ความเป็นมา...วันวาเลนไทน์ - ความเป็นมา...วันวาเลนไทน์ นิยาย ความเป็นมา...วันวาเลนไทน์ : Dek-D.com - Writer

    ความเป็นมา...วันวาเลนไทน์

    มารู้ความเป็นมากันว่าวันวาเลนไทน์เกิดขึ้นได้อย่างไร?!

    ผู้เข้าชมรวม

    206

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    206

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  1 ก.ย. 66 / 17:52 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น


        รู้รึเปล่าคะว่าทำไมเขาถึงเรียกว่าวันวาเลนไทน์ ตอนแรกเรานึกว่าเป็นวันเกิดพระเยซูซะอีก ^^;; (เกี่ยวกันมั้ยเนี่ย)

    แต่พอลองมาอ่านดู คิดว่าน่าสนใจดี เลยเอามาให้เพื่อนๆที่ยังไม่รู้ได้ลองศึกษากัน จะได้รู้ว่าทำไมเขาถึงให้ของและส่งความรักในวันนี้มากที่สุด ^_^ อาจจะยาวไปหน่อยแต่ก็ลองอ่านดูน้า
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      จริง ๆ แล้ว วันวาเลนไทน์คือ วันที่ระลึกถึง "เซนต์วาเลนไทน์" บุรุษผู้มีหัวใจเปี่ยมด้วยความรัก และความปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์ แต่ต้องจบชีวิตลงด้วยการรับโทษประหารในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270

      ความเป็นมาของเรื่องเกิดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 3 มีผู้นำคริสเตียนคนหนึ่งชื่อ "วาเลนตินัส" เขาเป็นคนที่มีความรักและความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ ทุก ๆ วันเขาจะแอบนำอาหารและของใช้ที่จำเป็นไป วางไว้ที่ประตูบ้านของคนยากจนโดยไม่ให้คนเหล่านั้นรู้ ในสมัยนั้นศาสนาคริสต์ยังไม่เป็นที่ยอมรับในจักรวรรดิ์ โรมัน ใครที่นับถือคริสต์จึงถือว่ามีความผิดร้ายแรง พวกคริสเตียนจึงถูกข่มเหงและทารุณกรรมอย่างหนักเพื่อ บังคับให้เลิกนับถือคริสต์ ใครไม่ยอมเลิกจะถูกทรมานและฆ่าทิ้ง วาเลนตินัสก็รวมอยู่ในขบวนการถูกทรมานและ ขู่เข็ญบังคับให้เลิกนับถือคริสต์แต่เขาไม่ยอม จึงถูกจับเข้าคุกในข้อหาเป็นคริสเตียน

      ขณะที่เขาถูกขังอยู่ในคุก ก็พบรักกับลูกสาวของผู้คุมซึ่งตาบอด ด้วยความรักและคำอธิษฐาน ของเขา พระเจ้าได้ทรงโปรดให้ตาของลูกสาวผู้คุมหายเป็นปกติ ผู้คุมและครอบครัวของเขาจึงหันมา นับถือศาสนาคริสต์ เมื่อความรู้ถึงจักรพรรดิ์คลอดิอุสที่ 2 ของโรม พระองค์ทรงกริ้วมาก สั่งให้ลงโทษ วาเลนตินัสอย่างหนักด้วยการโบยแล้วนำไปตัดศีรษะ คืนสุดท้ายก่อนที่เขาจะถูกนำไปประหารเขาได้เขียน จดหมายสั้น ๆ เป็นการอำลาส่งไปให้ลูกสาวผู้คุม ลงท้ายว่า "จากวาเลนไทน์ของเธอ"

      รุ่งเช้าวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 วาเลนตินัสก็ถูกนำไปตัดศีรษะ และเอาศพไปฝังไว้ที่ เฟลมิเนี่ยนเวย์ ซึ่งภายหลังมีการสร้างโบสถ์หลังใหญ่คร่อมสุสานของเขา ไว้เป็นอนุสรณ์ระลึกถึงชีวิตและความรัก อันยิ่งใหญ่ของเขา คนทั่วไปประทับใจกับความรักของเขาจึงยึดเอาวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวัน "วาเลนไทน์" หรือ วันแห่งความรัก ซึ่งต่อมาแพร่หลายในยุโรปและอเมริกา และเข้ามาในทวีปเอเชียรวมทั้งประเทศไทยของเราด้วย

      ที่มา:: http://www.yupparaj.ac.th/special/Valentine/story.htm

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×