ตะเกียงในความมืด
เด็กสาวคนหนึ่งออกตามหาสิ่งที่เธอได้ยินมาตั้งแต่เล็ก หาคำตอบของชีวิต ว่ามันคืออะไร
ผู้เข้าชมรวม
303
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
มีคนเคยบอกฉันไว้ว่าสรรพสิ่งทุกอย่างในโลกมักจะมีคู่ของมันเองเสมอ ฉันไม่ได้หมายถึงแต่มนุษย์ผู้ดำรงสืบพันธุ์ของสัตว์ประเสริฐเท่านั้น แต่หมายรวมถึงทุกสิ่ง ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่มีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตาม ดินกับน้ำ ทรายกับทะเล ดินสอกับยางลบ ....ฉันเคยถามพ่อว่าเราจะรู้ได้อย่างไรว่าคนๆไหนคือคู่ของเรา แต่พ่อก็ไม่ได้ตอบตรงๆ ท่านเพียงแต่ยิ้มแล้วเอ่ยถ้อยคำที่ฉันยังไม่เข้าใจจนถึงทุกวันนี้ ท่านบอกว่า“ตะเกียงในความมืด”
ฉันเคยถามพ่อหลายครั้งว่ามันคืออะไรกัน แต่พ่อก็มักบอกว่า แล้วฉันจะรู้เอง อะไรกันคือตะเกียงในความมืด ฉันไม่ได้ถามว่าฉันจะเดินไปในป่าได้อย่างไรสักหน่อย
ด้วยความใคร่อยากรู้ ฉันจึงได้ตัดสินใจค้นหามัน พยายามตามหา ค้นหาคำตอบนี้ไปทุกที่ทุกแห่ง ไม่ว่าจะเป็นน่านน้ำตั้งแต่ฝั่งตะวันตกไปยังขอบฟ้าฝั่งตะวันออกแต่ก็ยังไม่พบตะเกียงในความมืด วันเวลาก็ได้เดินตามหน้าที่ของมันไปเรื่อยๆ จนฉันอออกตามหามันด้วยความเหนื่อยล่าเต็มทีและเริ่มจะหมดหวังที่จะตามหา ความสงสัยใคร่อยากรู้จึงเริ่มหมดลงด้วยเหตุจากความท้อแท้ แต่ฉันก็ได้ลืมนึกไปเสียว่าระหว่างเส้นทางการเดินทางครั้งนี้ฉันได้พบอะไรมาบ้าง สิ่งที่ฉันมุ่งเป็นเป้าหมายทำให้ฉันมองข้ามสิ่งเหล่านั้นไป
ระหว่างเดินทางนั้น ประสบการณ์อันน่าจดจำได้ผ่านเข้ามามากมาย บ้างก็ทำให้ฉันอิ่มเอมใจ บ้างก็ทำให้ฉันรู้สึกเศร้าใจ ซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งที่เติมเต็มในหัวใจของฉันมาในระดับหนึ่ง
ระหว่างทางที่เดินทางผ่านทะเลทรายฉันได้พบแมลงป่องตัวหนึ่งที่ผุดมาจากทรายอันร้อนระอุแล้วจึงถามตามข้อสงสัยไปว่า
“แมลงป่อง ฉันอยากรู้ว่าฉันจะพบตะเกียงในความมืดได้อย่างไร ที่ไหนหรือ”
“ข้าไม่รู้หรอกท่าน ท่านต้องไปถามคนอื่นแล้วล่ะ ขอโทษทีนะฉันต้องารีบไป”แมลงป่องตอบ แล้วจึงจากไป
ฉันก็ยังคงเดินทางต่อไปข้ามพ้นเขตทะเลทรายมาสู่ดินแดนอันสวยงามแห่งหนึ่ง แล้วจึงได้พบกับหมู่บรรดาผีเสื้อแสนสวยมากมายกำลังบินวน บ้างก็กำลังตอมดูดน้ำหวานจากมวลดอกไม้หลากสีอยู่ แล้วฉันตัดสินใจเดินไปถามผีเสื้อปีกแดงสดตัวหนึ่งที่กำลังดูดน้ำหวานอย่างเพลิดเพลิน
“ขอโทษนะที่มาขัดจังหวะ”ฉันบอก “แต่เธอรู้จักตะเกียงในความมืดหรือเปล่าจ้ะ”
“ตะเกียงในความมืดเหรอ?”ผีเสื้อตัวน้อยทำหน้างงครุ่นคิด แล้วจู่ๆก็ทำหน้าเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้
“อ๋อ เจ้าหมายถึงแสงไฟตอนกลางคืนน่ะเหรอ” ฉันได้ยินดังนั้นก็ดีใจว่าได้หาตะเกียงนั้นเจอแล้ว
