คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : markbam baby - 7 -100%-
GOT 7 Fiction
Adorable baby Mark x Bambam
By bpuppyy_
Markbam
Baby 7
แบมแบมมีเรียนพิเศษทุกวันเสาร์ตอนเช้า
มาร์คที่รับหน้าที่เป็นผู้ปกครองของเด็กชายกันต์พิมุกต์จำเป็นต้องตื่นให้เช้ากว่า หากแบมมีเรียนในเวลาเก้าโมง นั่นหมายความว่าไม่เกิน 7.30 ของวันนั้นเขาจะต้องเตรียมตัวพร้อมแล้วเรียบร้อย ซึ่งไม่ใช่ปัญหา มาร์คไม่ได้เป็นคนนอนตื่นสายหรือไม่อยากตื่นเช้าอยู่แล้ว
ถึงวันนี้จะเช้ามากเกินกว่าปกติไปมาก... ก็ตาม
“มึงรีบ ๆ คุย โทรมาเพื่อเงียบใส่กูเหรอ กินยาผิดป้ะแจ๊คสัน”
ต้นเหตุที่ทำให้มาร์ค ต้วนตื่นเร็วกว่าปกติเกือบหนึ่งชั่วโมงนั่นคือเพื่อนผู้สร้าง(ปัญหา) แจ๊คสัน หวังสายตรงมาจากประเทศฮ่องกงและดูเหมือนว่าจะยังจับต้นชนปลายไม่ได้ว่าต้องการพูดอะไร
‘มึงนั่นแหละ กินยาผิดเหรอวะ ได้ข่าวช่วงนี้พูดมาก’ แจ๊คสันย้อน
“อะไรของมึง กูเหมือนเดิม ไอ้แจบอมหรือไอ้เซฮุนไปโม้กับมึงไว้ล่ะ”
‘หน่ะ แถวบ้านกูแบบนี้เรียกร้อนตัว ทำไมต้องว่าเพื่อนล่ะครับพี่มาร์ค เออ กูนึกออกละว่าจะพูดอะไร คือวันนี้มึงช่วยเข้าไปทำธุระที่มหา’ลัยกูให้หน่อย ว่างป้ะวะ ช่วงเช้าหรือบ่ายก็ได้ นะครับพี่มาร์ค ถือว่าน้องแจ๊คขอร้อง’
แจ๊คสัน หวังก็ร้องขอให้เขาช่วยประจำอยู่แล้วจริงไหม... แค่ไปมหา’ลัย ง่ายกว่าเลี้ยงแบมเป็นไหน ๆ อยู่แล้ว
“มึงขอร้องกูประจำ” มาร์คตอบกลับ แล้วก็ได้รับเสียงตะแง้ว ๆ จากผู้ชายนามสกุลหวังว่านี่คือเรื่องสำคัญคอขาดบาดตาย หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากมาร์ค แจ๊คสันก็คงต้องอยู่ในสภาพนักศึกษาเถื่อนตลอดไป
‘นะครับพี่มาร์ค พาน้องแบมไปด้วยนะ มึงอย่าได้ปล่อยแบมทิ้งไว้คนเดียวเป็นอันขาด แต่กูจะไม่ตำหนิติเตียนอะไรมึงหรอกเรื่องน้อง ไอ้โอมันฟ้องกูตลอดแหละว่ามึงใส่ใจแบมดี’
ถ้าใส่ใจดีแล้วทำไมแจ๊คสัน หวังมันถึงได้ใช้คำว่าฟ้องล่ะ
โอเซฮุนใช้การสื่อสารประเภทไหนคุยกับมนุษย์ฮ่องกงอย่างไอ้หวัง มาร์คควรจะไว้ใจในประสิทธิภาพการพูดคุยระหว่างคนสติหลุดทั้งสอง... ใช่หรือว่าไม่
ช่างเถอะ
“แค่แวะเข้าไปยื่นเอกสารที่คณะมึงใช่ไหม”
‘ใช่ค่ะพี่มาร์คของน้องหวัง น่ารักที่สุดในโลกเลยนะคะพี่มาร์คเนี่ย’
ขนลุกทุกครั้ง... ที่แจ๊คสัน หวังเล่นกับเขาแบบนี้
“ได้โปรดเลิกดัดเสียง มีอะไรอีกไหม”
‘จะว่ามีก็มี จะว่าไม่ก็ไม่’ คุณชายหวังแกล้งกวน
“แค่นี้นะ”
‘เฮ้ย ๆ เดี๋ยว ๆ ไอ้มาร์ค! โห รีบตลอดเลยนะมึง มีเว้ย มีข่าวดีจะบอก นี่กูฝากน้องแบมไว้กับมึงเดือนครึ่งแล้วใช่ป่ะ’ คำถามจากแจ๊คสันไม่ต้องการคำตอบ ยังไม่ทันที่มาร์คจะอือออกลับ คนปลายสายก็รีบต่อความทันที ‘ตามกำหนดคืออีกหกสัปดาห์ข้างหน้ากูจะกลับ แต่ให้มึงทายนะ กูจะอยู่ต่อหรือจะไปรับน้องมาจากคอนโดของมึงในเร็ววัน!’
แจ๊คสัน หวัง... จะมารับน้องของมันกลับไป...
