[[SF-SNSD]] Sleeping Love... ลัก (รัก) หลับ! (Yuri) - [[SF-SNSD]] Sleeping Love... ลัก (รัก) หลับ! (Yuri) นิยาย [[SF-SNSD]] Sleeping Love... ลัก (รัก) หลับ! (Yuri) : Dek-D.com - Writer

    [[SF-SNSD]] Sleeping Love... ลัก (รัก) หลับ! (Yuri)

    "พี่ยูล! พี่กำลังทำให้สิก้านอนไม่พอนะ!" [YulSic] :+:Birthday Project:+: [Complete]

    ผู้เข้าชมรวม

    12,307

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    21

    ผู้เข้าชมรวม


    12.3K

    ความคิดเห็น


    154

    คนติดตาม


    46
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  16 ก.พ. 53 / 17:54 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น



    (กระดึ๊บๆ = เสียงคลานออกจากกองพัสดุ)
    อันยองค่ะรีดเดอร์ มะบุงหายหน้าไปนานเลยเนอะ
    เนื่องจากงานเยอะมาก แถมตอนนี้ยังส่งหนังสือไม่ครบอีก
    (ขอโทษในความล่าช้ามา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ)

    แต่ฤกษ์งามยามดี เลยถือโอกาสเอาวันช็อตมาฝาก
    เรื่องนี้บุงแต่งขึ้นให้วันเกิดคนพิเศษคนนึงค่ะ ที่อยู่กับบุงมานานมากๆ
    อย่าแปลกใจไปเลย... ถ้าบุงจะบอกว่าวันช็อตเรื่องนี้...
    บุงแต่งให้ตัวเอง เนื่องในโอกาสครบรอบวันเกิดอายุ 16 ปี (แอบแก่จัง TT)
    ดังนั้นวางใจได้นะคะ ว่าบุงไม่แต่งวันช็อตปวดตับให้ตัวเองแน่ๆ ฮ่าๆ

    เรื่องนี้ก็ไม่มีอะไรมากค่ะ เบาสมองสไตล์มะบุง (ไร้สาระหลุดโลก)
    เนื่องจากส่วนตัวคิดว่าเรื่องเดียวที่บุงเหมือนสิก้านั่นก็คือ
    ความสามารถในการหลับนั่นเอง อิอิ ^^
    มันก็เลยมีการลักหลับทั้งเรื่อง >< (ใช่ที่ไหน หาเรื่องโดนแบนมั้ยล่ะเธอ! = =)

    หวังว่ารีดเดอร์คงมีความสุขกับของขวัญชิ้นนี้นะคะ
    บุงขอแบ่งปันของขวัญวันสำคัญให้กับรีดเดอร์ทุกๆ คนค่ะ >///<

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -



    ...ควอน ยูริ...
    "ยัยเด็กขี้เซา... พี่กำลังขอคบเธออยู่นะ ฟังบ้างมั้ยเนี่ย!!"




    ...จอง เจสสิก้า...
    "พี่ยูลบ้า... พี่กำลังทำให้ฉันนอนไม่พอนะ!!"

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

       

       

      Sleeping Love… ลัก (รัก) หลับ! (YulSic)

       

       

      กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว...

      มีเด็กมัธยมปลายคนนึง ชื่อ จอง เจสสิก้า...

      เธอควรจะเป็นเด็กที่สดใสตามประสาวัยรุ่นทั่วไป

      ถ้าเพียงแต่ว่า...ความสามารถพิเศษของเธอมันจะไม่ใช่...

      ...การหลับได้ ...ทุกที่ ทุกเวลา...

       

       

      - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

       

                     

                      “สิก้า...” เสียงเรียกนั้นเบาหวิว เสมือนว่าดังมาจากที่อันแสนไกล จึงไม่ได้ระคายต่อหูของสาวเรือนผมบลอนด์ที่กำลังท่องโลกแห่งนิทราอย่างมีความสุขเลยซักนิด สาวเจ้าซึ่งฟุบหน้าลงกับโต๊ะเรียนสีขาวสะอาดของตนเองทำเพียงแค่พลิกใบหน้าสวยๆ หนีเสียงอันรบกวนเหล่านั้น ลมหายใจอันสม่ำเสมอ บ่งบอกได้ชัดเจนเป็นอย่างดี ว่าเจ้าตัวไม่ปรารถนาที่จะตื่นขึ้นมาในเวลาเช่นนี้

                     

                      “สิก้า!” เพื่อนสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ ตะโกนเรียกชื่อเจสสิก้าอีกครั้ง หากแน่นอนล่ะว่าไร้สัญญาณตอบรับ จากหมายเลขที่ท่านเรียกเสียเหลือเกิน ฮวัง ทิฟฟานี่ นักเรียนชั้นม. 4 จึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความระอา เพราะไม่มีครั้งไหนเลยที่ร่างบางจะเห็นว่าเจสสิก้าจะตื่นขึ้นมานั่งเรียนเหมือนคนปกติได้ซักคาบ เนื่องจากไม่รู้ว่าสาวเจ้าเขาไปอดหลับอดนอนมาจากไหน ถึงนอนได้ทุกคาบทุกวันเหมือนที่เป็นอยู่ หรือนั่นจะเป็นความสามารถที่ฟ้าประทานมาตั้งแต่กำเนิด จนพาลเอาคนข้างๆ อย่างเธอถึงกับปวดเศียรเวียนเกล้า ที่ต้องคอยนั่งจดแลคเชอร์ให้อีกคนไปท่องก่อนสอบ แล้วมันยิ่งน่าแปลกตรงที่ว่า ...คะแนนสอบของเจสสิก้าดีเป็นอันดับต้นๆ ของสายชั้น ทั้งที่สถิติการตื่นขึ้นมาเรียนในคาบนึงมากที่สุดของเธอก็คือ ยี่สิบนาที สามสิบเก้าวินาที...

                     

                      ...จากทั้งหมดหนึ่งชั่วโมงเต็มเนี่ยนะ!...

                     

                      “จอง เจสสิก้า ฉันหิวข้าว!!~” ทิฟฟานี่ทำเสียงเหมือนจะร้องไห้ เมื่อปลุกเพื่อนสนิทแล้วไม่ยอมตื่นเสียที ขนาดเธอเป็นคนที่มีความอดทนสูงลิ่วกว่าชาวบ้าน หากเรื่องปลุกเจสสิก้านี่ขอยอมแพ้คนแรกเลยเหอะ ในเมื่อเธอปลุกอีกฝ่ายตั้งแต่อาจารย์ปล่อยให้พัก จนตอนนี้เลยเวลาพักมาเกือบสิบนาทีแล้ว เจสสิก้ายังไม่เสด็จออกจากบรรทมเลย!!

                     

                      “ง่วง...” น้ำเสียงใสงัวเงียพึมพำออกมาเบาๆ หาให้ทิฟฟานี่ถึงกับสติแตก แทบอยากพาเอาหัวของตนเองไปกระแทกกำแพงซักร้อยรอบ... หลับมาตั้งแต่คาบเช้า ถ้านับรวมๆ ก็ประมาณ 4 ชั่วโมงกว่าได้ ยังมีหน้ามาบ่นมาง่วงอีกหรอ...

                     

                      “ตื่นโว้ยยยย!!! ฉันจะไปกินข้าวแล้วนะสิก้า!!” โอ้แม่เจ้า! ฮวัง ทิฟฟานี่ของเราองค์ลงซะแล้วพะย่ะค่ะ ในเมื่อสาวป๊อบของโรงเรียน ที่มีทั้งหนุ่มๆ และสาวๆ ทั่วโรงเรียนเคยต่างหมายปอง วิ่งโร่เข้ามาจีบเธอกันแล้วทั้งนั้น นี่ถ้ารู้ว่าเวลาอารมณ์เสียจัดๆ แล้วแม่คุณจะถึงกับขึ้น โว้ยเนี่ย... คะแนนความนิยมจะตกอันดับไปบ้างมั้ยนะ!

                     

                      “ฮือ...แม่ขา หนูอยากตาย~” ทิฟฟานี่รำพันอย่างหมดสิ้นซึ่งความพยายามทั้งปวง เธอจึงเตรียมโบกลาคนที่พยายามนอนมาราธอนเอาโล่ขี้เกียจการกุศลอยู่ ร่างบางพาตนเองก้าวเดินออกไปจากห้อง พร้อมๆ กับท้องที่ร้องประท้วงครวญคราง ประหนึ่งอยากให้เธอเปลี่ยนระบอบการปกครองยังไงยังงั้น

                     

                      “อ้าว... ฟานี่... จะไปกินข้าวแล้วหรอ” เสียงนุ่มๆ ที่เรียกทักมาจากทางด้านหลัง ทั้งที่เธอเพิ่งเดินพ้นประตูห้องไปเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น เจ้าของเรือนผมสั้นระต้นคอจึงหันกลับมา เรียวปากบางแย้มออกเล็กน้อย ขณะที่ดวงตาเปล่งประกายระยิบระยับอย่างมีความหวัง

                     

                      “พี่ยูล!~” เรียกชื่อเสียงยาวประหนึ่งว่ากลัวลืม ให้คนอายุมากกว่าสองปีได้แต่วางมือบนศีระษะกลมๆ อันปกคลุมด้วยเส้นผมอ่อนนุ่มแล้วโครงมันเล่นไปมาเชิงเอ็นดู

                     

                      “ค่ะ...พี่เอง แล้วสิก้าอยู่ไหนหรอ” ควอน ยูริ อดถามไม่ได้ เมื่อมองไปรอบๆ แล้วไม่เห็นเพื่อนสนิทของทิฟฟานี่ ที่ปกติแล้วมักจะยืนติดกันไม่ต่างอะไรกับเงาตามตัว จนเขาลือกันทั้งโรงเรียนแล้วล่ะว่าตอนนี้กระแส เจทิกำลังมาแรง เมื่อฟังไปฟังมา ตัวเธอเองก็อดขำไม่ได้... ดูก็รู้ว่าสมาคมเคะกันทั้งคู่ จะจิ้นไปให้เสียทรัพยากรสาวสวยกันทำไม!

                     

                      “นอนค่ะพี่... ไม่รู้อดหลับอดนอนมาจากไหน ฟานี่ปลุกกี่ทีก็ไม่ตื่น เนี่ย!...กำลังจะลงไปกินข้าวก่อนแล้ว” พอมีโอกาสตอบ สาวสวยก็รีบชิงอธิบายยาวเหยียดเป็นแม่น้ำไนล์ เหมือนว่าจะมีใครมาแย่งเธอพูด ทิฟฟานี่ชี้นิ้วเรียวไปภายในห้องที่โล่งว่างเปล่า จึงเห็นว่าโต๊ะหลังสุดมุมห้องที่ติดหน้าต่าง กำลังมีร่างของเจ้าหญิงสุดสวยนอนหลับใหล รอคอยจุมพิตจากเจ้าชายให้ตื่นจากนิทรานี้เสียที

                     

                      “ฟานี่ลงไปกินข้าวเหอะ เดี๋ยวพี่ปลุกสิก้าให้ แล้วจะตามลงไป” ยูริ ผู้ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านของเจสสิก้ามาตั้งแต่เด็กกล่าวขึ้นขณะขยิบตาเล็กน้อยเชิงมีเลศนัย ทิฟฟานี่จึงพยักหน้ารับ ปล่อยให้รุ่นพี่ม. 6 ผู้ครองใจสาวๆ ไปกว่าค่อนโรงเรียน เดินเข้าไปปลุกเพื่อนสาวของตนในห้องสองต่อสอง...

