ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตะนาวศรี

    ลำดับตอนที่ #76 : ปีกกล้าฟ้าประทาน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 126
      39
      1 ม.ค. 63

    "  ก็ให้ข้านี้ไง ข้าบินได้ แต่ไม่รู้ว่าต้องบินสูงขนาดใหนถึงจะไปถึงก้อนเมฆได้ ข้างบนลมจะแรงแค่ใหนอาจ

    ต้องเสี่ยงท่านต่างดาวทั้งสองไปลองหามาซิ เผื่อข้าจะเอามันขึ้นไปไว้บนก้อนเมฆและทำให้ฝนตกลงมาได้"


    แมงเม่ายักษ์ เสนอตัว


    " ได้ยังไงก็คงต้องเสี่ยงอย่างเจ้าว่าจริงจริง คงต้องอาศัยเจ้าถ้าเจ้าบินได้ เพราะไม่มีทางเลือกอื่น ย้อนไปทาง

    ไต้ไม่ไกลเดินทางไม่ประมาณชั่วโมงมีมวลสารอยู่ทางนั้นข้าจำกลิ่นของมันได้ ตอนที่เดินทางกันขึ้นมา ข้าทั้ง

    สองจะไปรีบนำมันมา ข้าไปล่ะเดี๋ยวสายกว่านี้จะไม่ทันกาล "


    มนุษย์ดาวเดฟโดร์นกล่าว  และทั้งสองก็เร่งออกเดินทางกลับออกไป


    " มาไวไปไวจริงจริง ถ้าพวกเราว่องไวและคล่องแคล่วได้อย่างเขาทั้งสองก็ดีนะสิ พวกต้นไม้ติดเชื้อนี่คงทำ

    อะไรพวกเราไม่ได้ "


    แสงดาว กล่าว


    " ก็พวกเราไม่ใช่พวกต่างดาวนี้นา ความสามารถมีเท่านี้ เพราะเราอยู่โลกมนุษย์ที่ไม่มีภยันตรายมากขนาด

    พวกเขาถึงต้องแข็งเเกร่งอย่างพวกเขา ที่นี้ก็มาลุ้นกันว่าเขาจะไปนำสสารที่ว่านั้นมาได้ใหม และมันจะมา

    ทำให้ฝนตกได้จริงใหมและมาทันกับพวกต้นไม้ติดเชื้อที่จะส่งมาสมทบอีกหรือไม่ "


    อัครชัย กล่าว


    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


    " บัดซบจริง นี้ปิเยเจ้าทั้งสองไปเจอกับพวกประการีหรือ ดีที่ยังรอดกลับมาได้แล้วทำไมพวกปิเยเจ้าถึงต้อง

    ลงไปในน้ำทะเลล่ะ ถึงปิเยข้าไม่ได้บอกไปเจ้าก็น่าจะรู้นะว่าที่แบบนั้นมันไม่เหมาะปิเยบกอย่างพวกเจ้า "


    ปิเยซารียะ กล่าว มันรู้สึกหงุดหงิดที่ ปิเยมัจเจและปิเยโอ๊คคาระไปทำลายพวกของติอากอไม่ได้ผล 

    หนำซ้ำยังต้องหนีหัวซุกหัวซุนกลับมาพร้อมทั้งเสียฝูงปิเยกาฟีระที่ติดเชื้อไปจำนวนมาก


    " ก็พวกปิเยข้าย่ามใจไปนะสิคิดว่า พวกติอากอมันหนีจนไปสุดทางน้ำแล้ว คิดว่ามันจนตรอกที่ใหนได้กลับมีปิ

    เยน้ำเหล่านั้นโผล่ขึ้นมาช่วยปิเยมัน "


    ปิเยมัจเจ กล่าว


    " พวกปิเยประการี มันก็เป็นแบบนี้แหระ พวกปิเยมันแส่ไปทุกเรื่องที่พวกปิเยมันอ้างว่าทำเพื่อคุณธรรม พวก

    ปิเยมันถึงไม่ถูกกับพวกปิเยข้าไง พวกปิเยเจ้าเองก็เถอะทำไมถึงบุ่มบ่ามทำอะไรโดยไม่ระวังตัวไว้มั่ง เอาฝูง

    กาฟีระติดเชื้อไปเผชิญ กับศัตรูทีเดียวทั้งหมด จนไม่เหลืออะไรเลย แบบนี้ ดีนะที่บนบกตอนนี้ไม่มีพวกปิเยที่

    ร้ายกาจแล้ว ไม่งั้นปิเยเจ้าทั้งสองคงกลับมาไม่ถึงปิเยข้าแน่ "


    ปิเยซารียะ กล่าวตำหนิ


    " ที่จริง ปิเยข้าก็สงวนปิเยกาฟีระไว้อยู่เบื้องหลังส่วนหนึ่งนะ แต่ทำไมพวกนั้นมันกลับหายไปได้ มีแต่รอยทาง

    เดินหลบออกไปเป็นทางยาว ที่ปิเยข้าเห็นเพราะมีรอยฝนตกอยู่จึงเห็นรอยที่พวกปิเยมันหนีไปชัดเจน และ

    ปิเยมันไม่สนองต่อคำสั่งปิเยข้าอีกด้วยพากันหายไปหมดเลย ปิเยข้ายังคิดว่า ท่านคงเรืยกตัวพวกปิเยมันกลับ

    มาเลย "


    ปิเยมัจเจกล่าว แก้ตัว


    " ปิเยข้าไม่ได้เรียกตัวมันกลับมา ถ้าปิเยข้าทำเช่นนั้นปิเยข้าจะมาโวยวายกับปิเยเจ้าทำไม การที่มีพวกกาฟีระ

    ถ้าจะไม่สนองตอบต่อคำสั่ง ปิเยข้าและปิเยเจ้าได้นั้น มันต้องเป็นปิเยกาฟีระที่ปลอดเชื้อเท่านั้น และตอนนี้

    ปิเยข้ารู้สึกว่ามีปิเยกาฟีระที่ปลอดเชื้อเพิ่มขึ้นเรื่อยเรื่อย แสดงว่าบางส่วนอาจรู้วิธีล้างพิษแล้ว  แต่คงไม่นาน

    ในที่สุดพวกปิเยมันก็ต้องกลับมาติดเชื้อทั้งหมดอีกครั้ง เอาเถอะถึงปิเยเจ้าจะหลอกปิเยข้าว่ามีบางส่วนของ

    ปิเยกาฟีระหนีไปได้จริงหรือไม่จริงก็ไม่รู้ แต่ในที่สุดไม่นานพวกมันก็จะกลับมาติดเชื้อใหม่หมดอยู่ดี "


    ปิเยน้ำซารียะ กล่าว


    " ปิเยมันไม่เคยที่จะมองผู้อื่นดีเลยนะท่านโอ๊คคาระ ปิเยข้าชักขี้เกียจอธิบายแล้ว ขนาดพวกปิเยเราก็ทำอะไร

