[[SF-SNSD]] อ้อนนัก...เลยรักเธอ (Yuri) - [[SF-SNSD]] อ้อนนัก...เลยรักเธอ (Yuri) นิยาย [[SF-SNSD]] อ้อนนัก...เลยรักเธอ (Yuri) : Dek-D.com - Writer

    [[SF-SNSD]] อ้อนนัก...เลยรักเธอ (Yuri)

    คนรักกันมันก็ต้องอ้อนบ้างอะไรบ้าง ความรักจะได้มีรสชาติขึ้น (YulSic) SF หวานของไรท์เตอร์ปวดตับที่ชื่อ "มะบุง" [ลงแล้วค่ะ]

    ผู้เข้าชมรวม

    7,942

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    18

    ผู้เข้าชมรวม


    7.94K

    ความคิดเห็น


    83

    คนติดตาม


    23
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  14 ต.ค. 52 / 16:39 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น



    เรื่องนี้แต่งให้เป็นของขวัญน้าจิ๋ว (แอบอ่านอะ) ค่ะ
    ที่รีเควสมาว่าขอเจสขี้อ้อน ขอชายยูลอบอุ่น ขอเอ็นซีอ่อนโยน
    ตอนแรกก็บอกว่ารออารมณ์หวานของบุง
    มาเหมือนคนอื่นเค้าก่อนแล้วจะแต่งให้อย่างแน่นอน
    มาถึงตอนนี้ต่อมจิ้นแตกก็ทำงานหลังจากไปเที่ยวมาค่ะ

    จะเป็นยังไง ถ้ายูลสิกพากันไปเดินตลาดคลองสวน 100 ปี!!??
    งานนี้มีทั้งหวาน ซึ้ง และฮา พอๆ กับเรื่องลิงสะดิ้งเลย อิอิ
    เอาเป็นว่าไม่พูดอะไรมาก แต่ฝากติดตามด้วยแล้วกันนะคะ ><

    ปล. กะลงในรวม SF แต่กลัวคนไม่เห็น และไม่รู้ เลยเปิดเรื่องใหม่ค่ะ
    เพื่อบอกว่านี่เป็นเรื่องสุดท้ายที่บุงจะลง SF แยกเรื่องนะคะ
    ต่อจากนี้ถ้ามี SF อีก จะลงในหลากมุมมองของความรักค่ะ ^^

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

       

       

      [[SF-SNSD]] อ้อนนัก...เลยรักเธอ (Yuri)

       

       

      บางทีคนเราอาจใกล้ชิดกันเกินไปโดยไม่เห็นค่าของบางสิ่ง

      การที่จะทำให้ใครซึ่งหลงลืมกลับมาเห็นค่าของเราอีกครั้ง

      มันจึงไม่ใช่เรื่องผิดใช่มั้ย...ถ้าฉันจะ “อ้อน” เธอ

       

      - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

       

                     

                      “ยูล...พาเจสไปเที่ยวหน่อยไม่ได้หรอ” เจสสิก้า สาวร่างบางเกาะแขนร่างสูงที่กำลังนั่งหน้าโน๊ตบุ๊คอยู่อย่างเคร่งเครียดภายในห้องพักของคอนโดหรูที่อยู่ติดย่านแม่น้ำเจ้าพระยา เธอหันไปมองคนข้างกายอย่างขัดใจไม่น้อย เนื่องจากกำลังทำลายสมาธิการทำงานของเธอ

                     

                      “เดี๋ยวให้ยูลทำงานอีกนิดนะคะเจส” ยูริตอบกลับ พวกเธอทั้งสองเป็นคนเกาหลี หากร่างสูงมีเหตุจำเป็นต้องทำธุรกิจกับประเทศไทยบ่อยๆ จนถึงขนาดซื้อห้องพักส่วนตัวไว้ในประเทศนี้ หนำซ้ำตอนนี้เธอยังต้องมาทำงานเป็นเวลาเกือบเดือนแล้ว ซึ่งคนรักของเธออย่างเจสสิก้าที่ตามมาด้วยก็น้อยใจขึ้นทุกที ที่ต้องอยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยม ไม่ได้ออกไปไหน เนื่องจากเจ้าตัวพูดภาษาไทยได้เพียงเล็กน้อย ผิดกับยูริที่ใช้มันจนคล่อง

                     
                      “ยูลทำงานมาจะเดือนแล้วนะ เจสเบื่อนี่คะ ไปเที่ยวกันซักวันไม่ได้หรอ” คนน้อยใจยังไม่ยอมแพ้ แต่เมื่อไม่ได้รับความสนใจจากยูริแต่อย่างใด เจสสิก้าเลยพาร่างของตนเองไปนอนที่โซฟา รอร่างสูงเคลียร์งานที่สำคัญกว่าตนเสร็จก่อนแทน หญิงสาวหยิบหนังสือท่องเที่ยวไทยมาอ่านเล่นเพลินๆ เธอไม่อยากเซ้าซี้หรือรบกวนยูริมาก เพราะรู้ดีว่าทุกอย่างที่ยูริทำ ก็เพื่อพวกเธอสองคนทั้งนั้น หากมีหรือจะให้ทนไหว... ในเมื่อทุกวันนี้เวลาที่อยู่ด้วยกันน้อยเหลือเกิน

                     

                      ฝ่ายคนทำงานยังคงจัดการงานบนหน้าจอสี่เหลี่ยมต่อไป จนลืมเวลาว่านี่เย็นค่ำมากแล้ว หญิงสาวยิ้มกริ่มเมื่อเคลียร์งานชิ้นสำคัญได้เสร็จสิ้นพอดี เธอจึงกดปิดโน๊ตบุ๊คเครื่องประจำ ก่อนจะเพิ่งรู้ตัวว่าลืมเจสสิก้าไปเสียสนิท ไม่รู้ป่านนี้จะงอนเธอบ้างหรือเปล่า

                     

                      คิดดังนั้น ร่างสูงเลยออกมาจากห้องทำงานจึงเห็นคนรักนอนหลับอยู่บนโซฟา ท่าทางคงรอเธอจนเผลอหลับไปนั่นแหละ...