                     

                      เจ้าของใบหน้าคมเข้ม ค่อนไปทางหล่อหวานๆ มากกว่าจะสวยยิ้มกว้าง ร่างสูงสาวเท้าเข้าไปใกล้ตำแหน่งที่เจสสิก้าฟุบหน้ากับโต๊ะอยู่ เธอเข้าไปยืนทางด้านหลัง ก่อนจะโน้มหน้าเข้ามาใกล้คนที่กำลังหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว ลมหายใจอันสม่ำเสมอรินรดใบหน้าสร้างความรู้สึกปั่นป่วนภายในพิกล มือจึงเลื่อนไปกอบกุมบนไหล่มนเชื่องช้า เธอโน้มกายลงมาต่ำเรื่อยๆ จนหน้าอกติดกับแผ่นหลังเด็กสาว

                     

                      “อื้อ...” เมื่อโดนรบกวนการนอนหลับ เจสสิก้าจึงครางออกมาอย่างรำคาญ อยากจะพลิกกายหนี หากคนตัวสูงกว่ารู้ทันจึงล็อกร่างบางเอาไว้ในสองแขน ริมฝีปากเรียวเลื่อนไปกระซิบข้างๆ ใบหู

                     

                      “สิก้าคะ... ตื่นได้แล้ว... เจ้าชายมาปลุกแล้วค่ะ” พูดอย่างเดียวไม่พอ คนขี้เล่นยังจงใจเป่าลมใส่ช่องทางเล็กๆ นั้นอีกจนเจสสิก้าถึงกับสะดุ้ง เธอพยายามหลีกหนีเช่นเคย ทว่าคราวนี้ยูริไม่ปล่อยให้เป็นเช่นนั้นได้ เธอเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าหวานทั้งๆ ที่อีกคนกำลังอยู่ในสภาวะสะลึมสะลือ แยกไม่ถูกว่าจะหลับหรือจะตื่นดี

                     

                      “สิก้า... ถ้าสิก้าไม่ยอมตื่น... พี่จะลักหลับสิก้าตรงนี้แหละ!” คำขู่ที่เคยใช้ได้เสมอ พาให้ร่างบางถึงกับตื่นเต็มตาในบันดล เธอผุดลุกขึ้นนั่งกับโต๊ะ เธอมองไปรอบด้านด้วยความงุนงง ก่อนจะเห็นรุ่นพี่จอมก่อกวนที่ยืนยิ้มแปล้ไม่รู้ร้อนรู้หนาวอยู่ เจสสิก้าจึงค้อนใส่วงโต

                     

                      “พี่ยูลบ้า!! ปลุกสิก้าทำไม สิก้าจะนอน...” เสียงใสแหวใส่อย่างเอาแต่ใจ ขณะที่คนฟังจึงหัวเราะร่า

                     

                      “ไปกินข้าวได้แล้ว จะหมดพักเที่ยงอยู่แล้วเนี่ย... เมื่อคืนใช้พลังงานเยอะไม่ใช่หรอ เดี๋ยวก็หิวหรอก” เอ่ยแซวหยอกเย้าไปตามเรื่อง ทว่าอีกฝ่ายถึงกับหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย ใครว่าเธอใช้พลังงานเยอะล่ะ เธอไม่ได้ทำอะไรซักอย่างเลย เจสสิก้าถูกรังแกอยู่ฝ่ายเดียวต่างหาก!

                     

                      “สิก้าโกรธพี่ยูลแล้ว!!

                     

                     

       

       

       

       

                  คาบพละ

                 

                      “นี่สิก้า...” เสียงทิฟฟานี่ที่เรียก ทำให้เจสสิก้าซึ่งกำลังนั่งใช้มือเรียวพัดระบายความร้อนออกจากร่างอยู่ถึงกับชะงัก เธอหันมามองเพื่อนสาวซึ่งมีใบหน้าชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อไม่แพ้กัน เนื่องจากภายนอกฝนเพิ่งตกไปหมาดๆ สนามเปียกจนเดินย่ำไม่ได้ ถึงคราวซวยของพวกเธอ ที่ต้องย้ายสำมะโนครัวมาสิงสถิตกันในโรงยิมอันแสนร้อนอบอ้าว เพื่อนั่งตบลูกวอลเลย์กันอย่างเมามันจนเสื้อยืดพละสีขาวของโรงเรียนเปียกชื้นไปตามๆ กัน

                     

                      “หืม...” ขานรับไม่พอ ยังต้องยกมือขึ้นมาปิดปากที่กำลังหาวอีก เป็นอย่างนี้ทุกทีที่ว่าง เมื่อครู่เธอเพิ่งสอบปฏิบัติเก็บคะแนนย่อยในวิชาวอลเลย์บอลไปหมาดๆ ก็ไม่มีทีท่าว่าจะเกิดปรากฏการณ์หลับข้ามชาติเลยแม้แต่น้อย หากนี่พอนั่งอยู่ๆ เฉยๆ เท่านั้นแหละ ความหนักอึ้งก็ไหลเวียนไปกองกันยังเปลือกตาที่บางเกินกว่าจะรับน้ำหนักเหล่านั้นได้ จึงพากันอยากปิดตัวเองเอาเสียดื้อๆ แต่คนข้างกายก็ช่างขัดขวางการนอนหลับของเธอด้วยการชวนคุยซะนี่

                     

                      “ทำไมพี่ยูลถึงปลุกสิก้าได้ล่ะ... ตกลงสิก้าเป็นอะไรกับพี่ยูลกันแน่” อดถามอย่างแปลกใจไม่ได้ ก็ในเมื่อเธอปลุกเจสสิก้าเกือบครึ่งชั่วโมง ยูริมาแป๊บเดียวไม่ถึงห้านาที ก็ลากร่างบางลงมากินข้าวกลางวันได้ด้วยอย่างว่าง่าย แถมรุ่นพี่ข้างบ้านก็ช่างแสนดีเกินหน้าที่ คอยนั่งป้อนข้าวเจสสิก้าที่กำลังอยู่ในสภาพงัวเงียจนไม่อาจกินเองได้ เห็นแล้วทิฟฟานี่เกิดอาการอิจฉาจนตาแทบลุกเป็นไฟ ไม่ใช่เพราะเธอพิศวาสรุ่นพี่คนนั้นอะไรหรอกนะ เพียงแต่เธออิจฉาที่พี่แทยอน แฟนของเธอไม่เคยจะหวานอะไรกับเขาเลย เอะอะก็แคร์สื่อ แคร์นู่นแคร์นี่ตลอด อ้างอยู่ได้ว่ากลัวเขารู้ว่าเราเป็นแฟนกัน

                     

                     

                      ...โธ่ ก็ที่ควงอยู่ทุกวันนี้ก็อยากให้รู้ว่ามีแฟนแล้วนั่นแหละค่า...

                     

                      ...แฟนเขาไม่ได้มีไว้รู้กันสองคนนี่หน่า!...

                     

                     

                      “ปลุกธรรมดานั่นแหละ... พี่ยูลไม่เก่งพอจะตีลังกาปลุกฉันหรอก” เจสสิก้าพูดพลางหลบหน้าเพื่อน แสร้งทำเป็นรำคาญ หากความจริงนั้นคือเธอกำลังเขินอายเกินกว่าจะบอกไปได้ว่ายูริปลุกเธอเช่นไร...

                     

                     

                      ...คนบ้า ควอน ยูริ! อย่าให้เจอนะ...

                     

                      ...ทำให้ฉันเขิน กลับมารับผิดชอบเดียวนี้เลย!!...

                     

       

                      “เอาจริงๆ อย่ากวนสิ”

                     

                      “ก็ปลุกธรรมดาไง สะกิดๆ นั่นแหละ” ถ้าอย่างที่ยูริปลุกเรียกว่าสะกิด บ้านเมืองนี้คงดูล่อแหลมพิกลเวลาคนปลุกกัน!

                     

                      “แล้วเธอทำอะไรทุกคืน ถึงได้หลับเอาโล่ขนาดนี้ ถามจริงเหอะ กลางคืนไม่นอนรึไง...” คำถามของทิฟฟานี่ ทำเอาเจสสิก้าแทบตกแสตนด์ เธอสะดุ้งเฮือก ขณะรู้สึกถึงความร้อนผ่าวที่ไหลเวียนไปทั่วใบหน้า ป่านนี้มันคงต้องแดงเรื่อมากแน่ๆ เลย เพียงแต่ไม่ใช่เพราะความร้อนอบอ้าวของอากาศที่มีอยู่แล้วเป็นทุนเดิม ทว่าเป็นเพราะประโยคแทงใจนั้นต่างหาก!

                     

                      “นอน...” แน่นอนสิว่าเธอต้องตอบออกไปเช่นนี้ หากความจริงแล้วเธอได้นอนเต็มอิ่มซักวันที่ไหน มันมีลิงบ้าข้างบ้านมากวนประจำนั่นแหละ ลิงที่ไล่แล้วก็ไม่ไปด้วยนะ แถมชอบรบกวนเวลาหลับของเธอเป็นที่สุด

                     

                      ...ถ้าไม่ติดว่าแอบรักลิงตัวนั้นอยู่ เจสสิก้าคงไม่ยอมให้มันมาก่อกวนการพักผ่อนของตนเองหรอกน่า!...

                     

                      “นอนแล้วทำไมยังง่วงทั้งวันอย่างนี้ล่ะ นอนกี่ทุ่มหรอ”

                     

                      “สองทุ่ม ตื่นเกือบเจ็ดโมง โอเค้!?” ทิฟฟานี่ถึงกับชะงักเมื่อได้ยิน เกือบเจ็ดโมงมันใช่จะเช้า เพราะถ้าลองคำนวนดูจริงๆ เจสสิก้าก็เกือบมาโรงเรียนสายบ่อยครั้ง แล้วยังนอนตั้งแต่สองทุ่มอีก นับดูแล้วมันสิบกว่าชั่วโมงเลยนะนั่น!

