คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : My Sassy boy ☆ 03
My Sassy boy ☆ 03
เต๋ากลับไปแล้วในยามสายวันอาทิตย์
สองคืนกับหนึ่งวันเศษ... ยาวนานกว่าที่คชาคาดคิด แต่พอถึงตอนจากกันมันกลับเศร้าแปลกๆ
รถยนต์สีขาวทะเบียน ตค 323 ค่อยๆ แล่นออกไปจากบ้านหลังน้อย เจ้าของบ้านหน้าหวานไม่ได้โบกมือลาหากแต่สายตาก็มองตามไม่ขาด แววตานั้นอ่อนแสงต่างจากยามที่ใครอีกคนอยู่นัก
คชาเดินไปปิดประตูรั้วสีเขียว กลับขึ้นไปบนห้องของตัวเองที่บัดนี้เริ่มมีภาพของคนที่เพิ่งจากไปมาซ้อนทับ
เกมที่นั่งเล่นด้วยกันเมื่อคืนยังถูกวางกองเอาไว้อย่างนั้น... นึกแล้วก็น่าขำ ซื้อเกมมาตั้งนานเพิ่งจะรู้สึกสนุกเอามากๆ ก็เมื่อคืนนี่แหละ ไม่รู้ว่าเพราะมีคนมาเล่นด้วยกันเป็นครั้งแรก หรือเพราะคนคนนั้นเป็นเขาก็ไม่รู้ เล่นเพลินถึงค่ำมืดดึกดื่นจนคุณแม่ชวนให้เต๋านอนค้างที่นี่ต่ออีกคืน
หันมาอีกมุมก็เห็นผ้าเช็ดตัวผืนสีขาวที่เพิ่งถูกใช้ไปได้แค่สองวัน มือเล็กหยิบมาใส่ในตะกร้าผ้าอย่างทะนุถนอม ก่อนที่ขาเรียวจะก้าวมานั่งที่ขอบเตียงตามความเคยชิน
ผ้าห่มสีชมพูผืนเล็กโดดจากเครื่องนอนอื่นๆ ที่เป็นลายการ์ตูนสีเขียวดึงสายตาของคชาไว้ เขาเผลอหยิบมันขึ้นมาดอมดมอย่างไม่ได้ตั้งใจ กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มยังหอมติดจมูก... กลิ่นเดียวกับเมื่อคืน
ใบหน้าหวานร้อนผ่าว ยิ่งคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืนแล้วคชาอยากจะบ้า...
“ตัวเล็ก รู้ไหมเมื่อคืนเรานอนกอดพี่ทั้งคืนเลยนะ”
น้ำเสียงทุ้มของคนข้างๆ ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน ไฟในห้องถูกปิดไปหมดแล้ว จะมีก็แต่แสงไฟจากนอกหน้าต่างที่ลอดผ่านทางรอยต่อผ้าม่านไม่ให้ห้องมืดสนิทเกินไปก็เท่านั้น
คชานอนนิ่ง พี่เต๋าไม่พูดโกหก เขารู้ดี... สมองนึกไปถึงเมื่อเช้าที่เขารู้สึกได้ว่ากอดอะไรบางอย่างอยู่ ..พอปะติดปะต่อเข้าด้วยกันใจก็เต้นระส่ำอยู่ในอก นึกขอบคุณความมืดที่ช่วยซ่อนอากัปกิริยาท่าทางของเขาเอาไว้
“ไม่เห็นจะรู้เลย” เขาตอบเสียงแข็ง... น้ำเสียงที่เอาไว้กลบเกลื่อนความคิดขั้วตรงข้ามในจิตใจ แต่ถึงอย่างนั้นรอยยิ้มขี้เล่นปนกรุ้มกริ่มของร่างสูงก็ลอยเข้ามาในความคิด รอยยิ้มที่บ่งบอกว่ารู้มันเขาไปเสียทุกอย่าง
พี่เต๋าต้องทำหน้าอย่างนั้นอยู่แน่ๆ!
