คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : 9(100%)
ณ มรกตนคร
“ชักจะเบื่อแล้วสิ” โกเมศ เจ้าชายองค์รองแห่งตระกูลเอราปถบ่นพึมพำกับตัวเอง หลังจากทนอ่านหนังสือมานาน เขาเป็นนาคหนุ่มวัย19ปี โอรสของท้าววิจิเดช ราชาแห่งตระกูลเอราปถและมเหสีรอง เขามีพี่ชาย1คน คือไกวัล เขาใช้ชีวิตเป็นเจ้าชายมาตั้งแต่จำความได้ ถ้าใครคิดว่าเป็นเจ้าชายแล้วจะสบาย บอกได้เลยว่าคิดผิด บางเรื่องก็ลำบากแบบที่นาคธรรมดาไม่มีวันเข้าใจ อย่างน้อยๆนาคธรรมดาก็ไม่ต้องอ่านหนังสือหนาเป็นปึกอย่างนี้แน่ เขาชักจะเบื่อจริงๆแล้ว ออกไปเล่นข้างนอกดีกว่า
“ชล” เขาตะโกนเรียก
นาคหนุ่มอีกตนเข้ามาในห้องทันที “มีอะไรพระเจ้าค่ะ”
“ฉันเบื่อ” โกเมศว่าง่ายๆ “หนีไปเที่ยวข้างนอกกัน”
“แต่..” ชลลังเล “จะดีหรือพระเจ้าค่ะ ถ้ามีใครจับได้เข้า”
“ช่างเถอะน่า” โกเมศว่า “อยู่แต่ในวัง อุดอู้จะตาย ฉันอยากไปนิลนคร”
ชลทำท่าสงสัย “ไปทำไมล่ะพระเจ้าค่ะ บ้านเมืองเขาก็เหมือนของเรา ไม่ต่างอะไรกันนักหรอกพระเจ้าค่ะ”
“โธ่เอ๊ย! ฉันไม่ได้อยากไปดูบ้านเมืองเสียหน่อย ฉันอยากเห็นเจ้าชายนาคองค์ใหม่ต่างหาก”
“อย่างนั้นก็ยิ่งไม่ต้องไปใหญ่เลยพระเจ้าค่ะ เจ้าชายนาคองค์นั้นก็เป็นนาคปกติเหมือนหม่อมฉันกับพระองค์นี่แหละพระเจ้าค่ะ หม่อมฉันเคยเห็นแล้ว”ชลว่า
เจ้าชายนาคถอนใจ “ฉันแค่คิดว่า เขาอาจเป็นผู้ที่ฉันตามหา ชายหนุ่มในฝันคนนั้น”
ชลมองเจ้าชายของเขาอย่างนึกสงสาร ตั้งแต่เจ้าชายยังทรงพระเยาว์กว่านี้ เจ้าชายมักตรัสถึงพระสุบินประหลาด พระสุบินที่มีชายหนุ่มผมดำ ตาเทา กำลังจุมพิตกับชายหนุ่มอีกคน ชายหนุ่มอีกคนนั้น เจ้าชายไม่เคยเห็นชัด เพราะทรงตื่นบรรทมเสียก่อนทุกทีไป ถ้าไม่ใช่พระสุบินนี้ก็เป็นพระสุบินว่าชายตาเทาถูกลากลงไปในน้ำสีดำ น่ากลัว เจ้าชายทรงรู้สึกว่าชายตาเทานั่นคือพระองค์เองและชายหนุ่มที่ไม่เคยเห็นชัดในฝันนั่นคือเนื้อคู่ของพระองค์และทรงพยายามตามหามาตลอด แม้ชลจะพยายามบอกว่าหากเป็นเนื้อคู่กันจริงก็คงได้เจอกันเองโดยไม่ต้องใช้ความพยายามและต่อให้เจ้าชายทรงเจอเขาจริงก็คงยากที่จะรู้ เพราะอดีตชาติกับปัจจุบันชาติไม่จำเป็นว่าต้องหน้าตาเหมือนเดิม ชลกลัวเหลือเกินว่าเจ้าชายจะทรงฝังอยู่กับอดีตและจะไม่มีความสุขในชีวิตปัจจุบัน