                     

                      “งั้นเธอคงเป็นพวกต้องการการพักผ่อนมากเป็นพิเศษล่ะมั้ง” ร่างบางยิ้มแห้งๆ พิเศษนี่หมายความว่าเจสสิก้าแทบหลับได้ทุกเวลาที่เจ้าตัวต้องการเลยจริงๆ

                     

                      “คงงั้นแหละ...” สิ้นคำ เสียงออดของโรงเรียนก็ดังขึ้น อันเป็นเสียงที่บ่งบอกถึงเวลาเลิกเรียนพอดี เจสสิก้าจึงยิ้มร่าอย่างมีความสุข เพราะเธอจะได้รีบกลับบ้านไปนอน มากกว่าจะมานั่งสัปหงกอยู่เช่นนี้ เธอจึงรีบคว้ามือคนข้างกายแล้วดึงอีกฝ่ายก้าวออกจากโรงยิมด้วยความรีบเร่ง

                     

                      “รีบเว่อร์ไปแล้วนะสิก้า” ทิฟฟานี่อดเตือนขึ้นมาไม่ได้ ไม่รู้ว่าเพื่อนจะรีบไปไหน เหมือนกำลังหนีใครอยู่อย่างนั้นแหละ

                     

                      “ฉันกลับบ้านก่อนนะ...” ว่าแล้วก็ออกวิ่งทันที ทิ้งให้คนที่เธอลากมาด้วยถึงกับยืนงุนงงอยู่หน้าประตูโรงเรียน ก็รู้อยู่หรอกนะ ว่าบ้านไม่ได้อยู่ทางเดียวกัน หากลากเธออกมาแล้ว อยู่ๆ ก็ปล่อยมือเอาเสียดื้อๆ อย่างนี้ ใครไม่งงบ้างก็ให้มันรู้ไปสิ สงสัยเจสสิก้ากำลังงัวเงียอยู่ล่ะมั้ง?

       

                     

       

       

       

       

                      “ฮึ่ย... พี่ยูลบ้า” ประโยคนี้หลุดออกมาจากปากของเจสสิก้าเป็นรอบที่ร้อยของวัน มือเรียวยกขึ้นสัมผัสลำคอระหงของตนเองด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ เมื่อนึกถึงสัมผัสเมื่อคืน ก็พาความร้อนผ่าวไหลเวียนไปทั่วกาย ปลายนิ้วไล้ไปตามลำคอซึ่งถ้าสังเกตก็จะพบรอยแดงเรื่ออย่างแสดงความเป็นเจ้าของเต็มไปหมด

                     

                      ...เหตุผลที่ทำให้เธอนอนไม่พอซะทีนั่นแหละ...

                     

                      “ง่วงชะมัดเลย คอยดูนะ... วันหลังฉันจะล็อกหน้าต่าง!” เอาเข้าไป... เพิ่งรู้ว่าคนสวยก็บ่นกับตนเองได้ นี่ถ้าใครมาเห็น คงนึกว่าเธอบ้าไปแล้ว ที่มัวแต่ทำปากขมุบขมิบ เฝ้าค่อนขอดรุ่นพี่ผู้ครองใจสาวๆ ทั้งโรงเรียนอยู่คนเดียว แต่ระหว่างที่เธอกำลังพึมพำอยู่นั้น เท้าเรียวก็ต้องชะงักเมื่อรู้สึกถึงความผิดปกติ

                     

                      “อ้าว... หายไปไหนอ่ะ” เจสสิก้าว่าพลางก้มลงมองดูมือข้างขวาที่ว่างเปล่าของตนเอง ซึ่งปกติแล้วมันจะมีแหวนเงินกลมเกลี้ยงสวมอยู่ยังนิ้วนางเสมอๆ แหวนวงสำคัญที่เธอไม่เคยถอดมานานแสนนาน ตั้งแต่วันที่มีใครบางคนสวมให้...

                     

                      “ทำไงดี... แหวนพี่ยูลซะด้วย!” ปากก็ว่าเกลียดเขาอย่างนั้นอย่างนี้ พอแหวนเขาหายล่ะร้อนใจแทบตาย! ช่วยไม่ได้นี่หน่า นั่นมันคือของขวัญชิ้นแรกที่ยูริมอบมันให้กับเธอ ถึงแม้ต่อให้จะเป็นในฐานะน้องสาวผู้แสนดีข้างบ้านก็ตามที หากในหัวใจของเธอทั้งสองคนก็รู้ดีถึงความรู้สึกของกันและกัน จึงไม่มีใครกล้าพูดมันออกมา ทำให้ความสัมผัสอันกระท่อนกระแท่น ดำเนินไปอย่างไม่มั่นใจ ไม่มีบทสรุปว่าตกลงที่เราเดินข้างๆ กันอยู่ทุกวันนี้ หัวเราะและเคียงข้างกันไปนั้น มันในฐานะพี่น้องเหมือนตอนเด็กๆ หรือเป็นคนรักที่หัวใจเรียกร้องกันแน่...

                     

                     

                      ...หากถึงจะไม่เคยเรียกยูริว่าคนรักเต็มปากเต็มคำ...

                     

                      ...แต่เจสสิก้าก็รู้ว่าหัวใจของเธอนั้น มันเป็นของใครคนอื่นไม่ได้อีกแล้ว...

                     

                     

                      “หรือจะตกตอนเล่นวอลเลย์นะ...” เมื่อหาข้อสรุปให้ตนเองได้ เท้าเรียวที่เคยหยุดนิ่ง ก็พาร่างบางหันหลัง แล้ววิ่งกลับไปในทิศทางที่จากมาอย่างรวดเร็ว โดยไม่แยแสว่าอีกไม่เกินร้อยเมตรก็จะถึงบ้านของเธอแล้ว แถมตอนนี้พระอาทิตย์ก็เริ่มเลาะเลียบขอบฟ้า เป็นสัญญาณว่าใกล้จะหมดวัน ทว่าเจสสิก้าก็สนใจอะไรที่ไหนล่ะ ในเมื่อวันนี้วันศุกร์ ถ้าปล่อยให้แหวนหายไปง่ายๆ แบบนี้ มีหวังเธอนอนไม่หลับทุกคืน ยันวันจันทร์แน่ๆ

                     

                      กว่าที่เธอจะมาถึงโรงเรียนก็เย็นมากแล้ว ผู้คนบางตาลงทุกที เข็มนาฬิกาซึ่งทำหน้าที่ของมันอย่างซื่อตรง บ่งบอกว่าเป็นเวลาเกือบหกโมงเย็น ท้องฟ้าจึงเริ่มฉาบสีน้ำเงินอ่อนบางๆ

                     

                      เจสสิก้าก้าวเท้าเข้าไปในโรงยิมอันมืดสนิทอย่างกล้าๆ กลัวๆ ตอนเรียนก็ไม่เท่าไหร่หรอก เพราะเธอยังมีเพื่อน หากตอนนี้มีเพียงเธอคนเดียว มันจึงเปลี่ยนความเงียบเหงารอบด้าน ไปเป็นความวังเวงอย่างไม่ได้ตั้งใจ จนสองแขนต้องยกขึ้นมากอดร่างบางเอาไว้หลวมๆ เพื่อคลายความหนาวเหน็บเวลาลมพัดโชยมาเบาๆ

                     

                      ก้มๆ เงยๆ รอบแล้วรอบเล่า แสงไฟสลัวๆ ภายในโรงยิมขนาดใหญ่ มันไม่ได้ช่วยให้เธอหาแหวนวงเล็กๆ นั้นได้ง่ายเลยซักนิด เดินหาจนทั่วทุกซอกทุกมุมก็ไม่มีวี่แววว่าจะเจอ

                     

                      มือเรียวยกขึ้นปาดหยาดเหงื่อที่เริ่มไหลซึมผ่านลงมาตามใบหน้าสวย ทั้งที่อากาศกำลังเย็นเฉียบ เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความร้อนใจ ดวงตากวาดมองไปรอบด้านอย่างมีความหวัง หากจนแล้วจนรอดแหวนวงสำคัญ ก็ไม่ได้เปล่งประกายให้เธอเห็นเลยแม้แต่น้อย

                     

                      “พี่ยูลโกรธแน่ๆ เลย” เจสสิก้าพูดแล้วจะร้องไห้ หยาดน้ำตาพากันมาคลอเอ่อเต็มสองหน่วย เธอรักแหวนวงนั้นมาก เพราะมันเหมือนเป็นสิ่งแทนตัวอย่างเดียวที่ทำให้เธอแน่ใจว่าระหว่างเธอและร่างสูงไม่ได้เป็นเพียงพี่น้องกันเหมือนอย่างใครคนอื่นเข้าใจ อย่างน้อยๆ มันก็ช่วยตอกย้ำความรู้สึกอันไหวหวั่นลึกๆ ของเธอ ว่าเธอยังเป็นคนสำคัญของใครคนนั้นอยู่ ถึงแม้เขาจะเต็มไปด้วยสาวๆ คนอื่นรอบกายก็ตามที...

                     

                      ...มันก็แค่ทำให้เธอมั่นใจ ว่าเขายังรักเธอ...

                     

                      “ถ้าพี่ยูลรักสิก้าจริงๆ... ขอให้สิก้าหาแหวนให้เจอด้วยเถอะ!” เรื่องจริงของหญิงปากไม่ตรงกับใคร อยู่ต่อหน้ายูริ ไม่เคยพูดดีๆ ด้วยซักครั้ง พอลับหลังนั่งภาวนาหาแหวน ประหนึ่งว่าไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ก็ต้องเอาด้วยคาถา งานนี้เจสสิก้าแทบยกอิติปิโส กับชินบัญชรมาสวดแล้วล่ะ ถ้ามันจะทำให้เธอหาแหวนเจอ!!

                     

                      เวลาผ่านไปเรื่อยๆ โดยเด็กสาวเองก็ไม่รู้ตัวว่าตอนนี้ปาเข้าไปเกือบหนึ่งทุ่มแล้ว ซึ่งมันเป็นเวลาที่โรงเรียนปิดพอดี ส่งผลให้ภารโรงเดินเข้ามาล็อกประตูโรงยิมไว้อย่างแน่นหนา อย่างไม่มีทางรู้ว่าเธอกำลังอยู่ข้างใน!

                     

                      “กรี๊ดดด” เจสสิก้าร้องออกมาด้วยความดีใจ เธอรีบวิ่งเข้าไปยังจุดที่มีแสงประกายเล็กๆ ส่องสว่างอยู่ แล้วก็เป็นดังคาด เมื่อมันคือแหวนวงสำคัญของเธอนั่นเอง!

                     

                      ไม่รอช้า เธอหยิบมันขึ้นมากอดแน่น ก่อนจะรีบสวมกลับเข้าไปยังนิ้วนางข้างขวาอันมีรอยของแหวนจางๆ อยู่ บ่งบอกให้รู้ว่าใส่มานานพอสมควรแล้ว เมื่อแหวนกลับไปยังที่ๆ มันควรจะอยู่ เจสสิก้าก็ยิ้มร่าอย่างมีความสุข เธอเดินไปที่ประตูโรงยิม หากความสุขก็มาเยือนได้เพียงชั่วครู่ เมื่อประตูบานใหญ่ ไม่ได้ขยับเขยื้อนตามแรงเปิดของเธอเลยซักนิด

                     

                      Oh! my god!