“นั่นก็เรื่องของมึง”
ถึงแม้ในใจของมาร์คกำลังคิดว่าเวลา... มันผ่านพ้นไปเร็วมากจริง ๆ
แบมแบมเพิ่งจะมาอยู่ด้วยกันกับเขา... แค่ไม่นานเท่านั้นเอง
‘อั่นแหน่ะ ติดใจน้องกูแล้วอ่ะดิไอ้มาร์ค กูบอกแล้ว น้องกูอ่ะน่ารัก ดูแลดี ๆ นะเว้ย แหม ไอ้เซกับไอ้เจบีรายงานกูตลอดเวลา เฮ้เพื่อน นี่ไม่ได้ขู่นะ...’ น้ำเสียงร่าเริงของแจ๊คสันยังคงดังมาตามสาย ส่วนผู้ชายที่กำลังถูกเพื่อนล้อเลียนว่ากลายเป็นคนติดน้องก็ได้แต่กระแอมแก้เก้อแล้วก็ไม่ยอมพูดอะไรออกมา
โอเซฮุนกับอิมแจบอมเป็นพวกรู้มาก... มากจนเกินไป
‘กูหวงคนนี้มากนะโว้ยบอกไว้ก่อน อยากมาเป็นน้องเขยนี่มันต้อง...’
“แค่นี้นะ”
แล้วบทสนทนาที่มีเพียงแค่แจ๊คสัน หวังที่พูดเป็นบ้าเป็นหลัง(?)อยู่ฝ่ายเดียวก็ถูกตัดจบลงแค่นั้น มันก็จริงอยู่ที่มาร์ครู้ตัวว่าเขาเริ่มจะพูดมากขึ้นในพักหลัง แต่ใช่ว่าจะอยากโต้ตอบกับทุกคนหรือทุกเวลาซะที่ไหน แล้วมันก็จริงอีกที่ว่าเขามักจะยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัวถ้าหากว่าได้พูดถึงเด็กผู้ชายที่อยู่ร่วมคอนโดเดียวกัน...
เหมือนที่เขากำลังรู้สึกว่ามุมปากกำลังยกยิ้มอยู่ในเวลานี้...
*
“พี่มาร์คคคคคคคคคคคค”
เช้าวันเสาร์ของกันต์พิมุกต์เริ่มต้นขึ้นด้วยเสียงเคาะประตูจากพี่ชายร่วมห้องสองสามครั้ง เด็กชายแก้มกลมที่นอนคู้ตัวอยู่ภายใต้ผ้าห่มเริ่มเคลื่อนไหว ก่อนจะค่อย ๆ เปิดตาที่หนักอึ้งขึ้น นอนมึนไปอีกพักหนึ่งแล้วถึงได้สะบัดผ้าห่มอาบน้ำแต่งตัวจนกระทั่งออกมาตะโกนเรียกหาพี่ชาย...
พี่มาร์ค... อาจจะเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในคำติดปากของแบมแบมตอนนี้ไปแล้วก็ได้...ล่ะมั้ง
“ว่าไง” มาร์ควางหนังสือพิมพ์ในมือลงกับโต๊ะ มองนาฬิกาข้อมือแล้วยิ้มบาง ๆ เมื่อเห็นว่าแบมแบมไม่อิดออดกับการออกไปเรียนพิเศษในอาทิตย์นี้
จำได้ดีว่าตอนเริ่มเรียนครั้งแรก... มาร์คต้องแลกกับการยอมให้แบมบี้ (แมวของพี่แทคยอน) มานอนเกลือกกลิ้งแล้วก็วิ่งไล่จับกับแบมแบมทั้งวันทั้งคืน
ใช่เรื่องที่ไหนกัน...
“แบมจะบอกว่าเตรียมตัวเสร็จแล้ว~” แบมแบมว่า หนุ่มน้อยม.ปลายในเสื้อฮู้ดสีสันสดใสและกางเกงขาสั้นยิ่งทำให้ดูเด็กไปมากกว่าเดิม แน่นอน ผ้าก๊อซที่ยังคงถูกติดเอาไว้ที่หัวเข่าก็ยังคงมีอยู่เหมือนเคย ส่วนข้อศอกของเด็กน้อยมีเพียงแค่รอยตกสะเก็ดอยู่เท่านั้น
อนุสรณ์ความซุ่มซ่ามของเด็กชายกันต์พิมุกต์
แล้วถ้าถามว่าใครทำแผลให้ คำตอบมีอยู่ว่าเด็กชายกันต์พิมุกต์ตะโกนเรียก ‘พี่มาร์ค’ ให้เข้าไปช่วยทำแผลปิดผ้าตามหลักอนามัยให้...
แต่ตอนนั้นแบมแต่งตัวเรียบร้อยแล้วนะ! ที่พี่มาร์คยังต้องออกมานั่งอ่านหนังสือพิมพ์รอ เป็นเพราะว่าแบมอยากเปลี่ยนเสื้อกับกางเกงใหม่ต่างหาก...
(หรือที่จริงแบมควรจะบอกว่าตอนแรกแค่ใส่เสื้อกับกางเกงบอลไว้ลวก ๆ ดีนะ เอ้อ ที่จริงแล้วมันไม่ใช่เรื่องสำคัญใช่ไหมครับ อย่าสนใจแบมแบมเลย...)