ไม่ทันได้คิดอะไรต่อจากนั้น เขาก็รู้สึกได้ถึงอีกคนที่ขยับประชิดเข้ามาใกล้ขึ้น... ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จนน่ากลัวว่าอีกคนจะได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นรัว ความอบอุ่นทะยานเข้ามาใกล้ คนตัวเล็กกำลังถูกโอบรัดไว้ด้วยสองแขนแกร่งที่กกกอด กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มจากผ้าห่มอีกผืนผสมเจือกับกลิ่นแชมพูเด็กจากเส้นผมของอีกคน ลมหายใจแผ่วเบาที่เป่ารดใบหูพาลเอาร่างเล็กหายใจติดขัดขึ้นมาเสียดื้อๆ
“ชาก็รู้ใช่ไหม...ว่าพี่คิดยังไง” เสียงนุ่มเอ่ยขึ้นอีกครั้งท่ามกลางความเงียบงัน คนตัวเล็กไม่ตอบ หากแต่ส่ายหน้าจนคนที่โอบกอดร่างนั้นไว้รู้สึกได้
ชาจะไปรู้ได้ยังไง... ถ้าพี่เต๋าไม่พูด
“พี่ยังรู้สึกกับตัวเล็กเหมือนเดิมนะ” เสียงทุ้มเอ่ยแผ่วเบาหากแต่ชัดเจนแจ่มชัดในโสตประสาท สมองของเขาขาวโพลนไปกับคำพูดคลุมเครือที่ตีความเข้าข้างตัวเองไปได้กลายๆ คชานอนนิ่งราวกับถูกมนต์สะกดหากแต่ภายในกำลังพุ่งพล่าน รู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อได้รับสัมผัสนุ่มหยุ่นที่ข้างแก้ม…
พี่เต๋าหอมแก้มเขา!
บ้าบ้าบ้า.. บ้าที่สุดเลย
มาขโมยหอมแก้มกันอย่างนี้ได้ไง
คนเขามีพ่อมีแม่นะ ไม่ใช่เด็กใจง่ายที่ไหน
พี่เต๋าบ้า... บ้าบ้าบ้าบ้าบ้าบ้า!!!!!!!!!!!!!!! -///-
คิดแล้วก็อยากจะผละอ้อมกอดอบอุ่นนี่ออกแล้วทุบตีอีกคนให้เจ็บตัว โทษฐานที่ทำเอาคชานอนบ้าอยู่อย่างนี้ แต่มือทั้งสองกลับนิ่งเฉยไม่เชื่อฟัง ซ้ำยังยิ่งอ่อนยวบเมื่อได้ยินเสียงทุ้มที่จ่ออยู่ข้างๆ หูอีกครั้ง
“ฝันดีครับตัวเล็ก”
ก่อนจะฝันดี... คืนนี้ขอนอนให้หลับก่อนเถอะ!!!
มือสองข้างขยี้ผมตัวเองยกใหญ่เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน เหตุการณ์บ้าๆ ที่เขาไม่กล้าพูดถึงมันและก็โชคดีที่พี่เต๋าไม่ได้เอ่ยอะไรเกี่ยวกับมันในตอนเช้า คชาพยายามตั้งสติให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม หันไปหยิบผ้าห่มสีชมพูใส่ลงในตะกร้าผ้าใบเดิมลวกๆ ก่อนจะเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า ล้วงเอาตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลอ่อนออกมาจากมุมที่ซุกเอาไว้ คนตัวเล็กทำหน้ายู่ใส่ บิดหูมันไปมาอย่างหมั่นเขี้ยวราวกับมันเป็นตัวแทนของอีกคนหนึ่ง แต่ทำได้ไม่นานก็จับมันมากกกอดเอาไว้อยู่ดี แถมยังตบท้ายด้วยการจูจุ๊บที่ปากรูปเส้นโค้งของเจ้ากาแฟมันอีกต่างหาก
ก็เจ้ากาแฟไม่ได้ทำอะไรผิดนี่นา...คนที่ให้มาต่างหาก
ขอโทษนะกาแฟที่ให้นอนคน(?)เดียวตั้งสองคืน
มือบางลูบหัวตุ๊กตาในมืออีกครั้งก่อนจะวางมันลงบนเตียงตามเดิม ขาเรียวก้าวกลับไปที่ตะกร้าผ้าใบเดิม หยิบผ้าห่มสีชมพูออกมาใหม่อีกครั้ง ยื่นหน้าไปสูดดมนิดหน่อย แล้วตัดสินใจเปลี่ยนเอาผ้าห่มสีเขียวบนเตียงมาซักแทน
ก็ไม่ได้อยากใช้หรอกนะ แต่ผืนนี้มันหอมกว่าผ้าห่มเบ็นเท็นของคชานี่นา!
- - - - - - - - - - - - - - - - -
ค่ำคืนวันอาทิตย์ผ่านพ้นไป เช้าวันใหม่ของสัปดาห์ก็เวียนมาถึงอีกครั้ง...