       

                     

       

       

       

       

                      “ทำไมสิก้ายังไม่กลับบ้านอีกเนี่ย...” ยูริบ่นอย่างกระวนกระวาย ตอนนี้ก็ทุ่มกว่าแล้ว มันเป็นเวลาที่เจสสิก้าน่าจะกลับถึงบ้านได้ตั้งนาน หากนี่อะไร เธอที่เลิกงานช้าเนื่องจากต้องสะสางงานในโรงเรียนตามหน้าที่ของประธานนักเรียน ทว่ายังไม่เห็นแม้แต่เงาของคนที่เลิกเรียนก่อนเลย

                     

                      ยิ่งเฝ้ารอก็ยิ่งร้อนใจ เธอจึงกดโทรศัพท์หาทิฟฟานี่ด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะกรอกเสียงลงไปทันทีเมื่อได้ยินปลายสายกดรับ โดยไม่คิดจะรอให้อีกคนพูดเลยด้วยซ้ำ

                     

                      “ฟานี่! สิก้าอยู่ไหน”

                     

                      (“สิก้าก็ต้องอยู่บ้านสิคะพี่ยูล... ทำไมหรอ”)

                     

                      “ก็ตอนนี้สิก้ายังไม่กลับบ้านเลยนี่ เลิกเรียนพร้อมกันไม่ใช่หรอ” เมื่อได้ยินอย่างนั้น ระดับความร้อนใจก็เพิ่มขึ้นสูงลิ่วจนปรอทในร่างกายแทบระเบิด เธอไม่เคยเห็นเจสสิก้ากลับบ้านช้าโดยไม่โทรมาบอกอย่างนี้มาก่อนเลย อาจฟังดูน่าแปลกที่เธอทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของอีกฝ่าย ต้องคอยโทรรายงานว่าตอนนี้อยู่ไหนอะไรบ้าง ซึ่งนั่นไม่ใช่หน้าที่ของพี่สาวข้างบ้านของเธอเลยด้วยซ้ำ

                     

                      ...ซึ่งมันก็จริงแหละ ในเมื่อเธอเองก็ไม่ใช่แค่ พี่สาวเหมือนกัน...

                     

                      (“ใช่ค่ะ... เลิกแล้วสิก้าก็รีบวิ่งกลับบ้านทันทีเลย เห็นบอกอยากจะกลับไปนอน”)

                     

                      “บ้าจริง! แล้วตอนนี้สิก้าอยู่ไหนเนี่ย...” ยูริทึ้งหัวตนเองอย่างสติแตก เป็นห่วงใครอีกคนจนแทบบ้า ถึงแม้เธอจะไม่เคยแสดงอาการหวานๆ เหมือนคนอื่นเขา หากเจสสิก้าก็รู้ดีไม่ใช่หรอว่าเธอรักและห่วงใยเจ้าตัวมากแค่ไหน เพียงแค่ไม่ได้เจอกันไม่กี่ชั่วโมงก็คิดถึงแทบตายแล้ว หากนี่อะไร... พอกลับถึงบ้าน หมายจะมาจับกอดให้หนำใจซะหน่อย ตุ๊กตาเจ้าหญิงนิทราแสนสวยก็หายตัววับไปเสียได้

                     

                      (“ไม่รู้สิคะ...”) ทิฟฟานี่เริ่มเป็นกังวลไม่แพ้กัน ทว่าเธออดสงสัยในอาการของยูริไม่ได้ ในเมื่อเธอผู้ซึ่งเป็นเพื่อน ยังไม่ได้ถึงกับอาการหนักเท่ารุ่นพี่ข้างบ้านอย่างยูริเลย!

                     

                      “คาบสุดท้ายเรียนอะไร ที่ไหนกันอ่ะ...”

                     

                      (“เรียนวอลเลย์ที่โรงยิมค่ะ...”)

       

                     

       

       

       

       

                      “แฮ่กๆ...” ยูริถอนหายใจหอบ เธอย่อเข่าขณะที่มือยกขึ้นปาดหยาดเหงื่อซึ่งพราวไปทั่วใบหน้า โดยอากาศอันหนาวเย็นรอบด้าน ไม่ได้ช่วยคลายความร้อนรุ่มในหัวใจไปได้เลยซักนิด ร่างสูงปรายตามองไปรอบๆ ด้าน ขณะนี้โรงเรียนกำลังมืดสนิท เนื่องจากปาเข้าไปราวสองทุ่มได้ แถมเธอยังไม่ได้รับการติดต่อจากเจสสิก้าเลยแม้แต่น้อย โทรไปกี่ครั้งๆ เด็กสาวก็ไม่ยอมรับโทรศัพท์เธอเลย

                     

                      “ไปแอบหลับอยู่ไหนรึเปล่านะ ยัยเด็กขี้เซาเอ๊ย!...” ว่าพลางเริ่มออกวิ่งไปทางโรงยิม หากเธอก็ต้องถอดใจยามเห็นว่าประตูถูกกุญแจล็อกไว้อย่างแน่นหนา ประหนึ่งกลัวโจรจะเข้าไปยังไงยังงั้น เธอเองก็อยากรู้เหมือนกัน... ถ้าเธอเป็นโจรจริงๆ เธอคงไม่เข้ามาขโมยลูกบาสในโรงยิมไปขายต่อหรอกน่า!

                     

                      เธอกดโทรศัพท์มือถืออีกครั้ง ก่อนจะหยุดก้าวเท้าเพื่อเงี่ยหูฟังเสียงรอบด้าน ก่อนจะคุ้นๆ ว่าเสียงเรียกเข้าอันแสนคุ้นเคย ดังอยู่ใกล้ๆ นี้เอง...

                     

                      “อยู่ข้างในหรอ...” ยูริพึมพำ เธอถึงกับกุมขมับว่าทำไมสาสวขี้เซาถึงหาที่หลับได้ปลอดภัยเช่นนี้ ใช่...มันปลอดภัยมากจนเธอเองก็อยากจะรู้ว่าคนอย่างเธอจะเข้าไปได้ยังไง เพราะท่าทางเจสสิก้าคงต้องหลับอยู่แน่ๆ อาการหลับลึก ปลุกสิบตลบทั้งวันก็ไม่ตื่นมีอยู่คนเดียว คิดดูสิว่าเสียงโทรศัพท์มันดังจนเธอที่อยู่ข้างนอกได้ยิน ทว่านั่นไม่ได้ทำให้เจสสิก้ากดรับได้เลยซักนิด!!

                     

                      “อย่าให้เจอตัวนะ... จะลักหลับซะให้เข็ด โทษฐานทำให้ฉันเป็นห่วง!!” ...เอ่อ... ไม่ทราบว่านี่คือความคิดของประธานนักเรียนผู้ที่สาวๆ คลั่งไคล้หรืออย่างไร มันถึงได้หื่นมิดธรณีเยี่ยงนี้ แล้วก็ได้ข่าวมาว่าถึงจะเป็นห่วงหรือไม่เป็นห่วง การกระทำลักหลับนั้น คุณเธอก็ทำจนติดเป็นนิสัยอยู่แล้วไม่ใช่หรอ!?

                     

                      “ปีนหน้าต่างก็ได้วะ...” หลังจากหาข้อสรุปให้ตนเองได้แล้ว ร่างสูงจึงเพ่งเป้าหมายไปยังต้นไม้ที่สูงตะหง่านข้างๆ ตน ซึ่งมันสูงเกินกว่าตำแหน่งของหน้าต่างโรงยิม อันเป็นหนทางที่เธอพอจะปีนเข้าไปได้ ถ้าเพียงแต่หน้าต่างมันไม่ได้ถูกล็อกอยู่ล่ะก็นะ... งานนี้คงต้องพึ่งดวงกันอย่างเดียว!

                     

                      ใช้เวลาเพียงไม่นาน ประกอบกับร่างกายที่ฟิตมาดีสมเป็นนักกีฬา ยูริก็พาตนเองเข้ามาอยู่ในโรงยิมได้อย่างง่ายดาย เธอสอดส่ายสายตาไปรอบๆ ด้าน ก่อนจะยิ้มมุมปากออกมาบางๆ

                     

                      “อยู่นี่เอง...ยัยเด็กขี้เซา” ว่าแล้วก็เดินเข้าไปใกล้คนขี้เซา ที่กำลังนอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่บนแสตนด์ชั้นล่างสุด มือเรียวกุมกำแน่นเหมือนเด็กไร้เดียงสา ทำให้คนที่กำลังใจร้อนรุ่มด้วยความเป็นห่วง ถึงกับหัวเราะออกมาแผ่วเบา อย่างไม่อยากให้รบกวนคนที่กำลังหลับอยู่

                     

                      “เด็กน้อยเอ๊ย...” นิ้วเรียวเลื่อนไปปัดไรผมหน้าม้าที่ปกปิดใบหน้าสวยซึ้งอยู่ออก ปลายจมูกก้มลงจรดบนหน้าผากกลมมันนั้นอย่างอ่อนโยน ของแขนจึงเอื้อมไปโอบรอบร่างบางก่อนจะยกขึ้นแนบอกทันที ประหนึ่งว่าอีกคนน้ำหนักเบาเหมือนปุยนุ่นยังไงยังงั้น

                     

                      “อื้อ...” เมื่อโดนรบกวนการนอนหลับ เจสสิก้าก็ครางออกมาทันที เธอย่นใบหน้าเล็กน้อย ขณะดวงตากระพริบถี่ๆ เพื่อมองไปรอบด้านด้วยความงุนงง จึงเพิ่งระลึกได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง ใบหน้าใสจึงเร่งเส้นเลือดให้ไหลเวียนไปทั่วจนสร้างความร้อนผ่าวไปหมด

                     

                      “ตื่นแล้วหรอ... เข้ามาทำอะไรในนี้เนี่ย... รู้มั้ยว่าพี่เป็นห่วง!” พอตื่นเท่านั้นล่ะ ยูริก็วางคนตัวเล็กกว่าลงกับพื้นแล้วใส่ไม่ยั้ง ถึงแม้ประโยคนั้นจะฟังดูนุ่มนวล ไม่ได้ขึ้นเสียงเข้มแต่อย่างใด หากทำเอาคนหัวใจอ่อนไหวถึงกับน้ำตาคลอรื้นขึ้นมาเล็กน้อย ไม่ใช่ร้องเพราะถูกยูริว่าหรอกนะ... เพียงแต่เจสสิก้ากำลังซาบซึ้งใจกับประโยคสุดท้ายต่างหาก!

                     

                      “ทีละคำถามสิ... สิก้าตอบไม่ทัน...” คนสวยเบี่ยงประเด็นเสียงอู้อี้ ทว่าพอเจอสายตาคาดโทษที่ส่งตรงมาทำเอารีบตอบทุกคำถามอย่างกลัวอีกคนจะแย่งพูด “ตื่นแล้ว...พี่ยูลอุ้มก็เลยตื่น ส่วนเข้ามาทำอะไร สิก้าก็เข้ามาหาแหวนค่ะ มันตกตอนเล่นวอลเลย์... สิก้าไม่อยากให้มันหายเลยมาหาตั้งนานกว่าจะเจอ รู้ตัวอีกทีเขาก็ล็อกประตูแล้ว เลยออกไปไม่ได้...”

                     

                      “แล้วทำไมไม่โทรบอกพี่...”

                     

                      “ก็มันนึกไม่ถึงนี่หน่า” เธอบ่นอุบอิบ ตอนนั้นมันยิ่งเพลียๆ ใครจะไปมีสตินึกขึ้นอะไรมากมาย! “สิก้าก็เลยมานั่ง พยายามคิดหาทางออก แต่นั่งไปซักพัก ก็เผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้......” ช่างเป็นข้อแก้ตัวที่คนฟังช่างอยากเอาตัวเองไปผูกคอตายใต้ต้นถั่วงอก คนอะไรแม้ในยามคับขัน ติดอยู่ในโรงยิม ยังมีกะจิตกะใจมานอนหลับอีกนะ คนเรา!

