ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดูการ์ตูนอย่างแมว ๆ

    ลำดับตอนที่ #135 : 10 ภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพิกซาร์

    • อัปเดตล่าสุด 5 มิ.ย. 54



     

                    พูดตามตรงนะครับ ช่วงนี้หมดมุกที่จะเขียนการ์ตูน เพราะว่าการ์ตูนที่ชอบยังไปไม่ถึงไหน มังงะชอบกล่องภูตพลาย อักขะสยบมาร รักนี้เหมียวจัดให้ แต่ยังไม่เตรียมใจที่จะเขียนเพราะสองเรื่องแรกยังออกไม่กี่เล่ม ส่วนรักนี้เหมียวจัดให้นี้ขอตอนหน้าดีกว่า ส่วนอนิเมชั่นก็ Denpa Onna to Seishun Otoko, C - The Money of Soul and Possibility Control และ Ano Hi Mita Hana no Namae o Bokutachi wa Mada Shirana  ผมอยากจะเขียนให้มันเต็มๆ จนถึงตอนใกล้จบมากกว่าส่วนบทความเกี่ยวกับ Cammy นั้นก็ไม่มีเวลาจะเขียน ดังนั้นตอนนี้ก็ดูจัดอันดับอีกครั้งดีกว่านะครับ

     

    10 อนิเมชั่นจอแก้วญี่ปุ่นที่ผมชอบสุดๆ(ที่ To Love Ru ไม่ติดเพราะผมชอบมังงะมากกว่า)

    10. Fullmetal Alchemist ภาคแรกนะครับ ไม่ใช่ภาคสอง

    9. Steins;Gate ดูมา 10 รอบ งง ทุกรอบ สนุกเพราะ งง

    8. Bounen no Xamdou ชอบนางเอกที่บุกน้ำลุยไฟเพื่อตามหาพระเอก

    7. Sora no Otoshimono รักนิมพ์ ชอบนิมพ์ อย่ารังแกนิมพ์น่ะ

    6. Overman King Gainer เป็นเรื่องแรกที่ดูซับที่ไม่ใช้ภาษาอังกฤษและไทย แต่เป็นภาษาสเปน(พระเจ้า)

    5. Lain พระเจ้าเลน นางเอกสาวเงียบที่น่ากลัวที่สุดในโลก

    4. Denpa Onna to Seishun Otoko เรื่องล่าสุดเลย สนุกมากๆ ชอบตรงคุยทั้งเรื่องนี้แหละ

    3. Elfen Lied เฉพาะอนิเมชั่นนะครับ มังงะนั้นเซ็งสุดๆ(ในหลายความหมาย)

    2. Utawarerumono พระเอกน่ารักอ่ะ(เสียงโก๊ะตี๋)

    1. Maburaho ฮาเร็มที่ดีควรเป็นแบบนี้


                   
    พิกซาร์(Pixar) เป็นสตูดิโอสัญญาติอเมริกาที่สร้างแต่คอมพิวเตอร์แอนิเมชั่น สาขาใหญ่อยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งสตูดิโอที่มีชื่อเสียง ได้รับรางวัลมากมาย  รางวัลออสการ์มีถึง 26 รางวัล ลูกโลกทองคำมี 7 รางวัล จากผลงานอนิเมชั่นที่สร้างออกมา แต่กว่าจะถึงวันนั้น พิกซาร์ ต้องผ่านร้อนผ่านหนาว ลองผิดลองถูกหลายครั้ง กว่าจะเป็นถึงทุกวันนี้ โดยตามประวัติ พิกซาร์ เริ่มต้นในปี 1979 ครั้งหนึ่งเคยอยู่สังกัดลูคัสฟิล์ม บริษัทเดอะวอลต์ดิสนีย์ได้เข้าซื้อกิจการของพิกซาร์เมื่อวันที่ 24 มกราคม ค.ศ. 2006 ด้วยวิธีแลกหุ้น การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้มีมูลค่า 7.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ และเสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม ในปีเดียวกัน ก่อนที่จะผลิตการ์ตูนอนิเมชั่นสุดยอดอย่างทอยสเตอรี่จนโด่งดังมีชื่อเสียงไปทั่วโลก กลายเป็นบรรทัดฐานอนิเมชั่นการ์ตูนจนถึงปัจจุบัน

    ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน พิกซาร์ได้สร้างโลกแห่งจินตนาการ แฟนตาซี  ที่เต็มไปด้วยความสร้างสรรค์ ข้อคิดต่างๆ มากมาย จนด้วยภาพการเคลื่อนไหวที่สมจริง สวยงาม  ทันสมัย ที่พิกซาร์มีชื่อเสียงจากการสร้างภาพยนตร์แอนิเมชันแบบ 3 มิติ CGI (มาย่อมาจาก Computer-generated imagery คอมพิวเตอร์สร้างภาพ)  และเทคโนโลยีการสร้างภาพคอมพิวเตอร์ 3 มิติระดับสูง โดยมีซอฟต์แวร์ในการเรนเดอร์ที่มีชื่อเสียงคือ RenderMan  ทำให้สตูดิโอดังกล่าวยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีการ์ตูนอนิเมชั่นมากมาย  และนี้คือ 10 อันดับภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด Pixar ที่เรารู้จักเป็นอย่างดี

     

    10. A Bug's Life

      

    A Bug's Life หรือ ตัวบั๊กส์ หัวใจไม่บั๊กส์ เป็นภาพยนตร์อนิเมชั่นวอลท์ดีสนีย์ ฉายในปี 1998 เป็นเรื่องที่สองของดีสนีย์และพิกซาร์ต่อจาก Toy Story และเป็นภาพยนตร์เรื่องที่สามที่เป็นอนิเมชั่นเคลื่อนไหวที่สร้างโดยคอมพิวเตอร์ทั้งเรื่อง(ต่อจาก Toy Story และ Antz)