    ที่มีประโยชน์กับพวกปิเยมันตั้งเยอะแยะ ใหนจะอาหารที่กำลังลำเลียงมานี่ก็ตั้งมากมายอีก " 


    ปิเยมัจเจบ่นเบาเบา กับปิเยโอ๊คคาระ


    " ปิเยเราสองก็ต้องทนไปก่อน ยังต้องพึ่งปิเยมัน ไว้พวกปิเยมันหมดประโยชน์เมื่อไร ค่อยคิดบัญชีดอกทบต้น

    ไปเลย ปิเยข้าก็หมั่นไส้ปิเยมันเต็มทีแล้วเหมือนกัน "


    ปิเยโอ๊คคาระ ตอบเบาเบาให้ได้ยินกันแค่สองปิเย


    " พวกปิเยเจ้าบ่นอะไรกัน อย่าบอกนะว่ากำลังนินทาปิเยข้า เอาเถอะตอนนี้พวกปิเยเจ้าก็พักผ่อนไปก่อนไว้

    ปิเยเรามีพวกปิเยกาฟีระที่กลับมาติดเชื้อมากกว่านี้อีกหน่อย ปิเยข้าอาจจะให้มันไปช่วยพวกปิเยเจ้าอีก ตอนนี้

    พวกปิเยเรากำลังสบายใจกับอาหารโอชาที่มีอย่างมากมาย ไม่เหมาะกับการใช้ความคิดไปหักล้างพวกปิเย

    ศัตรูของพวกปิเยเจ้า ตอนนี้"


    ปิเยซารียะ กล่าวอย่างรู้ทันและสรุปความ


    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


    " เดฟโดร์นทั้งสองมาแล้ว ร้อนรนมาเลย  ดูรีบกว่าเมื่อตอนไปอีก  "


    กานต์ร้องบอกทุกคน หลังจากที่ใจจรดจ่ออยู่นานหลังจากที่มนุษย์เดฟโดร์นทั้งสองอาสาจะไปนำ

    สารที่จะมาทำให้ฝนตกได้


    " ข้าได้มาแล้ว ลองไปเลยท่านปลวกที่มีปีก "


    มนุษย์ต่างดาวเดฟโดร์นกล่าว และส่งสารที่นำมาให้ด้วยอาการร้อนรน อย่างผิดสังเกต การส่งมอบ

    ให้แมงเม่ายักษ์ดูเหมือนแทบจะโยนสิ่งนั้นให้ด้วยซ้ำ จนแมงเม่ายักษ์ต้องรับสิ่งนั้นมาจนร่างกายเซ

    ถลา แมงเม่ายักษ์รู้สึกขุ่นใจเล็กน้อยกับอาการมนุษย์เดฟโดร์นทั้งสอง โดยไม่เข้าใจเหตุผมว่าทำไม

    มนุษย์ต่างดาวทั้งสองดูเสียมารยาทในการกระทำเช่นนี้  หัวหน้าเดฟโดร์นดูมองออกกับอาการขุ่น

    มัวของแมงเม่ายักษ์ เลยได้กล่าวเหตุผลที่ทำไม เดฟโดร์นทั้งสองจึงทำเช่นนี้


    " พวกมันตามมาแล้วไม่นานคงมาถึงที่นี่่ ตอนไปเอาสารนี้ก็เจอกับพวกมันพอดี ถ้าเราเร่งรีบอย่างรวดเร็วได้

    ทัน หรือว่าการทดลองนี้ได้ผลจริงจนทำให้ฝนตกลงมาได้ อย่างที่ พวกเราเคยทดลองมา พวกเราก็อาจจะ

    รอด "


    " อะไรนะ ท่านต่างดาวทั้งสองไม่มั่นใจหรือว่าสิ่งนี้มันจะทำให้ฝนตกได้ แล้วถ้าฝนมันไม่ตกลงมาล่ะ พวกเราไม่แย่

    หรือ"


    อัครชัย กล่าว


    " ถ้าพวกเราขึ้นไปเอง พวกเราก็อาจจะมั่นใจกว่านี้เพราะพวกเราเคยฝึกมาจนค่อนข้างชำนาญ แต่นี่ไม่มียานที่

    บินสูงเหนือเมฆได้ และลำพังปีกอ่อนบางสองข้างแบบนี้ พวกเราไม่แน่ใจว่าจะไปได้ถึง และสามารถกระจาย

    สารนี้ไปได้ทั่วก้อนเมฆ เป็นทางยาวได้หรือเปล่า และอีกอย่างมันมีเวลาที่จำกัด ท่านปลวกมีปีก นี้ต้องมีเวลา

    ทำได้แค่ครั้งเดียว แม้พวกเราเองที่ว่าทำในครั้งนั้นก็ว่าศึกษาและชำนาญขนาดนี้แล้ว ในสิบครั้งจะสำเร็จแค่

    ครั้งเดียว "


    มนุษย์ดาวเดฟโดร์นอธิบาย


     " ตายล่ะ งั้นเราก็ต้องเอาท่านแมงเม่าไปเสี่ยงนะสิ อย่าลืมในการออกจากรังพวกมีปีกไม่เคยได้บินไปในที่

    ส่วนมาก ส่วนมากพวกเรา ที่เป็นเเมงเม่าเมื่อโดนลมแรงก็จะปีกหลุดในเวลาที่ไม่นาน  และตกลงสู่พื้นดินและ

    ออกหาที่เพื่อสร้างปราการรัง เอาชีวิตผู้ที่จะเป็นความหวังสุดท้ายของพวกปลวกเราไปเสี่ยงแบบนี้ จะดีหรือ"


     ปลวกทหาร เริ่มลังเล


     " เจ้าเป็นห่วงข้าก็ซึ่งน้ำใจแล้วปลวกทหาร แต่เจ้าอย่าลืมสิตอนนี้เรากำลังจะเจอกับอะไร ถ้าข้ารักตัวกลัตาย 

    พวกเราก็จะเจอกับอันตรายทั้งหมด ถามว่าถึงตอนนี้ข้ามั่นใจใหมว่าจะสามารถบินไปถึงก้อนเมฆนั้นได้ข้าก็ไม่

    มั่นใจ  แต่มีข้าตัวเดียวที่บินได้ตอนนี้ และต่อไปพวกเจ้าก็จะมอบหน้าที่แม่ย่านางให้กับข้า จะไม่ให้ข้าเลือก

    หน้าที่นี้ได้อย่างไร ถ้าข้าพิสูจน์ทำได้ในครั้งนี้ มันจะเป็นภารกิจแรกที่ได้รับมอบหมายมาจากแม่ย่านาง ในการ

    ปกป้องพี่น้องลูกของแม่ย่านางเดียวกัน และจะเป็นคุณสมบัติของแม่ยางที่จะมีลูกและปกครองเหล่าปลวกต่อ

    ไป  นึกถึงแม่ย่านางสิพวกเจ้าก็รู้ว่าแม่ย่านางต้องเสียสละขนาดใหน แม้แต่ชีวิตท่านก็ให้พวกเราได้ แล้วถ้า

