ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตะนาวศรี

    ลำดับตอนที่ #75 : ฟ้าถอดสี

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 117
      37
      28 ต.ค. 62

    " ท่านเดรฟโดร์น ต้นแถวของพวกมันน่าจะไปสุดอยู่บนเนินเขาลูกนี้นะ ข้างบนคงจะมีพวกมันเต็มไปหมด จะรู้ได้ยังไง

    ว่ามีมนุษย์อยู่บนนั้นอย่างพวกเราสงสัยหรือเปล่า "


    ปู่อินทร์ กล่าวอย่างแผ่วเบาเกรงเสียงที่ดังจะทำให้สิ่งที่พวกเขามองอยู่ได้ยิน  ปู่อินทร์และเดฟโดร์นทั้งสอง

    ออกเดินทางจากที่อยู่เดิมที่เป็นถ้ำของพวกไอซ์โดร์นตามแนวทางคู่ขนานของพวกปิเยกาฟีระที่ติดเชื้อ 

    เพราะพวกเดฟโดร์นได้รับกลิ่นมนุษย์ติดตัวไปกับซากปลวกยักษ์ที่ถูกพวกปิเยกาฟีระขนเอาไป ทำให้ปู่

    อินทร์อยากรู้ต้องชวนให้เดฟโดร์นทั้งสองล่องขึ้นมาตามหาต้นทางของกลิ่นมนุษย์ที่คาดว่าน่าจะมีอยู่ และ

    เมื่อมาถึงบริเวรนี้ ทั้งสามจึงแอบซุ่มดูอยู่เพราะเห็นว่าสายเดินทางของต้นไม้สีดำพาดขึ้นไปบนยอดเขาลูก

    ข้างหน้านี้ 


    " แน่เลย ตอนนี้ข้าได้กลิ่นมนุษย์รุนแรงมาก คิดว่าอาจจะมีมนุษย์ที่อยู่บนนั้นหลายคนด้วย เรามาถูกทางแล้ว แต่ทำ

    อย่างไรเราจะหาทางขึ้นไปโดยที่พวกมันมองไม่เห็น เราทั้งสองน่ะไม่เท่าไร ยังไงเสียคงหาทางเอาตัวรอดได้ถ้าพวก

    ต้นไม้พวกนั้นมันเห็น แต่ท่านนะสิท่านหนีรอดไม่ทันแน่ พวกนั้นมันไวกว่าท่านและมีจำนวนมากด้วย ถ้าเกิดพวกมัน

    กรุ้มรุมเข้ามาเราทั้งสองช่วยท่านไม่ทันแน่  "


    หัวหน้าเดฟโดร์น ตอบ


    "  ถ้างั้นเราต้องซุ่มรอโอกาสเหมาะเหมาะสักพักเผื่อพวกเรามีโอกาสที่จะย่องขึ้นไปยอดเขาได้โดยที่พวกมันไม่รู้ตัว 

    ตอนนี้ข้าใจร้อนอยากเห็นเต็มแก่แล้ว ว่าจะมีมนุษย์พวกใหนอยู่บนนั้นมา ภาวนาขอให้เป็นพวกข้าเถอะ เจ้าประคู๊น "


    ปู่อินทร์ บนบานสานกล่าว พร้อมยกมือขึ้นประนมเหนือหัว

    และท้้งสามก็เงียบการสนทนาลงเพื่อจะแอบซุ่มดูอยู่เงียบเงียบ ปู่อินทร์อยู่ในชัยภูมิที่ดูไม่เหมาะกับการมอง

    เห็นเขาจึงขยับตัวเบี่ยงออกทางซ้ายเล็กน้อย เพื่อจะให้มองเห็นเหตุการข้างบนเขาได้ชัดขึ้น ไม่บังร่างของ

    เดฟโดร์นทั้งสอง แต่การขยับตัวของเขาครั้งนี้ การที่เขามัวแต่มองไปข้างบน การสืบเท้าออกไปของปู่อินทร์

    เท้าของเขาไปเหยียบเข้ากับกิ่งไม้แห้งกิ่งหนึ่งหักโดยที่เขาไม่ทันได้ระวังตัว


    " เปาะ"


    เสียงนั้นถึงไม่ด้งเท่าไรแต่ในความเงียบสนิทในขณะนี้

    ทั้งสามมองหน้ากัน และเริ่มสงส้ยว่าสัญญาณเสียงดังจะดังพอที่จะเป็นสิ่งบอกเหตุและแจ้งบอกที่อยู่ของทั้ง

    สามกำลังหลบซ่อนอยู่หรือไม่


    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


    " ปู่อินทร์แน่เลยพี่หมอ พี่อรัญ ปู่อินทร์ต้องยังไม่ตายแน่ พวกนั้นด้วย สองร่างนั้นไงปรายนึกออกแล้วพวกนั้นเป็นพวกที่

    จับตัวปู่อินทร์ไป ปรายจำพวกมันได้เราก็เคยเห็นพวกมันครั้งหนึ่งตอนที่มันลงจากยานมาสำรวจไง มันคงไม่ได้ฆ่าปู่

    อินทร์หรอก ถึงมาด้วยกันแบบนี้ไง โอ๊ย.ปรายดีใจ "


    ดุจปราย กล่าวเสียงสั่นอย่างดีใจ แต่ดวงตาเธอมีน้ำตาคลอ


    " ใครหรือ ที่มานั่นเป็นมนุษย์หรือ ดูพวกเจ้าดีใจกันแท้ เป็นคนรู้จักกับพวกเจ้าด้วยหรื"


    ปลวกทหารถามด้วยความแปลกใจ ที่เห็นดุจปรายมีอาการเช่นนี้ 


    " ยิ่งกว่ารู้จักอีกท่าน คนนี้ไงที่เราเคยเล่าให้ท่านฟังว่าเขาเดินทางมากับพวกเราด้วย และเขาถูกจับไประหว่างทาง 

    และพวกเราคิดว่าเขาอาจถูกฆ่าตายแล้ว แต่นี่เข้าอยู่ข้างล่างนี้เอง โอเหลือเชื่อจริงจริง "


    อัครชัย ก็กล่าวเสียงสั่นเช่นกัน อาการเขาไม่ต่างจากดุจปรายและทุกทุกคน 


    " ใช่เมื่อพวกมันไม่ทำอะไรปู่อินทร์ พร้อมทั้งพากันมาแบบนี้ แสดงว่าพวกเขาอาจคงออกมาตามหาพวกเราเหมือนกัน 