    A Bug's Life เป็นภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากนิทานอีสปเรื่องมดกับตั๊กแตน(หวังว่าหลายคนคงรู้จักกันนะครับ)  หากแต่ในอนิเมชั่นดังกล่าวกลายเป็นว่าตั๊กแตนกลายเป็นพวกทำนาบนหลังคน แถมไม่ใช่มีตัวเดียว มันมาเป็นฝูง(แก๊ง) โดยมันมักรังมด(ที่ตกเป็นอาณานิคมของเหล่าแมลง)เพื่อบังคับขอกินอาหารที่มดหามาให้ หากมดไม่ยอม มันจะใช้ความรุนแรงแก้ปัญหา  ทำให้มดต้องยอมตั๊กแตน และยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะเข้าใจว่าเป็นส่วนหนึ่งของชะตากรรม

    หากแต่กระนั้นในฝูงนกเหล่านั้น มีมดตัวหนึ่งที่ไม่ยอมรับซะตากรรม มันชื่อ ฟลิก มดแกะดำและเป็นเพียงมดแรงงานตัวเล็กๆ ที่อดทนไม่ไหวกับการกระทำอันป่าเถื่อนของตั๊กแตน ทำให้ฟลิกออกเดินทางไปโลกกว้างเพื่อรวบสมัครสมัครพรรคพวกชาวแมลง เพื่อลุกต่อกรกับฝูงตั๊กแตนเหล่านี้ และเมื่อฟลิกเดินทางเข้าไปในเมือง(ล้อเลียนนิวยอร์คซิตี้) พวกเขาก็พบฝูงแมลงกลุ่มหนึ่งที่ดูแข็งแกร่งและจิตใจกล้าหาญ ทำให้ฟลิกเชื่อสนิทว่าพวกเขาคือนักรบ ทั้งที่ความจริงแล้วกลุ่มแมลงเหล่านั้นเป็นเพียงแมลงนักแสดงในละครสัตว์เท่านั้น แล้วฟลิกกับพรรคพวกจะไปรอดหรือไม่!?

    A Bug's Life เป็นภาพยนตร์ที่สร้างความยิ่งใหญ่แก่สตูดิโอ Pixar อย่างแท้จริง เพราะทุนสร้างแค่ 60,000,000 ดอลลาร์ แต่กำไรได้ถึง 363,398,565 ดอลลาร์ ไม่เรียกว่ากำไรก็ไม่รู้จะว่าอะไรแล้ว แถมยังกลายเป็นเฟรนไซต์เป็นเอาตัวละครมาใส่สินค้าบูมไปพักใหญ่ เพราะตัวละครหลายตัวในเรื่องน่ารักน่าชัง โดยเฉพาะเจ้าหนอนอ้วนตัวฮ่าของเรื่องที่แย่งซีนขายดีกว่าตัวเอกในเรื่องเสียอีก

    A Bug's Life เป็นอนิเมชั่นภาพเคลื่อนไหวที่ได้รับยกย่องว่ายิ่งใหญ่ของ Pixar ในเวลานั้น เนื่องจากภาพที่สวยงามของภูมิทัศน์ในโลกของแมลง การดำเนินเรื่อง เนื้อหาดูเหมือนน่าเบื่อแต่ความจริงแล้วสนุกมาก โดยเนื้อหาของภาพยนตร์ยังสอดแทรกข้อคิดง่ายๆ สำหรับทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นความกล้าที่จะเผชิญปัญหา ความเห็นอกเห็นใจคนอื่น จริงไม่แปลกแต่อย่างใดที่ทำให้การ์ตูนเรื่องนี้ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างมาก

     

    9. Monsters, Inc

      

                    ขอบอกว่าการ์ตูนเรื่องนี้ผมชอบมาก(และน้องผมชอบเหมือนกัน) ผมชอบตรงฉากเครดิตตอนท้ายเรื่องครับ ฮ่าดี

    Monsters, Inc เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องที่สร้างชื่อแก่พิกซาร์ ฉายในปี 2001 งบแค่ 115,000,000 ดอลลาร์ แต่กำไรถึง 525,366,597 ดอลลาร์  ได้รับรางวัลออสการ์เพลงที่ดีที่สุด และถูกเสนอในสาขาต่างๆ แต่แพ้หมด เช่น เข้าชิง Best Animated Feature (แต่แพ้เชร็ค), เข้าชิง Best Music, Original Score(แต่แพ้เดอะลอร์ดออฟเดอะริง)

    Monsters, Inc มีเนิ้อหาดัดแปลงมาจากตำนานบูกี้แมน(ผีที่ชอบหลอกหลอนเด็กตอนเวลานอน) โดยเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่มิติคู่ขนานหนึ่งที่เรียกว่า มอนสโทรโพลิส ซึ่งเมืองแห่งนี้มีแต่สัตว์ประหลาดอาศัยอยู่ โดยเมืองดังกล่าวสามารถเชื่อมต่อกับห้องนอนของเด็ก(ทั่วโลก)ผ่านประตูเสื้อผ้าของพวกเขายามค่ำคืน โดยพวกสัตว์ประหลาดเหล่านี้จะออกมาหลอกหลอนเด็กให้ตกใจกลัวเพื่อเอาเสียงกรีดร้องของเด็กเป็นเปลี่ยนแหล่งพลังงานจ่ายไฟฟ้าแก่เมือง และโรงงานที่ผลิตเสียงกรีดร้องขนาดใหญ่ที่สุด ก็คือ Monster, Inc (หรือเอ็มไอ) ซึ่งเป็นที่รวมทีมสัตว์ประหลาดแถวหน้าในการใช้เทคนิคทำให้เด็กตกใจกลัวชั้นเซียนมากมาย ซึงปกติแล้วงานดังกล่าวพวกสัตว์ประหลาดถือว่าเป็นงานที่ยากที่สุดของพวกเขาเนื่องจากพวกเขาคิดว่าเหล่าเด็กนั้นเป้นตัวอันตราย มีพิษ หากสัตว์ประหลาดถูกเด็กจับจะทำให้ตนได้รับอันตรายถึงชีวิต  แต่กระนั้นที่บรัษัทแห่งนี้ก็มีพนักงานที่เก่งบริษัทแห่งนี้ก็คือเจมส์ พี ซัลลิแวน หรือ ซัลลีย์และผู้ช่วยของเขาสัตว์ประหลาดตัวเดียว ไมค์ วาโซว์ส ซึ่งพวกเขานั้นเป็นเพื่อนซี้กันและมีชีวิตเป็นสุข