    พอมีหนทาง แล้วข้าจะนิ่งดูดายได้อย่างไร"


     แมงเม่ายักษ์ กล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว


     " เอาล่ะเราไม่มีเวลามาอาลัยอาวรณ์กันแล้ว เราจะบอกวิธีการใช้สาร เจ้าต้องจำให้ดี เมื่อเจ้าขึ้นไปถึงบนนั้น

    จะลืมไม่ได้  วันนี้ยังถือว่าโชคดีที่บริเวรนี้มีเมฆปกคลุมดีมาก ถ้าเจ้านำสารขึ้นไปถึงข้างบนเหนือเมฆได้ เจ้า

    ต้องคำนวนว่าจะมีเมฆก้อนใดที่ลอยตามลม และน่าจะเคลื่อนผ่านจุดที่พวกเราอยู่นี้ในเวลาทีฝนตก เจ้าต้อง

    ประเมินแรงลม และกระจายสารไปให้ทั่วเมฆก้อนนั้น และจำไว้ถ้ามันได้ผลเกิดปฎิกริยาทำให้ฝนตกได้ 

    อากาศจะแปรปรวนบนก้อนเมฆทันทีเพราะการใช้สารทำให้ฝนตกนี่มันเป็นการเร่งธรรมชาติสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งฟ้า

    ทั้งลมอาจแปรปรวนอย่างเจ้าคาดไม่ถึง เจ้าต้องเร่งออกมาโดยเร็วไม่งั้นอาจเกิดอันตราย "


     มนุษย์ดาวเดฟโดร์นแนะนำวิธิการ 

    ไม่รอช้าแมงเม่ายักษ์ฉวยเอาก้อนสารที่ห่อหุ้มด้วยใบใม้ใบใหญ่ที่ใช้เถาวัลย์รัดไว้อย่างค่อนข้าง

    มิดชิด ทันทีที่ยกขึ้นแมงเม่ายักษ์รู้สึกถึงน้ำหนักของมันทันที ไม่เบาเลย ลำพังปีกที่บางที่มีอยู่รับน้ำ

    หนักตัวเอง ก็ถือว่ารับน้ำหนักมากอยู่แล้วแต่นี่ต้องแบกน้ำหนักที่มากกว่าน้ำหนักตัวไปอีกด้วย แต่

    ด้วยใจที่สู้และคำที่ได้กล่าวไว้จึงไม่มีความลังเล แมงเม่ายักษ์พยุงน้ำหนักบินขึ้นสู่ท้องฟ้าทันที

    พวกที่อยู่ข้างล่าง มองดูก็รู้ว่ามันเป็นการบินขึ้นที่ทุลักทุเลพอสมควร เห็นได้ชัดการส่ายของแมงเม่า

    ยักษ์ขณะบินขึ้นนั้น คงเพราะน้ำหนักที่ต้องแบกไป ต่างลุ้นเอาใจช่วย ทั้งที่ดูแล้วว่าคงยากลำบาก

    มากที่จะบินไปในลักษณะนี้ไปจนถึงข้างบนได้


    " ใจของท่านเด็ดเดี่ยวจริงจริง ไม่อยากคิดเลยถ้าสูงขึ้นไปมากมากแล้วเกิดปีกของท่านเกิดหลุด จะเกิดอะไร

    ขึ้น "


    ปลวกทหาร รำพึงเพราะรู้ว่าปีกของพวกแมงเม่าที่แม่ย่านางส่งออกไปจากรังส่วนใหญ่แล้วไม่ได้

    แข็งแรงและถูกสร้างมาให้พร้อมจะหลุดได้ทุกเมื่อ แต่ก็แปลกใจที่ทฤษฎีนั้นใช้ไม่ได้กับแมงเม่าลูก

    ของแม่ย่านางตนนี้ เพราะเวลานี้ธรรมชาติของปีกแมงเม่าแบบนั้นมันเลยเวลามานานแล้ว หรือปีก

    นั้นคงต้องหลุดไปนานแล้วแต่นี้เขายังใช้ปีกนี้ได้อยู่ แต่จะปลวกทหารมั่นใจว่ามันจะยังแข็งแรงอยู่

    อีกนานใหมนั้น ปลวกทหารก็มั่นใจไม่ได้


     " นี่ถ้าเป็นพวกมนุษย์ เขาจะไม่พูดกันลักษณะแบบนี้นะท่านปลวกทหาร เขาถือว่าพูดเป็นลาง พวกเราต้อง

    มั่นใจสิว่าท่านแมงเม่าต้องทำได้ ดูสิท่านบินไปจนสูงลิบแล้ว  ไม่รู้ว่าท่านบินไปถึงเมฆได้จริง พวกเราจะมอง

    เห็นตัวท่านหรือเปล่า "


     กานต์กล่าว


    " อันนี้ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ตอนที่บินขึ้นไปกับยานมองลงมาอะไรก็เล็กนิดเดียวไปหมด และทัศนียภาพ

    แบบนี้มีหมอกด้วย มีโอกาสที่จะมองไม่เห็นเขามีมากเหมือนกัน แต่ถึงเราเห็นก็คงช่วยอะไรเขาไม่ได้ มาช่วย

    กันเป็นกำลังใจให้เขากันดีกว่า ถ้าเขาทำได้ พวกเราก็รอดด้วย "


     มนุษย์เดฟโดร์น กล่าว 

    แมงเม่ายักษ์รู้สึกว่าแรงลมข้างบนนี้ค่อนข้างแรงกว่าที่เขาประเมินไว้ กลับถือว่าโชคดีที่มีน้ำหนักที่

    เพิ่มมาช่วยให้มีน้ำหนักถ่วงแรงลมไว้ เขาพยายามมองปีกตัวเอง นึกหวั่นอยู่เหมือนกันว่ามันจะหลุด

    เพราะประทะแรงลมที่แรงขนาดนี้ หันกลับไปมองข้างล่างเขาบินขึ้นมาสูงเกินกว่าทุกครั้งที่เคยบิน

    ขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้วตอนนี้ รู้สึกเมื่อยล้าที่ขั้วปีก แต่จุดหมายดูเหมือนตอนนี้น่าจะได้เพียงครึ่งทางได้ 

    และรู้สึกหวั่นที่เมฆจากที่มองข้างล่างดูมันนิ่งนิ่งหรือเคลื่อนที่ช้าช้า แต่เมื่อเข้ามาใกล้รู้สึกได้ว่ามัน

    ปลิวว่อนตามลมแรง และเขาต้องออกแรงทั้งบินขึ้นสูงและต้องบินสวนกับแรงลม ไปทางต้นลมเพื่อ

    ให้ได้บริเวร ก้อนเมฆที่เป็นต้นลม ตามที่มนุษย์ดาวเดฟโดร์นบอก ไม่งั้นถ้าฝนตก ก็จะเลยจุดหมายที่

    ทั้งหมดข้างล่างอยู่ไป และความพยายามของแมงเม่ายักษ์ก็เป็นผลเมื่อได้ฝืนกับลมแรงจนขึ้นมา

