อันดับ 7 Harold Holt

ฮาโรลด์ เอ็ดเวิร์ด Harold Edward Holt (5 สิงหาคม 1908-17ธันวาคม 1967) เป็นนักการเมืองออสเตเลีน และเป็นนายกรัฐมนตรีของออสเตรเลียเมื่อปี 1966 แต่สภาพการเป็นนายกรัฐมนตรีของเขาก็ได้สิ้นสุดลงอย่างกะทันหันและลึกลับในเดือนธันวาคม 1967 สาเหตุคือหายตัวไปอย่างลึกลับในขณะว่ายน้ำที่ Cheviot Beach ใกล้กับ Portsea, Victoria และสันนิษฐานว่าจมน้ำเมื่อ 17 ธันวาคม 1967
เพื่อนฝูงที่มากับเขาวันนั้นบอกว่า เขาชื่นชอบในการดำน้ำโดยเฉพาะจุด Cheviot Beach ใน Point Nepean ใกล้ Portsea ทางตะวันออกของ Port Phillip Bay เขาตัดสินที่จุดนี้แล้วก็หายไปเลยต่อหน้าตาต่อตาเพื่อนฝูง เพื่อนฝูงตกใจมากและแจ้งทางการ แน่นอนภายในระยะเวลาอันสั้นที่ชายหาดทั้งบนดินและบินน้ำเต็มไปด้วยตำรวจและทีมค้นหา ไม่ว่าจะเป็นทหาร, อาสาสมัคร เพียบ จนกลายเป็นว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นการค้าหาครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ออสเตเลีย แต่สุดท้ายก็ไม่มีร่องรอยของฮาโรลด์แม้แต่ศพก็ไม่พบ สองวันหลังจากนั้นทางการระบุอย่างเป็นทางการว่าเป็นบุคคลที่ตายแล้ว และจนบัดนี้ก็ไม่ทราบว่าเขาหายตัวไปได้อย่างไง จากข้อสันนิษฐานมีเพียงแค่ว่าถูกกระแสน้ำพัดไปอย่างรวดเร็วเท่านั้น
อันดับ 6 Chase Vault

ในศตวรรษที่ 18 ตระกูล Walronds พวกเขาเป็นตระกูลที่ร่ำรวย และได้สร้างสุสานของตระกูลเอาไว้ เป็นสุสานขนาดใหญ่ที่แน่นหนา ปิดผลึกด้วยประตูหินอ่อนขนาดใหญ่ ซึ่งที่นั้นได้บรรจุศพครอบครัวของตระกูลนี้ไว้ มีสมาชิกครอบครัวหนึ่ง มีนาง Thomasina Goddard ในปี 1807 และต่อจากนั้นตระกูลเชสก็ซื้อต่อและฝังศพลูกสาวสองคนในปี 1808 และ 1812 และปิดผนึกด้วยประตูหินอ่อนอีกครั้งนานหลายปี ซึ่งในเวลานั้นไม่มีใครเข้าสุสานสักคน
แต่แล้วเรื่องพิศวงก็เกิดขึ้นหลังจากนั้นเมื่อ อัลเฟร็ด รัสเซล วอลเลซ(Alfred Russel Wallace) บรรยายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่บัลทิคในปี 1844 ว่าเกิดความไม่สงบและประหลาดในสุสานอาเรนสบวร์กที่เกาะเบาร์บาดอสฝั่งตะวันออกของทะเลแคริบเบียน ของตระกูลเซล จู่ๆ โลงศพถูกย้ายล้มคว่ำในห้องใต้ดินที่ถูกล็อกปิดตายในโบสถ์คริสต์ เรื่องแปลกก็คือ ทุกครั้งที่เปิดห้องเก็บศพออกมาเพื่อนำศพของคนตระกูลเชสไปเก็บต้องพบว่าศพถูกสลับที่สลับทาง และล้มพลิกคว่ำอย่างง่ายดายทั้งๆ ที่และศพนั้นหนักอึ้งขนาดต้องใช้ผู้ชายแข็งแรงแปดคนจึงจะย้ายไปได้ นอกจากนี้ห้องยังล็อกแน่นหนา บางครั้งมีคนได้ยินเสียงครางดังออกมาจากห้องตอนค่ำคืน และเหล่าม้าและสัตว์เลี้ยงต่างหวาดกลัวที่จะเข้าไปใกล้สถานที่เก็บศพนั้น

หลุมศพถูกย้ายที่หมด ยกเว้นหลุมศพของนาง Goddard ที่ยังคงตั้งอยู่อย่างสงบในมุมห้องเท่านั้น
มีหลายทฤษฎีเหมือนกันถูกนำมาอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นเช่น น้ำท่วม (โบสถ์แห่งนี้ตั้งอยู่ริมฝั่ง และเคยถูกพายุทำลายเสียหายหลายครั้ง) บ้างอธิบายว่าเป็นเพราะสนามแม่เหล็ก โจรเข้ามาลักทรัพย์ ผีดิบ และแผ่นดินไหว แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไขไม่ออกในปัจจุบัน
อันดับ 5 The WOW! Signal
Wow! signal เป็นชื่อเรียกสัญญาณวิทยุ ที่ตรวจพบโดย ดร.เจอร์รี อาร์. เอฮ์แมน นักดาราศาสตร์ชาวอเมริกันที่ทำงานให้กับโครงการเซติ ของหอดูดาว The Big Ear แห่งมหาวิทยาลัยโอไฮโอสเตต เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม1977
สัญญาณที่ ดร.เอฮ์แมน ตรวจพบนี้ มีความเข้มสูงมาก ความยาว 72 วินาที และมีความเป็นไปได้ที่ จะเป็นสัญญาณจากนอกโลก และนอกระบบสุริยะ ด้วยความประหลาดใจ ดร.เอฮ์แมน ทำเครื่องหมายบนกระดาษคอมพิวเตอร์ เขียนข้อความว่า ว้าว! (WOW!) และเป็นที่มาของชื่อสัญญาณนี้ และสัญญาณนี้ยังเป็นที่กังขากันในวงการวิทยาศาสตร์ ว่าสิ่งมีชีวิตนอกโลกนั้นมีอยู่จริงหรือเป็นเพียงเรื่องในจินตนาการ มีองค์การและหน่วยงานต่างๆ ทั่วโลก ที่ทุ่มเทค้นคว้าเพื่อไขความลี้ลับสัยญาณนี้แต่จนบัดนี้ก็ไม่สามารถไขได้