    จนกระทั้งวันหนึ่งระหว่างที่พวกซัลลีย์ใช้ประตูเปิดสู่โลกมนุษย์แล้วกลับมาโลกของตน ปรากฏว่ามีเด็กมนุษย์เพศหญิงคนหนึ่งหลุดรอดมายังโลกของเขา ทำให้พวกซัลลีย์ต้องพาเด็กมนุษย์กลับไปยังโลกของเขาให้ได้

    ในด้านเบื้องหลังกว่าจะเป็นภาพยนตร์ดังกล่าว พิกซาร์ ได้นำเทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์แอนิเมชั่น ที่ทันสมัยที่สุดมาใช้ โดยใช้พลังงานคอมพิวเตอร์ไปถึง 2.5 ล้านเรนเดอร์มาร์ก (เป็นหน่วยวัดพลังงานคอมพิวเตอร์) ซึ่งแต่เดิม ภาพยนตร์แอนิเมชั่นอย่าง Toy Story 2 ใช้ไปแค่เกือบๆ 1.1 ล้านเรนเดอร์มาร์ก โดยการสร้างเส้นขนและเส้นผม ซึ่งมีแสงเงา ความหนาแน่น การให้แสง และการเคลื่อนไหวที่ประกอบกันเป็นภาพที่สมจริง และภาพยนตร์ดังกล่าวเป็นเรื่องแรก ที่ถูกสร้างขึ้นที่โรงงานแห่งใหม่ของ พิกซาร์ แอนิเมชั่น สตูดิโอ ในเอเมอรี่วิลล์, แคลิฟอร์เนีย และการเปิดตัวฉายของภาพยนตร์ดังกล่าวก็ตรงกับปีที่พิกซาร์เปิดดำเนินการมาครบ 15 ปี หลังจากที่มีการซื้อบริษัทแห่งนี้มาจากลูคัสฟิล์ม ในปี 1986 และดำเนินการมาในฐานะบริษัทอิสระ

     

    8. UP

      

    " UP ปู่ซ่าบ้าพลัง " พร้อมดันเป็น ผลงานชิ้นโบว์แดงเรื่องที่ 10 ของวอลท์ ดิสนีย์ พิกซาร์  Ckp.oxu 2009 ในแง่ความสำเร็จแล้วเรื่องก็กวาดรางวัลรางวัลออสการ์ ใน 2 สาขา คือ สาขาภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยม และสาขาดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ในงานประกาศผลรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 82 และได้รับเลือกให้เป็นภาพยนตร์เปิดตัวในงาน เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ 2009 ทุนสร้างแค่ 175,000,000 ดอลลาร์ แต่รายได้ถึง 731,342,744 ดอลลาร์

    เป็นเรื่องราวของ คาร์ล เฟรดริกเซน ที่อยากผจญภัยแดนในฝันที่อเมริกาใต้ เพราะเมื่อครั้งวัยเด็ก เขาเคยสัญญากับ เอลลี่ คู่ชีวิตของเขาที่มีใฝ่ฝันมาตลอดว่าอยากออกเดินทางข้ามทวีปตามล่าหาฝันด้วยกัน แต่ ไม่มีโอกาสสักที แทมเอลลี่ ลาจากไปซะก่อน อีกทั้งคาร์ลก็แก่มากแล้วสังคมอยากให้เขาไปอยู่บ้านพักคนชรา  ทำให้คุณปู่มีความคิดอยากกลับไปผจญภัยอีกครั้ง เลยทำบ้านติดลูกโป่ง เพื่อให้ลอยบนฟ้าได้ การผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ของคุณปู่ก็เริ่มต้น หากแต่คุณปู่กลับพบปัญหาใหม่ที่ตามมาก็คือมีลูกเสือคนหนึ่งชื่อ รัสเซล วัย 9 ขวบ ติดมาด้วย ทำให้เขาต้องพาลูกเสือดังกล่าวผจญภัยด้วยกันในอเมริกาใต้ ที่เต็มไปด้วยอันตรายและเรื่องป่วนฮ่า และแล้วคุณปู่คาร์ลก็ได้ค้นพบตัวเองในที่สุดว่า ชีวิตการเป็นซูเปอร์ฮีโร่นี่เพิ่งเริ่มต้นเมื่อถึงวัยใกล้ฝั่งจริงๆ

    UP เป็นเรื่องที่ผมดูแล้วสนุก และแปลกดี  จะมีกี่เรื่องละครับที่พระเอกเป็นคนแก่ ประเด็นที่นำเสนอก็มีเยอะมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการปกป้องสัตว์สงวน เยาวชนกับผู้สูงอายุ สังคมเจริญที่ปฏิเสธผู้สูงอายุ หากแต่มุมมองที่แสดงออกมานั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ขัน มิตรภาพต่างวัย เรื่องภาพการเคลื่อนไหวไม่ต้องพูดถึง เพราะตามแบบฉบับพิกซาร์อยู่แล้ว  

     

    7. The Incredibles

      

    The Incredibles เป็นการ์ตูนอนิเมชั่นแนวตลกครอบครัวซุปเปอร์ฮีโร่ ฉายในปี ปี 2004  ได้รับรางวัลมากมาย(รวมไปถึงรางวัลออสการ์) ภาพยนตร์ประสบผลสำเร็จสูงเพราะทุนแค่ 92,000,000 ล้าน แต่ได้กำไรถึง 631,442,092 ดอลลาร์ ถือว่าเป็นภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่เรื่องหนึ่งของพิกซาร์