    ถึง แต่ก็ต้องแลกกับปลายปีกที่แต่เป็นริ้วทั้งสองข้าง ดูสภาพปีกแล้วตอนนี้แมงเม่ายักษ์คำนวนว่านี่

    คงเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้ใช้ประโยชน์จากปีกที่แข็งเเกร่งนี้นึกขอบคุณแม่ย่านางที่ให้ปีกสองอันนี้ 

    และขอบคุณธรรมชาติที่ไม่ยอมเอาปีกของมันออกไปก่อนเวลาจนถึงขณะนี้


     " ท่านแมงเม่ายักษ์หายเข้าไปในกลีบเมฆแล้ว  ท่านบินถึงจริงจริง ที่นี้เราต้องลุ้นแล้วว่าเขาจะทำสำเร็จ

    หรือไม่  "


     กานต์ผู้สายตาดีที่สุดและคอยจับตาการบินของแมงเม่ายักษ์กล่าวบอกทุกคน  เสียงเหล่าปลวก

    จำนวนมากเฮ ลั่นด้วยความดีใจ มนุษย์เดฟโดร์นตะลึงนึกไม่ถึงว่าพวกปลวกทั้งหลายจะเปล่งเสียง

    เฮกันมาดังลั่นแบบนี้ จะห้ามเขาก็ห้ามไม่ทัน ได้แต่พยายามยกมือทำสัญลักษ์ให้พวกปลวกทั้งหลาย

    หยุดส่งเสียง


     " พวกเราดีใจกันนะท่านเดฟโดร์น แต่ท่านทำไมต้องห้ามด้วย หรือว่าหนวกหูก็ทนเอาหน่อยนะความดีใจนี่

    มันห้ามไม่ได้กันจริงจริง "


     ปลวกทหารกล่าวอย่างอารมณ์ดี


     " ไม่ได้หนวกหูหรอกเสียงแค่นี้ที่ดาวเรา มีเสียงที่ดังกว่านี้อีก แต่ที่ห้ามเพราะเราคิดว่าเสียงพวกท่านมัน

    กำลังส่งเสียงบอกทางเรียกพวกมันมาน่ะสิ "


     มนุษย์ดาวเดฟโดร์นตอบ คำตอบของชาวเดฟโดร์นทำให้ปลวกทหารเงียบกริบ ไม่ต้องบอกว่าสิ่งที่

    ชาวเดฟโดร์นบอกนั้นหมายความว่าอย่างไร ปลวกทหารตะโกนบอกให้บรรดาปลวกหยุดส่งเสียง

    พร้อมแจ้งเหตุผลตามที่ชาวเดฟโดร์นบอก ชาวปลวกยักษ์นับล้านก็เงียบสงบเสียงเลยเหมือนกัน 

    และต่างพร้อมใจกันเพ่งมองไปจุดตีนเขาที่คาดว่าจะมีสิ่ง ที่มนุษย์ดาวเดฟโดร์นบอกว่าจะมีอะไรมา 

    ตามคาดร่างสีดำเป็นพุ่มเคลื่อนตัวเป็นแถวเข้ามาอีกครั้งตามทางที่ทุกคนได้คาดการณ์ไว้


     " นั่นไง เสียงดังนั่นพวกมันได้ยินจริงจริงด้วย ทำไงล่ะที่นี้ "


    ปู่อินทร์กล่าว


     " ข้าขอโทษนะ แทนพวกปลวกเราก้วย พวกเราดีใจเลยทำให้ลืมไป "


     ปลวกทหารแก้ตัวเสียงอ่อย อย่างสำนึกผิด


     " จะทำทำไงล่ะพวกเราก็ต้องรอปาฎิหารอย่างเดียว ถ้าดวงดีแมงเม่ายักษ์ทำสำเร็จพวกเราก็อาจรอด " 


     มนุษย์ดาวเดฟโดร์นกล่าว


     " นี่รู้สึกว่าแดดมันสลดลงนะ มันร่มแล้วด้วย และรู้สึกว่าพวกต้นไม้สีดำนั่นไม่ค่อยได้แสงพวกมันก็เหมือนจะ

    หมดแรงปีนขึ้นมานะ หรือว่าฝนจะตกจริงจริง " 


     กานต์กล่าว เมื่อเห็นสถานการณ์เริ่มไร้แสง


    " ยังฟันธงไม่ได้หรอก นี่ก็แค่เมฆมันบังดวงอาทิตย์เท่านั้น มันไม่ใช่อาการที่ฝนจะตก ดูสิเนี่ยแสงจ้าอีกแล้ว 

    เมฆมันเคลื่อนออกไปแล้ว แมงเม่ายักษ์บินได้ช้าถึงจะบินไปเหนือเมฆได้แต่การปล่อยสารอาจไม่รวดเร็วและ

    สม่ำเสมอเหมือนที่พวกเราเคยปล่อยจากยาน จะทำได้ผลหรือเปล่า ทางทีดีพวกเราต้องหาแผนสำรองไว้

    เถอะว่าพวกที่จะมานี้เราจะหาทางเอาตัวรอดจากพวกมันได้ยังไง จะหลอกล่อให้พวกมันลงไปในน้ำแอ่งนั้น ก้

    ไม่มีช่องที่จะฝ่าพวกมันลงไปได้ มันเลียงหน้ากระดานมาแบบนั้น"


    มนุษย์ดาวเดฟโดร์นกล่าว แต่ยังไม่ทันทีแผนสำรองที่สองยังไม่ทันได้คิดเสียงโหวกเหวกก็ลั่นมาจา

    ทุกทิศ ต่างส่งสัญญาณว่าทุกทิศมีต้นไม้ประหลาดสีดำเข้ามาทุกทาง และทั้งหมดกำลังตกอยู่ใน

    วงล้อมทั้งหุบเขาแล้ว


    " พวกมันจะไม่ให้พวกเรามีทางหนีเลยทีนี้แปลว่าพวกมันต้องมีการวางแผนใหม่ ทำไงดีล่ะท่าน "


    ปลวกทหารถามความเห็น และยังไม่ทันที่ทุกคนจะคิดอะไรได้ออก ในความเงียบขณะต่างใช้ความ

    คิด พลันทุกคนก็สะดุ้งสุดตัว


    " เปรี๊ยง "


    เสียงกัมปนาทแผดลั่นจนพื้นดินสะเทือน พร้อมประกายแสงวาบเป็นทางยาวจากท้องฟ้าลงสู้ดิน


    " ฟ้าผ่า เอ๊ะอาการแบบนี้ หรือแมงเม่ายักษ์จะทำได้ผล "


    มนุษย์ดาวเดฟโดร์นกล่าว คำกล่าวของชาวดาวเดฟโดร์นทำให้ทุกคนแหงนมองขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างมี

    ความหวัง


    " นะนะ นั่น อะไรน่ะเป็นจุดดำดำหมุนควงลงมาจากท้องฟ้า "