                     

                      ยูริเดินเข้าไปใกล้แล้วต้องยิ้มออกมาบางๆ หนังสือท่องเที่ยวในมือทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่าเจสสิก้าอยากเที่ยวมากขนาดนี้เลยหรอ? ความจริงแล้วคนรักคงไม่ได้อยากเที่ยวอะไรมากหรอก เพียงแต่ยังไม่เคยไปที่อื่นนอกจากวัดพระแก้วซะที แถมยูริยังไม่ค่อยมีเวลาให้ ร่างบางจึงอยากไปเที่ยวและใช้เวลาอยู่ด้วยกันสองต่อสอง มากกว่าจะนั่งหันหลังในกันในห้องสี่เหลี่ยมแบบในทุกวันนี้

                      มือเรียวทัดปอยผมที่ปรกใบหน้าใสไว้หลังใบหูอย่างเอาใจ เธอค่อยๆ หยิบหนังสือออก ดวงตาจับจ้องอยู่หน้าที่คนรักเปิดค้างไว้ด้วยความครุ่นคิด ก่อนจะก้มลงทาบเรียวปากลงบนหน้าผากมนช้าๆ

                     

                      “อื้ม...” คนหลับอยู่ครางออกมาด้วยความรำคาญ พลางพลิกตัวหนี ยูริจึงหัวเราะกับท่าทีของคนรัก หญิงสาวตัดสินใจช้อนร่างบางขึ้นมาจากโซฟา ส่งผลให้ใครอีกคนสะดุ้งตื่นอย่างงัวเงีย สองแขนพาดโอบรอบคอคนที่อุ้มตนด้วยความกลัวตก ทั้งที่รู้ดีว่ายูริไม่มีวันปล่อยให้เธอต้องเจ็บอย่างแน่นอน

                     

                      วางเจสสิก้าลงบนเตียงนุ่มๆ ก่อนจะทิ้งตัวเองลงตาม มือซุกซนยังคงลูบใบหน้าสวยซึ้ง ที่มีคราบน้ำตาฉาบบางๆ ของคนรักอย่างขอโทษ เธอกดจมูกลงบนแก้มใสเนียนแผ่วเบา แต่สัมผัสมันช่างตราตรึงใจคนขี้น้อยใจจนต้องน้ำตาคลออีกครั้ง เจสสิก้าเลื่อนกายเข้ามาหาความอบอุ่น มือกอดเอวคนข้างๆ ไว้แน่นด้วยความกลัวยูริหายไปจากเธออีก

                     

                      “ยูลคะ... เจสอยากไปเที่ยว” พึมพำเบาๆ พลางจุมพิตปลายคางมนอย่างออดอ้อน มือเรียวอยู่ไม่สุข มันลูบไล้ไปตามแผ่นหลังของร่างสูง

                     

                      “ยูลขอโทษ... แต่เจสก็รู้ว่ายูลต้องทำงานนี่คะ”

                     

                      “ใช่สิ... ยังไงงานก็สำคัญกว่าเจสอยู่แล้ว ไม่เป็นไรหรอก ยังไงเจสก็จะรอวันที่ยูลว่างแล้วกัน” พูดเสียงเศร้าพลางหันกายหนี ให้ยูริต้องโอบกอดจากทางด้านหลังเพราะกลัวร่างบางจะโกรธตน วางคางลงบนไหล่มน ขณะลมหายใจที่รดต้อคออยู่ทำเอาเจสสิก้าถึงกับใจหวิว

                 

                  ...เนิ่นนานแค่ไหนแล้วนะ ที่ห่างหายจากสัมผัสนี้...

                 

                  ...มันอาจจะนานพอๆ กับที่ยูริมีความรับผิดชอบเยอะ จนลืมเลือนเธอไปก็ได้ล่ะมั้ง...

                 

                      “ไม่เอานะ อย่าพูดอย่างนี้สิ เจสสำคัญกับยูลอยู่แล้ว...พรุ่งนี้เราไปเที่ยวกันนะ” ยูริเอ่ยชวน งานสำคัญๆ ที่เร่งส่งก็ใกล้เสร็จหมดแล้ว เหลืออีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น มันคงไม่ใช่เรื่องผิดอะไร ถ้าเธอจะให้ความสำคัญกับหัวใจของตนเองบ้าง รู้ว่าเจสสิก้าทั้งเหงา และต้องการความอบอุ่นจากตน ซึ่งเธอเองก็ให้อีกฝ่ายไม่เคยขาด เพียงแต่การแสดงออกมามันอาจน้อยลงจนดูเหมือนความรักเริ่มจืดจางลงไป

                     