    แต่ไม่รู้วัตถุประสงค์ว่าดีหรือไม่ดี  แต่แปลกแล้วยานของพวกนั้นไปใหน ทำไมต้องเดินเท้ากันมาแบบนี้  "


    จามิกรกล่าวพร้อมตั้งข้อสังเกต


    " เดี๋ยว เดี๋ยว พวกท่านอย่าพึ่งดีใจไป ปิเยข้ารู้สึกว่าพวกปิเยข้าที่ติดเชื้อ มันตื่นอะไรสักอย่างหนึ่ง หรือว่าจะเป็นเพราะ

    มันรู้ว่ามีพวกของท่านมาหรือเปล่า ดูสิมันเริ่มทยอยกันจะลงไปตีนเขาแล้ว "


    ปิเยฟากีระ สีเขียวกล่าวเมื่อเห็นสิ่งผิดสังเกตุ อาการดีใจของทุกคนทั้งหมดจึงต้องสะดุดลง 


    " จริงด้วย สงสัยพวกมันจะรู้จริงจริง ว่าปู่อินทร์และมนุษย์ต่างดาวสองตนนั้นอยู่ตรงนั้นมันทยอยกันลงไปทางนั้นเลย 

    ทำไงดีล่ะเราจะส่งข่าวเขายังไง "


    แสงดาวกล่าวเสียงสั่นแต่คราวนี้ไม่ใช่เป็นเพราะความดีใจ แต่เป็นเพราะความเป็นห่วงแล้วที่นี้ 


    " ข้าจะไปเอง ใหนใหนก็ต้้งใจจะออกไปจากประตูลับแลแต่แรกอยู่แล้ว เดี๋ยวข้าจะไปบอกพวกเขาให้หาทางหลบหนี 

    และบอกพวกเขาว่ามีพวกเจ้าแอบอยู่ในประตูลับแลนี้ เพราะตอนนี้พวกท่านที่มาคงไม่เห็นพวกเราแน่ "


    แมงเม่ายักษ์ขันอาสา 


    " ดีแล้วและบอกพวกเขาด้วยนะว่าตอนมืดมืดพวกเราจะออกไป สมทบ แต่ท่านก็ต้องระวังตัวพวกต่างดาวนั่นด้วยนะ

    เดี๋ยวพวกนั้นจะเข้าใจผิดว่าท่านเป็นศัตรูอีก พวกนี้อาจมีอาวุธที่ร้ายน่าดูเหมือนกัน " 


    อัครชัย กล่าว 


    " ได้ ได้ งั้นข้าไปล่ะเดี๋ยวจะไม่ทันกาล "


    ล่าวจบแมงเม่ายักษ์ก็โผบินขึ้น ทุกคนมองตามภาวนาให้แมงเม่ายักษ์ทำสิ่งที่ฝากฝังไปให้สำเร็จ

    แต่เมื่อแมงเม่ายักษ์บินออกไปและกำลังจะทะยานร่างลงไปทางตีนเขา


    " ปี๊ก "


    เสียงดังสนั่น ทุกคนใจหายวูบร่างกระพือปีกบินกระเด้งกลับและร่วงหล่นลงพื้นอย่างไม่เป็นท่า ทั้งหมดปรี่

    เข้าไปหาและช่วยกันประคองร่างของแมงเม่ายักษ์ขึ้น และทุกคนเห็นว่าร่างแมงเม่ายักษ์นั้นยังไม่สิ้นสติ  


    " มีกำแพงหรืออะไรสักอย่างหนึ่งที่ใสใสมองไม่เห็นกั้นอยู่ ข้าชนเข้าอย่างจัง "


    แมงเม่ายักษ์กล่าวเสียงสั่น พร้อมสั่นศรีษะด้วยความมึนงง 


    " ใหนเจ้าบอกว่าพ้นกำแพงลับแลออกไปจะพ้นประตูลับแลไง ทำไม่มีอะไรกัันอยู่ "


    ปลวกทหารกล่าวขึ้นอย่างเกรี๊ยวกราด นึกโมโหคำกล่าวก่อนหน้านี้ของปิเยกาฟีระสีเขียว 


    " อันนี้ปิเยข้าไม่รู้จริง ว่าขอบแดนของประตู่ลับแลจะเป็นอะไร รู้แต่ว่ามีอาณาเขตลับแลที่เคยได้รับรู้มา อยู่แค่ในวง

    ภูเขานี้เท่านั้น เลยคิดไปเองว่าถ้าออกไปพ้นแล้วจะหลุดออกไปข้างนอกไม่คิดว่าจะมีกำแพงใสแบบนี้กันอยู่รอบนอก

    อีกที ปิเยข้าไม่ได้ ตั้งใจ "


    ปิเยกาฟีระ สีเขียวกล่าวอย่างสำนึกผิด


    " ไม่เป็นไร ข้าไม่เป็นไร เจ้าต้นไม้นั่นก็คงไม่รู้จริง เพราะมันก็ช่วยเราด้วยดีมาตลอด เรื่องไม่รู้แค่นี้ ปลวกทหารท่าน

    อย่างถือโทษโกรธเคืองเขาเลยนะ ข้าก็ไม่เป็นอะไรมาก แค่มึนมึนนิดหน่อย เดี๋ยวก็หาย แต่ข้างล่างนั่นสิ จะทำยังไงข้า

    ลงไปบอกพวกมนุษย์เขาไม่ได้ "


    แมงเม่ายักษ์ แก้ตัวแทนปิเยกาฟีระสีเขียวและชี้ให้ทุกคนเห็นถึงสถานการณ์ตอนนี้


    " มีกำแพงอยู่แบบนี้พวกเราจะช่วยปู่อินทร์ได้ยังไงล่ะพี่หมอ พวกนี้มันร้ายมากด้วย หรือชะตากรรมมันเล่นตลกกับพวก

    เราซ้ำอีก ให้แค่ได้มาเห็นปู่อินทร์อีกครั้งแล้วก็ ก็.. "


    แสงดาวกล่าวกลับแฟนหนุ่มด้วยเสียงสั่นเครือจนไม่อาจกล่าวคำที่เธออยากจะกล่าวได้จนหมด  แต่ทุกคนก็