“ก็ได้พระเจ้าค่ะ” ชลยอมแพ้ ถ้าเขาไม่ยอม เจ้าชายอาจหนีออกไปเองและผู้ที่จะซวยที่สุดคือเขา
“ไชโย! งั้นรีบไปกัน” โกเมศผลักหนังสือไปให้พ้นตัวและลุกขึ้นยืน ชลได้แต่ส่ายหน้า
สเนปกำลังมีปัญหา เขาอ่านหนังสือเล่มหนานี้มาเกือบชั่วโมงแล้วและรู้สึกเวียนหัวมาก เซไวลินนั่งอยู่บนพื้นข้างๆเขา เขาต้องออกไปยืดเส้นยืดสายสักหน่อย เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ บิดขี้เกียจ
“จะไปไหนครับพ่อ” เซไวลินถาม “ไม่อ่านแล้วหรือครับ”
“ไม่แล้ว” สเนปว่า “ออกไปเดินเล่นชมวิวกัน ป้ะ เซไวลิน ไปกัน”
เซไวลินยิ้ม เขาเองก็เบื่อที่อยู่แต่ในห้องเหมือนกัน “ไปกันเลยครับ”
ริมสระบัว นิลนคร
“สระบัวสวยดี” สเนปพูดขณะนอนเอกเขนกอยู่ริมฝั่ง มีเซไวลินอยู่ข้างๆ “ไม่คิดว่าจะมีที่สวยๆแบบนี้ด้วย”
“จริงครับพ่อ” เซไวลินเห็นด้วย “สงบดี ไม่มีใครมากวนด้วย”
“พูดเร็วเกินไปแล้วล่ะ” สเนปว่า พลางนั่งหลังตรง “มีใครมาโน่นแล้ว”
ทั้งคู่หันไปดู เซเวอร์รัสจำชายคนหนึ่งในสองได้ทันที เขาคือชลนั่นเอง ส่วนอีกคนเขาไม่รู้จัก แต่ดูจากท่าทางของชลแล้ว ชายผู้นั้นน่าจะเป็นชนชั้นสูงทีเดียว
“เจ้าชาย” ชลอุทาน “ทรงมาทำอะไรทีนี่พระเจ้าค่ะ”
“ก็หนีมาเที่ยวไง” โกเมศตอบงงๆ “มาด้วยกันยังจะถามอีก”
“หม่อมฉันไม่ได้พูดกับพระองค์” ชลว่า สายตายังจับจ้องที่เซเวอร์รัส
“งั้นก็หมายความว่า..” โกเมศหันมาทางสเนป “นายเป็นเจ้าชายที่เขาลือกันใช่มั้ย เจ้าชายนาคที่มีกำเนิดจากมนุษย์”
สเนปพยักหน้า เขาได้กลิ่นอะไรบางอย่างที่หอมมาก เป็นกลิ่นหอมสบายจมูก ตั้งแต่วินาทีที่ชลและชายผู้นี้เดินเข้ามา
“ศรีวาเรศ” สเนปแนะนำตัว “ชื่อเดิมในโลกมนุษย์คือเซเวอร์รัส จะเรียกอะไรก็ได้ แล้วนาย”
“โกเมศ” เจ้าชายเอราปถแนะนำตัว “ยินดีที่ได้รู้จัก” มันมากกว่าความยินดีเสียอีก เขารู้สึกปลื้มปีติเป็นอย่างมาก อะไรบางอย่างบอกเขาว่านี่แหละคือผู้ที่เขาตามหา ชายในฝันของเขา
“กลิ่นหอมจัง” สเนปพูดออกไปโดยไม่รู้ตัว