                      “จริงหรอ ยูลพูดจริงๆ นะ” เจสสิก้ายิ้มกริ่ม เธอพลิกกายหันมากอดคนรักเอาไว้แน่น ขณะยูริก็ลูบผมยาวสลวยของเจสสิก้าอย่างอ่อนโยน สัมผัสอันอบอุ่นทำให้ร่างบางหลับตาพริ้ม คิดถึงคนๆ นี้เหลือเกิน ทั้งที่เจอหน้ากันอยู่ทุกวัน ทำไมเธอกลับยิ่งอยากเข้าใกล้ อยากสัมผัส อยากใช้เวลาร่วมกับยูริให้มากกว่านี้นะ

                     

                      “ค่ะ ยูลเคยโกหกเจสหรอ” มือบางลูบแก้มใสเบาๆ ก่อนจะจรดเรียวปากลงบนหน้าผากมนนั้นอีกครั้งแทนคำสัญญา เธอดึงคนรักมาไว้ในอ้อมกอดแน่น “นอนเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ไม่มีแรงนะ” ยูริหลับตาลงอย่างต้องการพักผ่อน ทว่าคนที่หลับไปแล้ว และกำลังตื่นเต้นที่จะได้ไปเที่ยว กลับนอนไม่หลับแทน ร่างบางเลยไซร้ใบหน้าไปตามลำคอระหง

                     

                      “อื้อ...ยูล เจสหนาว กอดเจสหน่อยสิคะ” น้ำเสียงออดอ้อนสั่นเล็กน้อย ทำให้ยูริเกิดอาการหลับไม่ลง ลมหายใจรดต้นคอ กับเรียวปากที่พรมจูบไปทั่วอย่างหมั่นเขี้ยวกำลังทำให้เธอ...สั่นไหว

                     

                      “ก็กอดอยู่นี่ไงคะ”

                     

                      “ไม่ใช่แบบนั้น” เจสสิก้ามองยูริด้วยสายตาที่เป็นอันรู้กัน ร่างสูงจึงเลื่อนมือไปภายใต้เสื้อยืดตัวบาง และรั้งร่างบางมากอดให้แนบชิดมากกว่าเดิม นิ้วไล้วนเวียนไปทั่วแผ่นหลังเนียนใสอย่างเอาอกเอาใจ ขณะกดจูบหนักๆ ลงบนต้นคอขาวเนียนเป็นเชิงเอาคืนที่แกล้งหยอกเย้าเธอเมื่อครู่จนอารมณ์ปั่นป่วน

                     

                      “ยังไม่หายหนาวเลยนะ” คนพูดแทรกกายลงไปในผ้าห่ม มือยกขึ้นโอบรอบต้นคอของคนที่นอนอยู่ข้างๆ ดวงตาช้อนมองยูริกระเง้ากระงอด เรียวปากบางที่เผยอเล็กน้อย ทำให้คนถูกอ้อนทนไม่ไหว เลยต้องย้ายริมฝีปากไปจุมพิตลงบนตำแหน่งเดียวกันอย่างเบาบาง               

                     

                      เลิศรส...ลึกล้ำ...อ่อนนุ่ม...ละมุนนละไม...เร่าร้อน

                     

                      จะกรั่นกรองคำใดมาอธิบายให้เหมาะสมได้มากไปกว่าตอนนี้ที่ทั้งห้องมีเพียงการเติมเต็มความรักจนล้นใจ ความอบอุ่นและอ่อนโยนให้แก่กันและกัน

                    

                      จนในที่สุดบทเพลงก็ดำเนินมาจนจุดสุดท้าย ทิ้งความสุขหลังจากได้ปลดเปลื้องอารมณ์ปรารถนาไว้ให้ทั้งสอง

                     

                      “นอนนะเจส เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปเที่ยวไม่ไหว” ยูริพูดพลางดึงคนที่อยู่ด้านล่างมานอนข้างๆ แขนเรียวถูกหนุนแทนหมอนใบนุ่ม ร่างสูงถูกใช้แทนเตียงนอนซึ่งเพิ่งใช้เป็นที่ระบายความรักแก่กัน เจสสิก้าไม่พูดอะไรนอกจากพยักหน้า และกดจูบลงบนปลายคางของยูริ

                     

                      “รักยูลจัง...”

                     

                      “ค่ะ เหมือนกันนะ” เธอจุมพิตลงบนหน้าผากมนเป็นการตอบแทนคนที่หลับไปแล้ว รอยคราบน้ำตาบนแก้มใสเจือจางลงแต่ความรู้สึกที่กอบกุมในหัวใจไม่ได้เจือจางไปด้วยเลย นิ้วค่อยๆ ปาดมันออกเบาๆ ด้วยกลัวอีกคนจะตื่น

                     

                      หลายครั้งหลายคราที่อาจหลงลืม ให้ความสำคัญกับสิ่งอื่นมากกว่า แต่สุดท้ายจะมีอะไรเล่าสำคัญไปกว่าหัวใจดวงนี้ได้ ยูริสะท้อนมองตัวเองอย่างรู้สึกผิด เธอคงจะเอาแต่ทำงานมากไป จนลืมหันกลับมามองว่าคนรักต้องการอะไร

                 

                  ...คงถึงเวลาที่เธอต้องปล่อยให้อีกฝ่ายอ้อนแต่โดยดีแล้วล่ะ...

