ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Bel Ami คุณคือที่รัก

    ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 6 โทสะ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 74
      2
      10 ก.ค. 61

    บทที่ 6
    โทสะ




          วันนี้จะเรียกว่าเป็นวันที่น่าเบื่อสำหรับเฟลิเซียเลยก็ว่าได้ เธอหัวเสียมาตั้งแต่มื้อเช้า และถึงแม้ว่าตอนนี้จะเลยเวลามื้อเที่ยงมาแล้ว แต่เธอก็ยังคงมีอารมณ์หงุดหงิดตกค้างอยู่ และตัวต้นเหตุของเรื่องนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากนายทหารเจ้าปัญหาคนเดิม ที่จริงวันนี้เธอวางแผนจะออกไปเดินเล่นแถวย่านการค้ากับสวนหย่อมเล็กใกล้บ้านเสียหน่อย แต่ตอนเช้านายทหารเจ้าปัญหานั่นกลับบอกให้เธอรอรับพัสดุแทนให้เพราะป้าโคเล็ตต์ออกไปซื้อของจากฟาร์มแถวชานเมืองตั้งแต่เช้าพอดี เธอล่ะสงสัยจริงว่าเขามีสิทธิ์อะไรมาออกคำสั่งกับเธอ เขาไม่สมควรกระทั่งเข้ามาอยู่ร่วมชายคากับเธอเสียด้วยซ้ำ ถ้าเป็นไปได้เธอจะตะเพิดเขาออกไปตั้งแต่วินาทีแรกที่เขาก้าวเท้าเข้ามาในบ้านเสียเดี๋ยวนั้นเลย 

            เธอนั่งกอดอกอยู่บนโซฟาข้างหน้าต่างพลางชะเง้อมองออกไปข้างนอกอย่างไม่สบอารมณ์ พ่นลมหายใจออกมาทีหนึ่งก่อนจะลุกไปเปิดทีวีเผื่อจะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นได้บ้าง แต่ก็ไร้ประโยชน์เพราะทุกๆช่องมีแต่รายการข่าวการรบในพื้นที่ต่างๆและรายการโฆษณาชวนเชื่อของพวกเยอรมัน ส่วนวิทยุนั้นเธอก็ไม่ค่อยได้เปิดฟังบ่อยนักตั้งแต่ได้ข่าวว่าพวกเยอรมันเป็นฝ่ายเข้าควบคุมการกระจายเสียงทุกประเภทของฝรั่งเศส ที่เธอเปิดนั่นก็เป็นเพราะเธอแค่อยากฟังเพลงลิลลี มาร์ลีน* เท่านั้น แต่แล้วเธอก็ฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เธอพยายามนึกถึงท่วงทำนองของบทเพลงเพลงนึงที่เธอเคยได้โดยบังเอิญจากวิทยุส่วนตัวของนายทหารคนนั้น ทุกครั้งที่เธอเดินผ่านห้องของเขา เธอมักจะได้ยินเสียงเพลงเพลงนี้ดังแผ่วเบาออกมาจากในห้องเสมอตั้งแต่วันแรกๆที่เขาเข้ามาอยู่ แล้วหลังจากนั้นมันก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของทั้งเธอและป้าโคเล็ตต์ไปเลยว่าถ้าได้ยินเพลงนี้ลอดออกมา แสดงว่านายทหารคนนั้นอยู่ในห้อง ทีแรกเธอไม่คิดจะใส่ใจเพราะมันเป็นเพลงของพวกเยอรมัน สุดท้ายแล้วด้วยความที่รักในเสียงดนตรี..เธอก็จำต้องยอมแพ้ต่อความไพเราะของมัน แต่เพราะเป็นเพลงภาษาเยอรมันเธอก็เลยไม่รู้ว่าจะไปหาฟังได้จากไหนอีกนอกจากจะถามเจ้าตัวที่มักจะเปิดเป็นประจำ ซึ่งแน่นอนว่านั่นไม่มีทางเกิดขึ้นเด็ดขาดเพราะเธอไม่มีวันพูดคุยกับเขาเด็ดขาด หูของเธอแนบใกล้กับวิทยุเครื่องเก่าพยายามฟังและจับช่วงทำนองประสานไปกับนิ้วมือที่คอยหมุนปุ่มเปลี่ยนสถานีไปเรื่อยๆเพื่อหาเพลงที่ต้องการ เธอหวังจะได้ยินคำๆหนึ่งที่เธอสามารถจดจำได้ทันทีของเพลงนั้น คำๆเดียวที่ลอยวนไปมาในหัวของเธอนับตั้งแต่ครั้งแรกที่เธอได้ฟังจากเสียงหวานใสของคนร้องที่ขับขานออกมา ถ้อยคำที่ถูกร้องซ้ำๆในบทเพลงเพื่อสื่อถึงความหมายอันงดงามของมัน
    .
    .
    .
    .
    .
    Bel Ami


    ~~~~~~~~~~~~


            เฟลิเซียจ้องมองกล่องพัสดุขนาดกลางที่ถูกนำมาวางไว้หน้าบ้านเมื่อไม่กี่นาทีก่อน เธอกลอกตาอย่างไม่สบอารมณ์ขณะหยิบป้ายชื่อของเจ้าของขึ้นมาดู

