ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Bel Ami คุณคือที่รัก

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 5 มิตรภาพ

    • อัปเดตล่าสุด 8 ก.ค. 61


    บทที่ 5
    มิตรภาพ


           เกอร์ฮาร์ดกวาดตาดูเอกสารแผ่นหนึ่งที่กางอยู่บนโต๊ะพลางจิบชาร้อนจากแก้วกระเบื้องเล็กๆสีขาวของร้านคาเฟ่ร้านเดิมในตรอกที่ตอนนี้ดูเหมือนจะกลายเป็นร้านประจำในยามเช้าของเขาไปแล้ว เขาพับเอกสารเก็บลงในกระเป๋าเสื้อเครื่องแบบสีเขียวเมื่อหญิงสาวเจ้าของร้านหรือตอนนี้เขารู้แล้วว่าเธอชื่อมาดามโคลเอ้นำซุปหัวหอมร้อนๆมาเสิร์ฟให้บนโต๊ะ เขาไม่รีรอตักซุปขึ้นมากินด้วยความหิว อันที่จริงเขากินอาหารเช้ามาจากบ้านครอบครัวดาร์ลีนแล้ว แต่เขาไม่แน่ใจนักว่าสิ่งที่ได้กินไปนั้นเรียกว่าอาหารเช้าได้หรือเปล่า เพราะเขาได้กินแค่นมหนึ่งแก้วกับขนมปังอีกครึ่งก้อนเท่านั้น เพราะมาดามโคเล็ตต์เจ้าของบ้านออกไปทำธุระแถวชานเมืองแต่เช้า แม่หลานสาวของเธอที่ชื่อเฟลิเซียนั่นก็เลยเป็นคนลงมือเตรียมอาหารเช้าให้เขา และก็ดูเหมือนว่าเขาจะโดนเธอแกล้งเข้าอย่างจังเพราะทั้งๆที่เธอบอกว่าเมื่อวานเธอไม่ได้ซื้อของเผื่อไว้สำหรับมื้อเช้า แต่เขากลับเห็นเธอกำลังกินไข่คนร้อนๆอย่างเอร็ดอร่อยในตอนที่เขาเดินย้อนกลับขึ้นไปเอาถุงมือบนห้อง นั่นเลยเป็นสาเหตุว่าทำไมเขาถึงต้องระเห็ดออกมาหาอาหารเช้าข้างนอกอีกทีหนึ่ง เขาลุกขึ้นนำเงินไปจ่ายให้มาดามโคลเอ้ที่เดินมาเก็บโต๊ะก่อนเดินออกจากร้านมุ่งหน้าไปยังฐานทัพ ในระหว่างที่เขาเดินไปตามถนนสายต่างๆ ปฏิกิริยาท่าทางที่ชาวเมืองที่เขาเห็นก็ทำให้นึกย้อนไปถึงช่วงเวลาที่เขาเพิ่งเข้าไปอยู่ในบ้านใหม่ จนถึงตอนนี้ เขาพอจะเข้าใจที่ฟรานซ์บอกแล้วว่าสบายกายแต่ไม่สบายใจนั่นหมายความว่าอะไร แต่มันก็ไม่ใช่ความผิดของเขาไปซะทั้งหมดนี่นา แม้เขาจะเป็นทหาร ก็ใช่ว่าเขาจะอยากเป็นเสียเมื่อไหร่ แล้วเขาก็ไม่ได้เป็นตัวตั้งตัวตีก่อสงครามขึ้นมาด้วย แต่เขาไม่โทษเธอหรือพวกชาวเมืองทั้งหลายหรอก เขาเองก็คงจะอารมณ์เสียทั้งวันทั้งคืนเหมือนกันถ้ามีขบวนพาเหรดทหารติดอาวุธสงครามกับกองทัพยานพาหนะสารพัดชนิดแห่กันมายึดบ้านของเขา 

             เมื่อเดินไปตามทางมาเรื่อยๆเขาก็หยุดฝีเท้าลงตรงหน้าพื้นที่บริเวณหนึ่งนอกใจกลางเมือง ถนนเส้นที่อยู่ติดกันมีรถถังและยานพาหนะอื่นๆจอดเรียงกันเป็นระเบียบไปตลอดทั้งสาย รอบบริเวณพื้นที่มีเต็นท์ทหารหลังย่อมประจำอยู่ตามมุมต่างๆ พื้นที่ลานกว้างด้านในถูกจัดให้เป็นฐานทัพ ตรงกลางมีโต๊ะไม้หยาบสีเบจขนาดยาวและกว้างวางอยู่ใกล้กันสองตัว บนโต๊ะมีแผนที่และตัวหมากสัญลักษณ์สำหรับทำเครื่องหมายบนแผนที่วางเป็นจุดๆ รอบๆรายล้อมไปด้วยโต๊ะเก้าอี้นั่งหลายชุดกระจายอยู่สำหรับนั่งทำงานหรือพักผ่อน ด้านในสุดมีเพิงหลังหนึ่งเป็นคลังเก็บอาวุธที่ข้างในเต็มไปด้วยหีบและลังไม้สำหรับเก็บปืน ลูกระเบิดหรืออุปกรณ์สงครามต่างๆ บรรดานายทหารมีทั้งที่กำลังง่วนอยู่กับงานของตนและที่กำลังนั่งพักผ่อนเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้หรือตามพื้นหญ้าเป็นกลุ่มๆ เกอร์ฮาร์ดล้วงหยิบเอาเอกสารที่พับอยู่ในกระเป๋าเสื้อออกมาคลี่ดูอีกครั้ง เขากวาดตาดูรายละเอียดในเอกสารพลางกวาดสายตาไปตามกลุ่มทหารในพื้นที่เพื่อมองหานายทหารตามรายละเอียดที่บันทึกอยู่ ในเอกสารนั้นมีภาพถ่ายขาวดำหน้าตรงครึ่งตัวของนายทหารยศไพรเวท*คนหนึ่ง เขาดูอยู่ในช่วงวัยรุ่นและมีแววความขี้เล่นปรากฏอยู่ในแววตา ด้านล่างของภาพมีรายละเอียดตีพิมพ์อยู่ด้วยหมึกสีดำ