“ยังเจ็บแผลอยู่ไหม” มาร์คถาม ดวงตาของผู้ปกครองจำเป็นจ้องอยู่ที่ข้อศอก รวมทั้งลดลงมามองที่หัวเข่าของเด็กแก้มกลม “เรียบร้อยดีใช่หรือเปล่า”
“เรียบร้อยแล้วครับผม ไปกันเลยไหม ถึงแบมจะไม่อยากเรียนเท่าไหร่ แต่ไปนั่งหลับหูหลับตาเรียนให้จบสามชั่วโมงไว ๆ ก็ได้เนาะพี่มาร์ค แบมเป็นเด็กดีใช่ม้า”
มาร์คส่ายหน้า ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินตรงเข้ามาหาเด็กน้อยที่ยักคิ้วหลิ่วตาอย่างได้ใจ พักหลังเด็กคนนี้ชักจะทำตัวน่าตีไปกันใหญ่ เรื่องพูดเก่งไม่เท่าไหร่ แต่เป็นนิสัยเอาแต่ใจที่แอบซ่อนเอาไว้... ในความน่ารัก
มาร์คยอมรับว่าทำให้เขา... ยิ่งรู้สึกว่าเด็กคนนี้น่าเอ็นดู
“เด็กดีที่ไหนบอกว่าจะไปหลับในห้องเรียน”
“เด็กดีที่ชื่อแบมแบม!” กันต์พิมุกต์ตอบกลับ ซ้ำยังยิ้มกว้างจนตากลมหยีลงเป็นเสี้ยวอย่างน่ารัก คนมองอดไม่ได้ที่จะแกล้งเคาะหน้าผากของเด็กม.ปลายในข้อหาขี้เล่นเกินพิกัดไปเสียหนึ่งที
ง่ะ พี่มาร์คแกล้งแบม!
“เจ็บน้า”
“ตีนิดเดียว ไม่เจ็บจริง ๆ หรอกใช่ไหม”
“เจ็บจริงต่างหาก บู้ว” คนเด็กกว่ายู่หน้า มือเล็กยกขึ้นลูบหน้าผากป้อย ๆ เป็นการยืนยันว่าการประทุษร้ายเมื่อสักครู่ทำให้รู้สึกเจ็บมากแค่ไหน...
แต่ถ้าหากย้อนเวลากลับไปได้สักสิบวินาทีก่อนหน้านี้... แบมจะไม่แกล้งบอกว่าเจ็บเลยสักนิดเดียว
“เดี๋ยวรักษาให้...”
มาร์ค ต้วนไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังคิดอะไร รู้อีกทีเขาก็กำลังปลอบอีกฝ่ายด้วยการเป่าปากเบา ๆ ไปบนหน้าผากที่เจ้าตัวฟ้องว่าเจ็บจากการถูกเขาแกล้งเข้าให้... รู้สึกผิดเล็ก ๆ ที่แกล้งเขกเด็กคนนี้ด้วยความหมั่นเขี้ยว แต่กลับทำให้เจ้าตัวบ่นออกมา
เป็นคนทำให้แบมต้องเจ็บตัว... ก็ต้องรับผิดชอบ... มาร์คทำถูกต้องแล้วใช่ไหม
“หายเจ็บแล้วนะ...”
ปลายนิ้วที่ไล้แผ่วเบาอยู่บนหน้าผาก... อาจจะทำให้แบมเจ็บเพราะหัวใจเต้นแรงเกินไป... มากกว่าเจ็บเพราะถูกพี่มาร์คแกล้งเคาะหัวนะ...
เหมือนหัวใจเต้นจนจะหลุดออกมาข้างนอกได้อยู่แล้ว...
“ห... หายแล้วครับ...”
ถ้าจะให้บอกตรง ๆ ไปยิ่งกว่านั้น... แบมบอกแล้วว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้ แบมจะไม่แกล้งบอกว่าเจ็บสักนิด ใครจะไปคิดว่าพี่มาร์คจะเล่นแบบนี้...
ไม่ไหว... พี่มาร์คกำลังให้แบมกลายเป็นเด็กที่ชอบคิดไปเองจริง ๆ แล้วน้า
เพราะการที่พี่มาร์คเป่าลมลงบนหน้าผาก... พร้อมกับใช้มือลูบลงเบา ๆ ตรงที่แบมจับอยู่ก่อนหน้า การที่กันต์พิมุกต์ถูกรักษาแบบนี้...
แบมคิดว่าจะทำให้แบมกลายเป็นโรคหัวใจ
หรือบางทีแบมอาจจะกำลังเป็นไข้เข้าแล้วล่ะ ทำไมรู้สึกว่าความร้อนทั้งหมดในร่างกายมันขึ้นมารวมกันอยู่ที่หน้ากันนะ
วันนี้แบมขอลาป่วย ไม่ไปเรียนพิเศษแล้วได้ไหม...
“แบม จะแปดโมงครึ่งแล้วนะ แกล้งยืนเหม่อไม่ได้ยินเสียงพี่ จะได้ไปเรียนช้า ๆ ใช่ไหม”
“เปล่านะ พี่มาร์คอย่าใส่ร้ายยยย”
เพราะพี่มาร์คต่างหากที่ทำให้แบมต้องยืนคิดไปเรื่อยเปื่อยแบบนี้!
จะฟ้องพี่แจ๊คสันกับพี่ชาย แบมแบมไม่ยอมมมมม!