    The Incredibles เป็นเรื่องราวของ บ็อบ พาร์ หรือ มิสเตอร์อินเครดิเบิ้ล ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นฮีโร่ที่มีชื่อเสียงมือฉมังที่ต่อสู้กับวายร้าย และช่วยชีวิตผู้คนเป็นกิจวัตรประจำวัน แต่สิบห้าปีให้หลัง เขากับเฮเลน ภรรยาของเขา ผู้เป็นอดีตซูเปอร์ฮีโร่ที่มีชื่อเสียง และฮี่โรคนอื่นเช่นเดียวกัน ถูกบังคับให้ต้องใช้ชีวิตแบบคนปกติสามัญในแถบชานเมือง เนื่องจากสังคมในตอนนี้ไม่ต้องการฮีโร่อีกต่อไป บ๊อบกับเฮเลนใช้ชีวิตแบบคนธรรมดา มีลูกสามคน ภายนอกเหมือนครอบครัวมีสุขทั่วไป บ๊อบมีอาชีพเป๋ยพนักงานประกันภัยกินเงินเดือน แต่กระนั้นชีวิตของบ๊อบกลับเต็มไปด้วยปัญหา เพราะเกิดความเบื่อหน่าย ทำให้เกิดโรคอ้วน รอบเอวที่นับวันมีแต่จะยืดขยายมากขึ้น จนกระทั้งวันหนึ่งก็มีเสียงลึกลับหนึ่ง ติดต่อให้เขาไปยังเกาะที่ห่างไกลผู้คน เพื่อรับมอบหมายภารกิจลับสุดยอด โดยหารู้ไหมว่านี้คือแผนการร้ายของฝ่ายศัตรู ที่ชะตากรรมของโลกเป็นเดิมพัน ...

    The Incrediblesเป็นอนิเมชั่นคอมพิวเตอร์ ที่ซับซ้อนที่สุดเท่าที่เคยมีการสร้างขึ้นมาจากผลงานก่อนหน้า  ก็อีกทั้งยังมีมีอารมณ์ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น คอมมาดี้ ดราม่า และความสับสนทางอารมณ์ ทำให้ตัวละครในเรื่อง มีชีวิตชีวา มีการพัฒนาด้านจิตใจ ส่วนตัวผมชอบการ์ตูนเรื่องนี้มากเพราะสอดแทรกประเด็นอะไรให้ขบคิดดี ไม่ว่าประเด็นการเสียดสีชาวอเมริกันที่สามีต้องแบกรับปัญหาครอบครัว และปัญหาเมื่อตนโดนไล่ออกจากงานอีก หรือประเด็นความรักระหว่างที่พี่น้องในครอบครัว สนุกตั้งแต่ต้นจนจบ เหมาะสำหรับครอบครัว เพราะไม่มีพิษมีภัย ผู้ปกครองสามารถสอนเด็กได้ระหว่างรับชมภาพยนตร์

     

    6.Toy Story 3

      

    ทอย สตอรี่ 3  เป็นภาคต่อของซีรีย์ทอยสตอรี่ ฉายในปีค.ศ. 2010 และเป็นซีรีย์ภาคต่อที่ประสบผลสำเร็จอย่างสูง ลบคำสบประมาทที่หลายคนบอกว่าภาพยนตร์ภาคต่อคุณภาพสู้ภาคแรกไม่ได้สิ้นเชิง เพราะตัวภาพยนตร์งบประมาณแค่ 200,000,000 ดอลลาร์ แต่ได้งบประมาณถึง 1,063,171,911 ดอลลาร์  เปิดตัวทำลายสถิติทำเงินแทนที่ภาพยนตร์เชร็ค 3ในวันแรกของอเมริกาเหนือ ทั้งที่อยู่ในช่วงที่มีสภาวะเงินเฟ้อ ทะลุรายได้มากกว่า Finding Nemo และได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ห้าสาขา และได้รับรางวัลเพลงประกอบและภาพเคลื่อนไหวดีที่สุด

    ทอย สตอรี่ 3  เป็นเรื่องราวที่ผ่านไปหลายปีหลังจากภาค 2 เมื่อแอนดี้เจ้านายของเล่นทั้งหลาย ซึ่งตอนนี้อายุ 17 ปี กำลังเรียนมหาลัย หมดอารมณ์ที่จะเล่นของเล่นเหมือนเด็กอีกแล้ว ทำให้เหล่าของเล่นที่เคยเป็นเพื่อนของวูดดี้ต้องเผชิญหน้ากับอนาคตไม่แน่นอน ว่าเขาจะถูกทิ้งหรือเก็บไว้ในใต้เพดาน ทำให้ของเล่นบางส่วนได้จับพลัดจับพลูนำไปบริจาคให้สถานีรับเลี้ยงเด็กซันนี่ไชด์ เดย์แคร์ไม่ได้ตั้งตัว ในตอนแรกพวกเขาตื่นเต้นดีใจที่จะได้เล่นกับเด็กอีกครั้ง แต่แล้วฝันดีกลับกลายเป็นฝันร้าย เมื่อพวกเขาว่าเด็กที่นั่นไม่ได้เล่นกับพวกเขาอย่างอ่อนโยนเลย อีกทั้งพวกเขาก็รู้ว่าซันนี่ไชด์ เดย์แคร์เป็นสถานที่แห่งความหวาดกลัว ที่เป็นนรกของเล่น และนั้นทำให้พวกวูดดี้จะต้องทางหลบหนีจากนรกเพื่อกลับไปหาแอนดี้ให้ได้

    ส่วนข้อคิดการ์ตูนเรื่องนี้ก็เหมือนสองภาคแรกครับ คือมันทำให้เรารักของเล่นมากขึ้น เห็นความสำคัญของเล่น แม้ว่าเราจะโตเป็นหนุ่ม ก็ยังไม่ลืมประสบการณาสนุกสนานและความพึ่งจอใจในอดีตนะครับ ถ้าผมเป็นแอนดี้ผมจะไม่เก็บของเล่นเหล่านี้ไม่ไว้ห้องใต้หลังคาหรือบริจาคให้คนอื่นหรอกครับ ผมจะเก็บไว้ตู้โชว์กราบไว้เลย และที่สำคัญเจสซี่โมเอะอ่ะ  เอาเถอะคนอเมริกันไม่เข้าใจจิตวิญญาณโมเอะหรอก