อันดับ 4 Red Rain in Kerala

ในปี ค.ศ.1890 ที่เมืองแมสซิก นาดี แคว้นคาลาเบรีย อิตาลี เกิดฝนตกลงมีแดง เมื่อนำไปพิสูจน์ดูพบว่ามันเป็นเลือดของนกซึ่งตอนนั้นมีการสันนิษฐานว่านกที่กำลังบินอพยพเกิดไปเจอลมแปรปรวน จนร่างนกเหล่านั้นฉีดขาดและเลือดปลิวกระจายเหมือนฝน แต่ปัญหาที่ตามมาคือทำหากเป็นเช่นนั้นจริง แต่ทำไมถึงไม่มีเนื้อหนังหรือกระดูกหล่นมาให้เห็นด้วย ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวถึงบันทึกในวารสารวิทยาศาสตร์ Popular Science News ฉบับ 35 (ไม่ทราบปีพิมพ์)
วันที่ 1 กันยายน 1969 ที่ฟาร์มของเจ.ฮันดันสัน ในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งที่แคลิฟอร์เนีย เกิดเหตุการณ์คล้ายกัน เพียงแต่คราวนี้มีเศษเนื้อปลิวลงมาด้วยนานถึงสามนาที ซึ่งสันนิษฐานว่าจะเป้นเนื้อของเหยื่อที่ล่ามาได้แล้วบินผ่านไป
17 สิงหาคม 1841 ที่ไร่ยาสูบในเมืองเลบานอน รัฐเทนเนสซี เวลาเที่ยงวัน จู่ๆ มีเมฆประหลาดลอยผ่านบริเวณนั้นแล้วมีฝนตกลงมาพร้อมเศษเนื้อและไขมันยาวประมาณ 1.58 นิ้ว กลิ่นแรงมาก บทความถูกตีพิมพ์ในนิตยสาร Ameican Journal of Science ฉบับที่ 44
แต่เหตุการณ์นี้น่าพิศวงที่สุดเกิดขึ้นในปี 2001 ที่อินเดีย เมืองเกราลา ในช่วงเดือนกรกฎาตคมถึงกันยายน ที่เดียวกับมหาลัยมหาตมะ คานธี โดยฝนมีลักษณะคล้ายกับเลือด, สีเหลืองเขียว และสีดำ ซึ่งฝนนเหล่านี้ตกเหมือนฝนทั่วๆ ไป และที่มีฟ้าผ่าตามมา จากการตรวจสอบพบว่าฝนแดงเหล่านี้มีเซลล์บางอย่างที่เหมือนกับเป็นเซลล์สิ่งมีชีวิต หากเรื่องพิศวงคือเมื่อทำการตรวจสอบโดยกล้องจุลทรรศน์อิเล็คทรอนที่มีกำลังขยายหลายหมื่นเท่าพบว่าโครงสร้างเซลล์นั้นประกอบด้วยคาร์บอนและออกซิเจน แต่ไม่ปรากฏ DNA แต่อย่างใด จนทำให้หลายฝ่ายคิดงว่าเซลล์เหล่านี้ไม่ใช้เซลล์ที่อยู่บนโลก หรือว่านี้คือสิ่งมีชีวิตรูปแบบใหม่จากนอกโลกที่มาพร้อมกับดาวหางหรือเข้ามาบนโลกพร้อมเศษอุกาบาตก็เป็นไปได้
.
อันดับ 3 The Man in the Iron Mask

เริ่มขึ้นเมื่อปี 1669 ที่เมืองท่าดันเคิร์ก ทางตอนเหนือฝรั่งเศส เมื่อมีข้ารับใช้กษัตริย์หลุยส์ที่ 14 ได้จับกุมชายนิรนามคนหนึ่งแล้วถูกนำตัวส่งเข้าคุกลับแห่งปิกเนรอล นครตูลิน ประเทศตาลี(สมัยก่อนเมืองนี้เคยเป็นของฝรั่งเศส) ซึ่งมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา ชายนิรนามนี้มีเอกลักษณ์ซึ่งผู้พบเห็นเขาไม่มีวันลืมเลยคือใบหน้าเขาถูกคลุมด้วยหน้ากาก
เมอซิเออร์ แซงต์ มาร์ ผู้คุมสูงสุดแห่งคุกแห่งนี้ได้รับข้อความทำนองที่ว่า นักโทษผู้นี้จะไม่ได้รับอนุญาตให้บอกเรื่องราวใดๆ ของตัวเองแก่ผู้อื่นเด็ดขาด เจ้าจะต้องไปหาเขาวันละหนึ่งครั้งเพื่อจัดการเรื่องอาหารและเรื่องสัพเหระใน ชีวิตประจำวันแก่เขา และจงอย่ารับฟังคำใดๆ ที่นักโทษผู้นี้พยายามบอกหากนักโทษยังไม่เลิกราที่จะเล่าเรื่องไร้สาระ เกี่ยวกับตัวเขาละก็ จงมอบความตายแก่เขาเสีย
ขณะที่นักโทษนิรนามถูกจองจำอยู่นั้น จะต้องมีทหารองครักษ์สองคนคอยเฝ้าอยู่ไม่ให้ห่างตา และขู่ว่าจะสังหารเขาทันทีที่เขาถอดหน้ากากออก แต่กระนั้นเขาก็ได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดีเป็นพิเศษ เวลานักโทษคนนี้ถูกย้ายไปอยู่คุกที่อื่น เขาต้องอยู่ที่เกี๊ยวที่ปิดมิดชิดกันการสอดรู้สอดเห็นของผู้คนตลอดทาง