    กานต์สะดุดสายตาเข้ากับอะไรสักอย่างหนึ่งเขาร้องบอกทุกคนลั่น


    " นั่นเออ ท่านแมงเม่ายักษ์นี่ หรือว่าฟ้าผ่าเมื่อกี้จะโดนเขา ปลิวมาแบบนั้น เห็นทีจะไม่เอิบ ... "


    อัครชัยไม่กล้าที่จะกล่าวต่อเพราะกลัวทุกคนเสียกำลังใจ


    " เขาอาจจะไม่รอดแน่สูงขนาดนี้และควงลงมาแบบนั้น แปลว่าปีกด้านหนึ่งอาจจะแตกหักหรือหลุดไป แต่ว่า

    ตอนนี้เขายังมีสติอยู่ เขายังจับสสารนั่นไว้ได้แน่น เวลาที่ร่างเขาหมุนยังเห็นสารนั่นเหวี่ยงฟุ้งกระจายขึ้นไปใน

    ท้องฟ้า อยู่ "


    มนุษย์ชาวเดฟโดร์นตั้งข้อสังเกต


    " ลงมาแบบนั้นถึงรอด จากข้างบนก็ต้องเจอพวกนั้นข้างล่างแน่ รู้สึกว่าพวกมันก็เริ่มมองเห็นแล้วนะ ตอนนี้มัน

    หันไปสนใจร่างที่หล่นมาจากท้องฟ้ามากกว่าพวกเราเสียอีก "


    ปู่อินทร์กล่าว และทุกคนก็มองอยู่อย่างใจลุ้นระทึก ร่างแมงเม่ายักษ์ที่ควงสว่านลงมาดูเป็นจุดสนใจ 

    ของต้นไม้ กาฟีระติดเชื้อสีดำยิ่งนัก พวกมันเลิกสนใจพวกของอัครชัยและพวกปลวกยักษ์ไปชั่ว

    ขณะ เมื่อร่างแมงเม่ายักษ์ถูกลมพัดเคลื่อนร่างไปทางใหนพวกมันก็พยายามเคลื่อนร่างตามไป จน

    ร่างแมงเม่ายักษ์ล่วงลงใกล้ถึงพื้นเข้ามาทุกขณะ ในระยะที่ใกล้ทุกคนจึงได้สังเกตุเห็น ปีกข้างหนึ่ง

    ของแมงเม่ายักษ์ ดูไหม้เกรียมและเหลือด้วนอยู่จนเกือบติดโคนปีก อาการแบบนั้นทุกคนสันนิฐาน

    ว่าปีกด้านนั้นคงโดนฟ้าผ้าอย่างที่ มนุษย์ชาวเดฟโดร์นสันนิฐานจริงจริง


    " ปึ๊บ " 


    เสียงกระแทกพื้นอย่างจัง ร่างแมงเม่ายักษ์กระเด้งลอยขึ้นมาเล็กน้อย และสงบนิ่ง แต่แปลกที่เหล่า

    กาฟีระที่ติดเชื้อ กลับไม่กล้าเข้าไปใกล้ร่างแมงเม่ายักษ์ที่ไม่ไหวติงนั้น พวกมันรายล้อมอยู่ห่างห่าง 

    หรือพวกมันแปลกใจ ที่มีอะไรตกลงมาจากท้องฟ้า


    " แปลกทำไมพวกมันไม่กล้า เข้าไปช๊อตเหมือนทุกครั้ง หรือว่าพวกมันกลัวอะไร "


    ปู่อินทร์กล่าว


    " ไม่น่าใช่พวก ปิเยข้าที่ติดเชื้อ จะหมดสิ้นซึ่งความกลัวแล้ว เพราะว่าพวกปิเยมันถูกบังคับมาให้เป็นหรือตาย

    ได้ทั้งนั้นเพื่อทำตามคำสั่ง แต่ก็แปลกที่พวกปิเยมันที่ไม่มีความคิดของตัวเอง กลับไม่กล้าขึ้นมาซะเฉยเฉย"


    ปิเยกาฟีระ สีเขียวแสดงความคิดเห็น


    " กลัวหรือ ข้าพอนึกออกแล้ว พวกเจ้าที่ติดเชื้อกลัวน้ำไง หรือความเย็น พวกมันคงได้รับคำสั่งให้อยู่ไกลไกล

    น้ำไว้ เพราะผู้ที่สั่งมันต้องรู้ว่าน้ำจึดทำให้พิษที่มันสร้างมาถูกล้างได้ ร่างแมงเม่าตอนนี้คงเย็นอยู่มาก ข้าจำ

    ได้ตอนนั้นที่นำสสารที่ทำให้ฝนตกไปกระจายบนก้อนเมฆมันมีปฎิกริยามีความเย็นมากจนร่างกายข้าตอนนั้น

    หนาวยะเยือกจนแทบเเข็ง พวกติดเชื้อคงสัมผัสได้ถึงความเย็นอยู่ จึงไม่กล้าเข้าไปใกล้ "


    มนุษย์ชาวเดฟโดร์นตั้งข้าสังเกต


    " แล้วพวกเราจะทำยังไงดีล่ะ  ถึงตอนนี้ร่างท่านแมงเม่ายักษ์อาจยังเย็นอยู่แต่ ความอบอุ่นของพื้นดินอาจจะ

    ทำให้ความเย็นในร่างเขาคลายลงเรื่อยเรื่อย ข้าไม่อยากให้พวกมันเอาศพของเขาไป ลองคิดซิจะหาวิธีถ่วง

    พวกมันไว้ได้อย่างไร "


    ปลวกทหาร กล่าวอย่างกังวล


    " มันก็ยากอยู่นะ จนถึงแทบเป็นไปไม่ได้เลย ที่พวกเราจะเข้าไปถึงตรงนั้นได้ ตอนนี้พวกเราเองก็เถอะ จะรอด

    ได้หรือเปล่า ไม่ได้เห็นแก่ตัวนะ เขาได้ตายไปแล้ว พวกเราหาวิธีเอาชีวิตตัวเองรอดกันก่อนเถอะดีกว่าไม๊ "


    อัครชัย กล่าว


    " เดี๋ยวก่อน "


    มนุษย์ดาวเดฟโดร์นตัดบทขึ้น เมื่อเห็นทุกคนหันมาสนใจแล้วเขาจึงกล่าวต่อ


    " ไม่รู้จะเรียกว่าเป็นความโชคดีไม๊ในสถานการณ์เช่นนี้ ข้าจับสัญญาณชีพของเขาได้ เขายังไม่ตายแต่

    สัญญาณชีพค่อนข้างอ่อนแปลว่าคงบาดเจ็บหนักอยู่เหมือนกัน ตกสูงขนาดนี้แล้วยังรอดได้ แมงเม่าของท่าน

    อึดน่าดูเลย "


    คำกล่าวของชาวเดฟโดร์นทำให้ทุกคนเริ่มพิจารณา และได้เห็นสิ่งที่ยืนยันคำพูดของชาวเดฟโดร์น 