    " มาซะที..น่ารำคาญจริง " 
           เธอบ่นพลางยกกล่องเข้าไปในบ้านโดยไม่สนใจแม้กระทั่งอ่านฉลากของผู้ส่งที่แปะอยู่บนฝากล่อง เธอโยนมันลงบนพื้นห้องนั่งเล่นอย่างไม่ใส่ใจ ส่งผลให้กล่องใบนั้นหล่นกระแทกพื้นส่งเสียงดังโครมพร้อมกับเสียงเพล้งผิดปกติที่ไม่ว่าจะฟังอย่างไรก็ไม่น่าใช่เสียงของเสื้อผ้าอย่างแน่นอน
           " แย่แล้วสิ..ไหนตาคนนั้นบอกฉันว่าพัสดุนี่เป็นเสื้อสเวตเตอร์ไง แล้วทำไมมันถึง..."
    เธอพึมพำ เริ่มหน้าเสียและค่อยๆยกมันขึ้นมาพลิกหาฉลากผู้ส่ง 

    ผู้ส่ง แฮรร์*และเฟรา* ฮอฟฟ์ครีค
    18 / 4 ถนน มาเรียนดอร์ฟ กรุงเบอร์ลิน
    ผู้รับ แฮรร์ ฮอฟฟ์ครีค

    บนฉลากมีลายหมึกสีดำรูปอินทรีจากตราประทับของเยอรมันพาดทับอยู่ แต่สิ่งที่สะดุดตาของเธอคือหมายเหตุที่เขียนด้วยหมึกสีแดงตัวใหญ่ด้านล่างฉลาก

    หมายเหตุ : พัสดุบอบบาง โปรดใช้ความระมัดระวัง

            ความกังวลเริ่มก่อตัวขึ้นมาในหัวของเธอ เธอลูบไล้ลอนผมสีช็อกโกแลตให้ตัวเองใจเย็น กวาดสายตาไปทั่วห้องพยายามหาวิธีกลบเกลื่อน สุดท้ายเธอจึงนำกล่องใบนั้นไปวางทิ้งไว้ตรงมุมห้องนั่งเล่นก่อนจะกลับไปทำกิจวัตรอย่างเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น


            เฟลิเซียคิดว่ากรุงปารีสดูสวยงามที่สุดตั้งแต่ช่วงเย็นเป็นต้นไป แต่ตอนนี้ก็เป็นช่วงที่น่ารำคาญที่สุดเช่นกันเมื่อมองไปทางไหนก็มีแต่ทหารเยอรมันในเครื่องแบบหน่วยต่างๆเดินกันวุ่นวายไปหมดทุกตรอกถนน เธอย่นคิ้วอย่างไม่ถูกใจ


    เกะกะตาจริง..เธอนึกพลางส่ายหัวขณะเดินเข้าไปในร้านของชำร้านหนึ่งตรงหัวมุม เธอออกมาเดินเล่นข้างนอกเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ ท้ายสุดแล้วมันรังแต่ทำให้ทุกอย่างแย่ลงกว่าเดิมเสียอีก เธอจึงตัดสินใจกลับบ้าน


    นายทหารคนนั้นกลับเข้ามาหลังเธอกับป้าโคเล็ตต์เพิ่งกินอาหารเย็นเสร็จไปไม่นาน แต่ที่แปลกกว่าทุกวันคือเขาอุ้มห่อพัสดุที่มีเชือกฟางสีขาวมัดอยู่ห่อหนึ่งในอ้อมแขนกลับมาด้วย สัญญาณนี้กระตุ้นให้ส่วนลึกของห้วงความคิดเธอสัมผัสถึงอะไรบางอย่างที่ไม่ค่อนไปทางบวกนัก
            " พอดีน้องสาวผมส่งของไปให้ผมที่ฐานทัพน่ะ ขออภัยที่ทำให้คุณต้องรอไปเสียเปล่า "
    ประโยคนั้นราวกับกระแสไฟฟ้าแล่นกระตุ้นโสตประสาทของเธอ ถ้านั่นคือของที่เขาหมายถึง...แล้วพัสดุอีกกล่องในห้องล่ะ..
    ก่อนที่เธอจะได้สืบเสาะไขข้อข้องใจ ป้าโคเล็ตต์ก็ส่งเสียงมาจากห้องครัวเสียซึ่งต่อมามันได้เป็นฉนวนนำไปสู่คำตอบ
            " แล้วกล่องที่อยู่ในห้องนั่งเล่นใช่ของเธอรึเปล่า พ่อหนุ่ม? "
    เขาเดินเลี้ยวอ้อมตัวเธอผ่านเข้าไปในห้อง เขายกกล่องขึ้นพลิกไปมาสำรวจมันอยู่สักพัก
            " ใช่ครับมาดาม นี่ส่งมาจากพ่อแม่ผม พวกท่านคงตั้งใจจะเซอร์ไพรส์ผมเลยส่งไปทางกองกลางให้พวกเด็กๆเอามาส่งตามที่พัก"

            เขาพูดด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดีพร้อมสีหน้าที่บ่งบอกถึงความสุข แต่เฟลิเซียแน่ใจว่าเขาจะสุขอีกต่อไปไม่นานแน่ถ้าได้เห็นสภาพของของข้างใน เมื่อเธอเห็นเขาเริ่มลงมืองัดแงะเทปกับเชือกออกเพื่อแกะกล่อง เธอก็คิดว่าเธอควรจะกลับขึ้นไปบนห้องดีกว่า