                     

                      “เฮ้อ...” ฟังมาตั้งนาน ยูริจึงทำได้เพียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ จะว่าระอามันก็ไม่เชิงหรอก เธอโล่งใจเสียมากกว่า

                     

                      “คำถามสุดท้าย... รู้มั้ยว่าพี่ยูลเป็นห่วง... อันนี้สิก้าไม่รู้ค่ะ เพิ่งรู้เมื่อกี๊เองแหละ” กล่าวเสร็จก็ทำเสียงทะเล้นให้ยูริถึงกับหน้าแดงเล็กน้อย แต่ก็ยังวางมาดเป็นพี่ใหญ่ผู้เย็นชาอยู่ดี เธอจึงทำเพียงกลั้นยิ้มเอาไว้บางๆ ทั้งที่ความจริงอยากลองประเคนมะเหงกลงบนหัวกลมๆ นั่นดูซักครา

                     

                      ...คนอุตส่าห์เป็นห่วง ยังมาแซวกันอีก...

                     

                      “หนัก... ฝากไว้ก่อนนะ” เปลี่ยนเรื่องอย่างแนบเนียน ด้วยการถอดเสื้อโค้ทตัวนอกออกแล้วยกมันขึ้นคลุมกายอีกคน เพราะยูริเห็นว่าอากาศมันค่อนข้างหนาวเย็นพอสมควร แล้วเจสสิก้ามีเพียงแค่เสื้อเชิ้ตตัวเดียว เธอจึงเกรงว่าร่างบางจะไม่สบายเอา หากจะให้พูดไปโต้งๆ ว่ากลัวคนตรงหน้าหนาว ยูริก็กระดากเขินอายเกินกว่าจะพูดมันไป เลยเล่นมุกเนียนที่ทำให้คนรับเสื้อไม่รู้จะปลื้มใจหรือหงุดหงิดดี

                     

                     

                      ...นี่แหละ... สุดท้ายเลยหาข้อสรุปไม่ได้เสียทีว่าพวกเธอเป็นอะไรกัน...

                     

                      ...เพราะคนปากแข็งมันไม่ยอมพูดอะไรเลย!...

                     

       

                      “แล้วจะออกไปยังไงอ่ะ” เจสสิก้ากระชับเสื้อกันหนาวให้แน่นขึ้น ไออุ่นของร่างสูง กอปรกับกลิ่นกายหอมอ่อนๆ อันเคยคุ้น ดูมีเสน่ห์ในรูปแบบของยูริทำเอาเธอใจเต้นรัว ทั้งที่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอใส่เสื้อของยูริ ทว่าต่อให้เป็นกี่ครั้งที่ได้เข้าใกล้กัน เธอก็ยังคงหวั่นไหวไม่ต่างอะไรจากวันแรกๆ ที่รู้จักกันอยู่ดี...

                     

                      “ปีนหน้าต่างไง... เดี๋ยวพี่ช่วย...” พูดเสร็จก็คว้าคนตัวเล็กที่อยู่ในเสื้อโค้ทหลวมโคร่ง ที่แม้ความสูงจะห่างกันเพียงเล็กน้อย หากมองอย่างนี้แล้วมันเหมือนลูกสาวขโมยเสื้อพ่อมาใส่เล่นชอบกล ทว่าก็ยังแฝงไปด้วยความเซ็กซี่เล็กๆ ที่ทำให้คนมองใจสั่นไม่เป็นจังหวะ เอาเป็นว่าอย่างน้อยๆ ยูริจะพยายามควบคุมตนเอง ให้ไม่ต้องเกิดกรณีลักหลับอะไรแถวนี้นะ!

                     

                      มือเอื้อมส่งร่างบางให้ปีนออกทางหน้าต่าง โดยให้เท้าเรียวขึ้นเหยียบบ่าตนเองอย่างไม่ถือสา และด้วยความที่กลัวคนข้างล่างหนัก เจสสิก้าจึงพยายามลงน้ำหนักลงบนขาทั้งสองข้างให้น้อยที่สุด ส่งผลให้เธอรีบกระโดดเกาะหน้าต่างอย่างรวดเร็ว และการกระทำนั้นทำเอายูริเลือดแทบพุ่ง เนื่องจากกระโปรงที่เจสสิก้าใส่อยู่มันสั้นเอามากๆ.......

                     

                      “...สีขาว.......”

                     

                      “อ๊าย! พี่ยูลบ้าที่สุด!!!

       

                 

       

       

       

       

                  14 February 2010

                  Valentine’s Day

                 

                      “ยัยเด็กขี้เซา...เมื่อไหร่จะมาน้า...” บ่นเป็นรอบที่ร้อยของวัน... ยูริทรุดนั่งลงบนม้านั่งอีกครั้ง เธอเงยหน้ามองท้องฟ้ากว้าง ที่มาเหยียบที่นี่ตั้งแต่ตอนประมาณสี่โมงเย็นที่ยังพอมีแสงแดดอุ่นๆ สาดทออยู่บ้าง ทว่านี่ก็ปาไปจนเกือบทุ่มนึงแล้ว ยังไม่มีแม้แต่เงาของเจสสิก้าเลยซักนิด

                     

                      วันนี้เป็นวันแห่งความรัก แน่นอนล่ะว่าบรรยากาศสีชมพูกำลังไหลวนเวียนล้อมรอบกายของเธอ มองไปทางไหนก็มีแต่คู่รักจูงมือโอบไหล่หรือนั่งแอบอิงแนบชิดกัน ซึ่งบอกตรงๆ ว่ามันทำให้คนโสดไม่เต็มอย่างเธอถึงกับอิจฉา... ถ้าเพียงแต่มีความกล้ามากกว่านี้ แล้วบอกไปว่าคิดยังไงกับยัยเด็กแสบคนนั้น เธอก็อาจจะไม่ต้องทนเหงาอยู่อย่างในทุกวันนี้ เพราะถึงแม้อยู่ท่ามกลางผู้คนที่รายล้อม ก็ไม่ได้แปลว่าเธอไม่มีอารมณ์โดดเดี่ยวเหมือนคนอื่นเขา

                     

                      เพราะฉะนั้นวันนี้... เธอจึงเลือกที่จะบอกความรู้สึกไปเสียที ใครจะรู้บ้างว่าเธอพยายามฝึกซ้อมพูดประโยคเดิมซ้ำๆ หน้ากระจกมาจนเกือบสองเดือนแล้ว จนตัดสินใจได้สนที่สุดว่าสมควรบอกเจสสิก้า... เนื่องจากดูท่าทีเด็กสาวก็มีใจให้เธอไม่น้อยเหมือนกัน หากอีกฝ่ายก็ไม่กล้าบอก เนื่องจากจะให้ผู้หญิงมาพูดเรื่องแบบนี้ก่อน มันคงฟังดูไม่ดีเท่าไหร่ ถึงแม้ยูริเองก็จะไม่ได้มีเพศต่างไปจากเจสสิก้าเลยก็เหอะ...

                     

                      ก้มลงมองนาฬิกาที่เลยเวลาหนึ่งทุ่มมานิดๆ อย่างร้อนใจ เธอนั่งสั่นขาเบาๆ อย่างร้อนใจ เป็นอย่างนี้ทุกทีที่นัดกัน ชอบมาช้าเอามากๆ แล้วก็ไม่รับโทรศัพท์ ให้เธอเฝ้าห่วงนู่น กังวลนี่ไปไกลสารพัด ทั้งที่กำชับไว้แล้วว่าให้มาตั้งแต่ตอนห้าโมง เพราะวันนี้เป็นวันสำคัญ และเธอมีเรื่องจะพูดด้วย

                     

                      มือยกขึ้นสะบัดสาบเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดที่สวมทาบทับลงบนเสื้อกล้ามสีดำสนิท ก่อนจะหยิบดอกกุหลาบแดงเพียงดอกเดียวออกมาดู แล้วต้องทำหน้ามุ่ย เพราะมันเริ่มเหี่ยวลงเล็กน้อยตามเวลา

                     

                      เธอหันมองไปด้านหลังพุ่มไม้... เซอร์ไพร์สที่อุตส่าห์เตรียมการมานานแสนนานเพื่อความโรแมนติก หวังว่าเจสสิก้าคงมองเห็นค่า และรีบมาในเร็วๆ นี้เถอะนะ...

                     

                      “แฮ่กๆ...” เสียงหอบดังขึ้นใกล้ตัว ทำให้เธอผุดลุกขึ้นโดยอัตโนมัติ ก่อนจะต้องชะงัก เมื่อผู้มาใหม่โผเข้ากอดเธอเต็มแรง พร้อมๆ กับแนบใบหน้าหวานลงบนไหล่มนของเธอ

                     

                      “พี่ยูล...สิก้าขอโทษ...” เจสสิก้าพูดพึมพำซ้ำๆ ที่เธอมาผิดนัดไปราวๆ สองชั่วโมงครึ่งได้ โดยไม่รู้ว่าต้องบวกเวลาที่ยูริมารอเธอก่อนเวลานัดนับหนึ่งชั่วโมงอีก... หากพอได้ฟังน้ำเสียงหอบสมกับความเร่งรีบ กับอาการสำนึกผิดพวกนั้น แน่นอนล่ะว่าคนที่รอมานานโกรธลงที่ไหน... หนำซ้ำยังยิ่งเอ็นดูคนในอ้อมกอดมากขึ้นไปอีก ยูริจึงลูบผมยาวสลวยที่วันนี้เจสสิก้าปล่อยให้มันสยายกลางแผ่นหลังอย่างอ่อนโยน

                     

                      “ไม่เป็นไรค่ะ... พี่ไม่โกรธ... แต่บอกพี่หน่อยได้มั้ย ว่าหายไปไหนมา...”

                     

                      “สิก้าเผลอหลับไป... รู้อีกทีก็เย็นแล้วอ่ะ... ฮือ.... เค้าขอโทษ.....”

                     

                     

                      ...เอิ่ม... พอฟังประโยคแก้ตัว แล้วจะโกรธก็โกรธไม่ลงยังไงไม่รู้...

                     

                      ...อะไรแม่คุณจะหลับได้ ทุกที่ ทุกเวลา ทุกสถานการณ์ ปานนั้น!...

                     

       

                      “ไม่เป็นไรน่า อย่าคิดมากสิ... พี่เองก็เพิ่งมาถึงไม่นาน...” ใช่ว่าเจสสิก้าจะไม่รู้ ในสิ่งที่ยูริกำลังโกหกเธอ นั่นทำให้ร่างบางหน้าเสียเข้าไปอีก ทั้งที่วันนี้เป็นวันแห่งความรัก และยูริยังเลือกจะใช้เวลาอยู่กับเธอ มากกว่าสาวคนอื่นๆ ที่พร้อมจะเข้าหาเขาได้ทุกเมื่อ มันจึงทำให้เธอยิ่งปลื้มใจที่ตนเองเป็นคนพิเศษของเขา...