นักโทษนิรนามนี้ตายในคุกเมื่อ ปี 1703 ในคุกบาสตีล หลังถูกจองจำมาอย่างยาวนานถึง 34 ปี ศพของเขาถูกฝังภายใต้ชื่อ Eustache Dauger ซึ่งเป็นชื่อที่ตั้งขึ้นภายหลังเท่านั้น ส่วนหลักฐานอื่นๆ ถูกทำลายทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น ห้องคุมขังถูกทาสีใหม่เพื่อป้องกันร่องรอยบางอย่างที่อาจหลงเหลืออยู่ โต๊ะเก้าอี้ภาชนะทุกชิ้นถูกเผาทิ้งไปเกือบหมดสิ้น ทำไมทางการถึงอยากลบตัวตนของเขานัก แม้มาบัดนี้เขาสิ้นชีวิตลงแล้ว แต่ปริศนาที่ว่าชายคนนี้เป็นใคร ทำไมถึงสำคัญหนักหนายังคงอยู่ พร้อมข้อสันนิษฐานต่างๆ นาๆ ว่าอเขาน่าจะเป็นผู้สูงศักดิ์ และต้องมีความสำคัญเกินกว่าที่จะปลิดชีวิตทิ้ง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ทีจะปล่อยเขาเป็นอิสระ บางก็ว่าเขาจะเป็นพี่น้องฝาแฝดของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ที่จ้องจองจำน้องไว้ภายใต้หน้ากากก็เพราะเพื่อให้บัลลังก์ผู้พี่เกิด ความมั่งคงนั้นเอง
หรือจะเป็นข้อสันนิษฐานของ ลอร์ด ควิกส์วูด เชื่อว่าชายสวมหน้ากากเหล็กก็คือบิดาแท้ๆ ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 โดยแนวคิดนี้มีผู้เชื่อถือกันไม่น้อย โดยให้เหตุผลคือเพื่อความมั่งคงของชาติ แต่ห้ามประหารเพราะสมัยนั้นข้อบังคับของศาสนายังเป็นเรื่องเคร่งครัด การสังหารบิดาแท้ๆ เป็นความผิดใหญ่หลวง และพระเจ้าหลุยส์เองก็ไม่กล้าสังหารบิดาตัวเองจึงเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ สุดยอดภายใต้ชายหน้ากากเหล็กตลอดกาล แต่ หลังจากที่เกิดการปฏิวัติครั้งใหญ่ในฝรั่งเศสเมื่อปี 1789 ได้ราวสองปี ข่าวลือเกี่ยวกับชายหน้ากากเหล็กจึงกล่าวถึงอีกครั้งว่าแท้จริงแล้วชายคน นี้คือพระเจ้าหลุยส์ 14 นั้นเอง เอาเข้าไป เพราะผลสรุปออกมาแล้วว่ามันเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อสร้างความชอบธรรมแก่ ตัวนโปเลียนที่ก้าวมามีอำนาจหลังการปฏิวัติโค่นล้มกษัตริย์หลุยส์ที่ 16 มากกว่า
อันดับ 2 Noah's Ark

อารารัต(Ararat)เป็นยอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะตลอดกาล พรมแดนของประเทศตรุกี ในสมัยกลางดินแดนแถบนี้เล่าลือกันว่าเป็นที่อยู่อาศัยของมังกร และสัตว์ร้ายนาๆ พันธุ์ จึงทำให้นักไต่เขาและนักผจญภัยพากันหวั่นหวาดไม่อยากขึ้นมาบนเขาลูกนี้ นอกจากเรื่องเล่าลือแล้ว อันตรายอันเกิดจากอุบัติเหตุต่างๆเช่น หิมะถล่ม หมอกมืดอันปกคลุมอยู่ชั่วนาตาปี และภูมิอากาศที่มักเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน นอกจากนี้รัฐบาลตุรกีไม่อนุญาตการขึ้นไปสำรวจภูเขาเพราะ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา เนื่องจากคัมภีร์ไบเบิลกล่าวไว้ว่า เมื่อน้ำท่วมโลกได้ลดลง ภูเขาอารารัตนั้นคือภูเขาลูกแรกที่ยอดโผล่พ้นผิวน้ำ และเป็นที่ๆเรืออาร์คของโนอาห์ได้ลงจอด
เรือโนอาห์ (Noah's Ark) ถูกกล่าวถึงในพระธรรมปฐมกาลบทที่ 6 ก่อนที่พระเจ้าจะทรงทำลายมนุษย์ด้วยการทำให้น้ำท่วมโลก พระองค์ทรงเห็นว่าโนอาห์เป็นคนชอบธรรม ดีพร้อมในสมัยนั้น และดำเนินกับพระเจ้า
เหตุการณ์ของเรือโนอาห์ ยังมีกล่าวถึงในในพระธรรมปฐมกาล พระคัมภีร์อัลกุรอาน ในศาสนาอิสลาม พระคัมภีร์ในศาสนายูดาย นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานเรื่องเล่าปรำปรานานาชาติ เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์น้ำท่วมโลกนี้ แตกต่างกันไปในแต่ละชนชาติ
สิ่งที่เป็นปริศนาในเวลาต่อมาคือ เรือโนอาห์นั้นมีจริงหรือไม่ ถ้ามีจริงมันยังมีซากหลงเหลืออยู่หรือเปล่า? ถ้าอยู่มันจะอยู่แห่งหนไหน? แน่นอนสถานที่ที่คาดว่าจะได้พบเจอเรือลำนี้คืออารารัตนั้นเอง มีรายงานกว่าศตวรรษจากผู้เคยพบเห็นเรือ ค้นพบชิ้นไม้ ถ่ายรูปได้จากที่สูง มากมาย เป็นที่เชื่อกันว่า อย่างน้อย ชิ้นส่วนที่ใหญ่ๆ ของเรือ น่าจะยังมีอยู่ อาจไม่ได้อยู่ เทือกเขาสูงสุด แต่ที่ไหนซักแห่ง ซึ่งอยู่เหนือ ขึ้นไป ระดับหมื่นฟุต ภูเขานี้ปกคลุมด้วยหิมะ และน้ำแข็งตลอดทั้งปี มีเพียงช่วงฤดูร้อน ที่จะเข้าไปได้ บางคนก็เคยปีนและเดินขึ้นไป