    ชื่อ-สกุล : พลทหาร แม็กซ์ เคอร์ทิส 
    เพศ : ชาย 
    อายุ : 18 ปี 
    วันเกิด : 16 สิงหาคม ค.ศ. 1922 
    ชื่อ-สกุล บิดามารดา : นาย วิลเบอร์ เคอร์ทิส , นาง ฮันนาห์ เคอร์ทิส 
    ที่อยู่ : 23/8 อพาร์ตเมนท์ชมิดท์ไซน์ ห้อง 324 กรุงเบอร์ลิน 
    บ้านเกิด : เมืองเบอร์ลิน , เยอรมัน 
    วันที่เกณฑ์เข้ากองทัพ : 18 สิงหาคม ค.ศ. 1937 
    สังกัด : WH* กองร้อยที่สิบ 

          เกอร์ฮาร์ดส่ายหัวอย่างไม่มั่นใจ นี่หรือลูกน้องคนใหม่ในกองร้อยของเขา..ดูอ่อนประสบการณ์แบบนี้จะไปรอดรึเปล่านะ เขาคิดและเงยหน้าขึ้นจากเอกสารพลางตะโกนไปทางกลุ่มทหารเหล่านั้น 

            " พลทหาร แม็กซ์ เคอร์ทิส!!"

            เสียงคุยจ้อกแจ้กของกลุ่มทหารเงียบลงแทบจะทันทีเมื่อได้ยินเสียงของเกอร์ฮาร์ด พวกเขามองหน้ากันสลับไปมาเพื่อมองหาเจ้าตัวตามที่เขาเรียก และครู่เดียว นายทหารคนหนึ่งที่หน้าตาตรงตามภาพถ่ายในเอกสารก็ก้าวออกมาจากกลุ่มทหารเล็กๆกลุ่มหนึ่งที่กำลังนั่งคุยกันอยู่แถวริมสนามและเดินมาหาเขาพร้อมยกแขนขวาเหยียดตรงไปข้างหน้าทำท่าเคารพแบบเยอรมันกับเขา 

             "กระผมพลทหาร แม็กซ์ เคอร์ทิสครับท่าน! ผมได้รับมอบหมายให้สังกัดกองร้อยของท่านตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปครับ!"

               แม็กซ์ตอบรับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เกอร์ฮาร์ดพยักหน้ารับด้วยความพอใจ เขาเริ่มคิดว่าลูกน้องคนใหม่นี่ท่าทางจะไม่เบาเสียแล้ว เพราะดูจากเสียงที่หนักแน่นและแววตาที่มีประกายของความมั่นใจและความกระตือรือร้นฉายอยู่เต็มเปี่ยมของเขาก็ทำให้เกอร์ฮาร์ดเดาว่าแม็กซ์คงต้องเป็นคนที่อดทน มุ่งมั่นและสู้งานมากพอสมควร เขาหันหลังกลับมาที่ทางเดินเข้าเมืองพลางกวักมือเรียกแม็กซ์ให้เดินตามมา
              " มาเริ่มงานกันเถอะ ก่อนอื่น..เธอโชคดีนะที่วันนี้ไม่ค่อยมีอะไรมาก แค่เดินตรวจความเรียบร้อยในเขตใจกลางเมืองก็พอ" 
              " แค่เดินตรวจหรือฮะ? " 
              "ไม่ใช่แค่เดิน ต้องดูให้แน่ใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี อย่างประตูที่สถานีรถไฟก็ดูให้แน่ใจว่าทหารที่เฝ้าอยู่น่ะทำหน้าที่ตรงตามคำสั่งไม่ปล่อยให้ชาวเมืองหรือคนไม่มีใบอนุญาตเดินทางเข้าออกไปมั่ว ส่วนเวลาเลิกงานถ้าไม่มีอะไรผิดปกติก็..ห้าโมง" 

               ดูเหมือนคำว่าเลิกงานจะทำให้แม็กซ์หูผึ่งขึ้นมาชัดเจน เพราะเขาหันมามองเกอร์ฮาร์ดทันทีด้วยสีหน้าที่กลบความตื่นเต้นและรักสนุกตามประสาวัยรุ่นที่ลุกวาวอยู่ในตาสีฟ้าอมเทาคู่นั้นไม่มิด 

               "งั้นก็ว่างยาวเลยสิฮะหัวหน้า แต่ไม่มีประชุมหรืองานนอกเวลาใช่ไหมฮะ?" 
               " ก็มีบ้างบางครั้ง แต่ไม่นานหรอก ถ้าเธอต้องอยู่กะดึกสิถึงจะนาน" 
    เขาตอบพลางชี้ไปทางสถานีรถไฟหลักของปารีส ที่หน้าประตูเหล็กลวดลายสวยงาม มีนายทหารสองคนยืนเฝ้าขนาบข้างอยู่ทั้งสองฝั่งของประตู 
                " งานแรกของวันนี้ นายไปเอาบันทึกการเข้าออกจากนายทหารสองคนมาให้ฉันทีซิ จะได้รีบตรวจแล้วไปตรงอื่นกันต่อให้งานเสร็จๆไป" 
                 " ครับหัวหน้า!" 