       

                 

       

       

       

       

                  ตลาดคลองสวน 100 ปี

                 

                      รถยนต์คันหรูจากน้ำพักน้ำแรงของยูริขับผ่านจากกรุงเทพมาจรดจังหวัดฉะเชิงเทรา รถจอดสนิทยังลานจอดรถกว้างขวางในพื้นที่ เธอเดินไปเปิดประตูข้างคนขับ และสะกิดเจสสิก้าที่กำลังงีบอยู่ นี่ขนาดออกจากบ้านก็บ่ายคล้อยมากแล้ว เพราะรู้ดีว่าคนรักเหนื่อยขนาดไหน แต่เจสสิก้ายังอ่อนเพลียอยู่ดี

                     

                      “ถึงแล้วหรอ...ที่ไหนเนี่ยยูล” ร่างบางพึมพำเบาๆ ขณะก้าวออกจากรถ เธอปรายตามองไปรอบๆ ด้าน ป้ายภาษาไทยที่เขียนโชว์หราอยู่ แม้จะอ่านไม่ออก ทว่าเธอยังจำได้ถึงรูปที่อยู่ในหนังสือซึ่งตนเองเปิดอ่านจนเผลอหลับไปเมื่อวาน ข้างซ้ายกันนั้นเป็นโรงสีขาว ซึ่งมีปล่องควันสีอิฐขนาดใหญ่ตั้งอยู่เด่นชัด ขณะเบื้องหน้าเต็มไปด้วยร้านรวงต่างๆ เหมือนตลาดริมน้ำทั่วไป

                     

                      “ตลาดคลองสวนหนึ่งร้อยปีค่ะ ถูกใจมั้ย” ถามอย่างเอาใจ พลางขยับหมวกแก๊ปสีดำที่ตนเองให้เข้าที่ อากาศยามบ่ายสี่โมงไม่ร้อนเกินไปนัก กอปรกับช่วงเย็นมากทำให้คนค่อนข้างน้อย ซึ่งนั่นก็เป็นการดี เพราะยูริไม่อยากเดินเบียดเสียดกับใครให้วุ่นวาย

                     

                      “ยูลรู้ได้ไงว่าเจสอยากมาที่นี่”

                     

                      “ความลับค่ะ” ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ก่อนจะพากันเดินเข้าไปในตลาด ผู้คนแม่ค้าพ่อค้าทั้งหลายยิ้มให้อย่างเป็นมิตร บ้างก็เชิญชวนให้เข้าร้านของตน บ้างก็ทำเพียงแค่ยิ้มทักทายสาวต่างแดนทั้งสอง

                     

                      “ยูล...อันนั้นอะไรอ่ะ” เจสสิก้าถามพลางชี้ไปยังสิ่งของที่ตนเองไม่รู้จักซึ่งกองขายอยู่บนใบตองสีเขียวทางร้านที่อยู่ด้านซ้ายมือ ยูริอ่านภาษาไทยที่เขียนกำกับไว้อย่างคล่องแคล่วก่อนจะหันมาตอบ

                     

                      “ทอดมันหน่อกะลาค่ะ จะกินหรอ”

                     

                      “ซื้อให้เจสหน่อยน้า...” ว่าแล้วก็เกาะแขนพลางใช้แก้มถูไหล่คนรักอย่างออดอ้อนให้ยูริหน้าแดงเรื่อ เมื่อเจสสิก้าอ้อนเธอไม่แคร์สื่อเลย แม่ค้ากำลังมองอยู่นะเนี่ย!

                     

                      “เอ่อ...เอาทอดมันกล่องหนึ่งค่ะ” ยูริพูดด้วยภาษาไทยแปร่งๆ แต่แม่ค้าก็เข้าใจได้เป็นอย่างดี ทอดมันหน่อกะลาชิ้นเล็กๆ ถูกบรรจุในกล่องพลาสติกใสพร้อมน้ำจิ้ม ยูริยื่นแบงค์ยี่สิบให้ก่อนจะรับกล่องทอดมันมา หากต้องชะงักกับสิ่งที่แม่ค้าบอก

                     

                      “แฟนหนูน่ารักดีนะ” คนขายกล่าวยิ้มๆ ทำให้ยูริแทบพูดไม่ออก ใบหน้าที่แดงอยู่แล้วแดงขึ้นไปอีก

                     

                      “อ่า...ขอบคุณค่ะ” ว่าแล้วก็เดินจากไป ทิ้งความสงสัยไว้ให้คนไม่คล่องภาษาไทยอย่างเจสสิก้าว่าทั้งสองพูดอะไรกันแน่ ซึ่งเป็นโชคดีของยูริแล้วล่ะ ไม่เช่นนั้นอาจโดนหยอกล้อให้ต้องเขินมากไปกว่านี้

                     

                      ร่างสูงแกะกล่องอย่างบรรจง พลางราดน้ำจิ้มรสหวานสีเหลืองส้มให้ทั่ว เธอจิ้มทอดมันชิ้นเล็ก ก่อนจะยื่นไม้ให้เจสสิก้า ทว่าคนตัวเล็กกว่ากลับส่ายหน้ารัว

                     

                      “ไม่เอา...ยูลป้อนอ่ะ” เรียกร้องให้ยูริต้องยิ้ม เธอประคองใบหน้าสวยซึ้งก่อนจะส่งทอดมันผ่านริมฝีปากของอีกคน เจสสิก้าเคี้ยวตุ้ยๆ ปากก็พึมพำว่าอร่อย หากยังคงไม่พอใจอยู่ดี