    ร่างแมงเม่ายักษ์ถ้าดูดีดีแล้ว ร่างนั้นกระเพื่อมเล็กน้อย เพราะยังหายใจอยู่ แต่ทีแรกทุกคนไม่ทัน

    สังเกตุ เพราะร่างนั้นไหวเพียงแผ่วเบามากและทุกคนคิดว่าแมงเม่ายักษ์ไม่น่าจะรอดแล้ว


    " เขาบาดเจ็บยังไม่ตาย ไม่ได้เป็นผลดีกับร่างเขาตอนนี้ เมื่อร่างกายยังมีชีวิตอยู่ความร้อนในร่างกายจะเร่ง

    สลายความเย็นที่จับตัวเขาอยู่ และนั่นจะเร่งเวลาให้พวกติดเชื้อหมดความกลัวได้เร็วขึ้น "


    ชาวดาวเดฟโดร์ ตั้งข้อสังเกตุต่อ จริงอย่างคาดปิเยกาฟีระสีดำที่ติดเชื้อเริ่มตีวงโอบเข้าไปใกล้ร่าง

    แมงเม่ายักษ์ขึ้นเรื่อยเรื่อยแล้ว มันคงสัมผัสได้ถึงความเย็นของร่างกายแมงเม่ายักษ์ที่ลดลงเรื่อย

    เรื่อยแล้ว 

    ดุจปรายสะท้อนใจ  ไม่อยากจะเห็นภาพแบบนี้แล้ว หลายครั้งที่เธอต้องมาเห็นสถานการณ์เช่นนี้ สิ่ง

    ที่ร่วมทุกข์ร่วมทางกันมา ต้องมาเจอจุดจบลักษณะ แบบนี้ แมงเม่ายักษ์จะไม่โชคดีแบบปู่อินทร์แน่ 

    เพราะมองไม่เห็นทางเลย เธอนึกสงสารแมงเม่ายักษ์ขึ้นมาจับใจ เบือนหน้าและเเหงนหน้าหนีมอง

    ขึ้นไปบนท้องฟ้าเพื่อไม่ให้เห็นภาพที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ อรัญเห็นอาการเช่นนั้นก็เข้าใจความรู้สึก

    แฟนสาวดีเขาเองก็ใจเสียเช่นกัน นึกสงสารแมงเม่ายักษ์ที่กำลังบาดเจ็บ และกำลังจะกลายเป็น

    เหยื่อพวกติดเชื้อ เขาเอามือไปตบบ่าดุจปรายเบาเบาเพื่อเป็นการปลอบ อาการที่อรัญแสดงต่อดุจ

    ปรายทำให้เธอหันหน้ากลับมามองเขา เมื่อเห็นหน้าแฟนสาวได้ชัดเขากลับต้องแปลกใจ ใบหน้า

    ของดุจปลายมีคราบน้ำที่ดวงตาของเธอไม่ใช่เรื่องแปลกของคนกำลังเสียใจ แต่ใบหน้าที่ยิ้มแย้ม

    ของเธอน่ะสิ ทำให้อรัญแปลกใจ มันต่างกับคนที่กำลังเสียใจที่จะปั้นหน้าจนออกมายิ้มแย้มแบบนี้ได้


    " เป็นไรหรือปราย พี่ว่าปรายแปลกไปนะ มาดีใจอะไรตอนนี้ เดี๋ยวพวกเขาเห็นจะว่าได้นะ มีอะไรที่น่าดีใจจน

    ออกนอกหน้าแบบนี้ "


    อรัญ กล่าวกึ่งตำหนิ


    " พี่ อรัญ พี่เห็นน้ำที่ตาปรายใหม "


    ดุจปรายถามแฟนหนุ่ม


    " เห็นสิพี่เข้าใจนะว่าปรายเสียใจจนมีน้ำตา แต่หน้าปรายสิตอนนี้ปรายไม่รู้หรอกมันขัดกันกับความเสียใจที่มี

    น้ำตาออกมาของปราย "


    อรัญกล่าวเสียงขุ่น


    " พี่อรัญ แล้วถ้าปรายจะบอกว่าปรายดีใจล่ะ น้ำที่ตาของปรายตอนนี้มันทำให้ปรายดีใจ เพราะน้ำนี้มันไม่ใช่

    น้ำตา พี่ .. ตอนปรายแหงนหน้าขึ้นไป มีเม็ดฝนตกลงมาใส่หน้าปราย "


    คำตอบของดุจปรายทำให้อรัญ ตะลึง และใบหน้าของเขาก็กำลังจะเปลี่ยนไปแบบแฟนสาว เขาถึง

    กับมองบนเมื่อ เมื่อรู้สึกได้ว่าเม็ดฝนมันกำลังหยดลงมาที่หัวของเขาจนรู้สึกได้แล้วตอนนี้


    " ฝนตกแล้ว นี่ทุกคนดูสิ "


    ดุจปรายกล่าวอย่างดีใจ พร้อมชูมือทั้งสองข้างแบบออกรองรับสายฝนนั้น เพื่อเป็นการยืนยันให้ทุก

    คนดู เหมือนฝนเป็นใจช่วยยืนยันคำพูดเธอ สายฝนที่ตอนแรกแค่เปาะแปะก็กลับหนาเม็ดขึ้น ความ

    ตื้นตันใจที่ฝนตกเกิดขึ้นกับทุกคน สายฝนปนน้ำตาของผู้ที่กำลังดีใจแล้วตอนนี้ 


    " พี่หมอฝน..ตกแล้ว "


    แสงดาวกระโดดกอดแฟนหนุ่ม เพราะเธอไม่รู้จะแสดงความดีใจด้วยวิธีใด


    " ถ้าอย่างนั้น ท่านแมงเม่าของเราก็รอดน่ะสิ พวกมันยังไม่ทันทำอะไรเขา "


    ปลวกทหารก็อุทานด้วยความดีใจเช่นกัน คำอุทานของปลวกทหารทำให้ทุกคนเริ่มหันกลับไปมองที่

    ตรงนั้นอีกครั้ง พวกเขาเห็นปิเยกาฟีระเริ่มเคลื่อนใหวระส่ำระสาย ลำตัวสีดำเมื่อคราต้องเม็ดฝน

    ทำให้มีควันประหนึ่งเหมือนกองไฟที่ยังไม่ได้ดับถูกหยดน้ำรดลงไป มันมีทั้งเสียงฉู่ฉี่ และควันพวย

    พุ่งทุกครั้งที่ถูกน้ำฝน และความหนาเม็ดของฝนก็ทำให้พวกมันเปียกปอนกับไปทั่ว สีดำที่อาบผิว

    ของพวกมันอยู่แต่แรก เริ่มหยดย้อยลง และใหลออกจากตัวของพวกมันจนหมดสิ้น และพวกมัน

    ก็ได้ชีวิตเดิมกลับคืนมาหลังจากที่สีดำได้หลุดออกจากตัวไปจนหมดสิ้น พวกมันสั่นร่างกายสะบัด

    ตัวอย่างดีใจ และพวกที่ได้อิสรภาพมาก่อนได้พุ่งเข้าไปหาพวกมัน คนอื่นอื่นมองไม่ออกว่ามัน