โกเมศอมยิ้ม “ฉันมีกลิ่นดอกบัวติดตัวอยู่เสมอแหละ เพราะฉันเกิดจากดอกบัว”
“สิ่งมีชีวิตจะเกิดจากดอกบัวได้ยังไง” สเนปว่าอย่างไม่เชื่อ
“นายไม่เคยเรียนเรื่องกำเนิด4แบบเหรอ” โกเมศอุทาน “พวกมนุษย์เรียนอะไรกันบ้างเนี่ย” และโกเมศก็อธิบายเรื่องกำเนิด4แบบให้สเนปฟัง
“เกิดจากไข่ จากครรภ์เนี่ย นับญาติกันง่าย ใครคลอดเรามาก็เป็นแม่เรา แต่เกิดจากไคลกับโอปปาติกะเนี่ยยากหน่อย เขาถือว่าเกิดที่ไหนก็เป็นลูกที่นั่น ฉันเกิดในบัว ในตำหนักของมเหสีรองของราชาวิจิเดชก็เลยเป็นลูกพวกเขา พี่ชายฉันเกิดที่ตำหนักมเหสีใหญ่ก่อนฉันเลยได้เป็นลูกมเหสีใหญ่ ส่วนโอปปาติกะเป็นพวกโตทันที เกิดมาก็16เลย ส่วนใหญ่จะเป็นตระกูลวิรูปักษ์ที่เกิดแบบนั้น เลยไม่มีนาคเด็กๆตระกูลวิรูปักษ์เลย”
สเนปพยักหน้า เขาเข้าใจแล้วและเขาก็รู้สึกว่าเขาโง่เหลือเกิน เขามีอะไรต้องเรียนรู้อีกมากในนาคพิภพนี้ ใครว่าเป็นเจ้าชายแล้วจะสบายกัน
“นายไม่ต้องคิดมากหรอก” โกเมศปลอบ “นายฉลาด เรียนรู้ได้ไวอยู่หรอก ไหนๆเรามาเรียนด้วยกันมั้ยล่ะ”
สเนปนิ่งคิดอยู่สักครู่ โกเมศกระตุ้นต่อ “เมืองเราก็ไม่ได้ไกลกันมาก เดินทางก็แค่เดี๋ยวเดียว เดี๋ยวฉันไปกราบทูลเสด็จพ่อ ต้องทรงยอมอนุญาตแน่”
“ก็ได้” สเนปตอบ เอาเถอะ มีผู้มาเป็นเพื่อนก็ดีเหมือนกัน ทุกคนในนิลนครก็ดีกับเขาอยู่หรอกแต่เขาชักจะเบื่อการพินอบพิเทาเสียแล้ว พูดง่ายๆคือเขาไม่ชินมากกว่าและไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า ลักษณะท่าทางของเจ้าชายต่างเมืององค์นี้เหมือนเรกูลัสชอบกล
ต่อ
ย้อนกลับมาวันที่ 17 กพ 1996 คืนวันที่เซเวอร์รัสออกจากฮอกวอตส์
ห้องทำงานดัมเบิลดอร์
“เธอว่ายังไงนะ” ดัมเบิลดอร์พูดอย่างตกตะลึง หลังจากที่ฟังรายงานจากท็องส์
“ฉันเห็นเซเวอร์รัส สเนป ฆ่าตัวตาย” ท็องส์ย้ำ “ฉันเห็นเขากระโดดน้ำ”
“เธออาจจะตาฝาด” ดัมเบิลดอร์ว่า เขาไม่อยากยอมรับว่าเขาเสียสายลับของเขาไปแล้ว
“ฉันเเค่พูดในสิ่งที่ฉันเห็น” ท็องส์ว่า “และถ้าคุณไม่ว่าอะไร ฉันขอตัว จะไปเยี่ยมรีมัสที่โรงพยาบาล”
ดัมเบิลดอร์ได้แต่พยักหน้า ท็องส์เดินออกจากห้องไป
