็อตดังกล่าวทำให้คนดูตื่นเต้นมากขึ้นว่าตัวเอกจะชนะสัตว์ยักษ์เหล่านี้ได้อย่างไร ทั้งที่ดูแล้วสัตว์ยักษ์เหล่านั้นเก่งกว่าตัวเอกหลายเท่า จนกลายเป็นพล็อตน้ำเน่าของภาพยนตร์สัตว์ยักษ์ทั้งหลายในเวลาต่อมา แม้ว่าพล็อตจะน้ำเน้าแต่ก็สามารถนำไปใช้ได้หลายครั้ง จะว่าไปก็เหมือนการ์ตูนญี่ปุ่นแนวสู้กับสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์ก็มีหลายเรื่อง มีการเพิ่มมีปมอะไรมากมายนอกเหนือจากความแค้นใส่เข้าไปให้ตัวละครต่างๆ ให้มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันมากขึ้น เช่น ประเด็นแห่งความแค้นของอาเรนที่ต้องการแก้แค้นพวกยักษ์ ที่ค่อนข้างเหมือนตัวละครตัวหนึ่งชื่อ “กัปตันอาฮับ” จากเรื่อง โมบีดิ๊ก (Moby Dick) เป็นวรรณกรรมอเมริกันที่เขียนโดยเฮอร์แมน แมลวิลล์ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1851 ซึ่งเป็นเรื่องราวผจญภัยของกัปตันอาฮับที่ตามไล่ล่าปลาวาฬเผือกยักษ์โมบีดิ๊กที่ทำลายเรือของเขาและมันกัดขาข้างหนึ่งไป สุดท้ายกัปตันอาฮับก็ตายโดยไม่สามารถเอาชนะสัตว์ยักษ์ใหญ่นี้ได้เลย แถมลากพวกที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวไปตายอรก แต่เรื่องของกัปตันอาฮับนั้นไม่เหมือนกับกรณีของอาเรน ที่อาเรนไม่ได้เป็นคนแค้นคนเดียว เพราะเขามีคนอื่นๆ ที่แค้นพวกยักษ์เหมือนกัน มันไม่ใช่การแก้แค้นของเขาคนเดียว แต่อย่างไรทั้งสองก็ตามข้อคิดเหมือนกันก็คือ "บางครั้งมนุษย์เราก็อยากจะเอาชนะในสิ่งที่เราไม่ชนะอะไรได้"
ยังมีต่อสิ่งที่น่าคิดในการ์ตูนเรื่องนี้ คือการ์ตูนได้เปลี่ยนฐานะของมนุษย์จากผู้ไล่ล่า มาเป็นผู้ถูกล่า ทั้งที่ผ่ายตรงข้ามเก่งแต่ขนาดตัวและพละกำลัง แต่สติปัญญาเป็นรอง (ไม่แน่ในอนาคตอาจมียักษ์ฉลาดเจ้าแผนการก็ได้) เหมือนเป็นการแก้แค้นว่าอดีตเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้ฆ่าเผ่าพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่กว่าตน (ลิงยักษ์?) จนสูญพันธ์ไป และนับจากนั้นเป็นต้นมามนุษย์เราก็ได้เจ้าโลก แม้ว่ามนุษย์เราจะอ่อนแอ แต่พวกเขามีอาวุธก็คือสมอง และการเข้าสังคมที่ดีกว่าสัตว์อื่นๆ อย่างไรก็ตามจิตใจของมนุษย์นั้นยังต้องการเอาชนะสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลกอยู่วันยังค่ำ ต้องการเอาชนะธรรมชาติ ต้องการเอาชนะวัฏจักรของชีวิต แม้ว่ามนุษย์จะมีสมองล้ำเลิศ หรือเป็นสัตว์สังคมเกื้อกูลกัน แต่สุดท้ายมนุษย์ก็พ่ายแพ้ต่อสิ่งเหล่านี้ สาเหตุก็เนื่องจากหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการไม่พิจารณาตนเอง การใช้อารมณ์ความแค้นมากว่าใช้ปัญญา ไม่เข้าใจถึงความยิ่งใหญ่ของฝ่ายตรงข้าม สุดท้ายก็ตายไปอย่างไร้ประโยชน์ เหมือนการที่มนุษย์พยายามต่อสู้กับยักษ์ในเรื่อง