    ส่วนตัวแล้วผมชอบภาคนี้ครับ เป็นไม่กี่เรื่องของพิกซ่าร์ที่ผมดูเกือบร้องไห้ เรื่องกราฟฟิกเป็นเรื่องรองครับ ผมสนใจเนื้อหามากกว่า เพราะภาคนี้มีทั้งตลกและดราม่า ดราม่านี้สุดๆ เลย ผมว่าภาคนี้ทำให้ผมรักของเล่นมากกว่าเดิมมากกว่าสองภาคแรกน่ะครับ แบบว่าสงสารพวกวู้ดดี้ที่โดนเด็กๆ ในซันนี่ไซด์เล่นโหด โหยสมัยผมยังเด็กผมไม่เล่นขนาดนี้หรอกครับ ผมรักของเล่นจะตาย(มั้ง) ขนาดโตแล้วยังเก็บบูชาของเล่นไว้ตู้โชว์เลย หรือชีวิตของน้องหมีชอบกอดก็โครตเศร้า แต่ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่มีแต่เศร้าอย่างเดียว ยังมีมุกได้ปล่อยก๊ากด้วย ซึ่งมุกที่ผมชอบถูกใจที่สุดคือมุกบาร์บี้กับเคนครับ มันฮ่าสุดๆ เลย แบบว่าถ้าใครรู้เรื่องบาร์บี้นี้คงเข้าใจ แบบว่าตอนแรกบาร์บี้และเคนเป็นคู่รักที่ที่หลายคนทั่วโลกรู้จักกันมากที่สุดก่อนที่จะหย่ากันทั้งที่อยู่ด้วยกันมานานสิบปี(ทั้งคู่เลิกในปี 2005) ตอนที่บาร์บี้ขอบอกเลิกของเคนในการ์ตูนผมปล่อยก๊ากถูกใจเลยครับ แม้ตอนตอนหลังบาร์บี้กับเคนจะกลับมาสวีทเหมือนเดิมก็เถอะ อีกทั้งผมยังชอบมุกหนุ่มเคนแต่งชุดอวดบาร์บี้อีก กวนก๊ากมากๆ และสุดท้ายเรื่องก็จบลงอย่างประทับใจเมื่อของเล่นเก่าได้ถูกส่งต่อไปอยู่อยู่ในมือเจ้าของใจดี เรียกได้ว่าฉากนี้ไม่ร้องไห้ก็ไม่รู้จะว่าอะไรแล้ว

    5.WALL – E

                      

                    WALL – E เป็นภาพยนตร์เรื่อง 9 ของพิกซาร์ กับดีสนีย์ โดยผู้กำกับ(และคนเขียนบท)คือ แอนดรูว์ สแทนทัน ซึ่งเป็นคนของฟิกซาร์รุ่นบุหกเบิกมาทำ โดยมีแรงบันดาลใจมาจากภาพยนตร์แนวไซไฟยุค 70 เช่น สตาร์เวอร์หรือเอเลี่ยน มาทำ ทุนสร้าง 180,000,000 ดอลลาร์ แต่ได้รายได้กว่า 521,311,880 ดอลลาร์

    เป็นเรื่องของ WALL – E  วอลล์ – อี(ย่อมาจาก นักกำจัดขยะในระดับชั้นโลก Waste Alloction Load Lifter-Earth-Class) หุ่นยนตร์รีไซเคิลขยะตัวสุดท้ายที่ถูกทิ้งไว้บนโลกเมื่อ 700 ปี ซึ่งปัจจุบันโลกดังกล่าวเต็มไปด้วยขยะและมลพิษมากมายจนมนุษย์ต้องอพยพไปอยู่ในอวกาศ ทุกๆวันวอลล์ – อีจะต้องแยกขยะตามที่ถูกตั้งโปรแกรมไว้ จนหลายครั้งเขาก็รู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิตประจำวันดังกล่าว จนกระทั้งวันหนึ่งเขาก็ได้พบกับ อีฟ(ย่อมาจาก นักประเมนพืชพันธุ์จากนอกโลก Extaterrestial Vegetation Evaluator) หุ่นยนตร์สำรวจที่ลงมายังโลกเพื่อทำภารกิจ  เมื่อวอลล์ อี เจอกับ อีฟ เขาก็ตกหลุมรักเธอแต่อีฟไม่เล่นด้วย อีกทั้งเธอยังสนใจภารกิจของเธอมากกว่า และเมื่ออีฟกลับไปอวกาศ วอลล์-อีก็แอบติดตามเธอไปด้วย และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของการผจญภัยสู่อวกาศครั้งแรกของ วอลล์ อี  โดยหารู้ไม่ว่าการผจญภัยของวอลล์ อีจะส่งผลต่อความอยู่รอดของมนุษย์ชาติเป็นเดิมพัน

    เรื่องนี้ผมพึ่งดูไม่นาน พอจะคุยอะไรได้ อืมตอนแรกผมไม่ค่อยได้ดูเรื่องนี้นะครับ เพราะว่าตอนแรกทำออกมาชวนง่วงชอบหาย เพราะไม่มีบทพูดสักนิด(ในช่วง 30 นาทีของเรื่อง) เพราะเนื้อหาต้องการให้ความสำคัญในการเล่าเรื่องด้วยภาพ และดำเนินชีวิตเรียบๆ เรียงๆ แบบพยายามเข้าใจเรื่องราวช้าๆ ว่าเจ้าหุ่นวอลล์-อีนี้เป็นยังไงในแต่ละวัน โลกที่เห็นเป็นยังไง และมันมีความฝันอะไรบ้าง ก่อนที่จะกลางเรื่องความสนุกก็บังเกิด ยอมรับเลยครับว่าการ์ตูนเรื่องนี้รายละเอียดแน่นจริงๆ ซึ่งเป็นจุดแข็งของพิกซาร์อยู่แล้วครับ  ไม่ว่าจะเป็นฉากการเคลื่อนไหวของหุ่น การแยกขยะ  หรือแม้กระทั้งเสียงต่างๆ ก็มีการศึกษามาด้วยว่ามันควรเป็นอย่างไร บรรยากาศเหมือนไซไฟแต่ความจริงแล้วอารมณ์เหมือนภาพยนตร์ยุค 70 ฯลฯ ส่วนการสอดแทรกประเด็นก็ไม่ต้องห่วงเพราะมีเพียบ ไม่ว่าจะเป็นความรักของหนุ่มสาว โลกโลก รักษ์ธรรมชาติ ความรับผิดชอบ ความพยาม การตัดสินใจของผู้นำ โดยตัวละครที่ผมชอบเรื่องนี้คือกัปตันครับ ที่เขาตัดสินใจที่จะกลับโลก ทั้งที่ชีวิตกัปตันตอนนี้สุขสบาย ไร้ทุกข์ ไร้โศก คนบนยานก็ไม่เดือดร้อนเพราะคอมพิวเตอร์จัดการหมดทุกอย่าง(จนอ้วนเอาอ้วนเอา) แต่ด้วยภารกิจและความรับผิดชอบ เขาจำเป็นต้องกลับ แม้รู้โลกของเราบัดนี้ไม่สวยงามเหมือนเดิมอีกแล้ว สรุปคือเรื่องนี้สนุกครับ (ปล. เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกในชีวิตที่ผมมีความคิดว่าแมลงสาปน่ารักดีนะ)