*
-50%-
*
เหตุผลที่มาร์คยังคงนั่งรอแบมอยู่ด้านล่างของอาคารเรียนกวดวิชา... เป็นเพราะว่าช่วงบ่ายของวันเขาจะพาแบมแบมไปมหา’ลัยของตัวปัญหาด้วยกัน
ตัวปัญหาที่มีชื่อสกุลว่าแจ๊คสัน หวัง
มาร์ค ต้วนยังคงดึงดูดความสนใจของใครต่อใครได้อยู่เสมอ ถึงแม้จะสวมใส่เพียงแค่เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงเดฟยีนธรรมดา แต่เมื่อสิ่งเหล่านั้นมารวมกันอยู่บนตัวของมาร์ค ปฏิเสธไม่ได้เลย... ว่าดูดี ไม่ว่าจะเป็นท่าทางยามชายหนุ่มเพ่งสมาธิอยู่กับหนังสือ หรือยามขยับตัวและหยิบเครื่องดื่มขึ้นจิบ มาร์คกำลังถูกสายนับสิบจับจ้องอย่างโจ่งแจ้ง ยังไม่นับอีกหลายคนที่แอบก้ม ๆ เงย ๆ แล้วมองมายังคุณชายสกุลต้วนที่นั่งโดดเด่นอยู่ท่ามกลางบรรดานักเรียนม.ปลาย
สถาบันกวดวิชา... แน่นอนว่าไม่ต่างกับศูนย์กลางของนักเรียนม.ปลาย
ใช่ว่ามาร์คจะไม่รู้ตัว... เขารู้ตัวตลอดเวลาเมื่อมีคนมองมาที่เขา แต่ทุกครั้งก็ทำได้แค่นั่งนิ่ง ๆ แบบนี้ต่อไป จะให้สบตาแล้วแจกยิ้มให้ทุกคนมันก็ไม่เข้าท่าจริงไหม
หลังจากปล่อยตัวเองให้เข้าสู่โลกของวรรณกรรมตะวันตกโดยไม่คิดสนใจใคร สุดท้ายสมาธิทั้งหมดของมาร์ค ต้วนก็ถูกทำลายด้วยเสียงของเครื่องมือสื่อสารที่ซุกซ่อนอยู่ในกระเป๋า แต่มาร์ครู้ดีว่านั่นไม่ใช่เสียงโทรศัพท์ของเขา เพลงการ์ตูนญี่ปุ่นที่ไม่คุ้นหูแบบนี้...
“ฮัลโหล”
‘ไอ้มาร์คเหรอวะ... ทำไมมึงรับโทรศัพท์น้องแบมล่ะ! น้องแบมของพี่หวังหายไปไหน มึงทำอะไรน้องมึงบอกมานะ!’
แจ๊คสัน หวัง... เป็นมนุษย์ที่ไม่เคยคิดจะฟังแล้วยังชอบคิดไปเอง
“อะไรของมึง แบมเรียนพิเศษอยู่ กูเลยเก็บโทรศัพท์น้องเอาไว้ให้” มาร์คอธิบาย พอได้ยินอีกฝ่ายยังหาเรื่องเถียงกลับมา เสียงทุ้มต่ำก็เลยจำเป็นที่จะต้องพูดต่อไป “หรือจะให้น้องมึงนั่งเล่นโทรศัพท์แทนที่จะรับความรู้ไปเต็ม ๆ ล่ะ กูจะได้เดินเอามือถือไปให้แบมตอนนี้เลย อยากคุยกับน้องมากขนาดนั้นไหม...”
‘หวังก็แค่พูดเล่นนิดเดียวอ้ะ ทำไมพี่มาร์คต้องจริงจังดุหวังแบบนี้....’ ชายหนุ่มชาวฮ่องกงแกล้งตัดพ้อ ‘ทีเมื่อก่อนพี่มาร์คไม่เห็นจะเคยพูดว่าหวังยาว ๆ แบบนี้เลยนะ พี่มาร์คชอบเงียบใส่ แต่วันนี้ล่ะทำมาดุ หวังเสียใจนะคะ’
บางครั้ง... นอกจากเป็นคนขี้ตื้อและพกสติมาไม่ครบถ้วนสักเท่าไหร่ แจ๊ค สันหวังยังเป็นคนที่ชอบทำตัวให้เขารู้สึกว่าอยากด่าเพราะความหมั่นไส้... มากเลยจริง ๆ
“มึงโทรหาน้องทำไม กูจะได้บอกน้องให้ ไม่ต้องไร้สาระ”
‘กูคิดถึงแบมเลยอยากคุยเฉย ๆ ลืมไป เมื่อเช้ามึงก็เพิ่งบอกกูนี่หว่าว่าต้องไปส่งแบม’
“นอกจากบ้า... มึงยังความจำสั้นด้วยสินะ”
‘ไอ่ห... เอ้ย ไอ้มาร์ค กูล้อเล่นโว้ย พอดีเมื่อกี้พี่ชายแบมโทรมาหากู บอกว่าจะไปหาแบมในสองสามวันนี้อะ แต่ยังไม่แน่นอนว่าจะเป็นวันไหน ฝากบอกน้องด้วย กูก็มัวแต่รีบจะโทรหา เลยลืมไปว่าน้องเรียนอยู่’
“อืม แค่นี้ใช่ไหม งั้นกูวางแล้วนะ”
‘ไอ้ซั๊ซ มึงนี่ก็ขยันวางหูใส่กูจังเลยล่ะ ไม่คิดอยากจะคุยกับกูบ้างไง๊ ถามกูบ้างสิครับ หวังสบายดีไหม หวังจะกลับเมื่อไหร่ หวังคิดถึงน้องแบมไหม...’
ไม่มีคำถามใด ๆ จากปากของมาร์ค ต้วนให้แจ๊คสัน หวังได้ชื่นใจ...
เพราะสายตรงจากฮ่องกงถูกตัดไปตั้งแต่ประโยคที่แจ๊คสันเริ่มจะเข้าเรื่องคิดถึงน้องชายอย่างแบมแบม...
อย่าถามเหตุผลของมาร์ค เพราะเขาก็ไม่สามารถตอบได้เหมือนกันว่าจะรีบตัดสายของเพื่อนทำไม
ครืด...
ชีวิตของมาร์คคงจะยังหาความสงบสุขไม่ได้ในสองชั่วโมงนี้ เพราะหลังจากที่วางสายจากแจ๊คสันไปได้ไม่ถึงห้านาที วัตถุไฮเทคโนโลยีของชายหนุ่มก็เรียกร้องความสนใจด้วยเสียงสั่นครืดอีกครั้ง
มั่นใจได้ว่ารอบนี้... เป็นสายเข้าจากโทรศัพท์ของเขาเอง
“มีอะไรไอ้เซฮุน”
‘เพื่อนรักเขาทักกันแบบนี้เหรอวะ ใช่สิ๊ กูมันไม่ใช่น้องม.ปลายใส ๆ นี่ จะให้มาพูดเพราะด้วยมันก็คง...’