                 แม็กซ์รับคำก่อนจะรีบสาวเท้าตรงไปยังนายทหารเฝ้ายามสองคนนั้น แม็กซ์ใช้เวลาเพียงครู่เดียวก็เดินกลับมาหาเขาพร้อมกับเอกสารปึกบางๆในมือ เมื่อเกอร์ฮาร์ดรับเอกสารมาเปิดดูก็เป็นไปตามที่เขาคาด นั่นคือไม่มีชาวปารีเซียนได้ผ่านประตูเข้าไปได้เลย บันทึกการเดินทางทุกบรรทัดเป็นรายชื่อของนายทหารเยอรมันทั้งหมด และตรงช่องหมายเหตุนั้นทุกรายชื่อก็ได้รับการระบุรับรองว่ามีใบอนุญาตเดินทางถูกต้องตามระเบียบ ดังนั้นตรงบริเวณนี้ถือว่าเรียบร้อยดีไม่มีอะไรผิดปกติ เขาจึงพยักหน้าให้แม็กซ์และส่งเอกสารนั้นให้เขาถือไว้ 

                 "ตรงนี้ถือว่าเรียบร้อยดีสำหรับช่วงเช้า เดี๋ยวค่อยกลับมาตรวจอีกทีตอนช่วงบ่าย เหลือสำนักงานอีกราวสองที่กับประตูเมือง" 
                 เกอร์ฮาร์ดว่าก่อนจะเดินนำอีกเที่ยวหนึ่ง เขารู้ว่าแม็กซ์ก็ยังคงเดินตามมาติดๆก็เพราะเสียงฝีเท้าที่พยายามเร่งให้เดินทันเขาและเสียงหอบเบาๆด้วยความเหนื่อยจากอากาศที่เริ่มร้อนของตอนสาย พอเขาหันกลับไปดูอีกทีหลังตรวจบริเวณโรงหนังเสร็จ แม็กซ์ก็ถอดหมวกหนีบไว้ใต้แขนแล้ว  ผมสีบลอนด์ทรายของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อที่ไหลลงมาถึงแนวผมกับช่วงหน้าผาก

                เขาตัดสินใจพาแม็กซ์แวะซื้ออาหารกลางวันจากรถเข็นขายอาหารเล็กๆคันหนึ่งที่จอดเทียบอยู่ข้างถนนและพากันมานั่งกินอยู่ริมทางเท้า เมื่อเกอร์ฮาร์ดลงมือกัดแซนวิชแฮมรมควันไปคำแรก ตอนนั้นเองที่เขาเพิ่งรู้ว่าเขาหิวและเหนื่อยมากแค่ไหนเช่นเดียวกับแม็กซ์ที่หยิบมันฝรั่งทอดใส่ปากชิ้นแล้วชิ้นเล่าโดยไม่มีที่ท่าว่าจะหยุด พอความหิวเริ่มหายไป เจ้าลูกน้องคนใหม่ก็เริ่มกินช้าลงแล้วหันมาชวนเขาคุยเป็นระยะๆ

                 " เอ..ลูกน้องคนอื่นของหัวหน้าเขาไปไหนกันหมดเหรอฮะ?"
    "พวกเขาก็เดินตรวจอยู่แถวๆนี้แหละ เดี๋ยวพอนายรู้งานมากกว่านี้ฉันก็จะปล่อยให้นายไปเข้างานพร้อมกับคนอื่นๆ ถึงตอนนั้นเผลอๆนายจะมีเพื่อนกลุ่มใหญ่กว่าเดิมด้วยซ้ำ ไม่ต้องห่วงหรอก"

                  แม็กซ์พยักหน้าอย่างเข้าใจ คิ้วของเขากับขมวดเข้าหากันอย่างมีเลศนัยจนเกอร์ฮาร์ดสงสัยว่าแม็กซ์กำลังคิดอะไรพิเรนทร์ๆอยู่รึเปล่า
                  "ขอโทษนะฮะ ถ้าหัวหน้าไม่ถือ..คืนนี้ไปเที่ยวกับพวกผมก็ได้นะฮะ พอดีพวกเพื่อนๆนัดผมไว้ที่บาร์นึงในย่านการค้าน่ะฮะ เขาบอกกันว่าสาวๆระบำเปลื้องผ้าที่นั่นน่ะน่าตื่นเต้นกว่าที่เบอร์ลินอีก"

                   เกอร์ฮาร์ดเกือบสำลักน้ำอัดลมที่เพิ่งซดเข้าไป ใช่ว่าเขาไม่เคยไปเที่ยวอะไรแบบนั้นกับพวกลูกน้องหรอกนะ เขาแค่ตกใจกับคำเชิญที่ค่อนข้างจะโจ่งแจ้งชัดเจนไปหน่อยของแม็กซ์เท่านั้นเอง
                  
                  "คือ..วันนี้ฉันต้องอยู่อบรมลูกน้องกะดึกก่อนน่ะ เอาไว้วันหลังแล้วกันนะ.."
                    เขาพยายามตอบเลี่ยงให้สุภาพที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วเขาก็โล่งใจที่แม็กซ์ดูจะไม่ได้เอะใจะไรเลย เพราะเขาคว้าขวดโซดามะนาวขึ้นมากระดกต่ออย่างสบายใจขณะหันไปมองวิวข้างทางรอบๆ
                   "โอ...เธอสวยจัง"

                   อยู่ๆแม็กซ์ก็อุทานขึ้นมา เมื่อเกอร์ฮาร์ดหันไป เขาก็พบกับร่างเล็กที่คุ้นเคยในเสื้อเชิ้ตสีขาวมีระบายขอบสีครีมกับกระโปรงสีน้ำตาลคาราเมลใต้เสื้อนอกสีน้ำเงินเข้มที่เพิ่งเดินออกมาจากย่านการค้าพร้อมกับหอบถุงกระดาษจากร้านของชำมาด้วย เขาถือว่าเฟลิเซียเดินเร็วและคล่องแคล่วทีเดียวทั้งๆที่ใส่รองเท้าส้นสูงและถือของพะรุงพะรังไปพร้อมๆกันแบบนั้น เมื่อเธอหันมาเห็นพวกเขาทั้งคู่ เธอก็หยุดชะงักและจ้องมองพวกเขากลับด้วยความแปลกใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่พอแม็กซ์ยกหมวกขึ้นทักทาย เธอก็มีสีหน้าโกรธขึ้ง เธอถลึงตาใส่พวกเขาและรีบเดินหนีไป แม็กซ์เกาหัวอย่างงงๆก่อนหันมามองเขาเป็นเชิงคำถาม เขาเพียงแต่จิบน้ำอัดลมและยักไหล่

                  " เธอไม่ได้ทำอะไรผิดหรอก เขาก็เป็นอย่างนี้แหละ ฉันชินแล้ว"

    คราวนี้แม็กซ์มีสีหน้าผสมกันระหว่างความตกใจและความสงสัยเหมือนกับว่าเขาพูดอะไรผิดไปสักอย่าง

                  "อ่า..หัวหน้ารู้จักเธอหรือฮะ?"