เป็นไปไม่ได้ที่สเนปจะฆ่าตัวตาย ดัมเบิลดอร์พยายามเข้าข้างตนเอง ชายหนุ่มเจอเหตุการณ์ร้ายๆมามาก แต่ไม่เคยคิดฆ่าตัวตายเลย จะมาตายกับเรื่องแค่นี้ได้ยังไง แต่มันเป็นเรื่องแค่นี้จริงๆหรือ เขาไม่เคยเห็นแววตาที่ทุกข์ทรมานแสนสาหัสแบบนี้มานานแล้ว น่าจะประมาณ10กว่าปีเห็นจะได้ และคำพูดที่หมดหวังแบบนั้น 'ในโลกมนุษย์นี้ไม่มีที่ให้ผมอยู่อีกแล้ว' ถ้าสเนปฆ่าตัวตายขึ้นมาจริงๆ คนที่ผิดก็คือเขา บางทีเขาอาจพูดแรงเกินไปหน่อย ถ้าสิ่งที่สเนปพูดเป็นความจริงล่ะ ดูไม่ใช่วิสัยของสเนปเลยที่จะวางยาพิษเพื่อนร่วมงานใต้จมูกของเขา สเนปจะอยากได้ตำแหน่งอาจารย์วิชาป้องกันตัวจากศาสตร์มืดเสียจนยอมเสี่ยงทำลายความไว้วางใจของเขาเชียวหรือ ชายหนุ่มจะยอมแลกจริงๆหรือ ดัมเบิลดอร์แกะลูกอมรสมะนาวใส่ปาก บางทีเขาอาจลองเขียนจดหมายหาสเนปและให้ฟอกซ์ไปส่งให้ เขาไม่รู้ว่าสายลับของเขาอยู่ไหน ใช้นกฮูกอาจเสียเวลาเกินไป
**************************************
เช้าตรู่ 19กพ1996
ฟอกซ์กลับมาแล้ว มันมีจดหมายตอบกลับมาด้วย ดัมเบิลดอร์ฉีกออกอ่าน
เรียนอาจารย์ใหญ่ฮอกวอตส์
ได้รับจดหมายแล้ว ปลอดภัยดี ไม่ต้องติดต่อมาอีก ถือว่าอยู่กันคนละโลก
จดหมายนั้นไม่ได้ลงชื่อและลายมือก็ดูแปลกๆ ไม่เหมือนลายมือของสเนปเลย ข้อความในจดหมายก็ประหลาด หมายความว่ายังไงที่ให้ถือว่าอยู่คนละโลก สเนปจะไม่เป็นสายลับให้เขาแล้วหรือ บางทีเขาต้องเขียนไปเตือนอีกฉบับกระมังว่าทำไมชายหนุ่มถึงต้องทำงานให้เขา
******************************************
ณ นิลนคร ในพระราชวัง
“มาอีกแล้วหรือ” นทีเงยหน้ามองนกไฟอย่างไม่สบอารมณ์ ขึ้นชื่อว่านาคไม่ชอบสัตว์สายพันธุ์นกอยู่แล้ว ยิ่งนกตัวนี้นำจดหมายจากตาแก่มนุษย์นั่นมาให้ก็ยิ่งไม่สบอารมณ์เข้าไปใหญ่ โชคดีที่เจ้าชายยังไม่ได้ทรงอ่านจดหมายนั่น วันนี้เจ้าชายก็ทรงออกไปเดินเล่นกับเจ้าชายศรีวาริน(ชื่อที่นทีตั้งให้เซไวลิน)ป่านนี้ก็ยังไม่กลับ นกไฟกำลังจะบินไปหาเจ้าชาย แต่นทีหยุดมันไว้เสียก่อน เขากระชากจดหมายออกอ่าน นกตัวนั้นส่งเสียงอย่างไม่พอใจ ก่อนจะบินจากไป
ถึงสเนป