                     

                      “พี่ยูล... พี่เรียกสิก้ามา... มีอะไรรึเปล่าคะ”

                     

                      “หลับตาก่อนนะ...” สิ้นคำเจสสิก้าก็หลับตานิ่งสนิท เธอสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอุ่นๆ ที่ทาบทับลงมาบางเบาบนหน้าผากอย่างอ่อนโยนสมกับเป็นยูริคนที่เธอรู้จัก... ลมหายใจที่รินรดใบหน้า สร้างความปั่นป่วนในช่องท้องจนแทบจะทรุดลงไปกองกับพื้น หากยังดีที่ยูริไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านั้น

                     

                      “ลืมตาได้แล้วค่ะ...” เมื่อเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างเชื่องช้า เธอก็เห็นดอกกุหลาบสีแดงสดยื่นมาให้ตรงหน้าเพียงดอกเดียว เด็กสาวรับมันมาถือไว้ ก่อนจะสังเกตเห็นถึงวัตถุที่ส่องแสงหยอกล้อกับแสงจากเสาไฟฟ้าอยู่ภายใน นิ้วเรียวเอื้อมไปหยิบมันออกมา จึงพบว่าเป็นแหวนเงินกลมเกลี้ยง ที่สลักข้อความสั้นๆ เอาไว้

                     

                  ‘I’m Kwon Yuri’s Heart’

                     

                      “ฉันคือ...หัวใจของควอน ยูริ...” เจสสิก้าพึมพำเบาๆ ทั้งที่น้ำตาคลอเอ่อจนมองภาพเบื้องหน้าพร่าเลือน แต่ถึงกระนั้นรอยยิ้มอย่างอบอุ่นของยูริ มันก็ช่างตราตรึงภายในหัวใจของเธอเหลือเกิน ร่างสูงดึงแหวนไปถือไว้ พลางพรมจูบลงบนนั้นแผ่วเบา ขณะที่ดึงมือเรียวข้างซ้ายของเธอไปกอบกุมไว้หลวมๆ

                     

                      “สิก้า... คือหัวใจของพี่ พี่ขอจองสิก้าไว้ก่อนนะ...” ว่าแล้วก็ไม่ฟังคำตอบ หากสวมแหวนวงสวยลงบนนิ้วนางข้างซ้ายที่วางเปล่าด้วยความอ่อนโยน และทันทีที่แหวนประทับลงบนตำแหน่งที่มันควรจะอยู่แล้ว เสียงเพลงคลอเบาๆ มาจากทางด้านหลังพุ่มหญ้าก็ดังขึ้น

                                     

       

                      ทำนองและจังหวะเชื่องช้า เป็นเพลงที่เธอรู้จักเป็นอย่างดี และนั่นทำให้น้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว...

       

      มา นึน ชี กัน ซก เก พยอน ฮา เกซ จี มัน ทู ซน โน จี อัน กี รึล

      (ฉันเปลี่ยนแปลงช่วงเวลาที่เคยมีอย่างเหมาะสมไปเยอะมาก แต่ฉันจะไม่ปล่อยมือจากเธอ)

                     

                      น้ำเสียงฟังแล้วชวนเคลิ้มฝัน ดังขึ้นพร้อมๆ กับทำนองที่เล่นได้ไหลลื่น สมกับเป็นการซ้อมที่เฝ้าตระเตรียมการมาเป็นอย่างดี

       

      Just for love ยอง วอน โท รก มา จี มัก อิล ซา รัง

      (เพื่อความรัก นี่กำลังจะเป็นความรักครั้งสุดท้ายของเธอ)

                     

                      “เต้นรำกันนะ...” ประโยคนั้นกระซิบเสียงพร่าข้างใบหู ก่อนที่เจสสิก้าจะตกเข้าไปอยู่ภายใต้อ้อมกอดอันแสนอบอุ่นของร่างสูง เท้าเรียวเริ่มก้าวตามจังหวะช้าๆ อย่างอ้อยอิ่ง มือที่กอบกุมกันอยู่นั้น จะรับรู้ถึงหัวใจของเธอที่กำลังสั่นสะท้านกับการกระทำอันแสนหวานของคนเฉยชาบ้างมั้ย

       

      คือ แด กิล พา แร โย
      เรียนรู้จากฉันดูสิ

                     

                      เจสสิก้าเกยคางมนลงบนไหล่ของยูริอย่างออดอ้อน ให้อีกคนได้แต่ยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู ลมหายใจที่รินรดอยู่ยังลำคอ ทำเอาเธอถึงกับต้องพยายามข่มจังหวะหัวใจเอาไว้ ไม่ให้มันเต้นแรงไปมากกว่านี้ มือหนึ่งโอบรอบเอวบางไว้แน่นจนกายทั้งสองแนบชิด โดยไม่แยแสต่อสายตาคู่รักหลายคู่ที่จ้องมองมา บ้างก็งุนงงกับเสียงดนตรีและการกระทำที่เกิดขึ้น บ้างก็อิจฉาในความโรแมนติกของยูริ

       

      To make my life complete
      เพื่อที่จะเติมเต็มชีวิตของฉัน

                     

                      เครื่องดนตรีทั้งหมดเริ่มเบาบางลง เมื่อดำเนินมาถึงห้วงสุดท้าย ก่อนจะเจสสิก้าจะได้ยินเสียงกระซิบอันหวานซึ้งแนบริมใบหู ที่ทำให้น้ำตาซึ่งกำลังคลอเอ่ออยู่เริ่มไหลรินผ่านแก้มใสลงมาแผ่วเบา

                     

                      You make my life complete (เธอเป็นคนเติมเต็มชีวิตให้ฉัน)” ว่าเสร็จก็ก้มลงสูดกลิ่นหอมหวานจากเรือนผมสีน้ำตาลบลอนด์ที่ทอดตัวเรียงเป็นระเบียบยาวจนเกือบถึงกลางหลัง ยูริยิ้มออกมาอย่างมีความสุข ที่ถึงแม้งานเซอร์ไพรส์นี้อาจจะล่าช้าจากที่เคยวางไว้ไปมากพอสมควร หากอย่างน้อยก็ยังดีที่เธอได้ทำอะไรแบบนี้กับเขาบ้างอะไรบ้าง!

                     

                      “พี่รักสิก้านะ... คบกับพี่ได้มั้ย...”

                     

                     

                      ...ในที่สุด ประโยคนี้ที่เจสสิก้ารอฟังมาเนิ่นนาน...

                     

                      ...ก็หลุดออกมาจากปากของคนขี้เก๊กซะที!...

                     

       

                      เด็กสาวเงียบไปนาน จนคนขอคบถึงกับใจเสีย เพราะร่างบางที่อยู่ในอ้อมกอดกลับนิ่งเฉยไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆ ทั้งสิ้น จนยูริถึงกับหมดอารมณ์ซึ้งในบันดล เธอกลัวเหลือเกินว่าเจสสิก้าจะหลับไปแล้วโดยไม่ได้ยินประโยคนั้น เนื่องจากสาวเจ้ายิ่งนอนได้ง่ายๆ อยู่

                     

                      “นี่! ยัยเด็กขี้เซา... พี่กำลังขอคบเธออยู่นะ ฟังบ้างมั้ยเนี่ย!!” ยูริกำลังจะคลายอ้อมกอดออก เพื่อมองหน้าเด็กขี้เซาที่ตนเองให้ชัดๆ หากมือเล็กๆ ก็รั้งชายเสื้อของเธอเอาไว้แน่น ก่อนจะซุกใบหน้าลงกับหน้าอกของเธอ ทำให้ร่างสูงรับรู้ได้ถึงหยาดน้ำตาที่ไหลรินตกกระทบซึมซาบลงบนหัวใจ...

                     

                      “อย่าเพิ่งปล่อยสิ” เจสสิก้าพูดเสียงอู้อี้เพื่อกลั้นแรงสะอื้น เธอไม่อยากให้ยูริเห็นน้ำตาของเธอในตอนนี้ เพราะมันจะทำลายบรรยากาศหวานซึ้งรอบด้านไปเสียหมด จึงทำเพียงใช้เสื้อบางๆ ของยูริเป็นที่ซับหยาดน้ำใสก็เท่านั้น ซึ่งมันไม่ได้รินไหลมาเพราะความเศร้าใจ หากเป็นความตื้นตันใจที่มีจนล้นปรี่ต่างหาก

                     

       

                      ...ถ้าเธอเป็นคนเติมเต็มชีวิตของยูริจริงๆ...

                     

                      ...แต่ตอนนี้ ยูริเติมเต็มความรักให้เธอจนล้นใจแล้ว...

                     

       

                      “ร้องทำไมล่ะสาวน้อย หันมาพูดกับพี่หน่อยสิ...” กล่าวเสร็จก็ดันร่างบางออกจากอ้อมแขนแกร่ง เธอจ้องมองใบหน้าสวยที่พราวไปด้วยหยาดน้ำตาจนดูน่าจับตามอง นิ้วเรียวไล้ไปตามเปลือกตาบางเป็นเชิงเกลี่ยซับหยาดน้ำอุ่นๆ ด้วยความอ่อนโยน รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าคมเข้มเพียงเล็กน้อย ทว่านั่นก็ทำให้คนที่โดนเช็ดน้ำตาอยู่ ถึงกับห้ามหัวใจตนเองไม่ได้...

                     

                      “ก็สิก้าซึ้งนี่หน่า...”

                     

                      “อ้าว! มีอารมณ์กับเขาเหมือนกันหรอ นึกว่าจะหลับเป็นอย่างเดียว ฮ่าๆ...” น่าน! ว่าแล้วเชียวว่าคนอย่างควอน ยูริ มันมีอารมณ์หวานๆ โรแมนติกได้ไม่นานหรอก เผลอแป๊บเดียวก็เอาแต่หยอกล้อเธอจนเสียบรรยากาศหวานๆ จนหมดสิ้น ให้คนสวยได้แต่ค้อนวงโตตอบกลับไป มือเรียวดันอกของอีกคนเบาๆ เป็นเชิงบอกให้รู้ว่าเธอกำลังงอนเฉพาะกิจ!

                     

                      “คนบ้า... ไม่ต้องมาพูดกันเลยนะ!” หันหลังหนี หากมีหรือคนตัวสูงจะยอมปล่อยเหยื่อไปง่ายๆ มือเรียวจึงรั้งข้อมือของคนขี้เซาเอาไว้แน่น และกระชากร่างบางด้วยแรงเพียงเล็กน้อย ลูกแมวเชื่องๆ ก็ตกมาอยู่ในอ้อมกอดของเธออย่างง่ายดาย

                     

                      “เดี๋ยวสิ... อย่าขี้โกง... พี่ขอคบสิก้าแล้วนะ บอกรักไปแล้วด้วย สิก้าจะไม่ตอบรับอะไรพี่หน่อยหรอ...” ทำน้ำเสียงเศร้าๆ แต่ฟังดูแล้วมันน่าหมั่นไส้ชอบกล เจสสิก้าจึงยิ้มกรุ้มกริ่มเมื่อหาทางแก้เผ็ดคนขี้เล่นได้

                     

                      “ก้มลงมาสิ...” ยูริยอมทำตามอย่างว่าง่าย ประหนึ่งเป็นลิงน้อยภายใต้บังคับบัญชา เธอก้มต่ำลงมา ขณะที่เจสสิก้าก็เขย่งปลายเท้าเล็กน้อย เพื่อให้ริมฝีปากตนเองอยู่ตำแหน่งเดียวกันกับใบหูของอีกคน เด็กสาวเป่าลมออกมาเบาๆ พลางหัวเราะคิก ก่อนที่จะ.....