    เขาล้วงมือหยิบบุหรี่มวนนึงจากกระเป๋าเสื้อขึ้นมาจุดสูบก่อนจะพ่นควันออกมาอย่างใจลอย

                  "รู้จักสิ..ฉันพักอยู่บ้านเธอนี่"
                  "งั้น..หัวหน้ากับผมก็หัวอกเดียวกันสิฮะ"
                 "..หืม?"

                เกอร์ฮาร์ดเลิกคิ้วด้วยความสงสัยและดึงบุหรี่ออกมาคีบไว้ที่มือ ตอนนั้นเองที่แม็กซ์เริ่มพูดถึงบ้านหลังใหม่ เขาเองก็เจอโชคดีไม่แพ้เกอร์ฮาร์ดเช่นกัน รองเท้าบูทของแม็กซ์เคยถูกใครบางคนเอาไปซ่อนทิ้งไว้ในเล้าไก่ทั้งคืน ทำให้เขาโดนผู้บัญชาการคนก่อนตำหนิในวันถัดมาโทษฐานที่ใส่รองเท้าเลอะขี้ไก่และขี้ดินไปทำงาน แล้วเขาก็ยังต้องใช้เวลาว่างหลังมื้อค่ำหมดไปกับการขัดถูคราบแห้งกรังพวกนั้น

                 "ผมคิดว่าเป็นเมอร์ซิเออร์เจ้าของบ้านนั่นแหละฮะ..ผมรู้ว่าเขาไม่ค่อยปลื้มผมเท่าไหร่"
    เกอร์ฮาร์ดตบบ่าแม็กซ์เบาๆอย่างเห็นใจ ความเงียบปกคลุมบรรยากาศอยู่ช่วงหนึ่งก่อนแม็กซ์จะพูดขึ้นมาลอยๆ
                "นี่ไม่เหมือนที่ผมคิดไว้เลยฮะ"
    ประโยคนี้ทำให้เกอร์ฮาร์ดเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย ตอนนี้แม็กซ์มีสีหน้าสลดลงและดูผิดหวังเห็นได้ชัด
                 "ก็..หลายคนบอกว่าถ้าผมลงภาคสนาม ผมก็จะได้ผจญภัยได้เดินทางไปทั่วโลกแบบที่ผมฝันไว้น่ะฮะ  แต่นี่...มันผิดไปจากที่ผมคิดไว้นิดหน่อย"

                เกอร์ฮาร์ดทำได้แค่พยักหน้ารับ เขาไม่รู้จะพูดอะไรให้แม็กซ์รู้สึกดีขึ้น เพราะเขาเองก็ไม่ใช่คนเจ้าบทเจ้ากลอนช่างวาทศิลป์หรือนักพูดที่เก่งกาจเท่าไหร่ เขาจึงยื่นบุหรี่มวนหนึ่งให้แม็กซ์แทนคำปลอบใจ

                 "พอทุกอย่างจบลงเธอก็ค่อยเริ่มต้นใหม่ก็ได้ แต่ตอนนี้เรายังมีหน้าที่ที่ต้องทำอยู่ มาเถอะ"
    เขาตบบ่าแม็กซ์อีกทีก่อนจะลุกขึ้นนำไปยังเส้นทางเดิมกับตอนเช้า

               เกอร์ฮาร์ดไม่เคยรู้สึกเบื่ออะไรมากขนาดนี้มานานแล้ว เขานั่งมองวิวข้างทางไปเรื่อยๆอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่งในฐานทัพนอกเมืองมาตั้งแต่ห้าโมงครึ่งเพื่อรออบรมงานลูกน้องที่อยู่กะดึก แม็กซ์เลิกงานกลับไปพร้อมกับกลุ่มเพื่อนตั้งแต่ห้าโมงแล้ว และตอนนี้เขาก็คงจะกำลังมีความสุขกับการกินดื่มพร้อมๆกับดูอภิมหาการแสดงสวยๆงามๆของเหล่าสาวๆในบาร์พวกนั้น เกอร์ฮาร์ดรู้สึกว่าเขาคิดผิดที่ไม่กลับไปกินอาหารเย็นที่บ้านก่อนเพราะตอนนี้เขาชักจะหิวขึ้นมาแล้ว และเขาก็ไม่หวังว่าจะมีอาหารเย็นเหลือไว้ให้ในตอนที่เขากลับไปแน่นอนเมื่อดูจากระดับความเป็นมิตรของเฟลิเซีย เขาเหลือบมองนาฬิกาข้อมืออีกครั้งหนึ่ง