ส่วนภาพที่เห็นนี้เป็นรูปถ่านจากกองทัพอวกาศในภารกิจการลาดตระเวนอากาศมรยอดเขาอารารัตในปี 1949 ระหว่างตรุกีและโซเวียต พื้นที่ดังกล่าวอยู่มุมตะวันตกเฉียงเหนือของที่รายสูงด้านตะวันตกของภูเขาสูงไป 15,500 ฟุต นอกจากนี้ยังมีภาพถ่ายสิ่งลึกลับที่คาดว่าจะเป็นฝีมือคนอีกมากมายในปี 1956, 1973, 1976, 1990 และ 1992 โดยเป็นรูปถ่ายจากเครื่องบิน ดาวเทียม การค้นหายังคงดำเนินต่อไป แม้จะยังไม่มีคนใด ที่ได้เห็นเรือลำนี้ในปัจจุบันก็ตาม
อันดับ 1 Dyatlov Pass Incident

เนื้อหา http://www.mythland.org/v2/archiver/tid-949.html
Dyatlov Pass Incident เป็นคดีปริศนา เกี่ยวกับการตายของนักเล่นสกีหิมะ 9 คนที่เสียชีวิตพร้อมกันอย่างลึกลับบนเทือกเขาดยัตลอฟ ในลักษณะที่แปลกประหลาด คือทั้ง 9 คนไม่มีร่องรอยขัดขืนหรือต่อสู้อย่างใดเลย ผิวหนังภายนอกไม่ปรากฏร่องรอยการถูกทำร้าย แต่ผู้เคราะห์ร้าย 2 ร่างกะโหลกศีรษะร้าว อีก 2 ร่างกระดูกซี่โครงหัก โดยร่างหนึ่งไม่มีลิ้น บนเสื้อผ้าของพวกเขาพบสารกัมมันตรังสีในปริมาณที่เข้มข้น นักนิติเวชและผู้เชียวชาญทั้งหลายไม่สามารถอธิบายสาเหตุที่เกิดขึ้นได้
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 1959 ในช่องเขาดยัตลอฟ (Dyatlov) เทือกเขาโคแลต สแยกหล์ (Kholat Syakhl) ประเทศรัสเซีย เป็นหนึ่งในปริศนาตลอดกาลที่ไม่สามารถหาคำตอบได้ว่าอะไรเป็นสาเหตุการเสียชีวิตพร้อมๆกันของนักเล่นสกีหิมะที่เชี่ยวชาญ
ปลายเดือนมกราคม 1959 อิกอร์ ดยัตลอฟ (Igor Dyatlov) วัย 23 ปี ชักชวนผู้หลงใหลการเล่นสกีหิมะ 9 คน เป็นชาย 7 คน และหญิง 2 คน ประกอบไปด้วย ซิไนด้า กอลโมโกโรวา (Zinaida Kolmogorova) ลยุดมิลา ดูบินิน่า (Lyudmila Dubinina) อเล็กแซนเดอร์ โคลีวาตอฟ (Alexander Kolevatov) รัสเตม สโลโบดิน (Rustem Slobodin) ยูริ คริโวนิเชนโก้ (Yuri Krivonischenko) ยูริ โดโรเชนโก้ (Yuri Doroshenko) นิโคไล ทิบอกซ์บริจนอลลี (Nicolai Thibeaux-Brignolle) อเล็กแซนเดอร์ โซโลทาเรฟ (Alexander Zolotarev) และยูริ นูดิน (Yuri Yudin) บุคคลทั้งหมดเป็นนักศึกษาสถาบันยูรัลโพลีเทคนิคอล พวกเขาออกสำรวจเส้นทางเล่นสกีหิมะบนยอดเขาโอตอร์เทน (Otorten)
แม้ว่าการเดินทางขึ้นสู่เทือกเขาโอตอร์เทนในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์จะถูกจัดอันดับให้เป็นช่วงที่ยากลำบากที่สุด แต่ทีมนักเล่นสกีชุดนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญ ผ่านประสบการณ์การปีนเทือกเขาที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะมาแล้วหลายครั้ง

วันที่ 25 มกราคม 1959 ทีมนักเล่นสกีลงรถไฟที่เมืองอิฟเดล ก่อนจะต่อรถบรรทุกไปยังหมู่บ้านวิซไฮ ซึ่งเป็นหมู่บ้านสุดท้ายบนเส้นทางการสำรวจ และหลังจากนี้ต่อไปพวกเขาจะต้องเดินเท้าขึ้นยอดเขาไปตามลำพังโดยจะไม่ได้เห็นผู้คนไปตลอดทั้งเส้นทาง วันที่ 28 มกราคม ยูริ ยูดิน เกิดป่วยกะทันหัน เขาจึงถูกบังคับให้เดินทางกลับ ทีมนักเล่นสกีจึงเหลือเพียงแค่ 9 คน
เป็นระเบียบปฏิบัติสำหรับนักไต่เขาที่จะต้องระบุวันเดินทางกลับเอาไว้ เพื่อคนทางบ้านจะได้ทราบกำหนดการ หากว่าพวกเขายังไม่กลับมาตามวันที่กำหนดจะได้ส่งทีมกู้ภัยไปช่วยเหลือ ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ อิกอร์กำหนดว่าจะส่งโทรเลขแจ้งเพื่อนฝูงเมื่อกลับลงมาจากเขาภายในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ อย่างไรก็ตาม เมื่อยูริ ยูดิน ป่วยต้องเดินทางกลับ อิกอร์ก็ถือโอกาสเปลี่ยนแผนโดยบอกกับยูริว่าเขาอาจจะลงเขาช้ากว่ากำหนด 2-3 วัน