                     

                      “ไม่ใช่... ป้อนแบบนี้สิ...” ว่าแล้วก็จิ้มทอดมันใส่ปากยูริ แล้วตนเองโน้มใบหน้าสวยคมลงมาประกบปากทันที รสชาติเผ็ดร้อนของทอดมัน ประกอบกับน้ำจิ้มหวานๆ ที่หักล้างกัน ทำให้เป็นจูบที่เต็มไปด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย นี่คือประโยชน์ของการมาตลาดตอนเย็นที่ไม่ค่อยมีคนเดินแล้วล่ะมั้ง

                     

                      ทอดมันหนึ่งกล่องหมดอย่างรวดเร็ว เพราะความหิวของท้องที่ว่างเปล่า และพลัดกันป้อนกันไปป้อนกันมา โดยไม่อายคนอื่นเลย

                      ถังขยะถูกวางไว้ในทุกระยะของทางเดิน ทำให้ไม่ลำบากกับการหาที่ทิ้งขยะ ซึ่งยูริเองก็เห็นด้วยกับการตั้งขยะไว้หลายๆ จุดเช่นนี้ อย่างน้อยๆ ก็ทำให้ละแวกตลาดคลองสวนอันเก่าแก่ ไม่ถูกแทนที่ หรือบดบังทัศนียภาพอันสวยงามด้วยเศษขยะจากนักท่องเที่ยวที่มาเยือน

                      ผ่านร้านขายของเล่นเจสสิก้ากลับหยุดชะงักให้ยูริต้องสงสัย ร้านขายของเล่นเด็ก มีอะไรน่าสนใจสำหรับคนรักนักหรือ คิดก็คิดไม่ตก จึงได้แต่ยืนมองว่าร่างบางต้องการอะไร

                     

                      “ยูล...” เรียกเสียงอ่อนหวาน ให้ยูริพอเดาได้ว่าอย่างนี้มีโอกาสเสียเงินเป็นแน่ แต่เธอเองก็ยินดีจะเสีย วันนี้ขอตามใจคนขี้อ้อนซักวันเถอะ!

                     

                      “คะ?”

                     

                      “เจสอยากได้หนังสะติ๊ก” ชี้ไปยังกองหนังสะติ๊ก ที่วางขายอยู่ข้างๆ ปืนไม้เด็กเล่น และของเล่นนำเข้าจากจีนแดงชิ้นอื่นๆ ยูริจึงเลิกคิ้วถามด้วยความสนเท่ อีกไม่ถึงอาทิตย์ก็จะกลับเกาหลีแล้ว เจสสิก้าคิดจะเอาหนังสะติ๊กไปเล่นยิงที่ไหนล่ะเนี่ย ทำตัวไม่สมกับอายุยี่สิบสามเท่าไหร่เลย

                     

                      “เอาไปทำอะไรน่ะเจส”

                     

                      “ไว้ยิงยูลเวลายูลมองสาวอื่นไง” หัวเราะร่าก่อนจะรับหนังสะติ๊กที่หมายปองมาจากมือของร่างสูงทันที่ที่จ่ายเงิน ให้คนข้างกายได้แต่งงเล่นๆ ว่าอะไรทำให้เจสสิก้าคิดได้อย่างนั้น เธอคงไม่มีเวลาไปมองสาวที่ไหนอีกแล้วล่ะ แค่ตามเอาใจคนขี้อ้อนอย่างเจสสิก้า เวลาก็หมดจนอยากหยุดนาฬิกาหัวใจไว้แค่คนๆ นี้แล้ว

                     

                      เดินไปได้ไม่นาน สิ่งของน่าสนใจก็มีอยู่รายทาง ให้พวกเธอได้แวะซื้อนั่นนี่ไม่มีหยุด ส่วนใหญ่มักจะเป็นพวกขนมของกินที่ไม่เคยรู้จักหรือเคยเห็น ซึ่งทั้งหมดแล้วมันเป็นความต้องการของเจสสิก้าทั้งสิ้น แต่ของที่ซื้อมาทั้งหมดหลายต่อหลายถุงอยู่ในมือของยูริคนเดียว

                      ความน่าสนใจพาให้เจสสิก้าหยุดชะงักที่ร้านๆ หนึ่ง ขันหลากสี บรรจุไปด้วยหอยขมจนเต็ม ทำเอาเธอมองด้วยความงุนงงกับมัน และก็เป็นหน้าที่ของยูริที่ต้องอธิบายให้เข้าใจ

                     

                      “ปล่อยหอยขมค่ะ” เธอพูดสั้นๆ แต่เจสสิก้าก็ยังคงไม่เข้าใจ ยูริเลยซื้อมาหนึ่งขัน และพาคนรักเดินไปยังริมท่าน้ำใกล้กันนั้น เธอนั่งลงยองๆ ขณะทำท่าให้ดู

                     

                      “หยิบแล้วก็โปรยออกไป มันจะได้กระจายๆ กัน” ว่าแล้วไม่พูดพล่ามทำเพลง มือเรียวกำหอยขมในขันเต็มกำมือ ก่อนจะโปรยลงแม่น้ำสีน้ำตาลอ่อนๆ กำลังส่องแสงเรืองเล่นกับแดดอาทิตย์ยามเย็นที่ใกล้ลับขอบฟ้า

                     