“เธอรู้จักเหรอ ช่วยบอกฉันทีสิ”
“หิงห้อยไง แสงไฟในยามค่ำคืน สวยมากทีเดียว ฉันล่ะอิจฉา อยากให้ตัวเองมีแสงสวยๆอย่างนั้นบ้างจังเลย”ผีเสื้อตัวน้อยทำหน้าเศร้า
“แต่เธอก็สวยมากทีเดียวนะ ไม่จำเป็นต้องมีแสงไฟก็ได้” ฉันพูดปลอบ จากนั้นก็กล่าวขอบคุณแล้วจึงเดินออกมา ในใจก็พลางคิดว่า... หิงห้อยเนี่ยนะที่ฉันออกตามหา ฉันไม่ได้มาตามหาหิงห้อย.. อย่างไรก็ตามฉันก็ยังเดินทางเรื่อยมาผ่านทั้งดินโคลน แม่น้ำ ภูเขาแล้วก็ได้มายังดินแดนแห่งฝน ชื่อช่างเหมาะกับสภาพภูมิประเทศเสียจริง ทันทีที่ฉันเข้ามา ท้องฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนสี เมฆที่ลอยตัวก็ได้รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนลอยต่ำลงมา ในที่สุดหยดน้ำฝนจึงตกลงมาและไม่มีทีท่าจะหยุด ฉันจึงได้พักหลบใต้ต้นไม่สูงใหญ่ที่มีใบขนาดพอๆกับตัวของฉันเลยทีเดียว จึงเป็นที่หลบฝนได้ดี
ในขณะที่ฉันกำลังหลบฝนอยู่ที่ใต้ต้นไม้นั้น ก็มีเด็กชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามา ตัวของเขาทั้งเปียกทั้งมอมแมม และดูเหมือนว่าเขาจะมองไม่เห็นฉันเลย ช่วงเวลาระหว่างที่ฝนกำลังตกเราไม่ได้เอ่ยถ้อยคำใดๆสักคำ ต่างคนต่างเงียบ ต่างฝ่ายต่างไม่พูด ฉันเองก็เกร็งๆอยู่เพราะว่าเขาเป็นคนไม่รู้จัก ส่วนเขานั้นก็ดูจะไม่มีความรู้สึกเอาเสียเลย
เวลาผ่านไปจนกระทั่งฝนหยุดตก น้ำค้างยอดใบก็หยดลงมาส่องกระทบกับแสงแดดอ่อนๆหลังฝนตก ฉันไม่ได้พูดอะไรจากนั้น ก็เดินออกจากต้นไม้ใหญ่ที่อาศัยหลบฝน แปลกที่เขาคนนั้นก็เดินมาทางเดียวกันกับฉัน ในช่วงแรกฉันตัดสินใจที่จะเป็นฝ่ายเริ่มพูดกับเขาก่อน แต่มาคิดดูอีกที เขายังไม่ทักเราแล้วทำไมเราต้องไปทักเขา หรือบางทีเขาอาจจะไม่อยากรู้จักเพื่อนร่วมเดินทางอย่างฉันก็ได้
“เอ่อ..นาย” ฉันเผลอหลุดปากเป็นคำแรก เขาเพียงแต่หันมองแล้วเดินทางต่อไป เขาคงไม่อยากยุ่งกับฉันจริงๆ
เส้นทางการเดินทางของเราเริ่มเปลี่ยนไป มีทั้งหินโสโครกที่เต็มไปด้วยตะไคร่ลื่นๆ โคลนดูดเหนียวเหนอะ ทั้งทางเดินก็ยังชันเสียจนเราต้องใช้สองมือก็หินเพื่อยึดตัวไว้ไม่ให้ล้ม
“ระวัง!” นั่นเป็นคำแรกที่เขาพูดกับฉัน น้ำเสียงที่นิ่งเงียบและเยือกเย็น คุณคงคิดว่าฉันลืมจุดมุ่งหมายของฉันแน่แล้ว แต่ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก เป็นเพราะทางเดินที่ฉันผ่านมาตั้งแต่หลังฝนหยุดตกครั้งนั้น ไม่มีใครเลยที่จะให้ฉันถามได้ ไม่มีเลยจริงๆ
เราทั้งสองเริ่มคุยกันมากขึ้นอาจเป็นเพราะความคุ้นเคยที่ได้มาระหว่างทาง เขาเริ่มยิ้มให้ฉัน ฉันก็ยิ้มตอบ แต่แปลกที่นับวันยิ่งฉันได้มีเขาเป็นเพื่อนร่วมเดินทาง ฉันยิ่งจำไม่ได้ว่าจุดประสงค์ที่ฉันได้ออกเดินทางมานั้นคืออะไร หรือเป็นเพราะฉันตั้งใจจะลืมมันมากกว่า ก็เพราะฉันมีความสุขในเวลานี้นี่นา ... เวลาที่อยู่กับเขา....