ร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสแล็กเข้ารูปพร้อมด้วยรองเท้าหนังหุ้มข้อ ก้าวออกจากลิฟท์โดยทิ้งกลิ่นโคโลญจ์เอาไว้ตามหลังอีกเช่นเคย เขาส่งรอยยิ้มหวานอย่างเปิดเผย เสียงนุ่มเอ่ยทักทายเหล่าเพื่อนรวมงานอย่างเป็นมิตร วันนี้พนักงานหนุ่มรูปหล่อดูจะกระปรี้กระเปร่าสดชื่นเป็นพิเศษ คงเป็นผลพวงมาจากวันเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมานี่เอง
โดยเฉพาะค่ำคืนที่ได้นอนกอดเจ้าตัวเล็ก ซ้ำยังได้หอมแก้มนุ่มนิ่มนั้นอีก…
คิดแล้วก็พาให้คนหน้าหล่อนั่งยิ้มคนเดียวอยู่อย่างนั้น จนเสียงทักทายจากเพื่อนร่วมงานดังขึ้นเรียกสติเขาไว้
“สวัสดีค่ะเต๋า” หญิงสาวผมยาวในชุดเดรสสีส้มสดกล่าวทักทายเช่นเคย เธอส่งยิ้มหวานโปรยปราย ในขณะเดียวกันก็มีท่าทางมั่นใจตามแบบฉบับสาวมั่นคนหนึ่ง
“ดีครับแจน” เต๋ากล่าวทักกลับไป แจนเป็นเออีสาวที่เพิ่งเข้ามาทำงานที่นี่เมื่อเดือนก่อน อายุเท่าๆ กันจึงไม่ต้องมีคำนำหน้าชื่อว่าพี่หรือน้อง และถึงแม้จะอยู่กันคนละแผนก แต่ก็ได้คุยงานกันบ่อยๆ จนเริ่มคุ้นเคยกันบ้างแล้ว
“เต๋า... เอ่อ แจนเบื่ออาหารเที่ยงแถวนี้จัง กินแต่ร้านเดิมๆ... เต๋าพอจะมีไอเดียเกี่ยวกับร้านใหม่ให้แจนได้ไหมคะ?”
“อันที่จริงผมก็ไม่ค่อยชำนาญเท่าไหร่ แต่ตรงฝั่งตรงข้ามในซอย มีร้านอร่อยอยู่ร้านนึง ชื่อ...”
“อย่าเพิ่งบอกเลยดีกว่าค่ะ... แจนขี้ลืม” เธอพูดขัด ยกยิ้มก่อนจะเสริม “เอางี้ ไว้เที่ยงนี้เต๋าพาแจนไปร้านนั้นได้ไหม?”
“อ๋อ.. ได้สิ” เต๋าตอบก่อนจะหันไปสนใจแฟ้มงานที่เพิ่งได้รับจากพนักงานอีกคน ไม่ได้สนใจจะสังเกตแจนที่เดินออกไปพร้อมรอยยิ้มอย่างผู้มีชัย
- - - - - - - - - - - - - - - - -
“เอาแกงส้ม กับไก่ทอดครับ”
คนหน้าหวานเอ่ยสั่งกับป้าเจ้าของร้านข้าวแกงในโรงอาหารคณะ มือเล็กยื่นแบงค์ห้าสิบบาทให้ป้าคนเดิม พลันสายตาก็ไปจดจ้องกับกับข้าวอีกอย่างในตู้
“เพิ่มไข่ตุ๋นด้วยครับ” ลังเลไม่นานก็สั่งมันเพิ่มอีกอย่างจนได้ คชาอมยิ้มพลางรับเงินทอน หยิบช้อนส้อมแล้วไปนั่งกับเพื่อนๆ อีกสามคนที่กำลังลงมือทานอาหารมื้อเที่ยงพลางสนทนากันเรื่อยเปื่อย
“เมื่อไหร่คะแนนมิดเทอมวิชาอ.ตุ๊กจะออกวะ? จะตกมีนไหมเนี่ย” หนุ่มแว่นท่าทางรักเรียนอย่างโปเต้พูดเปรยๆ
“โห ถ้าแกตกมีน ฉันก็คงไม่เหลืออะ” ดิว สาวโคราชเอ่ยด้วยภาษากลางที่ออกจะแปร่งๆ ตามเคย