สายโทรศัพท์จากโอเซฮุน... ถูกกดทิ้งด้วยฝีมือของมาร์ค ต้วนผู้ประหยัดถ้อยคำ(?)ไปแล้ว แต่เครื่องมือสื่อสารที่กำลังจะถูกโยนกลับเข้ากระเป๋าก็เกิดแรงสั่นสะเทือนและแสงสว่างวาบขึ้นมาอีกรอบ...
แต่เปลี่ยนชื่อผู้ติดต่อเข้ามา ซึ่งมาร์ครู้ดีว่ามันไม่ได้ช่วยอะไร
อิมแจบอมมันก็อยู่กับโอเซฮุนนั่นแหละ เชื่อไหมล่ะ
“ถ้ามึงไม่พูดธุระ กูจะวาง...” มาร์ครับดังทางเพื่อนทันทีที่เขารับสาย พักหลังมาเขามักจะถูกเพื่อนทั้งสองคนพูดถึงเรื่องแบมแบมจนแทบจะกลายเป็นว่าเคยชิน แต่เล่นมากไปก็ไม่เข้าท่าจริงไหม
ถึงเขาจะไม่ปฏิเสธ... ว่าเขาเอ็นดูเด็กแก้มป่องๆ เพราะกินจุเกินไป เอ็นดูแล้วก็ชอบ... ในแบบที่ตัวเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน
‘นี่ไงกูกำลังจะพูด ไอ้เชี่ย ไอ้โอแม่งไร้สาระ กระแนะกระแหนมึงจังเนาะ’ แจบอมรีบโบ้ยให้เพื่อนรัก แต่เมื่อยังได้รับคำตอบเป็นความเงียบจากมาร์ค นักศึกษาภาคโยธานามว่าแจบอมก็รีบพูดเรื่องงานต่อทันที ‘ไฟล์งานอาจารย์ยุนที่ต้องส่งวันพุธหน้าอ่ะ ส่วนที่มึงรับผิดชอบ ช่วยเอามาให้พวกกูที’
“เดี๋ยวกูฟอเวิร์ดไปให้ มึงเอาไปปริ้นท์กันเองได้ใช่ป่ะ”
‘ปัญหาระดับชาติมีสองอย่าง’
“ว่า?”
‘หนึ่ง... กูอยู่บ้านไอ้เชี่ยเซและแถวนี้แม่งบ้านนอกมาก ไม่มีที่ปริ้นท์ ให้กูพูดตรง ๆ อย่างหยาบคายเลยนะไอ้มาร์ค บ้านแม่งไม่มีเหี้ยอะไรเลยไอ้สาดดดดดด’
“อีกเรื่องล่ะ”
‘เมื่อสิบนาทีก่อนหน้าที่กูจะโทรหามึง อาจารย์เพิ่งจะเมล์มาบอกไว้ว่า... งานเลื่อนมาส่งวันจันทร์นี้ ขอสบถอย่างหยาบคายอีกที ไอ้สัส ไม่มีเวลาแล้วว้อยยยยยยย’
สรุปง่าย ๆ ... คืออิมแจบอมและโอเซฮุนกำลังบอกให้เขาไปหาที่บ้านของมันใช่ไหม
“ต้องไปถึงกี่โมง กูต้องแวะไปทำธุระให้ไอ้หวังก่อน พวกมึงแม่ง...”
‘เชี้ยหวังกวนมึงอีกละเหรอวะ ฮ่า ๆ แต่พวกกูอ่ะ กี่โมงก็ได้แต่ขอให้เป็นภายในวันนี้นะครับพี่ต้วน งานด่วนจริง ๆ กูรู้ว่ามึงทำเรียบร้อยแล้ว แต่พวกกูเนี้ย ต่อให้มึงมาถึงบ้านไอ้โอสี่ทุ่มวันนี้ พวกกูก็ยังไม่เสร็จหรอก เพราะงั้นมึงไม่ต้องรีบ แต่มึงต้องมานะ มาช่วยกูที’
ยังไม่ทันทีมาร์ค ต้วนจะได้ตอบอะไรกลับไป เสียงแหบห้าวของเพื่อนที่มีนามสกุลว่าโอ และชื่อว่าเซฮุนก็ดังแทรกสอดขึ้นมาด้วยความจงใจ...
‘ให้น้องแบมคนน่ารักมานั่งให้กำลังใจพวกกูด้วยนะ ไอ้มาร์คคคคคคคคค’
“เอากำลังใจจากกูไปก่อนแล้วกันนะ บอกเพื่อนมึงด้วยแจบอม รีบทำ ถ้ากูไปแล้วยังไม่เกินครึ่ง กูจะบอกอาจารย์ยุนว่าพวกมึงคนนึงเอาแต่ไปนั่งเฝ้าร้านขนมหวาน ส่วนอีกคนก็เอาแต่บริหารงานร้านอบายมุข”
แล้วการติดต่อระหว่างเพื่อนรักทั้งสาม... ก็จบลงด้วยฝีมือของมาร์ค ต้วนอีกครั้ง...
มาร์คจะรู้ไหมว่าเพื่อนรักที่อยู่ปลายสายอย่างอิมแจบอมและโอเซฮุนกำลังมองตากันปริบ ๆ ราวกับสงสัยเสียเต็มประดา...
ทำไม... วันนี้ไอ้มาร์คมันพูดเยอะจังวะ
*
“แบมแบม”
เสียงเรียกของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่แบมไม่คุ้นหน้าเท่าไหร่รั้งเด็กหนุ่มเอาไว้ กันต์พิมุกต์ที่เพิ่งจะจบช่วงยากลำบากอย่างการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ได้แต่หันไปทำหน้าตามึนงงใส่เธอด้วยความสงสัย...