     

    4. Ratatouille

      

    Ratatouille  ผลิตโดย พิกซาร์ และจัดจำหน่ายโดย วอล์ท ดิสนีย์ แอนิเมชัน กำกับ ภาพยนตร์โดย แบรด เบิร์ด (Brad Bird) ออกฉายในปี 2005 ทุน 150,000,000 ดอลลาร์ แต่ได้กำไรถึง 623,722,818 ดอลลาร์

    Ratatouille เป็นเรื่อง เรมี่ หนูฝรั่งเศส ที่เป็นแกะดำของหมู่หนู เพราะมันไม่อย่างเป็นหนูสกปรกเขาอยากเป็นพ่อครัวอาหารฝรั่งเศสมากกว่า เพราะเขามีจมูกที่เป้นเลิศและมีความสามารถในการทำอาหาร หากแต่ครอบครัวของเขากลับไม่เห็นด้วยความคิดดังกล่าว ทำให้ความฝันของเรมี่ต้องเก็บเข้ากรุ จนกระทั้งวันหนึ่งด้วยเหตุการณ์หนึ่งทำให้เรมี่และครอบครัวจับหลัดจับพลูต้องย้ายจากชานเมืองของฝรั่งเศสเข้ามาสู่ ปารีสและได้พบว่าตัวเองได้มาอยู่ใต้ภัตตาคารอันเลื่องชื่อจากฝีมือของสุดยอดปรมาจารย์เรื่องอาหารและยังเป็นฮีโร่ในดวงใจของเขา เชฟ ออกุส กัสโตว์เมื่อเรมี่ออกเข้าในครัวเขาก็ช่วยลิงกวินี่ เด็กก้นครัวที่ทำอาหารไม่ได้เรื่อง มาปรุงซุปซึ่งได้รับคำชมจากนักวิจารณ์อาหารที่มีอิทธิพลระดับโลก เรมี่จึงได้ร่วมมือ(กึ่งๆควบคุม) กับลิงกวินี่ในการปรุงอาหารรสเลิศต่างๆ จนทำให้ลิงกวินี่เป็นกุ๊กที่มีชื่อเสียง  หากแต่นั้นกลับเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ระหว่างหนูกับมนุษย์ที่เปราะบางในเวลาต่อมา

    เรื่องนี้มีครบทุกอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็น ดราม่า ตลก ก่อนจบลงอย่างประทับใจ การนำเสนอสองมุมมองระหว่างเรมี่และลิงกวินี่เต็มประเด็นที่มาใส่ก็มีมากมายระหว่างเรมี่กับลิงกวินี่ เช่น ความฝันของเรมี่แม้จะมีอุปสรรค์แค่ไหน ใครจะรังเกียจขนาดไหนต่อขอให้อดทนและความมั่นมั่นก็สามารผ่านไปได้ ส่วนลิงกวินี่ที่อารมณ์แบบมนุษย์ธรรมดา บางครั้งก็ออกมาแนวดาร์ตด้วย เช่น การหลอกตัวเอง มีความรักจนลืมเพื่อน หากแต่สุดท้ายเขาก็กลับตัวและผจญหรน้ากับความจริง และนอกจากนี้ยังแทรกประเด็นครอบครัว เกี่ยวกับครอบครัวของเรมี่ที่ไม่ทอดทิ้งกัน แม้ว่าเรมี่จะเป็นแกะดำของครอบครัวก็อยู่จนช่วยถึงที่สุด  ตัวละครที่ผมชอบในเรื่องคือ “อีโก้” นักวิจารณ์อาหารที่ติไปทุกเรื่อง แถมทำหน้ากลัวต่างหาก แต่ว่าตอนท้ายเรื่องเขาก็ได้รู้ว่าอาหารอร่อยนั้นคุณค่าไม่ได้อยู่ที่เครื่องปรุงหรือคุณภาพราคาแพง แต่อยู่ที่จิตใจของคนทำต่างหาก ว่าเขามีความปรารถนาดีต่อผู้กินขนาดไหน ตามหลักปรัชญาที่ว่า “ใครๆก็เป็นกุ๊กเทวดาได้” (ขโมยข้อคิดหนังกุ๊กเทวดาโจวฉินซื่อซะเลย) และผมชอบฉากอีโก้รู้ความจริงเมื่ออาหารที่เขาชมนั้นเป็นฝีมือของหนู

    ส่วนในต้านคุณภาพไม่ต้องห่วง ภาพสวยเหมือนเดิม และภาพนั้นยังสามาพัฒนาได้เรื่อยๆ แบบไม่อยู่ย่ำกับที่ โดยเฉพาะฉากเมืองฝรั่งเศส และอาหารฝรั่งเศสต่างๆ ดูแล้วน่ากินจริงๆ พับผ่าการเคลื่อนไหวไม่ต้องพูดถึงอีกสมจริงเป็นอย่างมาก

    ปล. Ratatouille เป็นชื่ออาหารพื้นเมืองของทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส โดยมีลักษณะเป็นสตูว์ผัก มีต้นกำเนิดมาจากเมืองนิส อาหารชนิดนี้มีชื่อเต็มว่า ราตาตูยนีซวซ

     

                    Toy Story 2

                  