    เข้าใจว่าคำที่แสงดาวไม่อยากกล่าวถึงนั่นคืออะไร


    " ต้องรอดสิ ถึงพวกเราจะออกไปช่วยเขาไม่ได้ ความสามารถของปู่อินทร์ต้องเอาตัวรอดได้แน่  แสงดาวและพวกเรา

    ต้องมีศรัทธา สิ "


    อัครชัยกล่าวเขาคิดว่าทุกคนส่วนใหญ่ก็คงมีความคิดเดียวกับแสงดาว จึงได้กล่าวให้กำลังใจกับทุกคน


    " เราก็อยากให้มันเป็นแบบนั้นล่ะนะหมอ แต่ดูสิ ไอ้ต่างดาวสองตัวนั้นมันกำลังหนีไปคนละทางมันรู้แล้วว่าพวกต้นไม้นี่

    กำลังลงไป พวกมันดูวิ่งได้ไวอยู่มันสองตัวอาจจะรอดพ้นไปได้ แต่ปู่อินทร์สิดูเขาสิไม่ได้รวดเร็วพอที่จะหนีพวกนี้ได้

    แน่  ดูสิ พวกต้นไม้นี้มันก็แบ่งกันติดตามเป็นสามทางแล้ว ปู่อินทร์จะหนีมันได้นานแค่ใหน "


    กานต์ กล่าวบรรยายเหตุการณ์

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


    ปู่อินทร์ ลนลานหนีสุดกำลัง สองเดฟโดร์นผู้ต้้งใจจะหาทางล่อให้ต้นไม้ประหลาดสีดำหลงทางไป จากเขาดู

    ไม่ได้ผล ต้นไม้สีดำประหลาดดูไม่หลงกล จำนวนมากได้ติดตามสอง เดฟโดร์นไป แต่อีกส่วนก็พุ่งเข้าหาเขา

    อีกหนึ่งเป้าหมาย ปู่อินทร์หนีสุดชีวิต ยังนึกไม่ออกว่าจะไปทางใดหรือหลบเข้ากำบังที่ใหน จึงเลือกทางที่เป็น

    ทางลาดลงเพื่อให้ตัวเองหนีได้ไวขึ้น แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่วาย ด้วยความรวดเร็วที่ต่างกันต้นไม้สีดำได้

    กระชั้นชิดเข้ามาเรื่อยเรื่อย จนเหลือห่างอยู่ไม่ถึงเมตร แต่ข้างหน้า..

    ร่างปู่อินทร์ลอยละลิ่วลงสู่แอ่งน้ำเล็กเล็กเบื้องล่าง เพราะไม่สามารถหยุดตัวเองได้ทันพร้อมทั้งยังมีต้นไม้

    ประหลาดสีดำที่ติดหลังมาแบบกระชั้นชิด หน้าผาเล็กเล็กที่ไม่สูงเท่าไรนัก กอปรกับแผ่นน้ำที่รองรับอยู่เบื้อง

    ล่าง ปู่อินทร์ไม่ได้รับบาดเจ็บใดใด เขาพยุงตัวขึ้นสู่ผิวน้ำและสะบัดหน้าให้น้ำที่เปียกผมหลุดออกไป พร้อม

    ทั้งเงยหน้าขึ้นมองข้างบนเพื่อดูว่าเมื่อครู่เขาตกลงมาได้อย่างไร แต่ในสายตาที่มองไปข้างบนนั้นปูอินทร์

    ก็ได้เห็น ต้นไม้ประหลาดสีดำหลายร่างลอยละลิ่วตามร่างเขาลงมา


    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


    "  โอ๊ตายล่ะปู่อินทร์คงเสียท่าพวกมันแล้ว " 


    กานต์ร้องบอกทุกคน ซึ่งทุกคนก็เห็นเหตุการเช่นนั้น แต่เห็นไม่ชัดเหมือนกานต์ที่สายตาดีกว่าทุกคนก่อนที่

    ร่างปู่อินทร์จะหล่นหายไปจากริมหน้าผาลงสู่เบื้องล่าง


    "  ชะตากรรมมันช่างเล่นตลกกับพวกเราจริงจริง พวกเราจะต้องมาเสียใจถึงสองครั้งสองครากับเรื่องปู่อินทร์ ดูสิจะได้

    เจอเขาอยู่ไม่ไกลนี้แล้ว ทำไม ไม่เข้าใจ ทำไม "


    แสงดาวรำพึงรำพัน


    " แล้วสองตัวต่างดาวนั่นหล่ะ กานต์เห็นไหมมันหนีไปใหนแล้ว "


    อัครชัยถามอย่างสงสัย


    " ตอนนี้ไม่เห็นแล้ว มัวมองแต่ปู่อินทร์อยู่ แต่พวกมันคงหนีรอดไปได้ล่ะ มันวิ่งไวอยู่ และพวกต้นไม้สีดำนั่นทยอยกลับ

    กันมาแล้วแสดงว่าพวกมันอาจตามสองตัวนั่นไม่ทัน ไม่งั้นมันคงได้ร่างกลับมาด้วยแล้ว "


    กานต์ตอบ


    "  อะ อะ ปิเยข้าได้กลิ่น มีปิเยข้า เพิ่มจำนวนเข้ามา ปิเยข้าได้กลิ่น "


    ปิเยกาฟีระ กล่าวอย่างแปลกใจและตื่นเต้น 


    " เจ้าจะไม่ได้กลิ่นได้ยังไง พวกเจ้าให้ดำไปหมดแบบนี้ เจ้าอย่าพึ่งมาแทรกได้ใหมพวกเรากำลังกลุ้มใจอยู่นะไม่มีเวลา

    จะมาฟังเรื่องไม่เป็นเรื่องของเจ้า "


    อรัญ บ่นอย่างหัวเสีย


    " ไม่ใช่พวกติดเชื้อ ปิเยข้าได้กลิ่นพวกที่ปลอดเชื้อเหมือนปิเยข้า มีกลิ่นที่ปิเยข้ารับรู้ได้นับสิบเลย มีพวกปิเยข้าที่ปลอด

    เชื้อไปหลบอยู่ตรงใหนมาถึงพึ่งได้กลิ่น  นี่แสดงว่าประตูแสงไม่สามารถกั้นกลิ่นข้างนอกได้ ปิเยข้าก็ยังได้กลิ่นพวกติด

    เชื้อข้างนอกอยู่ และตอนนี้ได้กลิ่นพวกปลอดเชื้อข้างนอกเพิ่มขึ้นมาอีก  อย่างนี้ก็แสดงว่า ..." 