    วันนี้ไม่มีเพลงลิลลี มาร์ลีนดังแว่วออกมาจากห้องของทหารคนนั้น


            หนังสือเล่มโปรดถูกวางกองนิ่งอยู่บนเตียงโดยไม่มีทีท่าว่าเฟลิเซียจะหยิบมันขึ้นมาอ่านเลย เธอไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองจะต้องมารู้สึกผิดเรื่องพัสดุนั่นด้วยทั้งๆที่เธอไม่คิดจะใส่ใจอะไรที่เกี่ยวกับนายทหารคนนั้นเลยสักนิด แต่ในหัวของเธอตอนนี้กลับฉายแต่สีหน้าเศร้าสร้อยของเขาซ้ำไปซ้ำมาตั้งแต่ที่เธอบังเอิญแง้มประตูออกไปเห็นเข้า ความรู้สึกปวดหน่วงเกาะติดอยู่ในใจของเธอ ความโกรธและความหงุดหงิดที่สั่งสมกำลังขัดแย้งกับความอึดอัดและความรู้สึกผิดที่ค่อยๆคืบคลานเข้ามา เสียงสุดท้ายที่เธอได้ยินจากภายนอกห้องนอนตลอดช่วงเวลายามค่ำที่เหลือคือเสียงของนายทหารคนนั้นที่กำลังพูดโทรศัพท์คาดคั้นใครสักคนอย่างหัวเสียเรื่องความบกพร่องในการส่งพัสดุและจดหมาย มีเสียงคลิ๊กดังขึ้นในอีกพักใหญ่ต่อมาก่อนเสียงพูดจะเปลี่ยนเป็นเสียงที่ฟังดูเศร้าสร้อยและผิดหวัง ความรู้สึกปวดหนึบแปลกๆนั้นยังคงออกอาการอย่างต่อเนื่องในอกของเฟลิเซีย ความคิดสองฝั่งตีกันวุ่นวายในหัวของเธอทำให้ยากที่จะข่มตาหลับ


            ทำไมเธอจะต้องรู้สึกผิดด้วยนะ..ก็ในเมื่อเธอไม่คิดสนใจใยดีอะไรกับทหารคนนั้นเลย..แต่ย้อนกลับไปแล้ว...เธอก็ไม่ควรทำให้ของๆคนอื่นพังแบบนั้น...แต่เขาก็มีส่วนผิดที่ดันไม่บอกเธอชัดๆแต่แรกนี่นา เธอคิดย้อนเถียงอย่างดื้อดึง
    ค่ำคืนนั้นเป็นค่ำคืนแรกที่ในบ้านเงียบสงัดปราศจากเสียงเพลงขับกล่อมเสียงหวานแสนไพเราะเพลงนั้น


            วันต่อมาเขาไม่ได้อยู่กินอาหารเช้า แต่เฟลิเซียพอจะทันเห็นเขาอยู่ชั่วขณะนึงตอนที่เธอกำลังเช็ดถูตู้วางในห้องนั่งเล่นอยู่โดยมีเสียงดังก๊องแก๊งเป็นระยะออกมาจากในครัว ถึงเธอจะพยายามไม่ให้ความสนใจเพียงใดก็ตาม แต่ใบหน้าของเขาในตอนนี้ก็ยากที่จะละความสนใจ เส้นผมสีคาราเมลที่ปกติเจ้าตัวจะหวีและจัดทรงเสยด้วยน้ำมันจนเรียบแปล้ก่อนจะลงมาข้างล่างวันนี้กลับดูรุ่ยๆ เหมือนว่าเขาเพียงแค่หวีมันเสยขึ้นไปแบบลวกๆเท่านั้น ดวงตาสีมรกตดูหม่นหมองและเซื่องซึมไร้แวว เขายกหมวกขึ้นสวมแล้วเดินลิ่วๆผ่านห้องนั่งเล่นอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันสังเกตเห็นเธอ


    เธอโผล่หน้าชำเลืองมองประตูที่ชายหนุ่มเพิ่งเดินออกไป อาการปวดหนึบตอนนี้ได้เปลี่ยนเป็นก้อนหินหนักถ่วงลงในใจ


            เฟลิเซียไม่เคยรู้สึกแย่กับตัวเองขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต จังหวะนั้นเธอนึกอยากเล่าหรือระบายให้ใครสักคนฟัง ซึ่งคนเดียวที่เธอสามารถรับฟังเธอได้โดยไม่ต้องกังวลถึงความปลอดภัยใดๆก็คือป้าโคเล็ตต์ แต่ก็ต้องตัดใจเพราะรู้ดีว่าป้าจะต้องดุเธอแน่ๆถ้ารู้ว่าเธอเป็นคนทำของๆเขาพัง


            เธอรู้สึกเหมือนมีแมลงน่ารำคาญคอยกวนใจอยู่ตลอดทั้งวัน ไม่ว่าเธอจะไปที่ไหนหรือทำอะไร ภาพในหัวเธอก็มีแต่พัสดุโง่ๆกับสีหน้าเศร้าๆของนายทหารน่ารังเกียจคนนั้นฉายวนซ้ำไปซ้ำมา ทีแรกเธอมีแผนว่าจะออกไปนั่งเขียนไดอารี่อยู่ในสวนอย่างที่ชอบทำเป็นประจำ แต่ตอนนี้แค่ให้เธอมีอารมณ์มากพอจะลากสังขารขึ้นไปบนห้องแล้วหยิบหนังสือสักเล่มขึ้นมาอ่านนี่ก็แทบจะสาหัสสากรรจ์แล้ว


            เสียงหวีดหวิวสูงแหลมดังแว่วลอยขึ้นมาดึงความสนใจอันน้อยของเธอไปจากหนังสือ เมื่อเธอชะเง้อมองลงมาจากหน้าต่างซึ่งเป็นที่มาของเสียงก็เห็นนายทหารสองคนที่ยืนประจำอยู่ตรงถนนกำลังผิวปากใส่หญิงสาวคนหนึ่งที่เพิ่งออกจากร้านขายของชำ ถึงเฟลิเซียจะมองจากหน้าต่าง แต่ก็ยังเห็นอาการหวาดหวั่นของเธอเห็นได้ชัด ท่าทางโอ้อวดของพวกเขาทำให้เฟลิเซียย่นจมูกไม่ชอบใจ