เธอลืมไปแล้วใช่ไหมว่ามีชีวิตได้ทุกวันนี้เพราะใคร ถ้าไม่มีฉัน เธอก็ต้องไปอยู่ที่อัซคาบันแล้ว อย่าลืมว่าเธอมีหน้าที่อะไร เธอคงไม่อยากให้ลิลี่ตายไปอย่างไร้ค่าหรอกนะ
ดัมเบิลดอร์
นทีกำจดหมายแน่นด้วยความโกรธ ตาแก่นั่นกล้าดียังไงมาเขียนจดหมายแบบนี้ โชคดีที่เจ้าชายไม่ได้อ่าน เพราะถ้าอ่านพระองค์คงเสียพระทัยมาก เขารู้ว่าเจ้าชายไม่ได้ดีบริสุทธิ์ เจ้าชายเคยทรงทำผิด แต่มีใครในวัฏสงสารนี้ที่ไม่เคยทำผิดบ้าง แม้กระทั่งพระโพธิสัตว์เองก็ยังเคยทำผิด แต่บุคคลที่เอาความผิดของคนอื่นมาตอกย้ำ นทีคิดไม่ออกจริงๆว่าเป็นคนยังไง
****************************************
ริมสระบัว นิลนคร
“ฉันกลับก่อนล่ะ” โกเมศว่า หลังจากคุยมาได้ครึ่งชั่วโมง “ไปล่ะนะ เซเวอร์รัส เซไวลินด้วย เดี๋ยวเจอกัน”
“ทีหลังผมจะไม่มาแล้ว” เซไวลินทำหน้าบึ้ง “คุยกันอยู่2คน ทิ้งให้ผมกับชลนั่งเป็นตอไม้เลย”
“อย่าเสียมารยาท เซไวลิน” สเนปดุ
“ก็จริงนี่ครับ” เซไวลินบ่นอุบอิบ “ทีหลังไม่ต้องพาผมมานะพ่อ ไม่อยากเป็น กขค”
“รู้มาก” สเนปพูดพลางใช้มือขยี้หัวลูกชาย “ลาล่ะโกเมศ ชลด้วย เดี๋ยวค่อยเจอกัน”
“เฮ้อ!ยังจีบกันไม่เสร็จอีกเหรอ” เซไวลินแกล้งบ่น
“กลับบ้าน” สเนปพูดพลางลากเจ้าตัวแสบมาด้วย
เมื่อกลับมาถึงเซเวอร์รัสเห็นนทีหน้าบึ้งอยู่ ตายล่ะ หรือว่าเขาห้ามออกไปไหนโดยไม่ได้รับอนุญาตและเขาก็เห็นจดหมายที่นทีกำเสียแน่น
“จดหมายอะไร นที” สเนปถาม
“ไม่มีอะไรพระเจ้าค่ะ” นทีพูด พยายามซ่อนมันให้พ้นสายตา
“จะไม่มีอะไรได้ยังไง” สเนปพูด “เอามาให้ฉันดูเดี๋ยวนี้”
“อย่าเลยพระเจ้าค่ะ” นทียังบ่ายเบี่ยง
“นี่เป็นคำสั่ง” สเนปพูดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
นทีลังเลอยู่สักครู่ ก่อนจะยื่นจดหมายให้สเนป
สเนปอ่านจดหมายนั่น เขาทั้งโกรธ โมโห ผิดหวัง รู้สึกเหมือนถูกทรยศ เสียใจและไม่เข้าใจ เขาไม่ได้ลืมหน้าที่ของตนเอง เขาพร้อมจะทำงานให้ดัมเบิลดอร์เสมอ เขาไม่เคยลืมบุญคุณของชายชราและยิ่งไม่อยากให้ลิลี่ตายอย่างไร้ค่า ดัมเบิลดอร์เขียนยังงี้ได้ยังไง
“เขาเขียนอย่างกับว่าฉันจะไม่ทำงานให้เขาแล้ว” สเนปพูด “ฉันพร้อมจะไปหาเขาเสมอถ้าเขาเรียกตัว”