    ปิเยกาฟีระ สีเขียวกล่าวสะดุดเพราะใช้ความคิด


    " แสดงว่าอะไรหรือ เจ้าจะบอกว่าจะมีกองกำลังที่ปลอดเชื้อของเจ้ามาช่วยเจ้านั่นหรือ ใหนล่ะไม่เห็นมีต้นใหนเสียเขียว

    เหมือนเจ้าเลย ให้ดำไปหมด "


    อรัญบ่นอีกครั้ง


     " ใจเย็นสิพี่อรัญ บางทีต้นไม้นี่ก็อาจจะมีแนวคิดอะไรก็ได้นะ อย่างลืมสิว่านี่เป็นธรรมชาติของมัน พวกเราอาจไม่รู้เท่า

    ในเรื่องนี้ "


    ดุจปราย ปรามแฟนหนุ่มให้คลายอารมณ์ขุ่นมัวลงบ้าง


     " ก็ไม่อยากจะอารมณ์เสียหรอกนะปราย แต่มันคงเสียอารมณ์ที่พวกเราไม่สามารถลงไปช่วยปู่อินทร์ข้างล่างนั้นได้ 

    และต้นไม้นี่ยังไม่พูดนั่นนี่อีก ทั้งทั้งที่ก็มองไม่เห็นพวกมันซักตัวเลย ใหนเจ้าลองบอกมาซิพวกเจ้าที่ไม่ติดเชื้ออยู่ตรง

    ใหน เผื่อข้าจะได้อารมณ์เย็นลงมาบ้าง "


    อรัญ หันกลับไปซักปิเยกาฟีระสีเขียวอีก


    " ปิเยข้ามิได้บอกว่าตอนนี้เห็นแล้วนะ แค่บอกว่าได้กลิ่นอยู่ และก็แค่มั่นใจว่าการรับกลิ่นของปิเยข้าไม่ได้ผิดไปแน่ แต่

    ที่ปิเยข้าไม่ได้พูดต่อ เพราะปิเยข้ามาฉุกคิดเรื่องอื่นอะไรขึ้นมาได้นะสิ  เรื่องรับกลิ่นไง ตอนนี้ปิเยข้ากำลังสงสัยว่าเมื่อ

    ประตูแสงไม่สามารถกั้นกลิ่นที่มาจากข้างนอกได้ มันก็คงไม่สามารถกั้นกลิ่นที่ออกไปจากข้างในนี้ได้เหมือนกัน ถ้างั้นก็

    แสดงว่า พวกที่ติดเชื้อไม่ยอมไปใหนวนเวียนอยู่แถวนี้ มันต้องได้กลิ่นของพวกเราทั้งหมดเช่นกันเพียงแต่พวกมันยัง

    มองไม่เห็นพวกเราเท่านั้นเอง "


    ปิเยกาฟีระสีเขียวแสดงความคิดเห็น


    " อันนี้ ไม่ต้องบอกก็คงรู้ล่ะ ว่าพวกมันคงไม่ได้ใหนหรอก นี่มันจะวันหนึ่งแล้ว พวกสีดำนี่ยังไม่ไปใหนเลย มีเวลาอีก

    คืนเดียว มันต้องปักหลักอยู่นี่แน่ และพวกเราคงออกไปไม่ได้ด้วยแม้แต่เวลาที่พวกมันหมดฤทธิ์พวกเราก็ต้องรออยู่ใน

    นี้ ถ้าเจ้าบอกว่ารอครบหนึ่งวันนั่นหมายถึงพวกเราจะต้องออกจากนี่ได้ในตอนสายสาย นั่นหมายถึงทันทีที่พวกเราออก

    จากนี้ได้ เราได้เจอพวกมันรออยู่ข้างนอกแน่ "


    อรัญ แสดงความคิดเห็น


    " ออกไปก็ไม่ได้ หนำซ้ำยังต้องมาเห็นปู่อินทร์ที่มียังชีวิตอยู่ต้องมาตายไปต่อหน้าอีกครั้ง นี่มันอะไรกัน "


    แสงดาว บ่น 


    เวลาล่วงความมืดเริ่มครอบคุมเข้ามาอีกครั้ง ภาพต่างต่างเริ่มมองไม่เห็นต่างคนต่างคิดถึงพรุ่งนี้ว่าถ้าความ

    สว่างของวันรุ่งเข้ามาพวกเขาต้องเจอกับอะไร แต่พวกเขาคิดว่ามันไม่น่าจะใช้สิ่งที่น่าดีใจแน่

    ทุกคนพะว้าพระวง จนถึงขึ้นนอนไม่ค่อยหลับ คิดหาทางแก้ไข แต่ก็คิดไม่ออกกันซักที 

    จนถึงเช้า แสงที่ขอบฟ้าเริ่มส่องส่งความสว่างไปทั่วอีกครั้ง ทุกคนเริ่มตื่น หรือจะเรียกว่ายังไม่ได้หลับเลยก็

    ว่าได้ ความสว่างที่ส่องมาเริ่มทำให้เห็นภาพชัดเจน และทันทีที่พอมองเห็น ทั้งหมดเริ่มออกสำรวจขอบเขตที่

    สงสัยว่าจะเป็นกรอบแสงกั้นพวกเขาทั้งหมดไว้ยังอยู่หรือไม่ และทุกคนก็ได้สำผัส ยังมีสิ่งนั้นอยู่พวกเขายัง

    คงออกไปไม่ได้ คงต้องรอเวลาอย่างที่ปิเยกาฟีระสีเขียวบอกจริงว่าต้องรอครบขวบวัน มันถึงจะพิสูจน์ความ

    จริงได้อีกครั้ง


    " เฮ้อ เหมือนยื้อเวลามาแค่นั้น กลับมาสภาพเดิมอีกแล้ว ดูสิไอ้พวกที่อยู่ข้างนอกมันก็ยังไม่ไปใหนเลย มันก็

    เคลื่อนไหวไปมารอเราอยู่อย่างนั้น "