    หึ…พวกคนน่ารังเกียจ เธอคิดขณะมองดูหญิงสาวพยายามหาทางเดินหนีให้พ้นออกจากตรงนั้น ถ้าฝรั่งเศสไม่ได้ตกอยู่ในสถานการณ์อดสูเช่นนี้ล่ะก็ เฟลิเซียสาบานเลยว่าทหารสองคนนั้นต้องถูกสั่งสอนด้วยบทเรียนราคาแพงจากเธอแน่นอน เหมือนกับตอนเธอเป็นเด็กที่ตอนนั้นเด็กข้างบ้านตัวแสบมักจะแกล้งและแหย่เธอเป็นประจำ ขีดโทสะของเธอทะลุปรอทเมื่อวันหนึ่งเขาแอบเอาตุ๊กตาตัวโปรดของเธอไปซ่อนไว้บนต้นไม้ เธอก็เลยจัดแจงแก้เผ็ดด้วยการขโมยรองเท้าของเขามาระหว่างที่เจ้าตัวกำลังเล่นน้ำกับกลุ่มเพื่อนเด็กผู้ชายด้วยกัน เธอเอารองเท้าผู้โชคร้ายไปจุ่มในแอ่งโคลนสดใหม่ก่อนจะขุดดินฝังกลบซ้ำ แน่นอนว่าไม่ใช่ข่าวดีสำหรับเขาเลยที่ต้องเล่นเกมล่าสมบัติต่อทั้งที่ตัวเปียกโชกและเท้าที่เปลือยเปล่าท่ามกลางอาการร้อนจัด หลังจากนั้นเขาก็ไม่กล้ามาลองดีกับเธออีกเลย 

    แต่สำหรับนายทหารน่าสะอิดสะเอียนพวกนี้ต้องได้อะไรมากกว่ารองเท้าเปื้อนขี้โคลนเกรอะกรังแน่นอน นั่นยังถือว่าน้อยเกินไปเมื่อเทียบกับวีรกรรมน่าขยะแขยงที่พวกเขาก่อ


    เสียงโห่ร้องด้วยความคึกคักดังก้องขึ้นมาฉุดดึงความสนใจของเธอไปอีกครั้ง นายทหารสองคนนั้นกำลังผิวปากส่งเสียงเย้วเฮฮาด้วยความสนุกสนานไล่หลังหญิงสาวที่รีบเดินฉับๆเลี้ยวหายไป
            หลังจากนั้นไม่นาน ดูเหมือนายทหารสองคนนั้นจะรู้ตัวแล้วว่ากำลังถูกจ้องมองอยู่เพราะพวกเขาเปลี่ยนเป้าหมายพิกัดเป็นเฟลิเซียแทน นายทหารทั้งคู่แหงนหน้าเงยขึ้นมาสบตากับเธอแล้วพากันยกหมวกขึ้นทักทายพร้อมยกมือทำท่าโปรยจูบส่งให้เธออย่างขี้เล่นเป็นกันเองราวกับหวังว่าจะได้รับรอยยิ้มพิมพ์ใจหรือท่าทางขวยเขินกลับไป แต่อย่าได้หวังเลย เธอสูดจมูกส่งเสียงฮึดฮัดก่อนจะกระชากม่านปิดด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว กระแทกหนังสือที่เพิ่งอ่านไปไม่ถึงหน้าปิดลงเก็บเข้าลิ้นชักโต๊ะพลางกระทืบเท้าปึงปังเดินลงมาชั้นล่าง 


            เมื่อหันไปดูนาฬิกา ใบหน้าของเธอก็เป็นอันบูดบึ้งยิ่งกว่าเดิม ขณะนี้เป็นเวลาบ่ายสองโมงกว่าแล้วที่ป้าโคเล็ตต์เดินทางไปบ้านตระกูลเพอร์แร็งที่อยู่ชานเมืองเพื่อซื้อของจากฟาร์มพวกเขาโดยตรงเพื่อราคาที่ถูกกว่า เป็นกันเองและหลากหลายกว่า เธอดีใจที่เมอร์ซิเออร์ราฟาแอลผู้เป็นเจ้าของนั้นเกลียดพวกทหารเยอรมันเข้ากระดูกดำพอๆกับเธอ...เผลอๆอาจจะมากกว่าเธอจนทะลุเข้าไปถึงไขข้อเลยก็ว่าได้ แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่เธอจะมานั่งชื่นชมเรื่องนั้น เธอกำลังกังวลที่เวลาผ่านเลยครึ่งวันแล้วแต่ป้าโคเล็ตต์ก็ยังไม่กลับมา เธอเข้าใจว่าตอนนี้กว่าจะสามารถเดินทางไปที่ต่างๆเป็นอะไรที่ยากลำบากและน่ารำคาญใจถึงที่สุด ต้องอาศัยความอดทนในการเฟ้นหาหรือรอคอยยานพาหนะเพียงหนึ่งเดียวซึ่งก็คือจักรยานแท็กซี่สำหรับชาวปารีเซียน ลืมรถยนต์สี่ล้อหรือยานพาหนะขับเคลื่อนไฟฟ้าไปได้เลยถ้าคนๆนั้นไม่ใช่พวกคนยโสในเครื่องแบบสีเขียวน่าเกลียด ทั้งหมดทั้งมวลยังไม่รวมเวลาที่ต้องเสียไปกับสารพัดขั้นตอนระบบรักษาความปลอดภัยที่พวกเขาสร้างขึ้นมาราวกับว่าที่นี่เป็นบ้านเกิดของตัวเอง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าป้าโคเล็ตต์คงเสียเวลาไม่ต่ำกว่าชั่วโมงครึ่งไล่ตอบคำถามแสนน่าเบื่อที่พวกนั้นซักไซ้และจัดการทำเรื่องเอกสารอนุมัติเดินทางไร้สาระทั้งหลายกว่าเธอจะเดินทางไปถึงฟาร์มของพวกเพอร์แร็ง อย่างไรก็ตาม...ป้าควรจะกลับมาถึงตั้งแต่ชั่วโมงที่แล้วถ้าไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้น