นทีขยับขาไปมาอย่างอึดอัดใจ “ความจริงเขาส่งจดหมายมาก่อนหน้านี้พระเจ้าค่ะ ตอนพระองค์ทรงพักผ่อนอยู่”
“จดหมายนั่นอยู่ไหน” สเนปกระชากเสียงถาม
“หม่อมฉันทิ้งไปแล้วพระเจ้าค่ะ”นทีตอบโดยไม่สบตา เขารวบรวมความกล้าก่อนจะพูดต่อ “หม่อมฉันเขียนจดหมายกลับไปถึงเขาแล้วด้วย บอกว่าไม่ให้เขาติดต่อมาอีก ให้ถือว่าอยู่คนละโลกกัน”
“เธอทำยังงั้นได้ยังไง” สเนปพูดอย่างไม่พอใจ “ดัมเบิลดอร์เข้าใจฉันผิดหมด”
“เจ้าชายจะทรงกลับไปหรือพระเจ้าค่ะ” นทีพูดอย่างไม่อยากเชื่อ “เขาดูถูกเจ้าชายขนาดนั้น”
“ฉันจะกลับไป” สเนปพูดอย่างแน่วแน่ “ถ้าเขาส่งจดหมายมาหาฉันแสดงว่ามีเรื่องด่วน”
แววตาของสเนปบ่งบอกว่าจะไม่ฟังคำคัดค้านใดๆ
“ตามพระทัยพระเจ้าค่ะ” นทีว่า
“ฝากดูแลเซไวลินด้วย” สเนปว่า “ฉันจะไปล่ะ เป็นเด็กดีนะ เซไวลิน” เขาหันมาสั่งลูกชาย
เซไวลินพยักหน้า “ครับพ่อ โชคดีนะครับ”
“ขอบใจ” สเนปว่า เขาต้องใช้โชคอย่างมากทีเดียว เขาหันหลังและเดินจากไป
Talk เดี๋ยวสเนปจะคุยกับดัมเบิลดอร์แล้วค่ะ
ต่อ
สเนปมายืนอยู่หน้าปราสาทฮอกวอตส์ เขาไม่กล้าจะเข้าไป เขาไม่รู้ว่าดัมเบิลดอร์ได้ประกาศเรื่องที่เขาถูกไล่ออกต่อหน้าคนทั้งโรงเรียนหรือเปล่า เขาคิดว่าคงไม่ แต่อย่างน้อยๆพวกอาจารย์ก็น่าจะรู้ เขาสูดลมหายใจลึกๆเพื่อรวบรวมความกล้า ก่อนจะเดินเข้าไปในตัวปราสาท ตรงไปที่ห้องโถงใหญ่ ดัมเบิลดอร์นั่งอยู่ตรงโต๊ะอาจารย์ กำลังคุยกับมักกอนนากัล สายตาเสียดแทงทะลุหันมาทางเขา แววตานั่นเป็นแววตาเดียวกับที่เขาเคยเห็นเมื่อครั้งที่มาขอร้องดัมเบิลดอร์ให้ช่วยลิลี่ เขาไม่เห็นแววตาแบบนั้นมานานแล้วและไม่หวังว่าจะได้เห็นมันอีก
“เขามาแล้ว” ดัมเบิลดอร์กระซิบกับมักกอนนากัล “จะได้คุยกันให้รู้เรื่องเสียที”
สเนปเดินตรงไปที่โต๊ะอาจารย์ เขาไม่สบตากับใครเลย เสียงกระซิบกระซาบตามเขาไปทั่ว แต่เขาไม่สนใจ เขาเดินมาถึงหน้าเก้าอี้ของดัมเบิลดอร์
ดัมเบิลดอร์ใช้ไม้กายสิทธิ์เสกเก้าอี้แทรกกลางระหว่างเขากับอาจารย์แปลงร่าง “นั่งลง” เขาพูด
สเนปทำตาม