    จามิกร บ่นอย่างสุดเซ็งเมื่อตื่นมาเห็นสถานการณ์ยังอยู่แบบเดิมเหมือนเมื่อวาน


     " อื้ม ใช่ หวังไว้ว่าตื่นมามันน่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีมั้ง กลับเหมือนเดิม หนำซ้ำยังรู้สึกได้ว่าไอ้พวกนั้น

    มันขยับเขยื้อนได้ ไวกว่าเมื่อวานอีก รู้สึกว่าเมื่อวานเช้าขนาดนี้พวกมันยังไม่ได้เคลื่อนไหวนะ แต่นี่มันกระจายตัวกันได้

    หมดเลยวันนี้ ไม่เหมือนเมื่อวานที่นิ่ง ดำ. ดำ เอ๊ะ ... " 


    เสียงของกานต์สะดุด ทุกคนที่กำลังฟังอยู่จึงแปลกใจกับอาการของกานต์ไปด้วย 


    " ตัวพวกมันไม่ได้สีดำแล้วนี่ ตัวพวกมันเป็นสีเขียวไปแล้ว  "


    กานต์กล่าวอุทานอีกครั้งอย่างแปลกใจคำพูดที่สะดุดไปในครั้งแรกเพราะว่าเห็นสิ่งที่เปลี่ยนไปของต้นไม้

    ประหลาดตอนนี้


    " โอ๊ะ ใช่จริงด้วย พวกปิเยข้าข้างนอกปลอดเชื้อแล้ว เพราะมันยังสว่างไม่มากนี่เองทำให้ปิเยข้ามองไม่ออกเรื่องสีร่าง

    พวกข้างนอกที่เปลี่ยนไปแล้ว  เป็นไปได้ไง ทำไมคืนเดียวจึงเป็นเช่นนี้ได้ มิน่าปิเยข้าถึงได้กลิ่นพวกสมบูรณ์นี้เต็มไป

    หมด และที่พวกปิเยข้าข้างนอกเคลื่อนไหวได้แบบนี้ไม่ต้องรอแสงแดดจัดเพราะพวกข้างนอกปลอดเชื้อแล้วนี้เอง พวก

    ปิเยข้าข้างนอกไม่เป็นภัยกับพวกเราแล้ว ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว ทันทีที่ประตูแสงเปิดออก พวกเราจะออกไปได้อย่าง

    ปลอดภัย "


    ปิเยกาฟีระ กล่าวอย่างดีใจ


    " มันก็แปลกนะ จู่จู่ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้ ถึงมันจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นก็เถอะแต่ก็น่าแปลกอยู่ หรือจะเป็นแผนเเสร้ง

    ให้พวกเราข้างในนี้ตายใจ พวกข้างนอกอาจจะยังไม่ได้ปลอดเชื้อจริง เป็นการหลอกให้พวกเราออกไปแล้วตลบหลังอีก

    ที "


    ปลวกทหารกล่าว เขายังไม่แน่ใจซะทีเดียว


    " จากการที่ปิเยข้าสัมผัสกลิ่นนะ ปิเยข้าฟันธงได้เลยว่าข้างนอกเป็นพวกปิเยข้าที่ปลอดเชื้อจริงจริง และจะไม่มีพิษร้าย

    กับพวกเราแล้วด้วย แล้วตอนนี้พวกข้างนอกก็สัมผัสกลิ่นของปิเยข้าได้เช่นกัน ดูมันควานหาที่อยู่ของปิเยข้ากันเป็นการ

    ใหญ่ และแปลกใจที่ปิเยข้าที่อยู่แถวนี้แต่มองไม่เห็น พวกมันแปลกใจที่ได้กลิ่นปิเยข้าที่เป็นปิเยที่ไม่ผ่านการติดเชื้อมา

    ก่อนที่รู้เพราะได้ยินพวกปิเยมันคุยกัน และพวกปิเยมันก็ได้ยินเสียงของปิเยข้าด้วยตอนนี้ แต่ปิเยข้าจะยังไม่สื่อสารอะไร

    กับพวกข้างนอกหรอกตอนนี้ เพราะจะทำให้พวกข้างนอกแปลกใจไปใหญ่จะทำให้พวกข้างนอกไม่เข้าใจและหลบลี้ไป

    ได้ ให้แค่พวกเขาได้กลิ่นไปอย่างเดียวก่อน "


    ปิเยกาฟีระ อธิบาย


    " ถ้าอย่างนั้นก็เป็นการดีนะสิ ที่จู่จู่มาเป็นแบบนี้ เรียกว่ามีการเล่นตลกอีกแล้วใช่ใหม แต่เรื่องร้ายกลายเป็นดี เฮ้อปรับ

    ตัวแทบไม่ทันจริงจริง แต่คราวนี้การเล่นตรงกลับทำให้พวกเราสบายใจ "


    จามิกรกล่าว


    " จากที่เห็นนี่แถวนี้ก็มีแต่พวกต้นไม้สีเขียวทั้งหมดแล้วนะ แล้วยังจะมีพวกที่ติดเชื้อไม่เหลืออีกบ้างหรือ อย่างที่เจ้า

    บอกถ้ายังมีพวกติดเชื้ออยู่ ไม่นานพวกนี้ก็คงติดเชื้ัอกลับมาเป็นสีดำอีกก็ได้ "


    แมงเม่ายักษ์ตั้งข้อสังเกตุ


    " ใช่สิปิเยข้าลืมไปเลย มัวแต่ดีใจ ท่านพูดถูก ถ้ายังมีปิเยข้าพวกที่ติดเชื้ออยู่ ไม่นานทั้งหมดก็คงติดเชื้อได้อีกเช่นกัน 

    งั้นปิเยข้าขอสัมผัสกลิ่นที่อยู่ไกลไกลหน่อยล่ะกัน เผื่อว่ามีพวกติดเชื้ออยู่ไม่ไกลนักปิเยข้าอาจต้องกลิ่นของมันได้ ตรง

    นี้ไม่มีช่องให้กลิ่นอื่นอื่นลอดเข้ามาได้นอกจากกลิ่นพวกที่ปลอดเชื้อ ปิเยข้าขอเดินหาช่องทางลอดของกลิ่นจากที่ไกล

    ไกลได้เสียก่อน จึงจะบอกทุกคนได้ว่ายังมีพวกติดเชื้ออยู่หรือเปล่า "