               หกโมงห้าสิบงั้นเหรอ...เกอร์ฮาร์ดกวาดตาดูรอบๆฐานทัพก่อนจะพบว่าลูกน้องของเขามาถึงกันครบหมดแล้ว เขาเลยไม่รอช้าออกคำสั่งเรียงแถวเริ่มการสอนงาน เขามัวแต่ยุ่งอยู่กับการกำชับและการอธิบายคำสั่งพวกลูกน้องเสียจนเขาลืมความหิวไปเสียสนิท กว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยก็ปาเข้าไปเกือบทุ่มครึ่งแล้ว ตัวเกอร์ฮาร์ดเองก็เหนื่อยมากแถมยังง่วงนอนสุดๆ แล้วเขาก็แทบหมดแรงจากการเดินเท้าถ่อมาถึงบ้านตอนขากลับด้วย 
    รู้งี้ฉันน่าจะรอติดรถบรรทุกทหารรอบดึกมาด้วยดีกว่า...เขายกมือขึ้นเสยผมและปาดเหงื่อบนหน้าผากที่เปียกชุ่ม เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกจ้องมองอยู่จากทางด้านบนในตอนที่กำลังเอื้อมมือไปเปิดประตู พอเขามองขึ้นไป เขาก็เห็นร่างเล็กอันคุ้นตาที่รีบผลุบตัวหายเข้าไปหลังผ้าม่านอย่างรวดเร็ว
    กำลังหวังว่าฉันจะไม่กลับมาสินะ...เขาคิดพลางส่ายหน้าน้อยๆกับความหนักแน่นดื้อดึงของเธอ

              เกอร์ฮาร์ดเพิ่งจำได้ว่าเขากำลังหิวในตอนที่เขาเหลือบไปเห็นจานใส่อกไก่อบแห้งๆและเม็ดถั่วลันเตาสีเขียวซีดต้มที่ดูแฉะกำมือหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะกินข้าวในห้องครัว แม้ว่าเขาจะเหนื่อยจนขี้เกียจกินและอาหารจานนั้นจะถูกทิ้งไว้นานจนดูไม่น่ากิน แต่ท้องของเขาก็ยังคงร้องครืดคราดอย่างปั่นป่วนจนแทบทนไม่ไหว สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจกินอย่างเสียไม่ได้ อีกอย่าง เขาไม่อยากเข้านอนพร้อมอาการปวดท้องที่จะกวนไปตลอดคืน

              เขาเดินสวนกับมาดามโคเล็ตต์ที่กำลังถือกุญแจลงมาจากชั้นสองเพื่อล็อกประตูบ้าน เธอพยักหน้าทักทายเขาและบอกราตรีสวัสดิ์ สิ่งแรกที่เขาทำเมื่อก้าวเข้ามาในห้องคือทิ้งตัวลงนั่งพักบนเก้าอี้คลายความเมื่อยล้า พอเหลือบไปทางหน้าต่างก็ทำให้เขานึกถึงท่าทีของเฟลิเซียในตอนนั้น เธอทำให้เขารู้สึกไม่ดียิ่งขึ้นเรื่อยๆเมื่ออยู่ในบ้านหลังนี้นานขึ้น ตั้งแต่วินาทีแรกเธอก็มองเขาเป็นปีศาจที่ทำชีวิตเธอพัง ทำหน้าบึ้งตึงทุกครั้งที่เขาเข้ามาอยู่ในรัศมีที่ตาของเธอมองเห็น และถ้าเขาจำไม่ผิด เธอกับเขายังไม่เคยพูดคุยกันเลยแม้แต่คำเดียว เขาถอนหายใจออกมาน้อยๆ ในตอนนั้นเองที่ความคิดอยากกลับบ้านลอยเข้ามาในหัวของเขาเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วันที่เดินทางจากเบอร์ลินมาถึงที่นี่ เขาคิดถึงภาพริมหน้าต่างอันคุ้นตาของละแวกเพื่อนบ้านยามที่ตื่นนอน คิดถึงพ่อแม่และพี่น้องของเขาที่มักจะรอทานอาหารเย็นกันพร้อมหน้าอยู่ทุกวัน คิดถึงห้องออฟฟิศสงบๆของเขาในกองทัพที่เบอร์ลิน แล้วตอนนี้เขาก็ยิ่งคิดถึงเพื่อนๆทหารทั้งสองที่ได้มีโอกาสเจอกันบ่อยๆผิดกับเขาที่อยู่คนละกอง ตอนนั้นเองที่คำพูดของ
    สิ่งสุดท้ายที่เกอร์ฮาร์ดจำได้คือเขาเอนตัวลงบนเตียงกะว่าจะพักสายตาสักนิดก่อนไปอาบน้ำ แต่ไม่กี่นาทีต่อมา เขาก็รู้สึกว่าเปลือกตาทั้งสองข้างหนักอึ้ง จากนั้นไม่นานทุกอย่างรอบตัวก็มืดดับลง

              เกอร์ฮาร์ดนั่งขัดรองเท้าบูทและเข็มขัดหนังของเขาอยู่แถวห้องเก็บของหลังบ้านในตอนสาย วันนี้เป็นวันหยุดของเขา เขาก็เลยมีเวลานอนพักผ่อนในตอนเช้ามากกว่าวันปกติ แผนในวันนี้ของเขาไม่มีอะไรมากนอกจากทำความสะอาดและจัดข้าวของสัมภาระในห้องให้เรียบร้อย ถ้ามีเวลาเหลือเขาก็อาจจะออกไปเดินเล่นข้างนอกตอนบ่ายนิดหน่อย ตอนที่เขากำลังเอนหลังพักผ่อนหลังก็พอดีกับเฟลิเซียทีเปิดประตูเดินออกมาหลังบ้านพอดี เขาเห็นเธอถือสมุดบันทึกสีฟ้าเล่มเล็กๆไว้ในมือ เธอเดินไปนั่งตรงเก้าอี้เล็กๆติดกับรั้วและหยิบสมุดเล่มนั้นออกมาเปิดก่อนจะเริ่มเขียนอะไรยุกยิกๆลงไปบนนั้น เป็นครั้งแรกที่เกอร์ฮาร์ดได้เห็นสีหน้ายามปกติของเธอ เธอมีเสน่ห์และสะสวยทีเดียวเมื่อไม่ได้ชักสีหน้าบึ้งตึงหรือหงุดหงิดใส่เขา ผมสีช็อกโกแลตดัดลอนปรกอยู่ข้างกรอบใบหน้าของเธอ ชุดกระโปรงสไตล์กะลาสีเรือสีน้ำเงินมีลายขอบสีขาวที่แผ่ระบายรอบเก้าอี้ขับให้เธอดูสวยสง่ายิ่งขึ้น รอยยิ้มน้อยๆปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากขณะที่เธอขีดเขียนในสมุดเล่มนั้น ตาสีช็อกโกแลตของเธอขึ้นประกายจากแสงแดดอ่อนๆ แต่ดูเหมือนเขาจะจ้องเธอนานเกินไปซะแล้ว เพราะจู่ๆตาสีช็อกโกแลตคู่นั้นก็ตวัดหันกลับมาสบตาเขาเข้า เธอมองค้อนเขาและรีบลุกจากเก้าอี้ตัวนั้นทันทีก่อนจะรีบสาวเท้าเดินตรงมายังประตูใกล้กับห้องเก็บของที่เกอร์ฮาร์ดกำลังนั่งอยู่ และตอนนั้นเองที่เขาเกิดเสียสติอะไรขึ้นมาก็ไม่ทราบ ทำให้เขาหลุดปากส่งคำทักทายออกไปตอนเธอกำลังจะเปิดกระตูพอดี