วันที่ 31 มกราคม ทีมนักเล่นสกีเดินทางถึงสุดเขตที่ราบสูง พวกเขาสร้างเพิงชั่วคราวเพื่อเก็บเสบียงและอุปกรณ์ที่ไม่จำเป็นสำหรับการปีนเขา โดยจะกลับมาเอาไปใช้สำหรับขาลง วันรุ่งขึ้นคนทั้งหมดก็เริ่มภาระกิจการปีนเขาเพื่อเดินทางไปยังช่องเขาที่เชื่อมต่อกับยอดเขาโอตอร์เทน แต่สภาพอากาศที่เลวร้าย พายุหิมะทำให้ทีมนักเล่นสกีหลงทาง เฉไฉไปทางทิศตะวันตกและมุ่งขึ้นสู่เทือกเขาโคแลต สแยกหล์ ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยว่า เทือกเขามรณะ
อิกอร์รู้ตัวว่ามาผิดทางก็เป็นเวลาเย็นแล้ว ทีมนักเล่นสกีจึงตัดสินใจกางเต็นท์พักแรมบนเชิงเขาโคแลต สแยกหล์ การตัดสินใจครั้งนี้เป็นหนึ่งในปริศนาที่ทีมกู้ภัยไม่เข้าใจ เพราะทีมนักเล่นสกีอยู่ห่างจากเขตป่าไม้เพียงแค่ 1.5 กม. พวกเขาน่าจะเดินย้อนกลับไปกางเต็นท์ในป่า ซึ่งปลอดภัยกว่าการกางเต็นท์ในที่โล่งท่ามกลางอุณหภูมิ -30 องศาเซลเซียส
เพื่อนบางคนพยายามหาเหตุผลเข้าข้างอิกอร์ โดยคิดว่าเขาอาจอยากทดสอบความแข็งแกร่งของทีม แต่การนำกิ่งไม้สดมาก่อกองไฟในขณะที่มีกิ่งไม้แห้งมากมายอยู่ในบริเวณ ทำให้เกิดทฤษฎีว่าจะเป็นด้วยเหตุผลใดก็ตาม ณ เวลานั้นทีมนักเล่นสกีสูญเสียประสาทการมองเห็น
วันที่ 12 กุมภาพันธ์ เพื่อนร่วมสถาบันเริ่มเป็นห่วงทีมนักเล่นสกี เมื่ออิกอร์ไม่ติดต่อกลับมาตามกำหนดการ หากแต่ยูริ ยูดิน ให้ข้อมูลใหม่ว่าอิกอร์อาจจะกลับมาล่าช้ากว่ากำหนด 2-3 วัน

หลังจากที่ทนรอถึงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ เพื่อนๆก็มั่นใจว่ามีสิ่งปรกติเกิดขึ้นอย่างแน่นอน จึงแจ้งเรื่องไปยังหน่วยกู้ภัยให้ออกค้นหา โดยประกอบไปด้วยคณะอาจารย์และนักศึกษาสถาบันยูรัลโพลีเทคนิคอล เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารส่งเครื่องบินเล็กและเฮลิคอปเตอร์ออกสำรวจ
วันที่ 26 กุมภาพันธ์ ทีมกู้ภัยพบเต็นท์ร้างของทีมนักเล่นสกีบนเชิงเขาโคแลต สแยกหล์ สภาพเต็นท์ทุกหลังจมใต้กองหิมะ มีรอยถูกฉีกขาดจากด้านในจนยับเยิน ข้าวของเครื่องใช้ยังอยู่ในเต็นท์ครบถ้วน แต่ไม่พบนักเล่นสกีแม้แต่คนเดียวในบริเวณนั้น มีเพียงรอยเท้ามุ่งตรงไปยังเขตป่าไม้ ทีมกู้ภัยจึงแกะตามรอยเท้าไปเป็นระยะทางเกือบกิโลเมตรก็พบซากกองไฟและร่างของ ยูริ คริโวนิเชนโก้ กับยูริ โดโรเชนโก้ จมอยู่ใต้หิมะ
การหนีออกมานอนหนาวตายห่างจากเต็นท์ถึง 500 เมตรก็นับว่าประหลาดมากอยู่แล้ว แต่สภาพศพของคนทั้งสองที่นุ่งเพียงชุดชั้นในไม่สวมรองเท้ายิ่งทำให้แปลกประหลาดมากยิ่งขึ้นไปอีก รอยหักของกิ่งสนสูง 5 เมตรที่อยู่ใกล้ๆกองไฟทำให้เชื่อได้ว่าใครคนใดคนหนึ่งปีนขึ้นไปบนต้นไม้เพื่อมองหาอะไรสักอย่าง
เมื่อสำรวจบริเวณโดยรอบ ก็พบร่างของอิกอร์ ดยัตลอฟ ซิไนด้า กอลโมโกโรวา และรัสเตม สโลโบดิน ดูเหมือนว่าทั้งสามคนกำลังเดินทางกลับเต็นท์เพราะทนความหนาวเย็นไม่ไหว แต่ไม่มีร่องรอยของคนที่เหลืออยู่ในบริเวณนั้น การชันสูตรไม่พบร่องรอยบาดแผลใดๆบนร่างกาย จึงลงความเห็นว่าผู้เคราะห์ร้ายทั้ง 5 คน เสียชีวิตจากภาวะร่างกายสูญเสียความร้อน (Hypothermia) แม้ว่ารัสเตม สโลโบดิน จะมีรอยร้าวเล็กๆที่กะโหลกศีรษะแต่มันไม่รุนแรงถึงขั้นทำให้เสียชีวิต

หลังจากนั้นอีก 2 เดือน วันที่ 4 พฤษภาคม ทีมกู้ภัยก็พบร่างที่เหลือของทีมนักเล่นสกีจมอยู่ใต้กองหิมะหนา 4 เมตรลึกเข้าไปในป่า ทุกศพไม่มีร่องรอยบาดแผลใดๆบนร่างกายเหมือน 5 ศพแรกที่พบ อเล็กแซนเดอร์ โคลีวาตอฟ เสียชีวิตจากร่างกายบอบช้ำภายในอย่างรุนแรง นิโคไล ทิบอกซ์บริจนอลลี กะโหลกศีรษะร้าว อเล็กแซนเดอร์ โซโลทาเรฟ และลยุดมิลา ดูบินิน่า ซี่โครงหักหลายแห่ง ซึ่งแพทย์ให้ความเห็นว่าบาดแผลดังกล่าวเกิดจากการถูกกระแทกอย่างรุนแรงโดยเฉียบพลันเท่านั้น เช่น การถูกรถยนต์วิ่งด้วยความเร็วสูงพุ่งเข้าชน ยิ่งน่าประหลาดมากที่สุดเมื่อพบว่าลิ้นของลยุดมิลาหายไป