    ปิเยกาฟีระ กล่าวจบก็เคลื่อนออกไป มันเดินไปทางนั้นทีทางนี้ทีซึ่งทุกคนเข้าใจว่ามันคงไปหาช่องทางกลิ่น

    อย่างที่มันบอกจริงจริง และมีจุดหนึ่งที่มันหยุดอยู่นานจนทุกคนเริ่มแปลกใจและสงสัยว่าตรงนั้นอาจจะมีกลิ่น

    ที่มันกำลังค้นหา


    " มีใช่ใหม ตรงนั้นเจ้าได้กลิ่นใช่ใหมถึงได้หยุดอยู่ตรงนั้นนาน "


    อรัญถามหลังจากที่ปิเยกาฟีระกลับมาถึง


    " ใช่ ตรงนั้นปิเยข้าได้กลิ่น "


    ปิเยกาฟีระตอบ


     " ใหมล่ะข้าว่าแล้ว อย่าพี่งดีใจไป แล้วที่นี้จะทำยังไงไม่นานพวกนี้ก็คงติดเชื้อหมดอีก แล้วประตูแสงเราจะเปิดทันให้

    พวกเราหนีหรือเปล่า "


    แมงเม่ายักษ์ กล่าว


    " ไม่ใช่อย่างนั้น ในรัศมีแถวนี้ปิเยข้าไม่ได้กลิ่นพวกติดเชื้ออยู่ แต่มีกลิ่นอีกอย่างที่คาดไม่ถึงน่ะสิ   ปิเยข้าได้กลิ่น

    มนุษย์น่ะสิ กลิ่นที่ไม่ใช่ของมนุษย์ที่อยู่ที่นี่ และกลิ่นมนุษย์นี้ยังเป็นมนุษย์ที่ยังมีลมหายใจอยู่อีกด้วย "


    ทุกคน อ้าปากค้างเมื่อได้ยินคำกล่าวของปิเยกาฟีระ


    "  หูพวกเราไม่ได้ฝาดใช่ใหม ปะ ปะ ปู่อินทร์ยังไม่ตายใช่ใหม "


    แสงดาว อุทานเสียงสั่น เหมือนนัดกันจุดที่ร่างปู่อินทร์หายไปเมื่อวานเป็นจุดที่ทุกคนมองลงไปตรงนั้น และ

    พลันทุกคนก็ได้เห็น ตรงนั้นมีต้นไม้สีเขียวเคลื่อนตัวอยู่เต็มไปหมด แต่มีจุดอยู่สามจุดที่ทุกคนมองเห็นว่าเป็น

    จุดเด่นและต่างจากต้นไม้เคลื่อนที่นั้นออกไป จุดทั้งสามนั้นทุกคนมองแว๊บเดียวก็มองออกว่าเป็นอะไร สิ่งที่

    เห็นทำให้จามิกรถึงกับอุทาน


    " ปู่อินทร์ กับพวกต่างดาวนั้น เขายังไม่ตายดูสิกำลังเดินขึ้นมาบนนี้ด้วย "


    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


    ปู่อินทร์และเดฟโดร์นทั้งสองกำลังเคลื่อนที่ขึ้นสู่ที่สูงยอดภูเขา เดฟโดร์นสัมผัสได้ถึงกลิ่นมนุษย์คนอื่นที่

    ไม่ใช่กลิ่นของปู่อินทร์ ที่เดฟโดร์นทั้องสองคาดว่ากลิ่นนั้นน่าจะมาจากข้างบนที่เป็นจุดหมายของการ

    เดินขึ้นมาในครั้งนี้ ทั้งสามถูกลายล้อมไปด้วยต้นไม้ที่คอยให้ความแนะนำและช่วยเหลืออยู่ และต้นไม้

    ประหลาดสีเขียวที่สามารถสื่อสารกับทั้งสามได้เป็นภาษามนุษย์ หลังจากเมื่อวานพวกมันมีสีดำพร้อมทั้งเข้า

    กลุ้มรุมจะทำร้ายพวกเขา และไล่ปู่อินทร์จนตกหน้าผาลงน้ำ และต้นไม้สีดำเสียหลักตามหล่นลงไป นั่น

    ทำให้ปู่อินทร์รู้ว่าน้ำในที่แห่งนั้นสามารถทำให้ร่างกายต้นไม้สีดำนั้นถอดสีออกมาเป็นร่างสีเขียวได้และกลับ

    มาเป็นมิตรกันพร้อมทั้งรู้ความจากพวกมันว่าตอนที่เป็นสีดำนั้นถูกคลอบงำด้วยพิษร้ายอยู่ และพิษได้

    ถูกล้างจากน้ำแห่งนี้ไปหมดแล้ว และเมื่อพลบค่ำทั้งหมดจึงช่วยกันนำต้นไม้สีดำที่สิ้นแรงในยามค่ำแถวนี้

    ทั้งหมดลงล้างในน้ำแห่งนั้นจนหมดพิษไปเสียทุกร่าง จนเช้าขึ้นมาจึงเหลือแต่ต้นไม้ที่มีสีเขียวทั้งหมด และ

    ต้นไม้จำนวนมากและเดฟโดร์นทั้งสองก็ได้กลิ่นมนุษย์เช่นเดียวกัน จึงลงความเห็นว่าจะพาปู่อินทร์ร่วมออก

    เดินทางขึ้นไปข้างบนเพื่อค้นหา 


    " พวกปิเยข้าข้างบนส่งข่าวลงมาบอกว่าไม่มีมนุษย์อยู่บนนั้น แต่กลับมีกลิ่นมนุษย์ที่รุนแรงมาก และมีเสียงมนุษย์พึมพำ

    ตลอด  หรือว่าอาจจะมีมนุษย์อยู่ไม่ไกลที่ใหนซักแห่งทำให้เสียงสะท้อนมายอดเขาข้างบนที่เราจะขึ้นไปนี้ แต่ก็แปลก

    ถ้ามีแค่เสียงสะท้อนมาจริงแล้วทำไมมีกลิ่นที่รุนแรงด้วย "


    ปิเยกาฟีระ ร่างแรกที่ถูกล้างพิษและเดินทางขึ้นเขากับปู่อินทร์มาด้วยกล่าวรายงาน


    " เอาไว้ให้พวกเราถึงข้างบนก่อนเถอะเจ้าปิเย เดฟโดร์นและมนุษย์มีสายตาที่เห็นไกลได้มากกว่าพวกเจ้ามากอาจเห็น