                 "คุณดูดีนะเวลายิ้ม"   เขาเอ่ยด้วยเสียงเรียบๆก่อนจะหยิบรองเท้าขึ้นมาขัดคราบน้ำยารอบสุดท้าย

               สุดท้ายเขาก็นึกโกรธตัวเองขึ้นมาทันทีที่ประโยคนั้นหลุดออกไป พร้อมกับเสียงในใจที่ร้องบอกว่าเขาบ้าไปแล้ว แต่สีหน้าของอีกฝ่ายที่มองตอบกลับมาก็เป็นที่ยืนยันได้ว่าเขาไม่ใช่คนเดียวที่คิดว่าตัวเองบ้า เธอมองเขาด้วยแววตาที่มีส่วนผสมของความตกใจ ความกลัว และความไม่เข้าใจ คิ้วของเธอย่นหากันเล็กน้อยราวกับดูเชิงว่าเขาจะมาไม้ไหน เธอจ้องเขาเหมือนกำลังคิดอยู่ว่าจะทำยังไงกับเขาดี จะพุ่งเข้ามากระหน่ำทุบด้วยกำปั้น จะตบหน้าสักฉาดหรือจะขยี้เท้าของเขาด้วยส้นสูงคู่ที่เธอใส่ แต่แล้วเธอก็แค่กอดสมุดเล่มนั้นเอาไว้แนบอกแล้วรีบหันหน้าหนีเดินจ้ำกลับเข้าไปในบ้าน เขาเลยค่อยลุกขึ้นบิดขี้เกียจยืดเส้นสาย หอบรองเท้าและเข็มขัดมาไว้ในอ้อมแขน เมื่อนึกถึงสีหน้าฉงนทำอะไรไม่ถูกของเธอเมื่อกี้แล้วเขาก็อดขำไม่ได้ แต่เขาก็แอบโล่งใจที่เธอไม่สาดคำด่าหรือเขวี้ยงสมุดนั่นใส่หน้าเขา
    เป็นสัญญาณที่ดีนะ...เขาคิดขณะหอบข้าวของขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนเข้าไปเก็บในบ้าน

               ฟรานซ์กับวิลไฮล์โผล่มาหาเกอร์ฮาร์ดที่บ้านในเวลาเลิกงานเพื่อชวนเขาออกไปข้างนอก ทีแรกเขากะว่าจะปฏิเสธไปเพราะเขาขี้เกียจออกไปอีกรอบ แล้ววันพรุ่งนี้เขาก็มีงานต้องทำด้วย ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ถ้าจะกลับดึกในวันก่อนวันทำงาน แต่ดูจากท่าทีของทั้งสองคนเมื่อเขาเปิดประตูรับแล้ว เขาก็รู้สึกถึงบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล ทั้งคู่ดึงเกอร์ฮาร์ดออกไปหลบอยู่ริมรั้วทันทีที่เขาตอบปฏิเสธ ฟรานซ์หันมองซ้ายขวาด้วยท่าทีระมัดระวังก่อนจะพูดกับเกอร์ฮาร์ดด้วยเสียงกระซิบ

    "ไปเถอะน่า แค่แปปเดียวแล้วนายค่อยกลับก็ได้"

    "คืนนี้ต้องขอบายน่ะเพื่อน พรุ่งนี้ฉันต้องไปแถวชานเมืองทั้งวัน ไว้วันหลังแล้วกัน"

    "เออน่า ไม่ได้ให้นายอยู่โต้รุ่งซะหน่อย"

    "อะไรของนาย ไว้วันอื่นก็ได้น่า ขอทีเถอะ"

    "ปัดโถ่ พวกเราอยากจะคุยไรกับนายนิดหน่อยน่า ก็ถ้านายไม่ไปแล้วพวกฉันจะหาเวลาคุยกันตอนไหน"

    "นายก็คุยกับฉันอยู่นี่ไงฟรานซ์.."

    "เอ้อ..ที่จริงพวกเรามีข่าวจะมาบอกนายน่ะ"       วิลไฮล์มเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบมาตลอด

    "โถ่เอ้ย ก็คิดว่ามีเรื่องอะไรใหญ่โต ของแบบนี้บอกกันเมื่อไหร่ก็ได้ไม่ใช่เรอะ"

                    เขาพูดเชิงหยอกเพื่อนทั้งสอง แต่สีหน้าของทั้งคู่ยังคงดูกังวลไม่เว้นแม้แต่ฟรานซ์ที่ปกติจะเป็นคนที่ทำตัวสบายๆที่สุดตลอดไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหน

    "เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า ข่าวอะไรทำไมทำให้พวกนายทำหน้าเครียดแบบนั้น"