ใครง่ะ
“เรียกผมใช่ไหมครับ”
“ถ้านายชื่อแบมแบม เราก็เรียกคนไม่ผิดหรอก...”
“แล้ว...” ควรจะถามยังไงดีล่ะ แบมแบมได้แต่ยืนคิดอยู่อย่างนั้น เขาไม่รู้จริง ๆ ว่าคำถามประเภทไหนที่จะเป็นการรักษาน้ำใจคนที่ไม่รู้จักกันแล้วเข้ามาทักแบบนี้...
ถ้าถามว่า ‘มีธุระอะไรเหรอครับ’ จะดูน่าเกลียดไปไหม
หรือถ้าแบมถามไปว่า ‘เรารู้จักกันใช่ไหมหว่า...’ แบบนั้นจะยิ่งน่าเกลียดเกินไปใช่หรือเปล่า...
เอาไงดี...
“เรา... ไม่สิ ที่จริงแทนตัวเองว่าพี่น่าจะเหมาะกว่า พี่เรียนอยู่ม.ปลายปีสามที่สาธิตม.Y พูดง่าย ๆ ก็รุ่นพี่ของแบมแบมนั่นแหละค่ะ...”
“อ๋อ... เข้าใจแล้วครับผม ถ้าอย่างนั้น... รุ่นพี่มีอะไรให้ผมช่วยหรือว่าอยากให้ผมทำอะไรหรือเปล่าครับ” ที่สุดแล้วแบมแบมก็สามารถหาทางออกให้กับตัวเองได้ เขาไม่ต้องเป็นฝ่ายถาม เพราะคน ๆ นี้อธิบายเสร็จสรรพแล้วว่าเป็นรุ่นพี่ที่มาจากโรงเรียนเดียวกัน
แบมไม่ค่อยคุ้นหน้า... แต่ดูไปดูมาอาจจะคุ้น ๆ ก็ได้ล่ะมั้ง
ขอนึกดูอีกที...
“พี่แค่จะถามว่าน้องแบม... ตอนนี้อยู่คอนโดเดียวกับรุ่นพี่ต้วนใช่ไหมคะ...”
“อ่า... ใช่ครับผม แบมเพิ่งย้ายมาเกาหลี ตอนนี้พี่แบมก็ไม่ว่าง เลยจำเป็นนิดหน่อยที่ต้องรบกวน...”
“น้องแบมก็รู้นี่คะว่าเป็นการรบกวน... ถ้าอย่างนั้นทำไมน้องแบมยังกล้า... ทนอยู่เป็นภาระของรุ่นพี่ล่ะคะ... “
ภาระ...
แต่พี่มาร์คไม่เคยพูดว่าแบมเป็นภาระเลยนะ...
ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ... มันไม่ได้หมายความว่าพี่มาร์คไม่คิดใช่ไหม... ทำไมแบมถึงได้ลืมเรื่องนี้ไปสนิทใจเลยนะ เอาแต่เรียกร้องให้พี่มาร์คตามใจ อยู่กับพี่มาร์คจนกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว...
“คือ...”
“รุ่นพี่ต้วนคงไม่กล้าพูดกับน้องตรง ๆ แบบที่พี่กำลังพูดอยู่ตอนนี้ แต่ที่จริงน้องแบมก็ควรจะพิจารณาได้เองนะคะ... ว่ามันจริงหรือว่าไม่จริง”
แบมเป็นภาระของพี่มาร์ค... ใช่หรือเปล่าครับ
*
มินิคูเปอร์ของมาร์คไม่เคยตกอยู่ในความเงียบสงบจนเข้าขั้นเรียกได้ว่าสงัดเช่นนี้
มีเพียงเสียงของเครื่องปรับอากาศที่ยังคงทำงานตามปกติ แม้แต่เสียงของวิทยุที่มักจะถูกเปิดโดยแบมเสมอก็ยังไม่ได้รับความสนใจ
ผิดสังเกตตั้งแต่เดินลงมาจากห้องเรียน... ทำไมมาร์คจะไม่รู้ว่าแบมแบมกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ตลอดเวลา
“แบม” เสียงเรียกครั้งแรกของมาร์คดูเหมือนจะไม่ได้ผล เด็กน้อยที่ยังคงตกอยู่ในภวังค์ความคิดยังคงเหม่อลอยไปนอกหน้าต่างรถ จนผู้ปกครองจำเป็นต้องเรียกซ้ำอีกครั้ง...
“แบมแบม”
“ค... ครับ...”
“เป็นอะไร” มาร์คถาม น้ำเสียงทอดอ่อนลงด้วยความเป็นห่วง เพราะเขาไม่เคยเห็นแบมนั่งเงียบคิดมากขนาดนี้ ต่อให้มีเรื่องอึดอัดใจมากแค่ไหน แบมแบมที่มาร์คคุ้นเคยก็มักจะพูดเจื้อยแจ้วแล้วก็เต็มไปด้วยความสดใสอยู่เสมอ
แบมที่เอาแต่นั่งเหม่อลอย... กำลังทำให้เขากังวล
“เปล่าครับ”
“หัดเป็นเด็กขี้โกหกแบบนี้ ไม่ดีเลยนะแบมแบม”
มาร์คกดเสียงดุคนแก้มกลมอย่างไม่จริงจัง ทว่าผลที่ได้รับกลับเป็นใบหน้าเคร่งเครียดของกันต์พิมุกต์ด้วยเพราะคิดมาก รวมไปถึงดวงตากลม ๆ ที่มักจะเป็นประกายอยู่เสมอเริ่มมีน้ำสีใสเอ่อขึ้นมาจนน่ากลัวว่าจะร่วงหล่นในอีกไม่กี่อึดใจ
แบมไม่อยากเป็นเด็กไม่ดี... แบมอยากเป็นเด็กดีที่พี่มาร์คจะไม่รู้สึกว่าเป็นภาระ!