4 ศพสุดท้ายที่พบล้วนแล้วแต่แต่งกายในชุดป้องกันความหนาวอย่างถูกต้องกับสภาพอากาศ อเล็กแซนเดอร์ โซโลทาเรฟ สวมเสื้อกันหนาวและหมวกของลยุดมิลา ดูบินิน่า ในขณะที่ลยุดมิลาพันเท้าด้วยเศษผ้าจากกางเกงของยูริ คริโวนิเชนโก้ จากหลักฐานนี้ทำให้เชื่อว่าพวกเขาพยายามต่อสู้กับสภาพอากาศที่หนาวเย็นด้วยการนำเสื้อผ้าของผู้ที่เสียชีวิตก่อนมาสวมใส่ แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครชนะสภาพอากาศที่ทารุนโหดร้ายไปได้
สภาพอวัยวะภายในที่เหมือนถูกของแข็งกระแทกอย่างรุนแรงจนแตกหักโดยไม่มีบาดแผลภายนอกร่างกายให้เห็นแม้แต่น้อยก็นับว่าเป็นปริศนามากพอดูอยู่แล้ว แต่หลังจากตรวจสอบเสื้อผ้าของผู้เสียชีวิตพบว่า มีการปนเปื้อนสารกัมมันตรังสีเข้มข้นก็ยิ่งทำให้คดีนี้เป็นปริศนามากยิ่งขึ้นไปอีก
จากการสืบสวนของตำรวจไม่พบว่ามีทีมนักไต่เขาทีมอื่นในช่วงเวลานั้น ไม่มีบ้านเรือนผู้คนอาศัยอยู่หรือร่องรอยของสัตว์ร้ายในบริเวณนั้น ไม่พบสิ่งผิดปรกติใดๆทั้งสิ้น ทีมนักเล่นสกีทั้ง 9 คนอยู่บนเทือกเขามรณะโดยลำพัง แต่อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาละทิ้งเต็นท์ที่พักออกมานอนหนาวตายในกองหิมะ
สมุดบันทึกการเดินทางและภาพถ่ายตั้งแต่วันเริ่มออกเดินทางจนถึงเย็นวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ก็ไม่แสดงถึงสิ่งผิดปรกติใดๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนนั้นจะต้องเกิดขึ้นโดยทันทีทันใดอย่างที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน
สิ่งที่ยังคงเหลืออยู่บนเชิงเขามรณะคือ อนุสาวรีย์ของนักเล่นสกีและชื่อสถานที่ที่ถูกเรียกว่า ช่องเขาดยัตลอฟ ตามนามสกุลของอิกอร์ ดยัตลอฟ หัวหน้าคณะทีมสำรวจ
มี 2 ทฤษฎีพอจะอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนเทือกเขามรณะในคืนวันที่ 2 กุมภาพันธ์ได้ระดับหนึ่ง ทฤษฎีแรกคือเกิดหิมะถล่มลงมาทับเต็นท์ที่พักของนักเล่นสกี ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเต็นท์จึงจมอยู่ใต้กองหิมะ นักเล่นสกีใช้ของมีคมกรีดเต็นท์เพื่อหาทางออกซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเต็นท์จึงอยู่ในสภาพยับเยิน
แรงกระแทกของก้อนหิมะอาจส่งผลให้นักเล่นสกีบางคนได้รับบาดเจ็บกะโหลกศีรษะร้าว และบางคนซี่โครงหัก นักเล่นสกีเกรงว่าหิมะอาจจะถล่มซ้ำลงมาอีก จึงตัดสินใจหนีออกห่างจากเต็นท์ที่พัก เหลือเพียงเรื่องเดียวที่ไม่สามารถอธิบายได้คือสารกัมมันตรังสีเข้มข้นจากเสื้อผ้าของผู้เสียชีวิตมาจากไหน อีกทฤษฎีคือนักเล่นสกีกางเต็นท์ในเขตทดลองอาวุธลับของทหาร ในคืนวันที่ 2 กุมภาพันธ์ นักเล่นสกีอีกชุดหนึ่งซึ่งออกเดินทางขึ้นเขาห่างจากทีมของผู้เสียชีวิตไปทางตอนใต้ราว 50 กม. อ้างว่าพวกเขาเห็นลูกไฟทรงกลมสีส้มขนาดใหญ่ลอยอยู่บริเวณใกล้เคียงกับจุดที่พบผู้เสียชีวิต ทีมนักเล่นสกีอาจจะออกจากเต็นท์ที่พักเพื่อดูลูกไฟประหลาด และทันใดนั้นก็เกิดการระเบิดขึ้น แรงกระแทกจากการระเบิดทำให้นักเล่นสกีบางคนได้รับบาดเจ็บ ซึ่งทฤษฎีนี้สามารถอธิบายเรื่องสารกัมมันตรังสีเข้มข้นบนเสื้อผ้าของนักเล่นสกีได้ หากแต่ไม่มีร่องรอยการระเบิดในบริเวณที่เกิดเหตุ และพยานที่อ้างว่าเห็นลูกไฟประหลาดก็ไม่เห็นการระเบิด และที่สำคัญที่สุดคือ ณ เวลานั้นยังไม่มีการสร้างสถานีทดลองอาวุธทางทหารในบริเวณนั้น แต่ถ้ามีการทดลองอาวุธลับจริงมันก็ยังคงถูกปิดเป็นความลับอยู่จนถึงทุกวันนี้
http://listverse.com/2008/02/13/yet-another-10-unsolved-mysteries/
http://listverse.com/2008/12/27/another-10-mysteries-that-defy-explanation/
เอาสองเรื่องมารวมกันครับ เนื่องจากบางอันดับผมเกินความสามารถผมที่จะแปลได้ ขออภัยด้วยครับ+ +
PS. ความพยายามครั้งที่100ดีกว่าคิดท้อถอยก่อนที่จะทำ
โห -0- ลึกลับจัง
PS. Fighting for myself and Do my Best!!!