            ผ้าม่านที่บดบังหน้าต่างห้องนั่งเล่นถูกเลิกออกพร้อมนัยน์ตาสีน้ำผึ้งที่กวาดไล่ไปตามบริเวณมองหา แต่ก็ไร้วี่แววบุคคลที่กล่าวถึง บนทางเท้ายังคงมีร่างในชุดเครื่องแบบสีเขียวยืนเป็นเชื้อโรคร้ายอยู่ตามจุดต่างๆ 


            เธอทิ้งกายลงบนโซฟายาว เอื้อมมือหมุนปุ่มวิทยุเครื่องเก่าบนโต๊ะวางใกล้ๆหาอะไรฟังหวังจะผ่อนคลายให้จิตใจสงบลง ใบหน้าสะสวยนั้นงอเง้าขึ้นเรื่อยๆเมื่อสถานีแต่ละคลื่นที่เธอหาเจอนั้นถ้าไม่ใช่โฆษณาชวนเชื่อก็เป็นข่าวสงครามจากหน่วยกระจายเสียงของฝั่งเยอรมันที่เธอเบื่อแสนทน เธอเลยต้องล้มเลิกความตั้งใจเปลี่ยนมาฟังข่าวแบบคลอเบาๆแทน สถานการณ์ยังตึงเครียดและน่าเป็นห่วงเหมือนเดิม เยอรมันยังคงตรึงกำลังแผ่ขยายอำนาจไปทั่วยุโรปอย่างไม่ลดละ ข่าวคราวความเป็นไปของเชลยสงครามเงียบหาย ไม่มีความหวังและไม่มีเรื่องปิติน่ายินดีใดๆจากฝ่ายสัมพันธมิตร

    เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทำเฟลิเซียสะดุ้งตัว เธอรีบตรงปรี่ไปรับสายเผื่อว่าจะเป็นป้าโคเล็ตต์หรือเป็นเรื่องเหตุด่วนเหตุร้ายอะไร แต่เธอหวังให้เป็นอย่างแรกเถอะ

    มือของเธอสัมผัสกับพื้นผิวพลาสติกเย็นเฉียบเมื่อยกมันขึ้นมา
    " คะ? "
            คิ้วทรงสวยนั้นคลายปมออกทันทีพร้อมกับใบหน้าที่เปลี่ยนไปเป็นแสงสว่างแห่งความสุข เสียงที่ตอบกลับมาคือเสียงที่เธอพะวงใจเป็นห่วงมาตลอด

    " เฟลี ป้าจะโทรมาบอกหนูว่าคืนนี้ป้ากลับบ้านไม่ได้นะจ๊ะ ธุระที่บ้านเพอร์แร็งเสร็จช้ากว่าที่คิดน่ะ ถึงราฟาแอลเขาบอกว่ามีจักรยานให้ใช้ก็เถอะ แต่พอป้าลองคำนวณแล้วดูท่าจะกลับไม่ทันช่วงเคอร์ฟิวแน่ถ้าต้องผ่านด่านตรวจของทหารพวกนั้นที่ยังยืนยันให้ป้าเขียนใบขออนุมัติเดินทางแยกอีกใบสำหรับขากลับ หนักแน่นจริงหนุ่มๆพวกนี้ "

    ทันทีที่ถ้อยคำนั้นแล่นเข้าหู เฟลิเซียก็ถูกแรงโทสะเข้าปกคลุมจนไม่ได้แยกแยะว่าประโยคสุดท้ายนั้นป้าโคเล็ตต์แค่เล่นตลกร้ายหรือพูดประชดในแบบของเธอกันแน่
    " ไม่ยุติธรรมเลย! ก็เรามีใบขาไปแล้วจะเอาอะไรอีก "
            เธอได้ยินเสียงถอนหายใจจากปลายสาย
    " ป้าลองถามพวกเขาแล้ว เขาบอกแค่ว่ามันเป็นระบบมาตรการ "
            ตรงกันข้าม มาตรการเดียวที่เธออยากได้ตอนนี้คือเครื่องบินจากฝ่ายสัมพันธมิตรบินมาทิ้งระเบิดใส่ฐานทัพของพวกนั้นให้สิ้นซาก
    " ว่าแต่ ทำไมป้าไปนานจัง แค่ซื้อของเองไม่ใช่หรือคะ? "

            เธอถามเรื่องคาใจอันดับสองรองลงมา เธอแอบสงสัยอยู่ว่าทำไมป้าโคเล็ตต์ถึงต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมงในการซื้อของ จะบอกว่ารอเมอร์ซิเออร์ราฟาแอลนำไก่อวบอ้วนไปเชือดก็ไม่น่าใช่ หรือรอมาดามมาเรียออกไปเก็บผักสดใบสวยในแปลงก็เป็นไปไม่ได้เพราะสองสามีภรรยาที่มากประสบการณ์ในอาชีพไม่น่าจะใช้เวลานานเท่านี้

    " อืม...เรื่องนั้นเราค่อยคุยกันที่บ้านจะดีกว่านะ "