                      “ต้องจับด้วยหรอยูล... ทำไมไม่เทไปทั้งขันเลยล่ะ”

                     

                      “เททั้งขันมันก็กองกันอยู่ที่เดียวสิคะ ลองมั้ยล่ะ” ไม่พูดอย่างเดียว ยังคว้ามือเรียวของคนรักไปด้วย ทันทีที่นิ้วของเจสสิก้าสัมผัสหับเปลือกหอยขมที่มีตะไคร่ลื่นๆ เกาะอยู่ เธอก็ต้องหลับตาปี๋ มือรีบกระชากออกโดยเร็ว ขณะกอดหลังยูริแน่นอย่างกล้าๆ กลัวๆ

                     

                      “มันไม่ขนาดนั้นหรอกเจส เอาน่า...ครั้งหนึ่งในชีวิตได้จับหอยขมเชียวนะ” เจสสิก้ารวบรวมความกล้าอีกครั้ง ความลื่นยังฝ่ามือทำให้เธอขว้างมันลงน้ำเต็มแรงจนยูริอดเสียวแทนไม่ได้ว่านั่นจะเป็นการทำบุญปล่อยสัตว์จริงหรือเปล่า

                     

                      เวลาผ่านไปไม่นาน ความขยะแขยงเปลี่ยนเป็นความเคยชินและความสนุก สุดท้ายหอยขมภายในขันก็ถูกเจสสิก้าโปรยมันลงน้ำจนหมดสิ้น

                     

                      “ล้างมือตรงนี้ได้นะคะ” แม่ค้าชี้ไปยังตุ่มขนาดเล็กที่วางอยู่ริมท่าน้ำ ยูริพยักหน้ายิ้มรับ และรวบมือของเจสสิก้าไว้ ก่อนจะตักน้ำและล้างมือให้อย่างอ่อนโยนจนอีกฝ่ายยิ้มเขินๆ นานเท่าไหร่แล้วนะ กับความอบอุ่นของคนๆ นี้ที่ไม่ได้รับมาแสนนาน การเอาใจใส่ ขนาดที่ว่าใช้ปลายเสื้อยืดสีเข้มเช็ดมือเปียกน้ำของเธอ เจสสิก้าจึงรู้ตัวเลยว่า ถึงบางครั้งยูริจะเห็นงานสำคัญกว่าเธอ แต่ความจริงไม่ว่ายังไง ยูริก็ยังรักและดีต่อเธอที่สุดอยู่ดี

                     

                      ...ไม่เคยคิดเสียใจเลย ที่ได้รักคนๆ นี้...

                     

                      “เป็นไงคะ สมที่อยากมามั้ย” ยูริถามเอาใจขณะเดินต่อ

                     

                      “มากกว่าที่คิดไว้เยอะเลยค่ะ” บรรยากาศของตลาดคลองสวนก็ดีมากแล้วสำหรับเธอ ความเป็นกันเองของเหล่าพ่อค้าแม่ค้า การต้อนรับแขกที่มาเยือนทำให้เธอประทับใจ หากที่ประทับใจมากยิ่งกว่าก็เพราะทุกการกระทำของคนที่เดินข้างกายนี่แหละ คอยเฝ้าเอาใจไม่ว่าเธอจะงอแง งี่เง่าเท่าไหร่กลับไม่เคยโกรธ เอาอกเอาใจยามเธอออดอ้อน เพราะควอน ยูริ ทำให้ทุกสถานที่กลับเป็นที่พิเศษขึ้นมา

                     

                      “กินไอติมกันมั้ยเจส” ยูริเอ่ยชวน พลางชี้ไปยังตู้ขายไอศกรีมโบราณรสต่างๆ เธอหยิบไอศกรีมรสโกโก้ของโปรดขึ้นมาอย่างไม่ลังเล ขณะเจสสิก้าซึ่งเลือกไม่ถูก เลยใช้วิธีหลับตาจิ้ม สุ่มเลือกเหมือนรสจนาเลือกคู่ครองก็ไม่ปาน สุดท้ายดวงอันสมพงศ์ก็ได้จับคู่เธอกับไอศกรีมมะพร้าวอ่อนสีขาวสะอาดตา

                     

                      ชิมไปไม่กี่คำ เธอก็เบ้หน้า ด้วยความไม่เคยชิน ทำให้รู้สึกแปลกๆ ชอบกล สายตาหวานส่งไปยังคนข้างกายที่เริ่มเสียวสันหลังวูบ

                     

                      “ยูล...แลกไอติมกันน้า”

                     

                      นั่นไง! ซื้อหวยไม่ถูกอย่างนี้นะ ก็ทายอยู่แล้วล่ะว่าการซุ่มเลือกไอศกรีมของอีกคนคงไม่เข้าท่าเท่าไหร่ สุดท้ายเธอเลยต้องมาละเลียดกินไอศกรีมรสมะพร้าวแทน รสชาติมันก็ไม่ได้แย่อะไรหรอกนะ เรียกได้ว่าค่อนข้างอร่อยเลยด้วยซ้ำ เพียงแค่คงไม่ถูกปากเจสสิก้านั่นแหละ

                     