“แบม... คนเราอยู่ด้วยกัน มีอะไรก็ต้องบอกกันเข้าใจไหม พี่ไม่อยากให้น้องชายของไอ้แจ๊คสันต้องคิดมาก... เพราะว่ามีพี่เป็นต้นเหตุหรอกนะ”
หรือเพราะแบมเป็นน้องชายของพี่แจ๊คสัน... มันเลยเป็นเหตุผลที่ทำให้พี่มาร์คจำเป็นต้องยอมทำตามใจทุกอย่าง
“ช่างเถอะครับพี่มาร์ค แบมไม่ได้คิดมาก...”
“ถ้าโกหกพี่จะไม่พาไปเที่ยวนะ”
ดูเหมือนว่าเด็กชายแบมแบมตัวน้อยจะลืมเรื่องเคร่งเครียดก่อนหน้าไปแล้ว...
กันต์พิมุกต์ผู้พ่ายแพ้คำว่าไปเที่ยวอย่างสมบูรณ์
“พี่มาร์คจะพาแบมไปเที่ยวไหนนนนนนนนนน” แบมแบมรีบหันหน้าหาสารถีประจำตัวด้วยความดีใจ มือทั้งสองข้างเกาะอยู่ที่แขนของคนขับรถ เขย่าเบา ๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ดวงตาที่ยังคงมีน้ำใสคลออยู่จดจ้องไปยังพี่ชายจำเป็นด้วยความหวัง...
แบมไม่ได้ตาฝาดนะ... แต่อยากให้รุ่นพี่คนนั้นมาเห็นจังเลยเหอะว่าพี่มาร์คไม่ได้ทำท่าทางเบื่อแบมเลยสักนิดอ้ะ พี่มาร์คแอบยิ้มด้วยนะ แบมไม่ได้ขี้โม้ด้วย!
แบมไม่ได้เป็นภาระ... ไม่อยากเป็นภาระจริง ๆ นะ...
แต่แบมอยากไปเที่ยว...
“ให้เวลาจนพี่ขับรถถึงมหา’ลัยS แบมตัดสินใจเอาแล้วกันว่าจะเล่าให้พี่ฟัง... หรือจะยอมไม่ไปเที่ยวด้วยกัน...”
“พี่มาร์คจอดรถปุ๊บแบมจะเล่าทุกอย่างให้ฟังทันทีเลย!”
กันต์พิมุกต์ไม่ได้อยากเที่ยวมากขนาดนั้นนะ...
แหะ ๆ
มินิคูเปอร์ของมาร์ค ต้วนที่กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งเพราะเสียงของแบมแบม ตอนนี้จอดนิ่งสนิทอยู่ที่ลานกว้างหน้าคณะวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัย S เอกสารสำคัญในซองสีน้ำตาลที่วางอยู่บนเบาะด้านหลังถูกส่งจากมาร์คไปยังเด็กชายแก้มกลมที่ยังนั่งจ้อไม่ได้เว้นวรรค...
“ลงไปทำธุระให้พี่ชายแบมก่อน แล้วเดี๋ยวต้องไปบ้านเซฮุน...”
“แบมแบมออนทัวร์จริง ๆ นะครับผม...”
ดูเหมือนว่าเด็กแก้มกลมเกือบจะแกล้งทำเป็นลืมไปแล้วว่าสัญญาอะไรไว้ เดาไม่ผิดว่าแบมแบมจะต้องเปิดประตูรถแล้วรีบจ้ำเข้าไปในตึกของคณะ
แน่นอน... มาร์ครู้ทัน และตอนนี้แบมแบมก็ถูกพี่ชายจำเป็นยืนขวางเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว...
“กันต์พิมุกต์ลืมอะไรไปหรือเปล่าครับ”
“แหะ ๆ” เด็กชายแก้มกลมหัวเราะแห้ง ๆ แสดงให้รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะหลีกเลี่ยงการพูดถึงเรื่องที่ทำให้เกิดบรรยากาศชวนอึดอัดขึ้นอย่างน่ารำคาญใจ
ยอมรับ... ก่อนหน้านี้ที่แบมเอาแต่พูดจนเขาปวดหัว... ทำให้เขารู้สึกรำคาญ...
แต่เขาก็ยอมรับอีกนั่นแหละ... ว่ามันน่าหงุดหงิดมากกว่าเวลาที่แบมไม่ยอมพูดอะไรออกมา...แม้แต่คำเดียว
“มีรุ่นพี่...”
มาร์คเลิกคิ้ว พยักหน้าให้เด็กชายที่เกริ่นขึ้นมาแล้วหยุดไปซะดื้อ ๆ พูดต่อไป
กันต์พิมุกต์จะทำยังไงดีล่ะ... กันต์พิมุกต์กลัวว่าถ้าเกิดพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีกครั้งต่อหน้าพี่มาร์ค แล้วสมมติว่าร้องไห้ออกมาจะทำยังไงดี
แบมแบมไม่อยากเป็นเด็กขี้แง! แต่ว่า...
“อยู่ ๆ ก็เข้ามาถามแบม... ว่าไม่เกรงใจรุ่นพี่ต้วนบ้างเหรอ... ที่มาทำตัวเป็นภาระแบบนี้...”
แบมกำลังจะกลับไปรู้สึกผิดอีกแล้วนะ...