    เป็นครั้งแรกที่เฟลิเซียไม่นึกอยากเซ้าซี้ถามไถ่อะไรต่อเพราะน้ำเสียงที่ตอบกลับมานั้นแฝงมาด้วยนัยบางอย่างที่เธอสามารถสัมผัสได้อย่างน่าพิศวง เธอเห็นด้วยว่าในสถานการณ์เช่นนี้ เรื่องบางเรื่องควรเก็บไว้พูดแบบปากสู่ปากจะปลอดภัยกว่าพูดตามสายหรืออุปกรณ์สื่อสาร เผื่อกรณีที่มีใครเล่นซนตุกติกกับสัญญาณแอบฟังบทสนทนาของคนอื่น
    " ...ก็ได้ค่ะ...รีบกลับมาเร็วๆนะคะ หนูเป็นห่วง "
             เธอทิ้งท้าย แต่คู่สนทนายังไม่วางหู
    " แล้วอีกเรื่องหนึ่ง...คืนนี้ป้ารบกวนหนูอยู่รอร้อยเอกเขาด้วยนะจ๊ะ เขาบอกเมื่อเช้ามืดว่าเขามีประชุมตอนค่ำ "
            ไฟโทสะของเฟลิเซียถูกเติมเชื้อให้ลุกโหมไหม้ลามยิ่งกว่าเดิม ฟันบนล่างบดขยี้กระทบกระทั่งเสียดกันส่งเสียงดังกึดๆ เธอรู้สึกร้อนรุ่มอลวนอึดอัดทั้งที่สภาพอากาศภายนอกก็ไม่ได้ร้อนอบอ้าว

    " ป้าอยากให้หนูเก็บอารมณ์เฉยๆไว้นะ ตกลงไหม เพราะคืนนี้หนูอยู่กับเขาแค่สองคน เกิดออกฤทธิ์อะไรแล้วเขาเกิดจะลงมือตอบโต้ขึ้นมามันจะอันตรายเอา เข้าใจนะ "
            ปลายสายบอกปนสั่งเมื่อเห็นว่าผู้รับสารไม่ได้พูดอะไรกลับไป ริมฝีปากที่ถูกแต่งแต้มด้วยเฉดสีกุหลาบอ่อนๆเม้มแน่น เธอไม่ต้องการเก็บอารมณ์ที่เป็นเหมือนเตาไฟคุกรุ่นอีกแล้วแม้ดต่วินาทีเดียว โดยเฉพาะกับคนน่ารังเกียจพรรค์นั้น เธออยากทิ้งให้เขานอนคุดคู้อยู่หน้าบ้านจนถึงเช้าให้ตื่นมาพร้อมอาการปวดเนื้อเมื่อยตัวกับชุดเครื่องแบบสกปรกมอมแมมจากคราบดินฝุ่นต่างๆข้างนอกนั่นจนกว่าป้าจะกลับมาเสียจริง น่าเศร้าที่ต้องยอมรับว่าเธอมีปัญหาแน่ถ้าทำเช่นนั้นลงไปจริงๆ
    " จะพยายามแล้วกันค่ะ "
            เธอบ่ายเบี่ยง แต่ป้าโคเล็ตต์รู้จักเธอดีกว่านั้น
    " ป้าถือว่าหนูจะทำอย่างที่ป้ากำกับไว้แล้วกันนะ เจอกัน...สักเวลาของพรุ่งนี้จ้ะ "
            เธอพูดติดตลกปนกึ่งออกคำสั่งก่อนจะวางสายไป


    ยิ่งใกล้เวลาดวงตะวันลับขอบฟ้าเท่าไหร่ อารมณ์โทสะแสนขุ่นเคืองคับค้องใจของเฟลิเซียที่สะสมมาตั้งแต่ยามบ่ายก็รังแต่จะยิ่งเดือดดาลยิ่งขึ้นเท่านั้น นี่มันชักจะไปกันใหญ่เกินกว่าที่เธอจะทนไหวแล้ว นับวันความฮึกเหิมของทหารพวกนี้เริ่มลุกล้ำข้ามเส้นกล้ำกรายเข้ามาเรื่อยๆไม่มีทีท่าว่าจะหยุด พยายามทำให้แน่ใจว่าชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ถูกยึดครองทุกคนเสียเปรียบและถูกกดขี่มากที่สุด

    ในเวลาแบบนี้เธอไม่อยากอยู่คนเดียวเลย บรรยากาศที่เงียบเชียบเกินไปมักจะทำให้ความคิดเธอวุ่นวายฟุ้งกระเจิงไปเรื่อย เธอไม่สามารถหาอะไรฟังหรือดูจากวิทยุกับโทรทัศน์ได้เพราะในยามนี้ที่ฟ้ามืดสนิทนั้นเป็นยามเดียวกับที่สถานีและการกระจายเสียงทั้งหลายต่างก็เงียบเหงาลงไปตามๆกัน ยกเว้นจะมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินหรือแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายเร่งด่วน ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครก็ไม่ปรารถนาจะได้ยิน

    เสียงกรีดร้องผ่าแทรกความเงียบสงัดยามวิกาลภายนอกดังลั่นขึ้นทำเฟลิเซียเผลอหลุดร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ เสียงโวยวายในภาษาเยอรมันและเสียงฝีเท้าหนักๆดังก้องตามมาติดๆประสานผสมกับเสียงกรีดร้องนั้นฟังดูชุลมุนและน่ากลัวในเวลาเดียวกัน เธอค่อยๆแง้มผ้าม่านหน้าต่างออกดู เผยให้เห็นภาพที่เฟลิเซียมั่นใจว่ามันจะฝังลึกติดอยู่ในใจเธอไปตลอดกาลไม่มีวันลืม