“เธอคงได้รับจดหมายทั้ง2ฉบับของฉันแล้ว” ดัมเบิลดอร์พูดด้วยเสียงกระซิบ “ทำไมเธอถึงตอบจดหมายฉันแบบนั้น สเนป”
สเนปงั้นหรือ เซเวอร์รัสคิด เขากลายเป็นสเนปของดัมเบิลดอร์แล้วใช่ไหม ไม่ใช่เซเวอร์รัสอีกต่อไปแล้ว เขาอาจจะไม่เคยพูด แต่ความไว้วางใจของดัมเบิลดอร์เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเขา และการที่ดัมเบิลดอร์เรียกเขาว่าเซเวอร์รัสก็ทำให้เขารู้สึกอบอุ่น ไม่ค่อยมีใครเรียกชื่อต้นของเขานักและดัมเบิลดอร์ก็เป็นหนึ่งในไม่กี่คนนั่น
“ฉันถามก็ตอบ” ดัมเบิลดอร์เร่ง “หมายความว่าไงที่ไม่ให้ติดต่อไปอีก เธอเป็นคนของฉัน ลืมแล้วหรือ”
“ผมไม่เคยลืม” สเนปหาเสียงของเขาเจอจนได้ “ผมไม่เคยลืมว่าคุณมีบุญคุณกับผมยังไงบ้าง พระคุณของคุณมากกว่าพ่อของผมเสียอีก และผมก็เห็นคุณเป็นเหมือนพ่อ เห็นแบบนั้นมาตลอด แต่คุณคงไม่อยากได้งูอย่างผมเป็นลูก และที่สำคัญผมไม่ได้ตอบจดหมายของคุณเลย” เขาพูดด้วยเสียงแผ่วเบา จนไม่แน่ใจว่าพูดออกไปจริงๆหรือแค่คิดในใจกันแน่
ดัมเบิลดอร์ตะลึงไปชั่วครู่ เขากระแอมและลุกขึ้นยืน “ไปคุยที่ห้องทำงานฉัน” เขาพูดก่อนจะเดินจากไป
สเนปลุกขึ้น ก่อนจะเดินตามดัมเบิลดอร์ไป
“ทีนี้เธออธิบายมาสิ” ดัมเบิลดอร์พูด เมื่อทั้งคู่เข้ามาในห้องทำงานแล้ว “ที่ว่าเธอไม่ได้ตอบจดหมายของฉัน ฟอกซ์ไม่มีทางส่งจดหมายผิดพลาด”
สเนปอับจนถ้อยคำ เขาจะอธิบายได้อย่างไรว่านทีเอาจดหมายไปซ่อนโดยไม่บอกถึงความเป็นงูของเขา แต่ถ้าเขาไม่บอก ดัมเบิลดอร์คงคิดว่าเขาไม่น่าไว้ใจและเป็นสิ่งที่เขาทนไม่ได้
“นทีเอาไป” สเนปโพล่งออกมา “เขาเป็นคน..ไม่ใช่สิ เป็นงูของผม ผมเองก็เป็นงูเหมือนกัน แต่เป็นงูพิเศษ เรียกกันว่านาค แปลงร่างได้ ใช้เวทย์มนตร์ได้ ระดับสติปัญญาเกือบเท่ามนุษย์ มีการปกครองบ้านเมือง ผมเป็นเจ้าชายของตระกูลกัณหาโคตมะ นาคสีดำ ย่าผมเป็นราชินีอยู่ที่นั่น” เขาพูดออกไปแล้ว เขาพูดออกไปหมดแล้ว เขาไม่กล้าสบตาดัมเบิลดอร์
“เธอพูดจบหรือยัง” ชายชราถาม “เรื่องเหลวไหลไร้สาระอะไรกัน เธอคิดข้อแก้ตัวที่ดีกว่านี้ไม่ได้แล้วหรือ ใครเคยได้ยินว่างูจะมีบ้านเมืองบ้าง”
“ผมพูดความจริง” สเนปเริ่ม แต่อาจารย์ใหญ่ตัดบทเขา