ฉันสงสัยมานานอยู่เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงได้มาเดินทางเดียวกับฉัน ทำไมเราต้องเดินบนเส้นทางเดียวกัน ทั้งๆที่มีหลากหลายทางที่เราควรจะแยกจากกัน ทุกครั้งที่ฉันเลี้ยวเขาก็เลี้ยว และทุกครั้งที่เขาเดินตรง ฉันก็ตัดสินใจอย่างนั้นเหมือนกัน จนวันนี้ฉันจึงตัดสินใจถาม
“ทำไมนายถึงมาเดินทางเดียวกับฉันล่ะ”
“ไม่รู้สิ ทำไมเราถึงเดินทางเดียวกันได้นะ” ชายหนุ่มยิ้มอย่างอ่อนโยน
การสนทนาของเราจบลงแค่ตรงนั้น แค่ที่รอยยิ้มของเขา เพราะมีสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเราทั้งสองมากนั่นคือ แมลงภู่ตัวหนึ่งที่กำลังบินฉวัดเฉวียนอยู่ที่กิ่งไม้ด้านหน้าเรา ฉันรีบตรงเข้าไปหาทันที
“ แมลงภู่ ฉันอยากถามอะไรหน่อยได้ไหม”
“ถามอะไร”
“เธอรู้จัก ตะเกียงในความมืด รึเปล่า”
“ตะเกียงในความมืด!” ชายหนุ่มร้องอุทาน “ฉันก็กำลังหาตะเกียงในความมืดเหมือนกัน”
“ตะเกียงในความมืด ตะเกียงที่คอยส่องแสงสว่างให้ฉันเสมอในยามที่ฉันมองไม่เห็นอะไรเลย” แมลงภู่กล่าว “ มันไม่ใช่แค่ตะเกียงธรรมดาๆหรอกนะ ในยามที่ฉันหนาว ฉันก็ได้รับความอบอุ่นจากแสงไฟของตะเกียง ฉันรักตะเกียงของฉัน ชั่วชีวิตของคนเราจะมีตะเกียงที่ใช่อยู่เพียงอันเดียวเท่านั้นที่เป็นของเราอย่างแท้จริง อาจจะมีบ้างในบางครั้งที่เราชายตาแลไปมองตะเกียงของคนข้างๆเพราะมันสวยงามเหลือเกินห้ามใจ แต่พอฉันหันกลับมามองตะเกียงของฉันแล้ว เธอรู้มั้ย ฉันดีใจที่ฉันมีตะเกียงแบบนี้”
“ ไม่เข้าใจ” ฉันหลุดคำพูดมาโดยไม่รู้ตัว
“ ก็พวกเธอก็ต่างเป็นตะเกียงของกันและกันยังไงล่ะ คนหนึ่งเป็นแสงสว่างคอยส่องทางให้กับอีกคนหนึ่ง ทำไมเธอทั้งสองไม่ลองดูใกล้ๆตัวเองกันบ้างเลย”
“.....”
ตะเกียงของฉันอยู่ใกล้แค่นี้น่ะเหรอ??
แล้วเขาจะใช่ตะเกียงของฉันจริงๆรึเปล่า??
....
ผลงานอื่นๆ ของ A.Pen ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ A.Pen
ความคิดเห็น