                     

                      ...3…

                     

                      …2…

                     

                      …1…

                     

                      “โอ๊ยย! ยัยเด็กบ้า... เธอกัดหูพี่ทำไม!!

                     

                      “คนมันหมั่นไส้นี่หน่า...”

                     

                      “แน่จริงก็กลับมานี่สิ จะวิ่งหนีทำไมล่ะ!!” ยูริยกมือขึ้นกุมหูตนเองที่โดนอีกคนกัดลงมาได้ เธอรีบวิ่งตามคู่กรณีไปทันที ในขณะที่ในใจคิดอยู่เรื่องเดียว

                     

                      ...ยัยเด็กขี้เซา คืนนี้พี่จะคิดบัญชีให้เธอไม่ได้นอนเลย...

       

                     

       

       

       

       

                      “พวกพี่ว่าพี่ยูลจะทำให้สิก้าบอกรักได้มั้ย” ยุนอามือเบสหน้าหวานชั้นม. 5 พูดขึ้นกับวงดนตรีของตนเองที่ซ่อนอยู่หลังพุ่มไม้เพื่อสร้างบรรยากาศให้กับรุ่นพี่ประธานชมรมดนตรี

                     

                      “ฉันว่า...ท่าทางคงยิ่งกว่าบอกรักอีก ฮ่าๆ...” ซูยองที่ควงไม้กลองในมืออยู่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงหื่นๆ เนื่องจากรู้ดีว่าคนอย่างยูริ ไม่มีทางปล่อยให้ผู้หญิงตัวเล็กๆ มากัดหูแล้วชิ่งหนีได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรอก

                     

                      “เฮ้ย... ไหนๆ ก็เสร็จงานแล้ว พี่ว่าพวกเราไปฉลองกันดีกว่าปะ” แทยอนกล่าวพลางยกกีตาร์ที่สะพายไหล่อยู่ให้ออกพ้นตัวอย่างเหนื่อยอ่อน เพราะพวกเธอมาร่วมจัดเตรียมเซอร์ไพร์สกันตั้งแต่ยังไม่ห้าโมง กว่าจะได้เล่นจริง ปาเข้าไปเกือบสองทุ่ม แถมเหตุผลของเจสสิก้า ทำเอารุ่นพี่อย่างเธอแทบอยากจะจับรุ่นน้องขี้เซามาโบกซักทีสองที ถ้าไม่ติดว่าเป็นเด็กในสังกัดของลิงผู้ครองโรงเรียนล่ะก็นะ...

                     

                      “ฉลองหรอ... แล้วฟานี่ล่ะ!” น้ำเสียงเย็นๆ ที่ดังขึ้นจากทางเบื้องหลังทำเอาแทยอนขนลุกซู่ คนที่ทำให้คิม แทยอน... นักเรียนชั้นม. 6 ผู้ครองใจรุ่นน้องด้วยรอยยิ้มรั่ๆ อย่างเธอหวาดกลัวมีเพียงคนเดียว...

                     

                      “เอ่อ... พี่หมายถึงจะไปฉลองกับฟานี่ไงจ๊ะ” แก้ตัวอย่างสี่เหลี่ยมด้านคูณด้านกันไป ก่อนจะหันมายิ้มแหยๆ ให้กับแม่คุณทูนหัวที่ดุกว่าแม่เธอประมาณสิบเท่าได้ แทยอนถึงกับปาดเหงื่อทันที เมื่อดูจากสีหน้าที่เหมือนหมีเตรียมตะปบเหยื่อของทิฟฟานี่นั้น แสดงว่าเจ้าตัวได้ยินตั้งแต่เธอพูดประโยคนั้นแล้ว

                     

                      “อ๋อหรอ... แล้ววันนี้ปล่อยให้แฟนอย่างฟานี่เหงาทั้งวัน ยังมีหน้ามาบอกว่าจะไปเที่ยวกันอีกนะ!

                     

                      “ใจเย็นๆ สิจ๊ะ... นี่ไง พี่กำลังจะชวนฟานี่ไปเดตพอดี” ว่าเสร็จก็รีบชดใช้ความผิดด้วยการจูงมืออีกคนไปเที่ยววาเลนไทน์ยามดึก ก่อนที่เธอจะโดนหมีสาวฆาตกรรมหมกป่าแถวนี้

                     

                      “ฮ่าๆ... พี่แทกลัวศรีภรรยาด้วยว่ะ” ซูยองกล่าวอย่างขำขันเมื่อเห็นอาการนั้น ท่าทางคู่แทนี่คงเคลียร์กันยาวๆ แน่ๆ

                     

                      “นั่นสิ... ใช้ไม่ได้เลย เราต้องเป็นผู้นำ ไม่ใช่ผู้ตาม!” ยุนอาผู้มีอุดมการณ์แรงกล้าพูดขึ้น หากต้องรู้สึกถึงไอเย็นวูบจากทางด้านหลัง ที่ทำให้เธอเหงื่อแตกซิก ทั้งที่อากาศเย็นจัด

                     

                      “เหรอ...คะ...” ซอฮยอนยิ้มเย็นๆ เล็กน้อย เธอไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าประโยคสั้นๆ สองพยางค์ ที่มันทำเอายุนอาถึงกับต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่ผ่านลำคออย่างยากลำบาก

                     

                      “ซอมาแล้วหรอจ๊ะ... พี่กำลังจะชวนซอไปเที่ยวพอดีเลย งั้นเราไปกันเถอะนะ จะได้ไม่กลับบ้านดึก” เอาอกเอาใจที่รักซึ่งเทิดทูนบูชายิ่งกว่าแม่ ก่อนที่ยุนอาจะเดินตามซอฮยอนไปอย่างหงอยๆ เนื่องจากกำลังคิดถึงชะตากรรมของตนเองอยู่ ในขณะที่ทิ้งให้ซูยองหัวเราะร่าอย่างสะใจอยู่คนเดียว

                     

                      “สุดท้าย... ผู้นำก็เดินตามตูดต้อยๆ สู้เราก็ไม่ได้...”

                     

                      “ซูยอง! เธอจะปล่อยให้พี่รออีกนานแค่ไหนห๊ะ!!” ซันนี่เดินเข้ามาแล้วบิดหูคนที่มัวแต่หัวเราะคู่อื่นอยู่เต็มแรง เนื่องจากยัยตัวสูงนัดเธอไว้ตั้งแต่เย็น หากก็ไม่ยอมโผล่หัวมาซะที จนเธอต้องโทรถามเหล่าสมาคมแม่บ้านว่าซูยองอยู่ไหน ถึงตามตัวมาถูก รู้งี้ซันนี่ติดจีพีเอสไว้ดีกว่า!

                     

                      “ใจเย็นจ้ะ...ภรรยาจ๋า เค้าเจ็บ”

                     

                      “ไม่ต้องมาร้อง ตามพี่มาเดี๋ยวนี้เลย ชเว ซูยอง!!

                     

                      ...และแล้ว... วาเลนไทน์นี้ เหล่าสมาคมพ่อบ้านทั้งหลายแหล่...

                     

                      ...ก็ต้องแพ้พ่ายแก่แม่ทูนหัวของตนเองจนได้...

                     

                      ...เพียงแต่... ยกเว้นอยู่คนนึงล่ะมั้ง...

       

                     

       

       

       

                  บ้านของเจสสิก้า

                 

                      เงาดำๆ ของใครบางคนเคลื่อนไหวในความมืด ร่างสูงกระโดดข้ามกำแพงเตี้ยๆ อย่างชำนาญ ก่อนที่จะพาตนเองไปยืนอยู่ภายใต้หน้าต่างห้องของเจสสิก้า เธอหันซ้ายหันขวาเล็กน้อย ทำให้ดวงตาไปสบกับบันไดที่เตรียมเอาไว้พอดี เจ้าตัวจึงนำมันมาพาดยังจุดมุ่งหมายที่วางไว้อย่างมั่นคง

                     

                      “เสร็จแน่... ยัยเด็กขี้เซา” พึมพำเบาๆ ขณะปีนบันไดขึ้นไปยังหน้าต่างบานที่เธอเข้าเป็นประจำ เมื่อรู้ดีว่าเจ้าของห้องไม่เคยล็อก และไม่คิดจะล็อกด้วย!

                     

                      นี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอปีนโรงยิมเข้าไปช่วยเจสสิก้าได้อย่างสบายๆ โดยไม่มีอาการติดขัดกับการปีนต้นไม้หรือต้องเข้าหน้าต่างเลยซักนิด เนื่องจากปกติเธอก็ปีนอยู่แล้วทุกคืน แถมร่างบางก็ไม่ได้ห้ามเธอเลยซักนิด นั่นแหละ เป็นที่มาของคำว่า ลักหลับ

                     

                      ยูริย่องเข้ามาด้วยฝีเท้าที่แผ่วเบาจนแทบไม่มีเสียง สายตาคู่คมมองตัวเลขบนหน้าปัดนาฬิกาดิจิตอลเล็กน้อย บ่งบอกว่าขณะนี้เพิ่งเป็นเวลาสามทุ่มนิดๆ นั่นทำให้พอนับคำนวนดูจริงๆ แล้ว เธอยังเหลือเวลาอีกถมเถสำหรับการเอาคืนทั้งต้นทั้งดอก แถมได้กำไรอีกต่างหาก

                     

                      เจสสิก้าหลับสนิทอยู่บนเตียง ลมหายใจอันสม่ำเสมอ บ่งบอกว่าอีกคนอยู่ในห้วงนิทราอย่างมีความสุข และไม่สมควรรบกวนใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งยูริก็ไม่ได้คิดว่าจะรบกวนอะไรแต่อย่างใด ก็แค่แอบนอนลงบนเตียงข้างๆ แล้วดึกอีกคนมากอดประดุจหมอนข้างแสนหอมหวานก็เท่านั้นเอง

                     

                      “อื้อ...” คนหลับลึกครางออกมา เมื่อรู้สึกเหมือนโดนรบกวน ทำให้ผู้มาใหม่อดหัวเราะออกมาไม่ได้ กับท่าทางไร้เดียงสาเหมือนเด็กเช่นนี้ หากใครจะรู้บ้างว่าแท้จริงแล้วเจสสิก้าทั้งเร่าร้อน และร้อนแรงมากเพียงใด!