    สื่อสารกันว่าอย่างไร แต่ที่แน่แน่พวกมันต้องดีใจกันอย่างแน่นอน เมื่อได้อิสระภาพพวกมันก็ไม่

    สนใจร่างของแมงเม่าอีก จึงเป็นโอกาสให้ทุกคนรวมทั้งฝูงปลวกเร่งเข้าไปหาแมงเม่ายักษ์ที่นอนอยู่


    " เป็นไงบ้างท่าน บาดเจ็บมากใหม ท่านช่วยพวกเราให้รอดแล้ว "


    ปลวกทหารยิงคำถามทันที่ที่เข้าไปถึงตัวแมงเม่ายักษ์และเห็นว่าแมงเม่ายักษ์ลืมตาอยู่


    " แย่ ร่างกายเจ็บระบมไปหมด จำได้ว่าได้ยินเสียงดังมากและปีกได้ขาดไป และร่างหมุนคว้าง และหนาวเย็น

    มาก และมารู้สึกตัวอีกที ก็ตอนเปียกฝนนี่แหละ "


    แมงเม่ายักษ์พยายามอ้าปากตอบ ด้วยน้ำเสียงค่อนข้างแผ่วพร่า ทำให้ผู้พบเห็นรู้สีกสงสารยิ่งนัก


    " อืมดูจากภายนอกแล้ว ปีกของท่านหักนะ แปลกมันต่างจากปีกของปลวกทั่วไปที่มีรอยต่ออยู่ข้างลำตัว แต่

    ของท่านนี่มันเชื่อมต่อกับกระดูกในลำตัวออกมาเลย เหมือนปีกของพวกนก อย่างนี้นี่เองมันถึงไม่หลุดง่าย

    ง่าย และตอนนี้ท่านเหลือปีกข้างเดียว คงบินไม่ได้แล้ว "


    จามิกร นักคีตะวิทยาสาวตั้งข้อสังเกต


    " มันอาจจะเป็นวิวัฒณาการใหม่ของเผ่าพันธ์เราก็เป็นได้ ต่างจากแม่ย่านาง แต่ตอนนี้พาเขาไปพักก่อนเถอะ

    เผื่ออาการบาดเจ็บจะได้ทุเลา "


    ปลวกทหารกล่าวตัดบท แต่แมงเม่ายักษ์ได้กล่าวขึ้นด้วยแสงแหบพร่าเช่นเดิม


    " พวกเจ้ารีบไปเถอะ อย่ามัวเสียเวลา พวกต้นไม้นี่ก็ไม่มีพิษแล้ว และคิดว่าฝนก็น่าจะตกกินรัศมีกว้างมาก

    เหมือนกัน คงไม่มีผู้ติดเชื้ออยู่แถวนี้อีกไกลโอกาสดีดีแบบนี้อย่าได้เสียเวลา "


    " ใช่ถ้าเป็นอันนี้ข้าก็เห็นด้วย "


    ปลวกทหาร กล่าวเสริม


    " จะดีเหรอ ท่านปลวกทหาร นี่แมงเม่าพวกของท่านกำลังเจ็บหนักอยู่นะ ท่านจะทิ้งเข้าไว้ที่นี่ หรือพาเขาไป

    ด้วยทั้งบาดเจ็บขนาดนี้ไม่ดีด้วยแน่ พวกเรา "


    ปู่อินทร์กล่าวเขามีความเห็นแย้ง 


    " พวกท่านไม่ต้องห่วงหรอกอาการบาดเจ็บของพวกเราสามารถรักษาให้หายได้ ถ้าเรามีปราการรังที่อยู่ใน

    อุณภูมิ อบอุ่นและได้แร่ธาติจากดินทีมีสารประสานร่างกาย ส่วนเรื่องที่ท่านบอกว่าข้าจะทิ้งเขาไว้งั้นหรือ พวก

    เจ้าปรามาศวิสัยของข้าเกินไป ท่านแมงเม่าบาดเจ็บขนาดนี้ ยังคิดว่าข้าจะทิ้งเขาลงคอหรือ ข้าตัดสินใจแล้ว 

    พวกเราจะอยู่ที่นี่ คงไม่ร่วมเดินทางไปกับพวกมนุษย์อย่างท่านแล้ว สิ่งที่เป็นจุดหมายพวกเรามันก็ได้สิ้นไป

    แล้ว  พวกท่านคงไม่คิดว่าชาวปลวกเราเห็นแก่ตัวหรอกนะ พวกเราขออยู่ที่นี่ และที่นี่จะเป็นปราการรังแห่ง

    ใหม่ของเรา "


    ปลวกทหารกล่าวชี้แจง


    " ฮื่อ ไม่เลย พวกเราคงไม่คิดแบบนั้นแน่ นี่แมงเม่าของท่านก็ช่วยชีวิตพวกเราไว้นะ แล้วเขาก็เจ็บขนาดนี้ ถ้า

    ชวนพวกท่านไปด้วยขณะที่พวกท่านกำลังเจ็บขนาดนี้ ต่างหากที่พวกเราไม่สมควรทำ "


    อัครชัยแก้ตัวพัลวัล กลัวพวกปลวกยักษ์เข้าใจผิด


    " ถ้าอย่างนั้นขอให้พวกท่านโชคดีนะ ขอให้พวกท่านผ่านอุปสรรคไปได้และกลับไปโลกมนุษย์สำเร็จ ส่วน

    พวกข้า ก็จะรีบสร้างอาณาจักรปลวกแห่งใหม่ที่นี่ เพราะมีชีวิตอยู่กันได้อีกไม่นาน ต้องรักษาตัวท่านแมงเม่า

    เพื่อให้หายกลับมาเป็นแม่ย่านางรุ่นต่อไป เพื่อเผ่าพันธ์เราจะไม่ได้สูญพันธ์ที่นี่  "


    ปลวกทหารกล่าว 

    เมื่อร่ำลากันเสร็จเรียบร้อย มนุษย์และชาวเดฟโดร์นทั้งสองหมดก็ออกเดินทางทันที ต่างเล่าเรื่องที่

    พบเจอระหว่างทางที่ผ่านมาให้ปู่อินทร์ฟังกันเป็นการใหญ่ ต่างดีใจที่ได้ปู่อินทร์กลับมาอีกครั้งและ

    ยังได้ต่างดาวทั้งสองกลับมาเป็นมิตรกันอีกด้วย


    " ที่โล่งโล่งแบบนี้ คิดว่าน่าจะมีอันตรายใหม ถ้ามีเราคงหาที่หลบยากหน่อย "


    อัครชัยประเมินสถานการณ์หลังจากที่ออกเดินทางห่างออกมาจากจุดที่แยกกับปลวกยักษ์ หนทาง

    ข้างหน้ารู้สึกว่าหนทางที่เดินเริ่มเข้าสู่พื้นที่โล่งไม่รกชัฎดูเหมือนน่าจะผิดสังเกตุชอบกล