PS. ดูแลและห่วงใยกันสักหน่อยสิ!!แสดงออกมาให้ฉันรู้สึกหน่อย!!...ชิส์
ชอบอย่างรุนแรง
โดยเฉพาะ 1 2 4 6 7
อันดับ6 เคลื่อนที่ไงอ่ะ
PS. มีหลายคนอยู่กับฉันตั้งแต่เริ่มต้น แต่มีน้อยคนที่อยู่กับฉันไปถึงตอนจบ
อันดับแรก หลอนดี
มีแต่เรื่องที่กำลังสนใจอะ
555+
ขอบคุณจริงๆ
PS. ความพยายามครั้งที่100 ดีกว่าคิดท้อถอยก่อนที่จะทำ
ไม่เข้าจัยเรื่อง คนใส่เหล็กที่พี่ cammy เขียนอ่าค่ะ
คือบอกว่าสรุป
"ผลสรุปออกมาแล้วว่ามันเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อสร้างความชอบธรรมแก่ ตัวนโปเลียนที่ก้าวมามีอำนาจหลังการปฏิวัติโค่นล้มกษัตริย์หลุยส์ที่ 16 มากกว่า"
คือไงอ่าค่ะ จริงๆแล้วเรื่องนี้ไม่จิง นโปเลียนเป็นคนแต่ง ช่ายมั้ยค่ะ?
งงนิดๆอ่าค่ะ คัยเข้าจัยช่วยอธิบายด้วยนะคะ
ขอบคุนค่ะะะะะะะะะะ
คนแต่งนิยายนักสืบหรือว่านักสืบน่าจะลองหาดูมั่งนะ
บางทีอาจจะเจอความจริงสักอย่างก็ได้
น่ากลัวจัง
PS. : วาเรีย : xanxus - ถ้าเธอมีจริง ช่วยออกมารักกันที สักแป๊ปก็ดีนะ ให้เจอสักที
อันดับ 3 The Man in the Iron Mask
เรื่องนี้เคยถูกนำมาสร้างหนังนี่คะ
ที่ พระเอกไททานิคเล่นจำไม่ผิด ใครจำได้กรุณาบอกชื่อหนังด้วย
นะคะอยากดูอีกรอบ
เจ้าชายหน้ากากเหล็ก ชายผู้ถูกจองจำให้ทนทุกข์ทรมานอยู่ภายใต้หน้ากากเหล็กโดยกษัตริย์หลุยส์ที่ 14 (ริชาร์แชม เบอร์เลน) พระอนุชาฝาแฝดของพระองค์เพื่อกำจัดเสี้ยนหนามให้หลุยส์ได้ก้าวขึ้นสู่บัล ลังค์ครองประเทศฝรั่งเศส ขณะที่บ้านเมืองกำลังเผชิญกับความทุกข์เข็ญจากการปกครองของกษัตริย์ชั่วผู้ เหลิงอำนาจดาร์ตาญัง ราชองค์รักษ์แห่งทหารเสือรู้ว่ากษัตริย์ที่แท้จริงของฝรั่งเศส กำลังรอคอยความช่วยเหลือ เพื่อคืนสู่บัลลังก์อันคู่ควรของพระองค์ แผนการสับเปลี่ยนตัวระหว่างฟิลิปป์กับหลุยส์ที่ 14 จึงเกิดขึ้นท่ามกลางการผจญภัยที่อัดแน่นด้วยความตื่นเต้น และยิ่งใหญ่ให้คุณประจักษ์
เค้าเคยเล่าอีกว่าชายใส่หน้ากากเคยขูดแผ่นโลหะเพื่อบอกเรื่องราวแล้วโยนลงมาจากคุก มีชาวประมงคนหนึ่งพบ แทนที่จะอ่านกลับเอาไปให้ทหาร ทหารเมื่ออ่านแล้ว เขาก็เกือบลงมือตัดหัวชาวประมงคนนั้นไปแล้ว แต่เมื่อพบว่าชาวประมงคนนี้อ่านหนังสือไม่ออกจึงปล่อยไป
เรื่องที่3 ประหลาดมากๆหาข้อสรุปไม่ได้ เหมือนเคยเห็นเอาไปทำเป็นหนังนะคะเรื่องนี้แต่
ไม่แน่ใจว่าใช่รึเปล่า
PS. รักแท้มีจริงไหม?/ใครก็ได้ตอบที่/
ว่าแต่มันเคลื่อนที่เองได้ยังไง?
ดีจริงๆเลยมีข้อมูลดีๆมาให้อ่านได้บ่อยไม่เบื่อเลย ^u^
เรื่องเรือโนอาร์นี่ลงในต่วยตูน ฉบับพิเศษ ฉบบับที่เท่าไหร่ไม่รู้ เดี๋ยวไปค้นก่อนจะมาบอกนะครับ
PS.
PS. โลกนี้ไม่มีอะไรที่ได้มาง่าย สิ่งที่จะได้มาง่ายๆก็คือความตาย ก่อนที่จะได้ความตาย จงเสพสมความสุขและกิเลสตันหาให้พอ เมื่อเวลามาถึงไม่ว่าคุณจะใหญ่มาจากไหน คุณก็หนีความตายไม่พ้น
อีบั้งไฟพญานาคอาจเป็นก๊าสที่อยู่แถวๆนั้นก็ได้นิ
บอกว่าเวลาขึ้นจะขึ้นจะขึ้นที่เดิมปีละครั้ง เวลาขึ้นจะไม่มีควันหรือเสียงใช่ไหม
ถ้าเป็นก๊าสที่อยู่แถวนั้น เวลาขึ้นก็จะขึ้นที่เดิม ไม่มีเสียง ไม่มีควัน
แต่อีขึ้นปีละครั้งยังหาคำอธิบายไม่ได้เลย ใครรู้ช่วยบอกด้วยนะ - -"
- เรื่องเมื่อหลายสิบปีก่อนเล่าว่าชาวบ้านที่ตอนเหนือของแคล (ย่านหนึ่งของแอฟริกา) รู้จักสัตว์ตัวหนึ่งตัวโตเท่ากับ
- ในช่วงเดียวกับที่แคล ชาวบ้านที่ย่านอูเอซโซ ก็พูดถึงสัตว์ตัวหนึ่งที่มีนอที่จมูก พวกเขาก็กลัวกันมากเช่นเดียวกัน ส่วนที่ อีเปน่า อิมฟอนโด และดองกู ในประเทศคองโก ก็พูดถึงสัตว์ตัวนึงที่แทงช้างไส้ทะลักตายบ่อยๆ ว่ากันว่าที่ดองกูมีตัวหนึ่งถูกฆ่าตายเมื่อยี่สิบปีก่อนที่เรื่องนี้จะถูกบันทึก แต่ไม่มีหลักฐานยืนยัน