                  ทอย สตอรี่ 2 เป็นภาพยนตร์ เป็นเรื่องที่ 3 ของ พิกซาร์ และภาคต่อของทอย สตอรี่ ออกฉายในปี 1999 ทอย สตอรี่ 2 ภาพยนตร์เรื่องนี้ยอดเยี่ยม ได้รับรางวัลลูกโลกทองคำเรื่องนี้ งบประมาณแค่ 90,000,000 ดอลลาร์ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำรายได้ 485,015,179 $ และเป็นอีกตัวอย่างที่ลบคำสบประมาณที่ว่าภาคแรกดีกว่าภาคสองลงได้ เพราะทอย สตอรี่ 2 สามารถทำเงินได้มากกว่าหนังภาคแรก โดยทำลายสถิติรายได้เปิดตัวสัปดาห์แรกบนบ๊อกซ์ออฟฟิศทั้งในอเมริกา, อังกฤษ และ ญี่ปุ่น รวมทั้งกลายเป็นหนังอนิเมชั่นที่ทำรายได้สูงสุดในปี 1999

                ทอย สตอรี่ 2 เป็นเรื่องราวระหว่างที่แอนดี้ไปเข้าค่าย ฤดูร้อน เมื่อคาวบอยวูดี้ถูกอัล นักสะสมของเล่นจอมละโมบขโมยไป เพื่อเก็บให้ครบชุดคอลเล็คชั่นราวด์อัพแก๊ง ซึ่งกลายเป็นของหายากในปัจจุบัน เวลานี้ วูดี้ พร้อมด้วยเจสซี่ บูลส์อาย และคุณลุงนักขุดทอง สติงกี้ พีท กำลังจะได้ไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์ ซึ่งวูดี้จะได้ใช้ชีวิตที่เหลือทั้งหมดของเขาในตู้กระจกไปตลอดกาล และระหว่างนั่นเองบัซ ไลท์เยียร์ และเพื่อนก็ออกเดินทางเพื่อช่วยเพื่อนเขากลับมาก่อนที่แอนดี้จะกลับมาจากค่าย

                 ภาคนี้กราฟฟิกพัฒนาจากภาคแรกอย่างเห็นได้ชัด สวยงามขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งเพื่อนของวูดดี้ก็มีบทบาทมากขึ้น เนื้อหาก็ยังสอนเรื่องการรักของเล่นเหมือนเดิม แต่ภาคนี้มีการเพิ่มประเด็นใหม่ๆ เกี่ยวกับความรักที่โรยราระหว่างคนกับของเล่น จริงอยู่ว่าเด็กรักของเล่น แต่สักวันหนึ่งความรักนั้นก็ยุติลง คุณไม่สามารถที่เล่นของเล่นดังกล่าวได้ตลอดชีวิต เหมือนอย่างที่ผมปมเจสซี่(ที่น่ารักโมเอะมากๆ) มานำเสนอทำให้ คนดูเกิดความรู้สึกสงสาร และสิ่งที่ผมก็คือมุกล้อเลียนสตาร์วอร์สที่บัซ ไลท์เยียร์ สู้กับจักรพรรดิเซิร์ก แล้วจักรพรรดิเซริ์คบอกว่า “ข้าคือพ่อของเจ้า” ผมปล่อยก๊ากเลย

              ส่วนข้อคิดเรื่องถูกอัล นักสะสมของเล่นเป็นคนชั่วร้ายอันนี้ผมไม่เห็นด้วยนัก ที่จริงเขาเป็นคนที่เห็นค่าของเล่นที่สุดในเรื่องก็ว่าได้ เขารู้ว่าวูดดี้นั้นเป็นของมีค่า เป็นของเล่นที่หายาก หากตกอยู่ในมือคนของไม่มีค่า ของเล่นดังกล่าวก็จะเสียหาย สูญหาย การเก็บของเล่นอย่างดีในตู้โชว์ถือว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว เพียงแต่สิ่งที่ไม่ดีของอัลก็คือการที่เขาแอบขโมยวู้ดดี้มา เขาน่าจะบอกเหตุผลให้แอนดี้หรือแม่ของแอนดี้ทราบ

     

    2. Finding Nemo

      

                   Finding Nemo  หรือ นีโม...ปลาเล็กหัวใจโต๊...โต เป็นการ์ตูนพิกซาร์ เป็นผลงานการเขียนบทและกำกับของ แอนดรูว์ สแตนตัน ออกฉายในปี 2003 ผู้เคยได้รับการเสนอชื่อ เข้าชิงรางวัลออสการ์ จากการร่วมกำกับหนังยอดฮิตปี 1998 ของ ดิสนีย์/พิกซ่าร์เรื่อง A Bug’s Life และได้รับเครดิตในฐานะผู้ร่วมเขียนบทในหนังก่อนหน้านี้ทั้ง 4 เรื่องของพิกซ่าร์ เริ่มออกฉายเมื่อ ภาพยนตร์ได้รับคำวิจารณ์ในแง่ดี และได้ชนะเลิศรางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยม ในงานประกาศผลรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 76

                     Finding Nemo เป็นเรื่องราวของปลาการ์ตูนที่ชื่อ มาร์ลิน ปลาการ์ตูนพ่อม่าย จะต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจเต็มที่ ในการปกป้อง นีโมลูกชายตัวเดียวของเขาให้ได้ แต่เขาเลี้ยงดูลูกแบบกลัวทุกสิ่งทุกอย่าง หรือพูดง่ายๆ กลัวเกินเหตุ จนไม่ให้นีโมออกจากบ้าน กระทั้งวันหนึ่งนีโมจะต้องออกจากบ้าน เพื่อไปโรงเรียน มาร์ลินเป็นห่วงมาก จึงไปส่งลูกชายเอง แต่ด้วยนิสัยที่วิตกกังวลเกินเหตุ เขาเลยตามไปดูทุกการเคลื่อนไหวของลูก จนนีโมรู้สึกว่าพ่อเริ่มเว่อร์ไปหน่อย เจ้าหนูจึงท้าทายพ่อ ด้วยการทำซนว่ายผ่านแนวหิน เพื่อเข้าไปสำรวจเรือลำหนึ่ง แต่แล้วเรื่องคาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น เมื่อนักดำน้ำโผล่เข้ามา รวบร่างของนีโม หายไปต่อหน้าต่อตามาร์ลิน ชนิดที่เรียกว่าอ้าปากค้าง ทำให้มาร์ลินว่าย ออกตามหาลูกชายอย่างบ้าคลั่ง  จนกระทั้งเขาพบเดรี่ ปลาขี้ตังเบ็ดฟ้า ซึ่งยินดีให้ความช่วยเหลือเต็มที่ แต่ปัญหาคือ โดรี่ดันมีความจำแสนสั้น และพร้อมจะลืมทุกอย่างในเสี้ยววินาที และมาร์ลินจะตามหาลูกได้หรือเปล่าเนี้ย