    บนทางเท้าฝั่งตรงข้าม หญิงสาวคนหนึ่งผู้เป็นเจ้าของเสียงร้องน่ากลัวนั้นกำลังถูกนายทหารสองคนฉุดกระชากลากถูไปตามทาง เธอดิ้นพล่านพยายามปัดป่ายหนีให้พ้นขณะที่พวกเขาเองก็ตะโกนโหวกเหวกเป็นภาษาเยอรมันเรียกความสนใจให้ชาวปารีเซียนหลายครัวเรือนต้องแอบชะเง้อดูเหตุการณ์ผ่านหน้าต่างบ้านของตนรวมถึงเหล่านายทหารกะกลางคืนที่ยืนประจำอยู่บริเวณนั้นยกเว้นแต่ว่าสายตาที่พวกเขามองเพื่อนร่วมชาติด้วยอาการเรียบเฉยราวกับไม่มี

    ทุกอย่างไร้ผล เธอมีเรี่ยวแรงไม่เพียงพอจะต่อกรขัดขืนนายทหารสองคนที่ได้เปรียบกว่าเธอมากทั้งในด้านจำนวนและพละกำลัง ท้ายที่สุด หญิงสาวผู้น่าสงสารก็ถูกทหารทั้งคู่ลากตัวหายเข้าไปในตรอกซอยเปลี่ยว ทิ้งเสียงกรีดร้องอันน่าเวทนาของเธอให้ค่อยๆแผ่วเบาสลายกลืนกลมไปกับความมืดมิดของถนนบริเวณนั้นราวกับไม่เคยเกิดเหตุอะไรขึ้นมาก่อน


    เฟลิเซียปิดม่านดังเดิมก่อนจะเอนหัวพิงหน้าต่าง ภาพที่เธอเพิ่งเห็นเมื่อเสี้ยววินาทีก่อนนั้นบังคับให้เธอต้องปิดซ่อนนัยน์ตาสีน้ำผึ้งที่ฉายความหวาดผวาไว้กันไม่ให้หยาดน้ำตาไหลรินออกมา
              ทุกอย่างที่เธอต้องการตอนนี้คือป้าโคเล็ตต์กลับบ้านมาโดยเร็วที่สุด ส่วนตาคนน่ารังเกียจนั่นเธอไม่อยากจะเสียเวลาไปนึกถึง บอกตรงๆว่าแค่ชื่อของเขาเธอยังไม่อยากจะพูดออกมาเลย


    เธอกำลังฟุบหน้าอยู่กับโต๊ะเมื่อเสียงเคาะประตูจากฝ่ามือหนักๆดังขึ้น เฟลิเซียเงยหน้าขึ้นมาพลางใช้แขนเสื้อเช็ดคราบน้ำตาที่เคลือบอยู่ออกจากกรอบใบหน้า สุดท้ายเธอก็ไม่พ้นจำต้องปลดปล่อยความอัดอั้นทั้งหมดออกมา เธอยอมรับว่ามันพอจะช่วยให้เธอดีขึ้นได้บ้าง แต่ตอนนี้ข้างในของเธอกลับถูกทดแทนไปด้วยความโหวงเหวงว่างเปล่าเหมือนผลไม้สักลูกที่ถูกคว้านเนื้อชุ่มชื่นรสชาติฉ่ำหวานออกไปหมด เหลือทิ้งไว้เพียงเปลือกนอกโล่งเปล่าไร้ชีวิตชีวา



    เธอยังคงนอนพิงศีรษะที่โต๊ะต่อไป วันนี้เธอเจออะไรมามากเกินพอแล้ว เธอขอเวลาทำใจสักพักหนึ่งก่อนจะต้องวกกลับมากล้ำกลืนฝืนทนเจอกับฝันร้ายอันดับหนึ่งเป็นการส่งท้ายวันแย่ๆ โชคไม่ค่อยเป็นใจให้เธอนัก เพราะเสียงเคาะประตูจากอีกฝ่ายยังคงกึกก้องอย่างต่อเนื่องและเพิ่มระดับความดังมากขึ้นเรื่อยๆ...พระเจ้า...ขอบคุณมากที่ประทานวันแสนเฮงซวยให้เธอตั้งแต่เช้าจรดเย็น..เผลอๆอาจจะลามไปถึงวันพรุ่งนี้ด้วย

    โครม!

            เก้าอี้ผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ถูกโยนเก็บเข้าไปกระแทกขอบโต๊ะอย่างรุนแรงโดยเจ้าของที่อยู่ในอารมณ์ฉุนเฉียว ฝีเท้าเล็กๆแบบสุภาพสตรีก้าวฉึบฉับตึงตังไปตลอดจนเจ้าของร่างมาหยุดอยู่หน้าประตู เฟลิเซียถอนใจออกมาอย่างรุนแรงพลางกระชากประตูเปิดออกเผยให้เห็นร่างสูงยืนค้างอยู่ในท่ายกมือเตรียมจะเคาะประตูอีกชุด เมื่อเห็นประตูเปิด เขาลดมือลงพลางสูดหายใจลึกคล้ายเป็นเชิงสื่อว่า 'ได้เข้าสักที' สีหน้าของเขานอกจากจะดูฉงนสนเท่ห์ที่คนเปิดประตูคือเธอแล้ว ใบหน้าคมนั้นยังมีเค้าโครงของความหงุดหงิดปนไม่พอใจเล็กๆ แต่เจ้าตัวก็ตัดสินใจถูกที่ไม่ได้พร่ำบ่นอะไรออกมาให้ยียวนกวนอารมณ์เธอเล่น เขาพยักหน้าทักทายเหมือนปกติแบบที่ชอบทำก่อนจะถอดหมวกหนีบไว้ใต้วงแขนขณะเดินเข้ามาในบ้าน ใครจะรู้ว่าพอประตูปิดลง ดูเหมือนความสงสัยได้เข้าไปกระตุ้นนายทหารคนนี้เป็นผู้จุดเชื้อเพลิงให้โทสะที่พอจะมอดดับไปบ้างแล้วของเธอกลับมาตั้งต้นคุกรุ่นอีกครั้ง 