    " ไม่เป็นไรหรอก ตรงนี้ข้ากับสองเดฟโดร์นเคยผ่านไปตอนไปหาพวกเจ้า ไม่มีอะไรน่ากลัว เราจะไม่น่าจะเจอ

    อะไรที่เป็นอันตรายจนกว่าจะไปถึงที่อยู่ของพวกไอซ์โดร์นอยู่ "


    ปู่อินทร์กล่าว


    " คงเป็นเพราะดินคงไม่มีธาตุอาหารที่สมบูรณ์ แน่เลย หรือไม่ก็ไม่มีน้ำในดินเพียงพอ ต้นไม้มันจึงดูหลอม

    แหลมไป ไม่น่ามึอะไรหรอก พี่หมอ "


    จามิกรกล่าวเสริ่มปู่อินทร์ทำให้ อัครชัยดูสบายใจขึ้น 


    " น่าจะเป็นเพราะดินไม่สมบูรณ์นั้นแหระ คงไม่เกี่ยวกับน้ำหรอกจา เนี่ยมันเป็นเส้นทางของลำห้วยนะ พี่

    สังเกตุ ว่าฝนที่ตกตรงที่เราอยู่นั้นมันใหลมาทางนี้ทางที่เราเดินกันมา ดูสิเนี่ยคราบสีดำที่หลุดออกจากตัว

    ต้นไม้พวกนั้นมันยังปนมากับน้ำเลย "


    กานต์ตั้งข้อสังเกตุ 


    " คงใช่ที่โลกเราก็มีดินดีหรือไม่ดีแต่ละที่แตกต่างกันไป ที่ใหนดินดีที่นั่นก็จะมีต้นไม้เจริญเติบโต ถึงมึน้ำ

    สมบูรณ์ก็เถอะคงเหมือนตรงนี้  "


    จามิกรกล่าว เธอเริ่มคล้อยตาม


    " เฮ้ดูตรงนี้สิ น้ำใหลมาและลงไปในพื้นด้วย มีรูหรือช่องโปร่งทำให้น้ำซึมลงไปได้เนี่ยคราบสีดำมันมาสุดอยู่

    ตรงนี้และน้ำที่ใหลมาก็หายไปทั้งหมด "


    ปู่อินซึ่งนำหน้าร้องบอกทุกคน


    " น้ำมันหายไปที่นี่คงใหลลงไปเป็นตาน้ำไต้ดินไปโผล่ที่ใหนซักแห่งแหระ ไม่แปลกหรอกน้ำที่ใหลหายไป

    ไม่ใช่หน้าฝนแบบนี้มันก็จะซึมลงไปในดินเรื่อยเรื่อยจนมาหมดตรงนี้ "


    จามิกรอธิบาย


    " อืมมันก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งแหระ ที่บอกก็ไม่ได้แปลกใจอะไรหรอก เพียงแต่ว่าถ้าเราจะหาน้ำกินกันคง

    ต้องไปหาเอาข้างหน้าเพราะตรงนี้น้ำได้ใหลลงดินไปหมดแล้ว "


    ปู่อินทร์ กล่าว


    " ฮื่อ ยังไงก็ไม่กล้ากินน้ำตรงนี้หรอกปู่ มันยังเป็นพิษอยู่หรือเปล่าหรอกยังสีดำอยู่เลย "


    จามิกรกล่าว พร้อมย่นคอ


    " มีสิ น้ำนี่ยังมีพิษเจือปนอยู่มาก ดีแล้วล่ะที่มันใหลลงไปไต้ดิน "


    มนุษย์ดาวเดฟโดร์นกล่าว เขาพูดจริงเพราะสายตาเขามองเห็นสิ่งพิษที่ปนเปื้อนมากับน้ำได้


    "  ที่นี่เราก็จะไม่ได้ต้องห่วงอะไรแล้ว เพราะพิษมันได้ไหลลงดินไปหมดแล้ว เราก็คงเดินทางได้ตามสบาย "


    ปูอินทร์กล่าว พร้อมทั้งหันหน้าออกเดินนำทางต่อ แต่พอขยับตัวออกเดินอีกครั้งคราวนี้เท้าข้างที่

    ก้าวของเขากับจมพรวดไปในพื้นดินที่ชุ่มไปด้วยน้ำจนเป็นโคลน ด้วยความไม่ระวังตัวและคิดไม่ถึง

    ร่างกายปู่อินทร์จมลงอย่างเสียหลัก ไวเท่าความคิดอัครชัยและกานต์ฉวยคว้าแขนทั้งสองข้างของปู่

    อินทร์ไว้ก่อนที่ร่างกายเขาจะจมลึกไปกว่านี้ ทั้งสองพยายามดึงร่างของปู่อินทร์ขึ้น


    " ไม่ขึ้นเราสองคนออกแรงเต็มที่แล้วทำไมดึงไม่ขึ้น "


    อัครชัยกล่าวอย่างแปลกใจ เดฟโดร์นทั้งสองรู้สึกได้ว่าอัครชัยไม่ได้พูดเล่น ทั้งสองรู้สึกได้ถึงแรง

    ดูดของดินที่มีความผิดปรกติ ลำพังปู่อินทร์รูปร่างเพียงเท่านี้ถึงจะจมไปในดินดูดก็ไม่น่าจะดูดแรง

    ขนาดหนุ่มร่างกำยำทั้งสองช่วยดึงขึ้นมาไม่ได้ เดฟโดร์นทั้งสองจึงเข้าช่วยดึงปู่อินทร์ที่บริเวรลำตัว

    อีก ทั้งสี่ร่างมีกำลังในการดึงมากขึ้น โดยเฉพาะเดฟโดร์นทั้งสองซึ่งมีพลังมากกว่ามนุษย์ทั่วไป

    หลายเท่า ไม่นานร่างปู่อินทร์ก็ถูกพยุงดึงขึ้นมาจากดินดูดได้ และขึ้นมาแผ่หราอยู่บนพื้นพร้อมทั้ง

    คลำแขนตัวเองป้อยป้อยด้วยความเจ็บที่แขนถูกดึงอย่างแรงเพื่อให้พ้นดินดูดจากที่ทั้งสี่ช่วยกัน


    " ดินที่นี่ดูดแรงจัง นี่ถ้ามาคนเดียวคงโดนมันดูดจมไปแน่ใช่ใหมปู่ "


    ดุจปรายกล่าว พร้อมทั้งเข้ามาช่วยบีบนวดแขนของปู่อินทร์อีกแรงให้เลือดลมดีขึ้น


    " โอ้ยเจ็บแขน ที่ดูดนี่  ข้ารู้สึกว่า เอิบ ม.มันไม่ใช่ดินหรอก ไต้ดินไม่รู้มีอะไรมันมีแรงมาก และก็มันก็พยายาม

    รัดและดึงขาของข้าลงไปในดินให้ได้ มีตัวอะไรไต้ดินแน่แน่  "


    คำตอบของปู่อินทร์ที่กล่าวกับดุจปราย ทำให้ทุกคนตกตะลึง 



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×