แบมกำลังคิดว่าตัวเอง... เป็นแค่ภาระที่ทำให้พี่มาร์คต้องลำบากไปด้วย...
ทำไม... รู้สึกเหมือนว่าขอบตาแล้วก็ปลายจมูกมันร้อน ๆ ขึ้นมาแบบนี้นะ...
“แล้วแบมคิดว่าไง”
“แบมก็เลยเอามาคิด... ว่าจริง ๆ แล้วแบมก็คงเป็นภาระ...” เด็กชายยังคงพูดต่อไป พร้อม ๆ กับที่พยายามฝืนยิ้มให้กับผู้ปกครองจำเป็นที่ยังคงมีสีหน้านิ่งเฉย...
เหมือนครั้งแรกที่เจอไม่ผิดเลย
ทำไมแบมจะจำไม่ได้...
“ถ้าพี่พูดตรง ๆ ว่าพี่คิดแบบนั้นล่ะ”
พี่มาร์ค... ก็กำลังทำลายความหวังอีกใจหนึ่งของแบม... ที่คิดว่าจะไม่เป็นภาระไงครับ
ใจหนึ่งที่แบมคิดเข้าข้างตัวเองว่าอย่างน้อย... พี่มาร์คก็คงมองเห็นเขาเป็นเหมือนน้องชาย
หนักหนายิ่งกว่าการเคยได้ยินว่าตัวเองเป็นคนอื่น... ก็คงจะหนีไม่พ้นคำว่าภาระของชีวิต
“งั้น... แบมขอโทษนะครับ...”
“ยังพูดไม่จบ ... แค่จะบอกว่าพี่คิด... แต่นั่นมันเรื่องเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน ไม่ใช่วันนี้ ไม่ใช่ตอนนี้...”
เชื่อไหม... แค่เพียงเสี้ยววินาทีที่ได้ยินประโยคเพียงประโยคเดียว... จะทำให้ความรู้สึกและทุก ๆ อย่างเปลี่ยนแปลงไปได้มากขนาดนี้...
เหมือนที่แบมแบมรู้ตัวดีว่ากำลังยิ้ม... ยิ้มทั้ง ๆ ที่น้ำตาจะไหลลงมาเพราะความเสียใจเมื่อไม่กี่นาทีก่อนอยู่แล้ว
“แบมไม่ได้เป็นภาระของพี่มาร์คจริง ๆ ใช่ไหมครับ ถึงแบมจะพูดมาก แล้วก็ยังซุ่มซ่าม แถมยังไม่ได้ตอบแทนอะไรพี่มาร์คเลยสักอย่าง อ่า... แบมกินจุด้วยนะ พี่มาร์คยังต้องเลี้ยงเกือบตลอดเวลา... ที่พูดมาทั้งหมด... พี่มาร์คบอกแบมอีกทีได้ไหมครับว่าไม่ได้เป็นภาระจริง ๆ นะ!”
เพราะถ้าได้คำยืนยันเพียงคำเดียวจากคนสำคัญ...
ต่อให้มีอีกพันคนมาหาว่าแบมเป็นภาระของพี่มาร์ค... แบมก็ไม่เชื่อหรอกครับ!
“อืม ไม่ได้เป็นภาระ...”
เด็กชายกันต์พิมุกต์ยิ้มกว้าง ดวงตากลมหยีลงจนมาร์คอดไม่ได้ที่จะแอบยิ้มตาม แล้วแบมแบมก็ต้องทำคิ้วขมวดด้วยความสงสัยทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘แต่...’ จากผู้ปกครองจำเป็นตามหลังมา...
พร้อม ๆ กับที่แก้มทั้งสองข้างของแบมถูกแกล้งดึงออกด้วยความหมั่นเขี้ยว...
จากฝีมือของผู้ชายที่คนทั้งมหา’ลัยให้คำนิยามไว้ว่า... คนเย็นชา
“แต่ว่าแบมเป็นเด็กอ้วน”
“ม่ายน้า แบมม่ายอ้วนนนนนนน”
คนเย็นชา... ถ้าหากว่าได้เจอกับบางสิ่งบางอย่างที่ละลายความรู้สึกลงมาได้...
ไม่ยากเลยที่จะหลอมละลายและกลายเป็นแสงอุ่น ๆ ให้กับใครบางคน...
เรื่องบางอย่าง... ไม่ต้องมีเหตุผล... ไม่ต้องใช้เวลา...
TBC
พี่มาร์คทำไมเป็นคนพูดมากไปแล้วล่ะคะ ถถถถถถ ถ้าน้องเป็นพี่เจบีกับพี่โอเซ น้องก็คงต้องงงค่ะ พี่แจ๊คเองก็เช่นกัน งานมึนงงต้องมา *งานหลงเด็กก็มา*
ครบหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว เย้! มาเร็วไวเพราะได้กำลังใจดี๊ดี ทั้งในคอมเม้นท์และแท๊กฟิค เรายินดีและดีใจมากเลยนะคะที่หลายคนชอบมากขนาดนี้~~ อยากมาอยู่กับพี่มาร์คกันใหญ่เล้ย 55555 คอนโดพี่มาร์คเต็มแล้วน้า เอาไว้ให้น้องแบมวิ่งเล่นกับแบมบี้เนาะ ฮา~
ขอบคุณทุกคนเช่นเคยค่ะ ทั้งคอมเมนท์ ยอดวิว ยอดเฟบ ทุก ๆ อย่างเลยนะคะ รวมถึงแท๊ก #ฟิคเด็กพี่มาร์ค ที่เราแอบตามอ่านแล้วยิ้มตามอยู่เสมอ ขอบคุณทุกคนที่ชอบค่ะ ดีใจTT
เจอกันตอนต่อไปนะคะ ♥
ความคิดเห็น