    ที่อยู่ของพวกมนุษย์นั้นได้ "


    มนุษย์เดฟโดร์น แสดงความคิดเห็น นั่นยิ่งทำให้ปู่อินทร์ใจจดจ่อ ความหวังที่จะได้พบพวกมนุษย์ที่คาดเดาว่า

    จะเป็นพวกของอัครชัยนั้น ทำให้เรี่ยวแรงที่เดินขึ้นเขาชันชันนั้นไม่รู้มาจากใหน เขาเร่งเดินได้ไวกว่า เดฟ

    โดร์นทั้งสองที่เคยเเข็งเเกร่งกว่าเขาด้วยซ้ำจนเดฟโดร์นทั้งสองแปลกใจ ไม่นานทั้งปู่อินทร์ก็เดินถึงยอดเขา

    เขามองไปเห็นที่โล่งและมีต้นไม้สีเขียวที่เขาคอยช่วยล้างพิษให้เต็มพื้นที่ไปหมด เขาสอดส่ายสายตาไปทั่ว

    ไร้เงามนุษย์ที่เขาตั้งใจขึ้นมาหา จริงจริง และเดฟโดร์นทั้งสองก็ตามขึ้นมาติดติด


    " แหมท่านนี่เอาเรี่ยวแรงมาจากใหนเราทั้งสองยังตามไม่ทันเลย อืมบนนี้มีกลิ่นมนุษย์แรงจริงจริงด้วย แปลกนะมันลอย

    มาจากที่ใหน มองไปทั่วแถวนี้ไม่มีใครอยู่เลย "


    มนุษย์ดาวเดฟโดร์นกล่าว ปูอินทร์ไม่พูดอะไร เขารู้สึกสิ้นหวังและทรุดตัวลงนั่งกับพื้น


    " อาจจะเป็นเพราะอากาศความชื้นหรือไม่ก็ต้นไม้อะไรก็ได้ ที่ทำให้ท่านทั้งสองและต้นไม้พวกนี้เข้าใจผิดว่าเป็นกลิ่น

    มนุษย์ คงไม่มีมนุษย์อยู่แถวนี้หรือแถวใหนใหนหรอก ที่นี่ในโลกป่าต้นไม้แห่งนี้คงจะเหลือข้าเป็นมนุษย์อยู่คนเดียว

    แล้ว ถ้าไม่ตายอยู่ที่นี่ ข้าก็ต้องกลับไปโลกมนุษย์แค่คนเดียวเท่านั้นแหระ "


    ปู่อินทร์กล่าวอย่างปลงตก ในใจห่อเหี่ยวพาลเอาน้ำตาซืมออกมาโดยไม่รู้ตัว เขาเอามือปาดน้ำตาแต่พลัน

    เขาก็กลับสะดุ้งเมื่อหูของเขาได้ยินเสียงหนึ่งอย่างชัดเจน


    " จะหนีเอาตัวรอด ไปคนเดียวหรือพรานใหญ่ ใจคอจะทิ้งพวกเราไปจริงจริงเหรอ ปู่พวกเรายังอยู่ทั้งหมด ปู่ไม่ได้อยู่ที่

    นี่คนเดียว ฮือฮือ"


    แสงดาวกล่าว และเธอต้องร้องไห้ออกมาอย่างสุดจะกลั้น เธอเห็นอาการของปู่อินทร์ที่อยู่ข้างนอกกำแพง

    แสงดาวตอนนี้โดยที่เธอรู้ว่าปู่อินทร์ไม่เห็นพวกเธอจึงได้แสดงอาการเช่นนั้น และอาการเช่นนั้นทำให้น้ำตา

    เธอใหลพร้อมทั้งสะอื้นฮักฮัก ไม่เพียงแสงดาวเท่านั้นมนุษย์ทุกคนก็เช่นกัน ทั้งหมดสุดจะกลั้นน้ำตาไว้ ปู่

    อินทร์ได้ยินเสียงที่มาจากทางใหนไม่รู้ แต่เป็นเสียงที่ดังฟังชัดมาก ถึงไม่เห็นที่มาของเสียง แต่เสียงแบบนี้

    เขาจำได้ดี 


     "  ผู้พันแสงดาว ยะ ยุ อยู่ใหน หรือว่านี้เป็นวิญญาณของเธอ เธอตายแล้วหรือ หรือหูข้าแว่วไป"

     
    ปู่อินทร์กล่าวอย่างงงงง หมุนตัวมองหาที่มาของเสียง แต่กลับไม่เจออะไร


    " หูท่านไม่ได้แว่วไปหรอก เสียงมนุษย์จริงจริงพวกเราก็ได้ยิน "


    เดฟโดร์นทั้งสองกล่าวขึ้นเกือบพร้อมกัน


    " คงเป็นวิญญาณของเธอนั่นแหระ ถ้ายังอยู่จริงคงเห็นตัวเธอแล้ว แต่ก็ยังดีที่เธอยังมาส่งเสียงให้ได้ยินได้ ถึงไม่

    ได้เห็นตัวก็เถอะ ปู่ไม่กลัวหรอกนะแสงดาวเธออยู่ตรงใหนกล่าวอะไรกับปู่อีกสิ แล้วคนอื่นล่ะมาด้วยไม๊ "


    ปู่อินทร์กล่าวไปพลางเช็ดน้ำตาไป  และพยายามเงี่ยหูฟังเสียงที่มาอีกครั้ง


    " ปู่ผมก็อยู่ ทุกคนก็อยู่กันหมดเพียงแต่ตอนนี้ปู่ยังเห็นพวกเราไม่ได้ เรายังไม่ได้ตายนะปู่ "


    อัครชัยกล่าวขึ้นบ้าง ปู่อินทร์หมุนตัวกลับรู้สึกว่าเสียงมาจากด้านหลังของเขาและทันใดสายตาปู่อินทร์ก็เริ่ม

    มองเห็นเค้าร่างของกลุ่มคนจางจาง  


    " ข้าเห็นแล้ว เออ แต่ร่างพวกเอ็งมันจางจางมาก พวกเอ็งเป็นวิญญาณใช่ใหม ข้าไม่กลัวหรอกนะดีใจที่ได้เห็นพวกเอ็ง