                      “ยูลน่ารักจังเลย” เมื่อได้ของที่ถูกใจ เจสสิก้าก็ยิ้มร่า มือเอื้อมไปหยิกแก้มร่างสูงเบาๆ เชิงหยอกล้อ ให้อีกคนได้แต่หันหน้าหนี ไม่ใช่อะไรหรอกนะ ก็เธอขอแคร์สื่อบ้างเหอะ...ตอนนี้คนทั้งตลาดรู้หมดแล้วมั้งว่าเป็นแฟนกัน

                     

                      “น่ารักแล้วเจสรักมั้ยล่ะ”

                     

                      “รักสิคะ... ไม่รักจะมายืนด้วยอยู่อย่างนี้หรอ”

                     

                      “แล้วมีรางวัลที่พามาเที่ยวปะละ”

                     

                      “เมื่อคืนให้ไปแล้วไง”

                     

                      เท่านั้นไม่แม้แต่คนฟัง คนพูดเองก็หน้าแดงก่ำ เลยหลบสายตากันพัลวัน หันมาสนใจไอศกรีมแท่งกลมในมือแทน มือของยูริที่แบกสารพัดถุงขนมอยู่ถูกกอบกุมด้วยมือนุ่มๆ ของเจสสิก้า พวกเธอหันมายิ้มให้กันอย่างรู้ใจ แทนความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลที่มีในตอนนี้

                     

                      ในเมื่อมัน...รัก...รัก...รัก รักมากเหลือเกิน ให้พูดเท่าไหร่ก็คงไม่เท่าสิ่งที่อยู่ในใจจริงๆ หรอก

                     

                      “ยูลจะไปไหนน่ะ” เจสสิก้าทักเมื่อยูริกำลังพาเธอเดินเลี้ยวซ้าย เบื้องหน้าคือบันไดไม้สูงชัน ระยะห่างระหว่างขั้น ทำให้มองเห็นกระแสน้ำสวยได้อย่างชัดเจนจนน่าหวาดเสียวว่าจะตกได้หากไม่ระวัง ยูริไม่พูดอะไร นอกจากจูงมือให้อีกคนเดินตามมาอยู่อย่างนั้น

                     

                      ด้วยความเก่าของตัวไม้ ทำให้สะพานสั่นเล็กน้อย ประกอบกับความสูงที่หลายเมตรของมัน ความกลัวจึงกอบกุมหัวใจเจสสิก้าเสียไม่ได้ แม้มีขั้นบันไดอยู่ไม่ถึงยี่สิบขั้น ทว่าเธอกลับยืนนิ่งดื้อๆ อยู่กลางสะพาน ก่อนจะช้อนตามองร่างสูงด้วยหยาดน้ำตาคลอเอ่อ

                     

                      “เจสกลัวอ่ะยูล...” ก็คงน่ากลัวอยู่หรอก สะพานเก่าขนาดนี้ แถมโยกไปโยกมาทุกครั้งที่ย่างก้าว ไหนจะช่องว่างจนมองเห็นพื้นน้ำด้านล่างได้อีก ระยะทางแค่ไม่กี่ขั้น มันกลับกลายเป็นหลายร้อยล้านขั้นสำหรับเจสสิก้า

                     

                      “น่า...ขึ้นมาเถอะเจส อยู่กับยูลไม่ต้องกลัวนะ” น้ำเสียงอ่อนนุ่มละมุน สลายความรู้สึกหวาดกลัวที่เคยมีอยู่แทบสิ้น ถ้าไม่ติดว่ามือหนึ่งต้องถือของ อีกมือถือไอศกรีมที่ยังกินไม่หมด ยูริก็คงอุ้มเจสสิก้าขึ้นไปแล้ว

                     

                      ร่างบางกลั้นจนเดินขึ้นบันไดมาเรื่อยๆ จนถึงกลางสะพานที่เป็นทางเรียบไม่ยาวมากนัก เนื่องจากปลายสะพานก็เป็นบรรไดข้ามฝากไปอีกฝั่งซึ่งเป็นบ้านคน บ้านส่วนใหญ่สร้างสไตล์เดียวกันคือเรียบง่าย เป็นบ้านริมน้ำอย่างที่เห็นได้ทั่วไป มีเพียงชั้นเดียวหรือสองชั้น หลังคาสังกะสีบ้างกระเบื้องบ้างแล้วแต่บ้าน เด็กตัวเล็กๆ ก็วิ่งเล่นกันในซอยยามเย็นอย่างเพลิดเพลิน เธอเริ่มยิ้มออก เมื่อสัมผัสได้ถึงวิถีชีวิตของคนริมน้ำอย่างใกล้ชิด แม้จะไม่ได้เดินไปอีกฝั่ง แต่ยืนมองจากที่สูงตรงนี้ก็เพียงพอ

                     

                      “ยูลพาเจสขึ้นมาทำไมหรอคะ” ถามแล้วไม่ได้รับคำตอบ นอกจากมือที่โอบไหล่ และรั้งเจสสิก้าให้หันมาพบกับภาพวิวเบื้องหน้าซึ่งตนเองอยากให้ดู

                     

                      ดวงอาทิตย์ในยามห้าโมงกว่าทำให้แสงอ่อนลงจนมองได้อย่างไม่ระคายสายตา สีทองเรืองๆ สะท้อนกับผิวน้ำ ที่แม้จะสีน้ำตาลอ่อนแต่ก็ยังคงใสแจ๋วจนสะท้อนกลับมาเป็นเงาได้ ลมพัดมาเบาๆ ทำให้เส้นผมยาวของเจสสิก้าพัดไสว ยูริจึงทัดไรผมไว้หลังใบหูของอีกฝ่ายด้วยความอ่อนโยน เพื่อไม่ให้คนรักรำคาญ