                   ทั้งฟรานซ์และวิลไฮล์มองหน้าอีกฝ่ายสักครู่ก่อนพยักหน้าให้อย่างรู้กัน แล้ววิลไฮล์มก็ล้วงเอากระดาษใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกงส่งให้เขา วิลไฮล์มองซ้ายขวาอีกครั้ง เขาเอนหัวเข้ามากระซิบด้วยเสียงที่เบายิ่งกว่าฟรานซ์เสียอีก

                   "ฉันไม่รู้นะว่าพวกหัวหน้าหน่วยของนายเขาบอกรึยัง คืออย่างนี้ เมื่อตอนสายๆหัวหน้าหน่วยฉันเขาบอกว่าให้พวกเราระวังพวกกลุ่มต่อต้านเอาไว้ อันนี้ฉันว่านายน่าจะพอเข้าใจอยู่แล้วนะ..ชาวปารีเซียนหลายคนเกลียดพวกเราเข้าไส้..ก็..นั่นล่ะ"
    อืม เขาเข้าใจตั้งแต่วันแรกๆที่มาอยู่ที่นี่เลยล่ะ..

    "ข้อมูลที่เหลืออยู่ในกระดาษใบนั้นหมดแล้ว พวกฉันพูดได้แค่นี้แหละ นายไปอ่านเอาก็แล้วกัน"

    "จริงๆก็อยากเล่าให้นายฟังจากปากอยู่นะ แต่เดี๋ยวใครมาได้ยินเข้าพาลจะซวยกันหมด"    ฟรานซ์เสริม

               เกอร์ฮาร์ดไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากพยักหน้ารับ ฟรานซ์ก้มดูนาฬิกาของตนเอง แล้วทั้งคู่ก็เข้ามาตบบ่าเขาเบาๆและพากันกลับไป เขากำกระดาษแผ่นนั้นไว้ในกำมือขณะเดินกลับเข้าไปในบ้าน

               บ่าของเกอร์ฮาร์ดหนักอึ้งตลอดเย็นวันนั้นเหมือนน้ำหนักมือของเพื่อนทั้งสองยังคงอยู่ตรงนั้น จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้สึกหิวเลยแม้แต่นิดเดียว เสียงของความกังวลในใจดังกลบเสียงท้องร้องของเขาวนไปวนมาชวนให้รำคาญ กระดาษแผ่นนั้นแผ่อยู่บนโต๊ะไม้โอ๊คสีน้ำตาลแก่ในห้องของเขาที่กำลังทำหน้าที่เหมือนไหแพนโดร่า คือยั่วยวนกวนให้เขาวุ่นวายใจนับแต่วินาทีแรกที่หด้รับมัน เขาคลี่กระดาษออกพลางกวาดตาดูเนื้อความข้างในที่เขียนด้วยลายมือหวัดๆตามสไตล์ของฟรานซ์

    เกอร์ฮาร์ดเพื่อนยาก
           เมื่อตอนสายๆ พวกหัวหน้าหน่วยพวกเรามาบอกข่าวเรื่องพวกต่อต้านน่ะ คร่าวๆก็คือพวกคนที่เกลียดพวกเราแล้วมารวมตัวกันเป็นกลุ่มนั่นแหละ จริงๆชาวปารีเซียนทุกคนก็ไม่ชอบพวกเราทั้งหมดนั่นแหละ แต่พวกกลุ่มต่อต้านนี่จะหัวรุนแรงกว่าเยอะ หัวหน้าพวกฉันบอกว่า จะไม่มีอะไรน่าห่วงเลยถ้าพวกนี้ไม่ก่อความปั่นป่วนให้พวกเราน่ะนะ อย่างเมื่อวานอยู่ดีๆก็มีลูกกระสุนพุ่งเฉียดหัวเฮลมุตไปดื้อๆตอนเขากำลังเดินตรวจอยู่แถวสนาม แต่เขาก็ยังโชคดีกว่าฟริต รายนั้นน่ะโดนกระสุนฝังเข้าเต็มๆเลยที่แขนข้าง--

             ข้อความหลังจากนั้นถูกตัดบทด้วยรอยปากกาที่ขีดฆ่ายาวไปจนจบบรรทัด และในบรรทัดต่อมาก็ถูกแทนที่ด้วยลายมืออีกลายที่เรียบร้อยกว่าซึ่งเขาจำได้ทันทีว่าเป็นลายมือของวิลไฮล์

             เรื่องของเรื่องคือพวกเราตั้งใจจะให้นายระวังไว้นั่นแหละเพื่อน ไอที่ฟรานซ์พล่ามมามันอาจจะฟังดูเกินไป แต่มันเรื่องจริงนะ นายจะไปไหนทำอะไรก็ระวังๆหน่อยละกัน พวกกลุ่มนี้จับตัวยาก เดี๋ยวหัวหน้าหน่วยของนายก็คงมาบอกในอีกไม่นานนี้แหละ แต่พวกเราเป็นห่วงเลยมาบอกนายก่อน รักษาตัวด้วย
    ป.ล.อย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกใครล่ะ ยิ่งพวกปารีเซียนที่ใกล้ตัวกับนาย คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจหรอกนะ

     จากเพื่อนรัก      

    วิลไฮล์และฟรานซ์

               เนื้อความทั้งหมดทำให้บ่าของเกอร์ฮาร์ดยิ่งหนักอึ้งเข้าไปอีก เขาถอนหายใจพลางพับกระดาษแผ่นนั้นเก็บเข้ากระเป๋าหนังของตนเอง สมุดโน้ตวาดภาพโผล่ขึ้นมาสะดุดตาเขา หลายวันมานี้เขาไม่มีเวลาว่างมาจับดินสอวาดภาพเลย ยิ่งตอนนี้ที่ใจของหัวของเขาตันไปหมด การวาดรูปคงจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ทำให้ใจเขาสงบลงได้ เขาควานหยิบดินสอแท่งเดิมขึ้นมาและเริ่มตวัดลายเส้นต่างๆลงบนหน้ากระดาษ ทีแรกเขาตั้งใจจะวาดแค่ภาพของสวนหลังบ้านที่เงียบสงบเมื่อตอนสาย แต่เมื่อเขารู้สึกตัวอีกที เขาก็เผลอวาดภาพใบหน้าของหญิงสาวอันคุ้นตาลงบนหน้ากระดาษซะได้ เขาจึงพลิกกระดาษไปอีกหน้าและวาดภาพกรุงปารีสยามหัวค่ำที่เขาเห็นผ่านหน้าต่างลงไปแทน 