                     

                      “หลับอยู่หรอ...” ถามอย่างไม่ต้องการคำตอบ เมื่อตัวยกขึ้นไปเกยก่ายอีกคนซะแล้ว มือเรียวเคยอยู่เฉยที่ไหน มันทำหน้าที่ของมันตามสัญชาตญาณ เริ่มเลื้อยไปทั่วผิวเนียนนุ่ม ปลายนิ้วร้อนอุ่นๆ ทาบทับผ่านหน้าท้องแบนราบ ส่งผลให้คนหลับอยู่ถึงกับหายใจติดขัด แขม่วท้องอย่างข่มความเสียวซ่านที่เริ่มแล่นจากปลายเท้าจรดหัวสมอง ทว่านั่นมันยังไม่สมใจกับรุ่นพี่สุดเท่ห์หรอก เธอจึง ก้มลงจุมพิตลงบนริมฝีปากของคนด้านล่างเบาๆ แล้วค่อยๆ ไล้ไต่ระดับให้ความร้อนรุ่มแก่เรือนร่างมากยิ่งขึ้น ซึ่งน่าแปลกที่เจ้าของลิ้นเล็กๆ ก็จูบตอบเธออย่างรู้งาน ทั้งที่ยังหลับอยู่แท้ๆ

                     

                      ...เธอจะทำให้พี่คลั่งตายไปถึงไหนนะ!....

                     

                      เรียวปากเลื่อนผ่านลงมาตามคางมน ก่อนจะบรรจงประดับรอยจุมพิตยังลำคอหอมอ่อนๆ ส่งลิ้นเรียวเริ่มสำรวจผิวเนียนละเอียด ที่ขาวนวลประดุจหิมะ ทำเอาเธอหลงใหลได้อย่างไม่รู้จบ จึงเผลอสร้างร่องรอยแสดงความเป็นเจ้าของไปเสียหลายรอย

                     

                      เอาเถอะ... ยังเป็นฤดูหนาวอยู่ ถ้าจะใส่ผ้าพันคอคงไม่แปลกอะไร...

                     

                      “งื้อ...” เมื่อโดนรบกวนหนักขึ้น ทั้งริมฝีปากร้อนที่เอาแต่เชยชิมผิวกาย กับมือซนๆ ที่เหมือนกับทำแผนที่โลกสำรวจไปทุกอนูผิว ทำให้เจสสิก้าลืมตาตื่นขึ้นมาช้าๆ แล้วก็ต้องหน้าแดงก่ำ เมื่อเห็นว่าใครกำลังคร่อมตนเองอยู่!

                     

                      “พี่ยูลบ้า... อย่างนี้อีกแล้วนะ...” เธอแหวใส่ด้วยความเขินอาย ทว่าไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะผลักออก เนื่องจากตอนนี้ร่างของเธอกำลังร้อนผ่าวไปหมด อารมณ์วาบหวิวถูกอีกคนปลุกจนตีตื้นขึ้นมาให้ต้องร้องครางออกมาอย่างน่าอาย เมื่อโดนสัมผัสตามจุดอ่อนทั้งหลาย ที่ดูเหมือนว่ายูริจะรู้ทันเธอไปเสียหมด

                     

                      “พี่จะมาคิดบัญชีค่ะสาวน้อย...” ว่าแล้วเสื้อยืดที่อีกคนใส่อยู่ก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป ยูริจึงทำการปลดประจำการมันออกไปไว้ข้างเตียง และเธอก็แทบเลือดพุ่งเมื่อเห็นเนินเนื้อขาวที่น่าสัมผัสของเจสสิก้าเต็มๆ ตา แม้จะอยู่ท่ามกลางความมืดมิดก็ตามที

                     

                      “ลุกไปเลย... สิก้าง่วง สิก้าจะนอนแล้ว” เธอเอื้อมมือไปจับคนมือซนที่เอาแต่ลูบไล้ผิวกายไม่หยุด ถ้าไม่ห้ามแน่นอนล่ะว่าเรื่องต้องเลยเถิดไปไหนต่อไหน แถมปกติเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น มันมักจะไม่ใช่รอบเดียวเสียด้วยสิ เพราะยูริเล่นพาเธอไปชมเชยเขตสวรรค์สารพัดชั้นหลายต่อหลายรอบจนเกือบเช้ามืด

                     

                      ...แล้วอย่างนี้ จะให้เธอได้นอนเมื่อไหร่ล่ะ...

                     

                      “ใครจะให้นอนล่ะคะ... สิก้ายังไม่ได้บอกเลยว่ารักพี่มั้ย แล้วจะคบกับพี่รึเปล่า พี่ก็เลยต้องมาทำให้สิก้ารู้ว่าพี่รักสิก้าแค่ไหน” จบประโยคก็บรรจงทาบทับริมฝีปากบนหน้าท้องขาวๆ นั้นทันที จุมพิตไล้ไปทั่วเสมือนกำลังหยอกล้อให้คนด้าล่างแทบจะคลั่งตาย กับอารมณ์ปรารถนาที่ถูกก่อกวนขึ้นมา

                     

                      “พี่ยูล! พี่กำลังทำให้สิก้านอนไม่พอนะคะ!!” อดต่อว่าไม่ได้ เนื่องจากทุกวันนี้ ยูริจะปีนเข้าห้องเธอถี่เกินไปหน่อยแล้ว เล่นเข้ามาแทบวันเว้นวัน หรือไม่เช่นนั้นก็ติดๆ กันเลย เธอก็ไม่ได้พักผ่อนเสียทีสิ!

                     

                      “ถ้าอยากนอนก็นอนไปสิ พี่ไม่ได้ทำอะไรซะหน่อย... พี่ก็แค่อยากฟังคำบอกรักจากเด็กน้อยขี้เซาบ้างอะไรบ้าง” น่าน... คนไม่ได้ทำอะไร มันเริ่มซุกซน ปลดเปลื้องอาภรณ์ทั้งหลายแหล่จนหมดสิ้นแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าคนที่ชอบทำหน้าเฉยๆ หรือเย็นชาในบางที จะทำเรื่องแบบนี้ได้เร็วเว่อร์จนเจสสิก้ายังตกใจเลยว่ากางเกงของเธอมันหล่นไปตอนไหน!!

                     

                     

                      ...พี่ยูลบ้า... มือไวไปแล้วนะ...

                     

                      ...ไปฝึกกับใครมารึเปล่าเนี่ย!!...

                     

       

                      “พี่ยูล... อ่ะ...อื้อ...” เสียงครางกระเส่าเริ่มหลุดมาจากเรียวปากบางให้ยูริถึงกับยิ้มเจ้าเล่ห์ เธอเริ่มบรรเลงเพลงรักไปอย่างเชื่องช้าและติดขัด เพราะอยากรอฟังคำสำคัญจากเด็กขี้เซาก่อน

                     

                      “พี่ยูล!! สิก้าจะน้อนนนนนน!!!

       

                      

                      ...สุดท้าย... นอกจากเจสสิก้าจะไม่ได้นอนแล้ว เธอยังไม่ได้บอกรักยูริ หรือตอบรับคำขอคบของอีกคนด้วย...

                     

                      ...ก็ร่างสูงเล่นทำให้เธอครางจนไม่มีเสียงซะขนาดนั้นนี่หน่า!!...

       

                     

       

       

       

       

                  เช้าวันต่อมา

                 

                      “ฮือ...สิก้า ฉันหิวข้าวแล้วนะ... ตื่นซะทีสิ!” ทิฟฟานี่โอดครวญรอบที่ร้อยล้านแปด ขณะพยายามแซะเพื่อนสาวของตนเองลุกขึ้นจากโต๊ะเรียนที่อีกคนฟุบนอนหลับอยู่

                     

                      “ตอนกลางคืนเธอได้นอนบ้างมั้ยเนี่ย!

                      

                     

                      ...เอ่อ... ท่าทางทิฟฟานี่คงต้องเก็บคำถามนั้นไปถามควอน ยูริเองซะแล้วสิ...

                     

                      ...ว่าจะ “ ลัก (รัก) หลับ ” เจสสิก้าไปอีกกี่คืนกัน...

       

       

       

      The end

       

       

       

       

      Happy valentine’s Day & Happy Chinese New Year’s Day นะคะรีดเดอร์ทุกคน ^^

      ครบร้อยตามสัญญาที่บอกแล้วค่ะ ว่าจะลงวันเกิดบุง ซึ่งก็คือวันนี้นั่นเอง

      อ๊าย... ดีใจมากมาย วันเกิดปีนี้ ตรงกับเทศกาลใหญ่ตั้งสองงานแน่ะ >///<

       

      เป็นไงบ้างอ่ะคะ หวานรับวาเลนไทน์กันถ้วนหน้า

      ชายยูลนี่ไม่ไหวนะ ไม่ยอมให้สิก้าได้นอนบ้างอะไรบ้าง

      ส่วนสมาคมพ่อบ้าน โดนแม่บ้านจัดการวันวาเลนไทน์ไปเรียบร้อย >o<

       

      แล้วก็ขอแก้ข่าวนะคะ ที่ออกจากบ้านไปช่วงบ่าย บุงไม่ได้ไปกับแฟนหรอกค่ะ

      ไปเที่ยวกับเพื่อนที่เซ็นทรัลเวิร์ลตามประสาสาวโสด (ที่ไม่มีใครเอา) มา T__T

      รู้สึกประทับใจกับของขวัญชิ้นพิเศษในวันนี้มากมาย

      เนื่องจากอุตส่าห์ฝ่าดงฝูงคนเข้าไปดูวง 4 minute มา ประทับใจสุดๆ >_<

      อย่างน้อยๆ รอยยิ้มฮยอนอาที่เป็นของขวัญวันเกิดก็คุ้มค่าเกินพอแล้ว กรี๊ดดด

       

      เอาล่ะค่ะ เนื่องในโอกาสวันแห่งความรัก ก็ขอให้รีดเดอร์ทุกคนมีความรักที่สวยงามนะคะ

      เค้าว่าคนเกิดวาเลนไทน์อาภัพรักล่ะ? อันนี้จริงรึเปล่าไม่รู้ แต่ถึงจะยังไม่มีแฟน...

      บุงก็มีพ่อกับแม่ พี่ๆ น้องๆ แล้วก็รีดเดอร์ทุกคนที่เป็นความรักของบุงอยู่ดี >///<

      อ่านแล้วก็เมนต์บ้างอะไรบ้าง ไหนๆ เค้าก็อายุสิบหกทั้งทีนะตัวเอง *0*

       

      ปล. ขอบคุณทุกข้อความอวยพรของรีดเดอร์ทุกคนนะคะ

      อยากบอกว่าอ่านแล้วยิ้มทุกอันเลย หวังว่าจะสมพรปากทุกคนน้า >_<

       

      [พื้นที่ส่วนตัว Ma-Bung to Krabung]

      ฮู้ว... ไม่น่าเชื่อเลย ว่าแกจะอายุสิบหกแล้ว (แก่ชะมัดนะป้า!)

      ยังไงอายุสิบหกก็โตพอสมควรแล้ว จะพูดจะทำอะไร ก็คิดดีๆ แล้วกัน

      โรคนอยน่ะ อย่าเป็นบ่อยนะเว้ย แล้วอะไรแย่ๆ ก็โยนมันทิ้งไปบ้าง

      ขอให้เริ่มต้นปีที่สิบหกในชีวิตอย่างสดใสนะ ^^v

       

      ปล. นอกจากแต่งฟิคเป็นของขวัญวันเกิดให้ตัวเองแล้ว

      มันยังอวยพรให้ตัวเองอีกแน่ะ อะไรจะขนาดนั้น = =”

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×