    " มาดามยังไม่กลับมาหรอกหรือ? ผมจำได้ว่าเธอออกไปตั้งแต่เช้าแล้วนี่นา "


            เฟลิเซียหยุดกึกเมื่อได้ยินถ้อยคำนั้น มือเรียวข้างที่กำลังจะคว้ากุญแจนั้นกำแน่นเป็นกำปั้นอยู่ภายในกระเป๋าผ้ากันเปื้อนลายเถาดอกไม้ เขาบังอาจมากที่ยังกล้าเอ่ยปากถามเธอเช่นนี้ทั้งๆที่ตัวเขาเองก็รู้คำตอบอยู่เต็มอก แต่ต่อให้เขาไม่รู้จริงๆเธอก็ไม่สนใจหรอก เพราะยังไงพวกเขาก็คือปีศาจเหมือนกันหมดทั้งนั้นแหละ


    ไม่มีคำตอบใดๆเล็ดลอดออกมาจากปากของหญิงสาว เธอล้วงเอากุญแจขึ้นมาล็อกประตู จังหวะสั้นๆนั้นเองที่เศษเสี้ยวความคิดบางอย่างแวบเข้ามาในหัวของเธอ...บางทีนี่อาจเป็นช่วงเวลาประจวบเหมาะที่เธอจะมีโอกาสสั่งสอนเอาคืนเขานิดๆหน่อยๆพอสะใจเล็กๆก็เป็นได้


    เธอหันหลังกลับมาประจันหน้ากับนายทหารที่ยังยืนจ้องมองเธอรอคอยคำตอบที่เขาไม่มีวันจะได้รับซึ่งนั่นเป็นปฏิกิริยาที่เธอหวังเอาไว้เพื่อเขาจะได้เห็นรอยโทสะบนใบหน้าของเธอชัดๆก่อนที่เธอจะจัดการแก้แค้น เธอชักสีหน้าถมึงทึงใส่เขาก่อนจะรีบสาวเท้ากลับมา และเมื่อเดินมาอยู่ใกล้ในระดับเดียวกันกับอีกฝ่าย เธอก็จัดแจงแกล้งเดินผ่านให้ไหล่ของเธอกระทบเข้ากับหัวไหล่ของเขาเข้าอย่างจังก่อนจะผ่านไปปิดไฟดวงหลักของทางเดินที่เหลืออยู่แล้วจ้ำอ้าวผ่านบันไดขึ้นชั้นสองไปโดยไม่คิดจะเหลียวหลังดูปฏิกิริยาของอีกฝ่ายเลยแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว


    ริมฝีปากได้รูปสวยกระตุกเป็นเชิงเย้ยหยันก่อนจะเปลี่ยนเป็นถอนใจออกมาเมื่อระลึกย้อนไปถึงคำพูดของป้าโคเล็ตต์และผลลัพธ์ที่จะตามมาในวันพรุ่งนี้เมื่อเธอได้ทราบวีรกรรมที่หลานสาวได้ก่อไว้


    เรื่องนั้นไว้ค่อยอธิบายทีหลังก็แล้วกัน





    ...................................................................................................................................................................................................................
    **เพิ่มเติม**

    *แฮรร์(Herr) คำนำหน้าผู้ชายในภาษาเยอรมัน มีความหมายเดียวกับนาย หรือมิสเตอร์(Mr.)
    *เฟรา(Frau) คำนำหน้าผู้หญิงที่แต่งงานแล้วในภาษาเยอรมัน มีความหมายเดียวกับนาง หรือมิสซิส(Mrs.)


    ...................................................................................................................................................................................................................

    ถึงผู้อ่านผู้น่ารักทุกคน

            ก่อนอื่นไรต์ต้องขอโทษด้วยที่หายไปนานมากกกกกก นานแบบข้ามปีกันเลยทีเดียว ไรต์ไม่ได้ทิ้งเน้อ แต่พอดีไรต์ดันมาเจอปัญหาที่ผู้เขียนทุกคนไม่อยากจะเจอ...นั่นก็คือพล็อตตันจ้า...ตันชนิดที่ว่ามืดแปดด้านคิดไม่ออกเลยว่าจะให้เรื่องไปยังไงต่อดีด้วยความที่ข้อมูลทุกอย่างต้องเป๊ะต้องถูกเพราะมันย้อนยุคและอิงปวศ. ไรต์เลยหยุดพักไปเพื่อรวบรวมข้อมูลลองทยอยเรียบเรียงปะติดปะต่อเนื้อเรื่องดูใหม่ ซึ่งตอนนี้ก็กลับมาอยู่ในสภาวะโอเคแล้วจ้า แต่ไรต์ไม่รับประกันนะว่าจะไม่หายแวบอย่างนี้อีกเพราะอย่างที่บอกไปว่าแนวนี้มันเขียนยากพอสมควร ข้อมูลทุกอย่างต้องถูก แต่สิ่งหนึ่งที่ไรต์รับประกันแน่นอนก็คือไรต์ไม่ทิ้งเรื่องนี้แน่นอนจ้า(ทิ้งที่ว่านี้หมายถึงไม่เขียนต่อ)ตามที่บอกทุกคนไว้แต่แรกเลยว่าจะให้เรื่องนี้เป็นนิยายเรื่องแรกที่เขียนจบ ก็จะมีแต่ใช้เวลาเขียนนานหน่อยอ่ะเนอะ

    ป.ล.ขอบคุณทุกๆคนที่ยังรอกันอยู่เน้อ

                                                                                                                                                                             ขอบคุณนะคะ
                                                     
                                                                                                                                                                                    De.Ln Pep
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×