“เธออาจจะดีใจที่ได้รู้ว่าตอนนี้รีมัสยังอยู่ที่เซนต์มังโก ยังไม่ฟื้นและอาการก็ทรุดหนักลงเรื่อยๆ ผู้บำบัดพยายามใช้ทุกวิถีทางขับพิษออก แต่ก็ไม่ได้ผล เธอวางยาพิษอะไรเขากันแน่”
“ผมไม่ได้วางยาพิษเขา ผมพ่นพิษใส่เขา พิษในร่างกายของผมเอง ผมเป็นงู คุณยังไม่เข้าใจอีกหรือไง”
“ถ้าเธอยอมบอกสูตรยาแก้พิษ ฉันอาจพิจารณาเรื่องตำแหน่งงานของเธอใหม่” ดัมเบิลดอร์ยื่นข้อเสนอ “ฉันรู้ว่าเธอไม่มีเงินเก็บมากนักหรอกและก็ไม่ค่อยมีใครอยากรับเธอเข้าทำงานด้วย”
“ผมไม่มีสูตรยาแก้พิษ” สเนปยืนยัน “พิษจะระเหยไปเองเมื่อถึงเวลา อาจจะคืนพรุ่งนี้ ถ้าโชคดีลูปินจะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
“เขาเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์อยู่แล้ว” ดัมเบิลดอร์ว่า “แค่ปัญหาเล็กๆของเขา ไม่ได้ทำให้คุณค่าความเป็นคนของเขาลดลง”
“ผมไม่ได้หมายความว่ายังงั้น” สเนปพยายามอธิบาย “ผมหมายถึงเขาจะไม่ต้องกลายร่างทุกวันพระจันทร์เต็มดวงอีกแล้ว”
“เลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว” ดัมเบิลดอร์ตัดบท “งั้นแสดงว่าเธอจะไม่ยอมให้ยาแก้พิษและยังจะแก้ตัวเหมือนเดิม เป็นลูกผู้ชายหน่อยสิ สเนป กล้าทำก็ต้องกล้ารับ ทำยังงี้นะฉันคิดว่าเธอชั่วกว่าโวลเดอมอร์เสียอีก อย่างน้อยๆเขาก็กล้ายอมรับในสิ่งที่ตนเองทำ”
สเนปตะลึง เขาพูดไม่ออก จุกอกไปหมด คำสาปกรีดแทงยังไม่เจ็บเท่านี้เลย ดัมเบิลดอร์พูดว่าเขาชั่วกว่าจอมมาร จอมมารที่คิดจะครองโลกและกำจัดทุกคนที่ขวางทาง เขาไม่รู้จะพูดอะไรได้อีก เขาลุกขึ้นก่อนเตรียมตัวจะเดินออกไปและเขาก็ได้ยินเสียงจากเตาผิง
“ดัมเบิลดอร์ ผมมีข่าวดีสุดยอดมาบอก เราต้องจัดงานอำลาให้เพื่อนรักขนปุยของผมแล้วแหละ” เสียงของรีมัส ลูปินนั่นเอง เขาออกมาจากเตาผิงอย่างสง่างาม ใบหน้าเปื้อนยิ้ม ก่อนจะมองผู้อยู่ในห้องทั้งสองอย่างงงๆ บรรยากาศอึดอัดชอบกล “ผมพลาดอะไรไปหรือเปล่านี่”
สเนปมองดัมเบิลดอร์อย่างท้าทาย รอคอยให้ชายชราเปิดบทสนทนา
Talk ความจริงมาแล้ว ดูซิว่าดัมเบิลดอร์จะชดใช้ให้สเนปยังไง เล่นว่าเขาไปเสียตั้งเยอะ
ความคิดเห็น