จนบัดนี้ยังไม่สามารถสรุปได้ว่า อีเมล่า อืนตูคา ควรจะเป็นสัตว์ประเภทไหนหากมีอยู่จริง สันนิษฐานแรกว่ามันอาจเป็นแรด แต่ว่านอของแรดเป็นเพียงเส้นขนที่มารวมกันเท่านั้น ไม่น่าจะแทงช้างได้ อีกอย่าง หางแรดมีขนาดเล็กส่วนหางของอีเมล่า อืนตูคาจะใหญ่เหมือนหางจระเข้ ( หรือไม่คนที่ฟังคนอื่นเล่ามาจะสับสนจับเอาหางของ โมเกลี อึมเบมบี มาใส่ให้อีเมล่า อืนตูคาก็ได้ ) หรือจะเป็นไดโนเสาร์พวก เซอรราท็อปเซี่ยน ก็พวกไทรเซอร์ราท็อปนั่นแหล่ะ ที่แน่นอน ไดโนเสาร์พวกนี้มีนอเป็นกระดูกแท้ๆ และมีความแข็งแรงกว่าช้าง สามารถแทงช้างไส้ทะลักได้ แต่ว่า อีเมล่า อืนตูคา ต่างออกไปที่ไม่มีแผงหลังหัวเหมือนกับได้โนเสาร์พวกนี้ ดังนั้น จึงไม่มีใครแน่ใจว่ามันคือตัวอะไร และรูปร่างที่แท้จริงเหมือนอะไรกันแน่
เรื่อง Mokele Mbembe ( ขออนุญาติเรียก โมเกลี อึมเบมบี )ผมเคยอ่านทั้งที่ต่วยตูนและที่ คุณ cammy เขียนแล้วครับ น่าติดตามมากๆ ผมว่าเจ้าตัวนี้เปอร์เซนต์มีจริงอาจสูงกว่า เนสซี่ หรือ บิ๊กฟุตอีก
่าด้วยนอของมัน จึงเป็นที่มาของชื่อ
แต่ว่าในแถบนั้นนอกจากโมเกลี อึมเบมบีแล้วยังมีสัตว์ประหลาดชนิดอื่นนะครับ ที่พูดถึงมากรองลงมาจาก โมเกลี อึมเบมบี ก็คือ อีเมล่า อึนตูคา ( Emela Ntouka ) เป็นภาษาพื้นเมืองว่า ผู้ฆ่าช้าง คนขาวที่ได้ยินเรื่องสัตว์ตัวนี้แล้วนำมาเปิดเผยอย่างเป็นทางการก็คือ ดร รอย พี. แม็คคาล ผู้ค้นหาโมเกลี อึมเบมบี นั่นเองครับ จากคำบอกเล่า บอกว่ามันเป็นสัตว์ใหญ่มากตัวโตพอๆกับช้างหรืออาจจะใหญ่กว่า ขาใหญ่ของมันต่อจากลำตัวฉากลงมาด้านล่างเหมือนพวกช้างหรือแรด ไม่ได้กางออกมาเหมือนกับตะกวด ไม่มีขนหรือแผงคอให้เห็น มีนอใหญ่เหนือจมูกอันหนึ่ง ผิวของมันว่ากันว่ามีสีน้ำตาลเข้มหรือเทา มีหางใหญ่เหมือนจระเข้ สัตว์ตัวนี้อาศัยอยู่ในน้ำซะส่วนใหญ่ จะขึ้นบกต่อเมื่อมาหาอาหารกินเท่านั้น เป็นสัตว์กินพืช กินพืชต่างๆรวมทั้งผลมาลอมโบอันเป็นอาหารของโมเกลี อึมเบมบี ด้วย สัตว์ตัวนี้สามารถฆ่าช้างหรือแรดหรือ
เดี๋ยวต่อครับ
จำไม่ได้เหมือนกันครับว่าฉบับไหน แต่หลายปีมากๆแล้วอ่ะครับ จำได้ว่าลงสองครั้งอีกต่างหาก ส่วนเรื่องลอกก็ตามสบายเลยครับ
งั้นผมเล่าต่ออีก
ไม่นานหลังจากนั้น วอลซ์ก็กลับไปที่เหมืองครั้งนี้เขากลับมาพร้อมทองคำมูลค่า 1500 เหรียญ แต่ก็เป็นครั้งสุดท้ายที่มีผู้เอาทองออกมาจากเหมืองนี้ เพราะวอลซ์เสียชีวิตในปีถัดมา ก่อนตายวอลซ์สารภาพว่าเขาได้ฆาตกรรมหลานชายคนหนึ่งที่เขาเคยบอกที่อยู่ของเหมืองไว้ แล้วก็บอกตำแหน่งเหมืองว่า เหมืองทองนี้มีลักษณะเป็นรูปกรวย และอยู่ในโตรกเขา ไม่ไกลจากสถานที่สำคัญที่หนึ่ง(จำชื่อไม่ได้)แถวนั้น หลังจากวอลซ์ตาย คนจำนวนมากก็ออกค้นหาเหมืองกันเป็นการใหญ่ แต่ไม่มีใครเจอเหมืองทองลึกลับนี้เลย มิหนำซ้ำยังเกิดเรื่องแปลกๆที่ไม่ดีกับคนที่ค้นหาอีก อย่างเช่น มีชายคนหนึ่งนำแผนที่ที่เขาอ้างว่าเป็นของตระกูลเปรัลต้าไปหาเหมือง แต่ว่าหลายเดือนต่อมาก็พบศพเขาถูกยิงที่หัว ส่วนแผนที่ก็หายไป หรือจะเป็นเรื่องนักเดินทางบางคนถูกลอบยิง หรือจะเป็นเรื่องที่มีนักเดินทางบอกว่า มีคนพยายามดันหินให้ทับพวกเขา สุดท้ายก็หาไม่เจอจนบัดนี้ สาเหตุที่หาไม่เจอ อาจเป็นเพราะวอลซ์พยายามปกปิดตำแหน่งเหมือง หรืออาจเป็นจากพวกอาปาเช่ที่อาจเข้าไปทำลายกลบเกลื่อนเหมือง หลังจากถูกไล่ออกจากหุบเขาเมื่อเกือบร้อยปีก่อนก็ได้
จบแล้วครับ