                      Finding Nemo เป็นการ์ตูนที่ประสบผลสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ของพิกซาร์ คืองบทำแค่ 94,000,000 ดอลลาร์ แต่ได้กำไรมโหฬารถึง 867,893,978 ดอร์ลาร์ งานภาพถือว่าเป็นความสำเร็จสุดน่าทึ่งของพิกซ่า ซึ่งทั้งสวยงามเปี่ยมเสน่ห์ และสร้างความแปลกใหม่ให้แก่วงการ ฉากใต้น้ำที่สมจริง ตื่นตาตื่นใจ การวางเรื่อง การสอดแทรกประเด็น การเลี้ยงดูลูกของพ่อนีโม การอนุรักษ์ธรรมชาติ การจับปลาโดยใช้ตาข่ายห่าง โดยเฉพาะฉากโดรี่ถูกจับโดยใช้ตาข่ายเล่นเอาหลายคนลุ้น จึงไม่แปลกแต่อย่างใดที่การ์ตูนนีโมนี้กลายเป็นขวัญใจคนทั่วโลก ในช่วงนีโมออกมีการ์ตูนเกี่ยวกับปลาทะเลออกมาเพียบ ขนาดไทยยังไม่เว้น เลียนแบบนีโม่เป็นแถว อีกทั้งการ์ตูนดังกล่าวยังทำให้คนทั่วโลกเข้าใจผิด 3 เรื่อง เรื่องแรกคือนีโมเป็นปลาการ์ตูนน้ำเค็มนะครับ ไม่ใช่ปลาน้ำจิด ดังนั้นเวลาจะเลี้ยงมันต้องปรับสภาพน้ำก่อนไม่ใช่ใส่ลงตู้ปลาเลยจบ และปลาการ์ตูนบางชนิดเป็นปลาอนุรักษ์นะครับ อย่าไปจับมันมาเลี้ยงเลยผิดกฎหมาย และเรื่องที่ 3 โถส้วมไม่ได้ต่อกับอ่าวทะเลนะครับ และไม่ได้ไหลลงทะเลแบบนั้นด้วย(ผมอยากรู้ถ้ามันเป็นส้วมซึมนีโมจะรอดหรือเปล่าเนี้ย) เข้าใจผิดเต็มๆ เลยนะนั้น

     

    1. Toy Story

                     

                  Toy Story เป็นภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่องแรกของ พิกซาร์ ที่ทำมาจาก คอมพิวเตอร์ ทั้งหมดเลย จากประเทศสหรัฐอเมริกา ออกฉายในปี 1995 จัดจำหน่ายโดย วอลต์ ดิสนีย์ พิกเจอส์ กำกับโดย จอห์น แลสเซทเตอร์ ได้รับรางวัลออสการ์พิเศษเรื่องนี้และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ 3 สาขา รางวัลลูกโลกทองคำอีก 2 สาขา ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความยาว 81 นาที ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำรายได้ 354,300,000 ล้านเหรียญงบประมาณ 30 ล้านเหรียญ นอกจากจะเป็นภาพยนตร์อนิเมชั่นแล้วย้งเป็น ละครเวที ชื่อว่า Toy Story: The Musical  โดย Toy Story  มีผู้อยู่เบื้องหลังประสบความสำเร็จ คือ จอห์น ลาสซีเตอร์, พีท ด็อกเตอร์, แอนดรูว์ สแตนตัน และ โจ แรนฟ์ต โดยพวกเขาคนถือเป็น 4 ทหารเสือของพิกซ่าร์ ซึ่งมีหนังอนิเมชั่นเรื่องเยี่ยมออกสู่สายตาผู้ชมทั่วโลกเรื่อยมาไล่จนถึงปัจจุบัน

                    Toy Story เป็นเรื่องราวของ วูดี้ ของเล่นคาวบอย ในฐานะของเล่นตัวโปรดของแอนดี้ เด็กชายวัย 6 ขวบ ทำให้วูดี้กลายเป็นหัวหน้าบรรดาของเล่น ด้วยความมาดมั่น ใกล้วันที่ย้ายบ้าน แอนดี้ จึงจัดวันเกิดก่อนวันเกิดจริง แต่เมื่อบัซ ไลท์เยียร์ ตุ๊กตาตำรวจอวกาศที่แม่ให้เป็นของขวัญ และได้ก้าวเข้าในถิ่นของวูดี้ ในฐานะของขวัญวันเกิดชิ้นโปรดของแอนดี้ การชิงดีชิงเด่น เพื่อเป็นขวัญใจ ของเจ้านายตัวน้อยจึงเกิดขึ้น และส่งผลให้ทั้งคู่ต้องตกไปอยู่ในบ้านของซิด เด็กชายข้างบ้านผู้รักที่จะทำลายของเล่นเป็นชีวิตจิตใจ และการร่วมมือระหว่างวูดี้กับบัซ เพื่อหลบหนีกลับมานี่เองที่ทำให้พวกเขาตระหนักถึงมิตรแท้ วู้ดดี้ และ บัซ ไลท์เยียร์ ได้พยายามไปให้ทันรถขนส่งให้ได้ คู่หูที่ดูไม่น่าจะเข้ากันได้ทั้งสองต้องเรียนรู้ที่จะปล่อยวายความแตกต่างของแต่ละคนเพื่อที่จะเอาชนะอุปสรรคที่จะทำให้ทั้งคู่ต้องแยกจาก แอนดี้ เจ้าของพวกเขา และนี้คือการผจญภัยสุดป่วนในเวลาต่อมา

     

    ยังมีต่อ

     
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×