              แม้เกอร์ฮาร์ดเข้ามาอยู่ที่นี่ได้สองอาทิตย์กว่าๆแล้ว แต่ในห้องกินข้าวยังคงมีความรู้สึกอึดอัดหลงเหลืออยู่ เขาค่อยๆหั่นไก่อบกินอย่างช้าๆพลางชำเลืองดูรอบๆ มาดามโคเล็ตต์เผยอยิ้มน้อยๆให้เขาทีหนึ่งก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ ส่วนฝั่งตรงข้ามของเขาวันนี้กลับมีท่าทีแปลกออกไป เฟลิเซียคอยหลบตาเขาตลอดตั้งแต่เริ่มเวลาอาหารเย็นผิดจากปกติที่เธอมักจะแอบถลึงตาค้อนใส่เขาทุกครั้งที่มีโอกาส แต่วันนี้อยู่ๆเธอก็เกิดจะสนใจจานอาหารของเธอมากเป็นพิเศษ แม้กระทั่งมาดามโคเล็ตต์เองก็ดูจะสังเกตท่าทางนั้นได้เช่นกัน

            "เฟลี..หนูเป็นอะไรรึเปล่า ทำไมก้มหน้าก้มตาแบบนั้นล่ะ? "

    ความเงียบที่ถูกทำลายกะทันหันทำเธอสะดุ้งขึ้นมา

             "เปล่านี่คะ..ห-หนูสบายดี"

             เขาเหลือบเห็นมาดามย่นคิ้วน้อยๆอย่างไม่เชื่อนัก เธอทำท่าทีเหมือนจะถามอะไรสักอย่างต่อ แต่เธอก็แค่ยกแก้วน้ำขึ้นมาจิบ จากนั้นก็ไม่มีใครปริปากพูดอะไรอีกเลยไปจนจบมื้ออาหาร บรรยากาศแบบนี้ทำให้เขาคิดถึงบรรยากาศมื้อเย็นที่บ้านแถวชานเมืองของพ่อแม่ในวันหยุด คิดถึงมุกตลกกับคำถามกำกวมทั้งหลายที่พี่ชายและน้องชายของเขาชอบเอามาแหย่เล่นกับพวกหลานๆของเขา ทำให้ทั้งห้องก้องไปด้วยเสียงหัวเราะทุกครั้งที่มีการกินอาหารร่วมกัน หวังว่าคริสมาสต์ปีนี้ผู้บัญชาการจะอนุมัติให้เขากลับไปเยี่ยมบ้านได้นะ เขาคิดถึงบ้านของเขาในกรุงเบอร์ลินที่มีภาพวาดฝีมือของเขาประดับประดาในทุกๆห้อง ห้องนอนที่มีเตียงแสนสบายและข้าวของเครื่องเรือนอันคุ้นเคย บรรยากาศของเหล่าเพื่อนบ้านที่มักเจอกันเป็นประจำทั้งในตอนเช้าและตอนเย็น ตลาดและย่านการค้าที่ครึกครื้นมีชีวิตชีวาทั้งข้างนอกและข้างในร้านรวงต่างๆ ห้องออฟฟิศที่มีอุปกรณ์เครื่องใช้สิ่งอำนวยความสะดวกครบครันในกองทัพใหญ่ เพื่อนๆทหารทั้งหน่วยเดียวกันและต่างหน่วยที่มักจะชวนเขาไปกินมื้อเที่ยงด้วยกันเสมอ ผู้คนที่เป็นมิตรและสนิทสนมคุ้นเคย 
    เขาคิดถึงบ้านเหลือเกิน..

             กองจดหมายขนาดย่อมกองกันกระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะในห้องของเขา ส่วนใหญ่เป็นจดหมายจากครอบครัวของเขาที่ส่งมาจากกรุงเบอร์ลิน ชื่อผู้ส่งบนหน้าซองทุกฉบับถูกเขียนด้วยลายมือคุ้นตาของบรรดาคนใกล้ตัวทำให้เขารู้สึกมีความสุขเป็นครั้งแรกตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ เขาเปิดจดหมายบางฉบับดูคร่าวๆ เขาอมยิ้มกับรูปวาดรถถังและเครื่องบินในแบบเด็กๆจากหลานชายสองคนที่พับใส่มาพร้อมกับจดหมายของกิลเบิร์ตพี่ชายของเขา อีกฉบับมาจากกรีต้าน้องสาวของเขาที่เขียนมาเตือนให้รอรับเสื้อสเวตเตอร์ที่เธอถักส่งมาให้ทางพัสดุด้วย  ความทรงจำและช่วงเวลาดีๆล้นทะลักอัดแน่นล้นอยู่ในใจ เขาเก็บจดหมายทุกฉบับลงลิ้นชักของโต๊ะพลางเหม่อมองไปนอกหน้าต่าง แต่ละประเทศถึงจะมีช่วงเวลาที่ต่างกันแต่ก็มีท้องฟ้าผืนเดียวกัน

             ท้องฟ้าที่บ้านในเบอร์ลินตอนนี้จะเป็นสีเดียวกันหรือเปล่านะ...เขาคิดเมื่อเห็นเครื่องบินลาดตระเวนลำหนึ่งแล่นผ่านไปท่ามกลางน่านฟ้าสีส้มอัสดง

    ....................................................................................................................................................................................................................................................
    *WH ย่อมาจากคำภาษาเยอรมันว่า Wehrmacht ขื่อเรียกกองทัพบกของประเทศเยอรมันในตอนนั้น






    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×