“ณ จุดนี้ไม่สนคะแนนแล้วว่ะ ได้เท่าไหร่ก็คงไม่ต่างอะไรมากมาย เทอมสุดท้ายแล้วนี่หว่า” เป็นต้น หนุ่มผิวสีที่เอ่ยขึ้นมาบ้าง และดูเหมือนคำว่า เทอมสุดท้าย จะทำให้ทุกคนในโต๊ะรู้สึกใจหายไม่ต่างกัน
เทอมสุดท้ายของชีวิตมหาวิทยาลัย... ไม่น่าเชื่อว่าเวลาจะผ่านไปไวขนาดนี้
“เออ... เทอมสุดท้ายแล้ว ไหนๆ ก็ไหนๆ วันเสาร์นี้เราไปหาอะไรมื้อใหญ่กินกันไหม?” ดิวออกความเห็น “ตอนนี้ยังพอว่างกันอยู่นี่ เดี๋ยวพ้นช่วงนี้ไปก็เจอสอบไฟนอลกับส่งรายงานอีกบาน ไม่ได้ไปกันพอดี”
“ทำไมต้องวันเสาร์อ้ะ.. วันศุกร์ได้ไหม ขี้เกียจออกจากบ้าน” เป็นเสียงเล็กของคชาที่เอ่ยขึ้นบ้าง ก็ตามประสาคนบ้านไกลแถมยังออกจะติดบ้านน่ะนะ
“ก็วันเสาร์มีงานคณะไง ที่จัดรวมกับคณะบริหารแล้วก็สถาปัตย์อะ... ไม่มาหรอ จะจบแล้วนะ” ดิวพูดขึ้น “อีกอย่าง... เผื่อได้เจอหนุ่มสถาปัตย์หล่อๆ” ทำท่าทางเพ้อฝันซะจนคชาอยากจะเอาส้อมจิ้มหน้า
สุดท้ายแล้วดูเหมือนเสียงของคชาจะไร้ซึ่งความหมายอยู่ดี... เพราะดูเหมือนทุกคนจะเห็นดีเห็นงามไปกับสาวโคราชอย่างดิวหมด
“เออ.. สรุปเอาวันเสาร์ละกัน เดี๋ยวไปชวนพวกจอย หลินด้วย” ต้นพูดถึงเพื่อนอีกสองคนที่ไม่ได้นั่งอยู่ด้วยกันตรงนี้
ประเด็นการไปกินจบลงแล้ว หากแต่ประเด็นใหม่ก็แทรกเข้ามาแทนที่อย่างรวดเร็ว
“เออ... ว่าแต่เรียนจบแล้วพวกแกจะไปทำอะไรกันวะ?” เป็นโปเต้ที่ถามขึ้นเรียบๆ อันที่จริงอาจจะไม่ใช่เรื่องซีเรียสมากมายนักถ้าพวกเขาทั้งสี่คนเรียนหมอหรือบัญชี หากแต่ความจริงแล้วทั้งสี่คนเรียนคณะนิเทศนี่สิ!
คณะนิเทศศาสตร์... คณะที่เรียนชิลที่สุด และคนเรียนเยอะที่สุด!
“ฉันว่าอาจจะไปเรียนต่อว่ะ” ต้นพูดขึ้น “อยากไปเมืองนอก... แต่ไม่รู้อะ ดูก่อนว่าจะมีโอกาสไหม”
“อิจฉาคนเก่งภาษาว่ะ” สาวอีสานว่า “ถ้าฉันเก่งอังกฤษคงไปสมัครเป็นแอร์ละ... แต่ไม่ไหวว่ะ สงสัยจะได้เป็นตู้เย็นไปก่อน”
มุกเพลียๆ ของดิวทำเอาทุกคนถึงกับส่ายหน้าอีกเช่นเคย
“แล้วแกอะโปเต้ ถามคนอื่นเขาแล้วตัวเองอยากจะทำอะไร?” ต้นหันไปถามโปเต้ต่อ
“แม่บอกอยากให้บวชว่ะ” หนุ่มแว่นเอ่ย “ก็อาจจะบวชให้แม่ก่อนมั้ง หลังจากนั้นคงไปทำงานที่บริษัทของลุงอะ”
“ดีว่ะ” ดิวเอ่ยชมปนอิจฉานิดๆ “แล้วคชาล่ะ นั่งเงียบเชียว.. จบแล้วจะไปทำอะไร?”
คชาลดระดับสายตา ก้มลงมองไข่ตุ๋นในจานที่ถูกเอาช้อนสับเล่นให้เละไม่เป็นรูป นึกถึงใบหน้าใครอีกคนที่เรียนจบไปแล้ว ใครคนที่เพิ่งทำไข่ตุ๋นแสนอร่อยให้เขาทานเมื่อสองวันก่อน
“คงไปสมัครงานสักที่แหละ...”