ความจริงแล้วเนื้อหาการ์ตูนมีความคล้ายกับภาพยนตร์แอ็คชั่นไซไฟเรื่องโปรดของผมเรื่องหนึ่ง คือเรื่อง Starship Troopers (1997) หรือเชื่อไทยสงครามหมื่นขาทะลุจักรวาล(เฉพาะภาคแรก ส่วนภาคต่อมาห่วยหมด) ซึ่งสร้างจากนิยายชื่อเดียวกัน โดยเป็นเรื่องราวของสงครามกับมนุษย์และแมลงที่เนื้อหามีอะไรมากกว่าบู๊กระจาย ดูเผินๆ เนื้อหาจะเต็มไปด้วยเพื่อนรัก มิตรภาพ และการฝากความหวังแก่คนรุ่นใหม่ในอนาคต แต่ความจริงแล้วเนื้อหากลับเต็มไปด้วยสังคมและการเมืองที่ส่งเสริมลัทธิทหารจนถึงขั้นฟาสซิสต์ การโฆษณาชวนเชื่อ การหลอกให้หนุ่มสาวไปตายเพื่ออุดมการณ์ทางการเมืองและผลประโยชน์แก่ผู้มีอำนาจ
Shingeki no Kyojin ก็เช่นกัน ที่เนื้อหาภายนอกเหมือนฝากอนาคตให้แก่เด็กรุ่นใหม่ ไม่ว่าจะเป็น มิตรภาพ วัยต่อต้าน ความรักที่เต็มไปด้วยปัญหา ความรักที่หายไป ฯลฯ สอดแทรกเป็นระยะ และเมื่อถึงช่วงฆ่ายักษ์และช่วงอาเรนรู้ตัวว่ามีพลังวิเศษเนื้อหาการ์ตูนก็ขยายเป็นวงกว้างขึ้น และเริ่มมีประเด็นทางการเมืองมาเพิ่มเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ การส่งเสริมลัทธิทหาร การแบ่งวรรณะด้วยใช้ยศเป็นเครื่องตัดสิน ทหารที่เก่งมีประสบการณ์มาก (พวกที่มีตราเป็นปีก) จะได้รับอภิสิทธิในการบรรจุในกองทหารองครักษ์ คุ้มครองพวกราชวงศ์ในกำแพงในสุด ส่วนหน้าที่หน่วยกล้าตายกลับเป็นเด็กทหารที่ไม่มีประสบการณ์หรือก หรือการสู้รบใดๆ ทั้งสิ้น ผลคือการพาเด็กเหล่านั้นไปตายแบบไร้ประโยชน์ (ที่น่าสังเกตก็คือเวลาที่หายไปหลายปีที่ผ่านมา พวกมนุษย์ไม่มีเวลาที่จะคิดค้นอาวุธในการต่อสู้พวกยักษ์เลยเหรอ ทั้งๆ ที่ตอนเล่ม 2 เราเห็นรถถังหรือเครื่องจักรใหญ่ๆ บริเวณกำแพงชั้นใน แต่รถถังดังกล่าวกลับไม่นำมาใช้ฆ่าพวกยักษ์เลย กลับใช้พวกปืนใหญ่หรือพวกไต่เขาแทน แสดงให้เห็นว่าพวกคนใหญ่คนโตได้แอบซุกอาวุธเหล่านี้เอาไว้ไม่ให้คนภายนอกรู้หรือเปล่า?)
สรุปคือ การ์ตูนเรื่องนี้น่าสนใจ แม้ว่ามันอาจไม่ใช่การ์ตูนมังงะที่ดีที่สุด หรือเป็นการ์ตูนที่ไม่ได้เนื้อหาที่แปลกใหม่อะไร สัดส่วนตัวละครอาจเพี้ยนๆ ไปบ้าง เน้นแอ็คชั่นบู๊กระจาย (ที่เรียบง่ายแต่สนุก) หรือมิตรภาพเพื่อนฝูงค่อนข้างมาก มีฉากสลับอดีตและปัจจุบันค่อนข้างมาก(พูดง่ายๆ คือฉากย้อนอดีตค่อนข้างเยอะ) และเนื้อหาที่มีสิทธิจากขยายวงกว้างมากขึ้น แต่กระนั้นก็เป็นการ์ตูนที่ดูแล้วไม่น่าเบื่อ เพราะดำเนินเรื่องตามแบบแผนที่ดี ซึ่งมันอาจทำให้หลายคนรับไม่ได้บ้าง(ก็ต้องเตรียมทำใจในอนาคตด้วย) แต่ส่วนตัวแล้วผมกลับชอบความสัมพันธ์ระหว่างเอเรนและมิกาซ่าเสียมากกว่า ซึ่งถือว่าเป็นจุดผ่อนคลายและจุดสนุกของเรื่องมากกว่าแอ็คชั่นสู้กับยักษ์เสียอีก เอาเป็นว่าใครชอบการ์ตูนประเภททีมล่าสังหาร บู๊กระจาย มันๆ ก็แนะนำเรื่องนี้ล่ะกัน
+ +
ความคิดเห็น