                      ความเงียบปกคลุมทั้งคู่ เมื่อสองสาวต่างดื่มดำกับธรรมชาติไปเรื่อยๆ พลางลิ้มรสไอศกรีมโบราณจนหมดแท่ง เอกลักษณ์ความเป็นไทย ต่อให้ภายในเมืองหลวงจะแก่งแย่งชิงดี พัฒนาไปมากแค่ไหนก็ตาม ทว่าสถานที่บางแห่งก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์ต่างๆ เอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น ถึงจะต้องประยุกต์เปลี่ยนแปลงให้เข้ากับยุคสมัยตามกาลเวลา แต่อย่างน้อยก็ยังคงความเป็นตัวของตัวเองไว้อยู่ดี และยากจะหาใครเลียนแบบได้

                     

                      “ขอบคุณนะยูล...” เจสสิก้าพึมพำเสียงแผ่ว ก่อนจะซุกหาไออุ่นของยูริ ทำให้คนข้างกายยิ้มบางๆ มือยกขึ้นลูบผมยาวสลวย ขณะโอบกอดร่างบางเอาไว้หลวมๆ

                     

                      “เรื่องอะไรหรอ” คนถูกขอบคุณยังคงไม่รู้ตัวกับสิ่งที่ได้ทำลงไป ยูริจึงได้แต่ทำหน้างุนงง

                     

                      “ทุกเรื่อง... ที่พามาเที่ยวที่นี่ด้วย”

                     

                      “อ๋อ...ไม่เป็นไรหรอก นานๆ ทียูลก็จะได้มีเวลาให้เจสบ้าง ขอโทษนะที่ปล่อยให้เจสเหงามานาน ไม่โกรธยูลใช่มั้ย”

                     

                      “เจสสิควรถาม ทั้งที่รู้ว่ายูลยุ่ง เจสก็ยังวุ่นวาย แต่ยูลก็ไม่โกรธ ไม่ว่าเจสซักคำ” เจสสิก้ายังคงพูดอย่างซาบซึ้งใจ หยาดน้ำตาที่กำลังคลอเอ่อ ถูกนิ้วเรียวของยูริปาดมันออกช้าๆ ขณะคนขี้อ้อนกลับกอดเธอเอาไว้แน่น

                     

                      “ขอโทษที่เจสชอบเรียกร้องความสนใจ ชอบอ้อนให้ยูลทำนู่นทำนี่ให้ ขอโทษจริงๆ นะ”

                     

                      “อย่าคิดมากสิ เรามาเที่ยวกันนะ” ร่างสูงกระชับไหล่มน ก่อนจะก้มลงเพื่อให้ดวงตาประสานกัน “ยูลรักเจสเพราะเจสเป็นเจส ยูลรักที่เจสขี้งอน ให้ยูลง้อ ยูลรักที่เจสชอบเรียกร้องความสนใจจากยูล ยูลรักที่เจสชอบอ้อนให้ยูลเอาใจ ยูลรักทุกอย่างที่เป็นเจสสิก้า จอง... เพราะฉะนั้นอย่าคิดมากอีกเลย ในเมื่อที่เจสเป็นตอนนี้ คือเจสที่ยูลรักที่สุดแล้ว” คำพูดจริงจังกับการกระทำรองรับที่จริงใจ ทำให้คนขี้อ้อนไม่สามารถห้ามน้ำตาได้อีก ซึ้งเหลือเกินกับความรักที่ยูริมอบให้ เธอจะงี่เง่า จะงอแงใส่ยังไง สิ่งเดียวที่ยูริไม่เปลี่ยนไปก็คือความรักมากมาย เติมเต็มจนล้นปรี่ในห้องหัวใจ

                     

                      ถึงไม่มีเวลาให้อย่างเคย ถึงไม่สามารถเอาใจใส่ได้มากอย่างเคย ถึงไม่สามารถสนใจเธอได้มากอย่างเคย แต่ก็ยังคงรักเธออย่างเคย และเพิ่มพูนมากขึ้นทุกวัน

                     

                      “งั้นยูลก็อยู่ให้เจสอ้อนไปนานๆ นะ”

                     

                      “ค่ะ...ที่รัก” ท่ามกลางบรรยากาศรอบด้านเป็นพยาน รอยจุมพิตแห่งคำสัญญาเกิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้ ใครว่าคนขี้อ้อนแล้วน่ารำคาญ คนชอบเรียกร้องความสนใจแล้วน่าเบื่อ ยูริเองก็ขอเถียงคนแรกเลยว่าไม่จริง ในเมื่อเธอชอบที่เจสสิก้าเป็นแบบนี้ มันก็ช่วยไม่ได้แล้วล่ะนะ

                 

                  ...เจออ้อนไปขนาดนั้น...ถ้าจะให้ไม่รัก คงห้ามใจตัวเองไม่ไหว...

       

       

      The end

       

       

       

       

       

      จำเป็นต้องตัดเอ็นซีออกนะคะ
      ขอโทษแทนคนที่เพิ่งเข้ามาอ่านด้วย
      แต่บุงพยายามทำให้มันไม่ขาดตอนแล้ว TT

      มีเหตุผลบางประการเดี๋ยวไปแถลงการณ์ใน 8-9-3 นะคะ

       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×