ถ้าไปสมัครที่บริษัทพี่เต๋าจะดีไหมนะ?
- - - - - - - - - - - - - - - - -
หลังจากปัญหายุ่งยากในอาทิตย์ก่อนผ่านพ้นไป ดูเหมือนว่าช่วงนี้งานจะค่อนข้างเป็นปกติเสียแล้ว ไม่ได้หามรุ่งหามค่ำเหมือนกับอาทิตย์ก่อน เต๋านึกโล่งอก พลางคิดถึงเจ้าตัวเล็กคนเดิม วันนี้คชาจะให้ไปรับไหมนะ? นิ้วยาวเตรียมพิมพ์ข้อความในโปรแกรม WhatsApp ทว่ายังไม่ทันได้เปิดหน้าจอขึ้นมา เสียงหวานก็เรียกเขาไว้เสียก่อน
“เต๋า... เย็นนี้เต๋าว่างไหมคะ?”
สาวออฟฟิศหน้าสวยเอ่ย เธอไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นแจนคนเดิมที่ให้เต๋าพาไปหาร้านอร่อยทานเมื่อมื้อกลางวัน... แต่โชคร้ายที่ไม่ได้มีแค่เต๋ากับเธอแค่สองคน เพราะยังมีพี่ๆ ในบริษัทอีกครึ่งโหล!
“เอ่อ...” ยังให้คำตอบไม่ได้ ก็คงต้องรอเจ้าตัวเล็กตอบนี่แหละ “ทำไมหรอครับ?”
“พอดีว่าแจนมีตั๋วหนังฟรีอยู่สองใบน่ะค่ะ แต่แจนไม่มีใครไปดูด้วยเลย” เธอยิ้ม กล่าวเชิญชวนหนุ่มออฟฟิศหน้าหล่ออ้อมๆ
“คือผมไม่แน่ใจน่ะครับ คงไม่รับปากดีกว่า...” ก็ขึ้นอยู่กับตัวเล็กนี่นะว่าจะให้ไปรับเมื่อไหร่
“อา.. ไม่ไปจริงๆ หรอคะ?” แจนทำหน้าผิดหวัง ถามดูอีกครั้งเผื่อคนตรงหน้าจะนึกเห็นใจจนเปลี่ยนใจ “ในบริษัทนี้แจนก็ยังไม่ค่อยสนิทกับใครซะด้วย” อ้างเหตุผลมาคะยั้นคะยอหนุ่มหล่อเพิ่ม
“ขอโทษจริงๆ ครับ... แต่เอางี้ไหมครับ เดี๋ยวผมบอกพี่ไทด์ให้... พี่ไทด์ฝ่ายครีเอทีฟ พี่เขาเป็นคนตลกน่ะครับ คุยสนุกด้วย คุณแจนคงจะไม่อึดอัด” เต๋าเอ่ยแนะนำ
หากแต่พนักงานสาวรีบเอ่ยปฏิเสธ “ไม่ดีกว่าค่ะ... พอดีแจนนึกขึ้นได้ว่ามีธุระ ขอบคุณเต๋ามากนะคะ”
“ครับ ไม่เป็นไรครับ” เต๋ายิ้มตอบรับตามมารยาท มองเธอเดินเชิ่ดหน้าจากไป ก่อนจะหันไปสนใจโทรศัพท์มือถือที่เพิ่งสั่นเพราะมีข้อความ
‘เลิกทำงานรึยัง? มารับด้วย’
ถึงข้อความจะห้วนแถมยังดูเป็นคำสั่งสุดแสนเอาแต่ใจ แต่ริมฝีปากหนากลับยกยิ้มขึ้นมาเสียดื้อๆ นิ้วยาวรีบพิมพ์ตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว
‘วันนี้พี่เลิกเร็ว จะรีบไปรับเดี๋ยวนี้ล่ะ รอก่อนนะครับ’
มือเรียวเก็บของใส่กระเป๋าเป้ใบโปรด มองหน้าจอมือถือที่เป็นโปรแกรมแชทอีกครั้ง ก่อนจะส่งข้อความติดกันไปอีกอัน
‘จุ๊บจุ๊บครับตัวเล็ก’
T B C
จุ๊บจุ๊บค่ะคนอ่าน ขอบคุณมากๆ เลย
อย่าลืมคอมเม้นกันน้า อิอิ
ตอนนี้เริ่มมีมารมาผจญแล้ว ฮ่าๆๆ แต่พี่เต๋าคนดีของเรา(ของคชา)น่ารักเสมอ
ความคิดเห็น