    อีกครั้ง ถึงจะมาในร่างแบบนี้ก็เถอะ "


    ปู่อินทร์กล่าวพร้อมยิ้มเศร้าเศร้า


    " ปู่อินทร์เห็นพวกเราแล้ว ครบหนี่งวันแล้วใช่ใหม ประตูแสงของลับแลเริ่มเปิดแล้วใช่ใหม "


    จามิกรกล่าวอย่างดีใจ เธอปาดน้ำตา พร้อมทั้งสาวเท้าก้าวออกไปเบื้องหน้า นั่นจึงทำให้ปู่อินทร์เห็นร่างเธอ

    ได้ชัดเจนเป็นคนแรก จามิกรวิ่งถลาออกไป ปู่อินทร์ยังงงกับเหตุการณ์ประหลาดนี้อยู่ แต่ก็ได้อ้าแขนรองรับ

    ร่างของจามิกรไว้ และทันทีที่ร่างนั้นสัมผัสเขา ปู่อินทร์จึงได้รู้ว่าร่างนี้มีเลือดเนื้อจริงจริงไม่ใช่วิญญาณหรือ

    อะไรที่เขาเข้าใจแต่แรก และ ปู่อินทร์ถึงกับเซเพราะตอนนี้ไม่ได้มีแต่ร่างจามิกรเท่านั้น ร่างทุกคนก็ถลันเข้า

    มากอดเขาไว้จนหมดทุกคน

    น้ำตาเเห่งความดีใจไหลพรากกันทุกคนต่างบอกไม่ถูกว่าอาการแบบนี้มันสุดจะดีใจได้ขนาดใหน


    "  น่ะนั่น พวกนั้น นี่พวกตัวประหลาดนี่ ก็ถูกพรางไว้จนหมดเลยเหรอ แล้ว ว ว"


    ปู่อินทร์มองไปทางข้างหลังทุกคนที่วิ่งเข้ามา ภาพที่เริ่มชัดขึ้นไม่ใช่มีแค่พวกของอัครชัยเท่านั้น กลับมีฝูงตัว

    ประหลาดน่าตาแปลกแปลกอยู่เต็มไปหมด


    " พวกปลวกยักษ์น่ะ ปู่อินทร์ เหมือนปลวกที่โลกเรานั่นแหระ แต่ตัวมันที่นี่ใหญ่มาก เป็นพวกเราทั้งหมดแหระไม่ต้อง

    กลัว พวกเรากำลังเดินทางไปสมทบกับพวกท่านติอากอ กัน แต่พอดีมาเจอกับพวกต้นไม้สีดำเสียก่อนก็เลยต้องเสีย

    เวลาอยู่ตรงนี้ "


    แสงดาว อธิบาย ปู่อินทร์จึงคลายความกังวลขึ้นเพราสิ่งที่เขาเห็นคือ สัตว์จำนวนมากมากเหลือคนานับ น่าสะ

    พรึงยิ่งนัก


     " แล้วรอดกันมาทั้งหมดแบบนี้ แล้วได้เออ เอิบ.. ใหม ขอโทษนะที่ถามเรื่อง รางพิษ ในเวลาที่พึ่งได้เจอกันใน

    บรรยากาศเช่นนี้มันน่าจะมีแต่เรื่องดีใจ ไม่ควรจะมาพูดเรื่องอื่น แต่ข้าก็อยากรู้ จะมีอะไรน่าจะดีใจออกใหมนอกจากที่

    พวกเรารอดมาเจอกันอีกครั้งได้ "


    ปู่อินทร์ กล่าว 


     " ได้สิพวกเราได้มันมาแล้ว แต่ไม่ได้เอามันมาฝากปู่หรอกนะ ถ้าปู่จะเอาก็ต้องควักตาพวกเราไปข้างหนึ่ง "


    อรัญกล่าว เขาอารมณ์ดีขึ้น ปูอินทร์หน้าเหรอหราไม่เข้าใจความหมายคำพูดของอรัญ ดุจปรายเห็นเช่นนั้น

    จึงอธิบายให้ปู่อินทร์เข้าใจ


    " พี่อรัญก็ไปอำปู่ อย่างนี้ค่ะปู่พวกเราได้รางพิษมาแล้ว และถูกสัตว์ตัวหนึ่งแย่งไป และไปทำลายทิ้ง ในแอ่งน้ำแห่ง

    หนึ่ง แต่ระหว่างทางพวกเราได้ลงใปในแอ่งน้ำแห่งนั้นทำให้ตาของพวกเราได้สัมผัสกับรางพิษที่ปนอยู่ในน้ำแอ่งนั้น

    ตอนนี้ตาของพวกเราเลยอาบด้วยรางพิษจะมองเห็นอะไรที่คนอื่นไม่น่าจะมองเห็นได้ และคงจะมองเห็นพวกเรคารียะ

    ล่องหนของมัจเจด้วย  "


    " เหรอนับว่ายังโชคดีอยู่ที่แม้ไม่มีข้าไป พวกเอ็งก็ยังทำสำเร็จได้ แล้วสัตว์อะไรตัวนั่นไปใหนล่ะ มันคงร้ายน่าดูนะที่แย่ง

    ของสำคัญมาจากพวกเจ้าได้ และมันคงรู้ความสำคัญของรางพิษนั่นด้วย จึงเอามาทำลาย  มันเป็นตัวอะไรกัน "


    ปู่อินทร์ ถาม


    " มันเป็นหนอนยักษ์อ่ะปู่ ตัวมันใหญ่ยาวและร้ายกาจมาก จริงจริงแล้วมันตั้งใจจะฆ่าพวกเราด้วย แต่มันหาโอกาสไม่ได้

    จึงขโมยได้ไปแต่รางพิษ รู้สึกเหมือนมันจะรู้กับพวกปิเยมัจเจด้วย ตอนนี้มันไปร่วมอยู่กับพวกมัจเจแล้ว "


    อัครชัย กล่าวอธิบาย  มาถึงตอนนี้ปลวกทหารก็ได้กล่าวแทรกวงสนทนาขึ้น 


    " มันไม่ได้แค่จะฆ่าพวกมนุษย์พวกท่านเท่านั้น นะท่าน มันยังทรยศต่อพวกเราด้วย แม่ย่านางและพวกเราสู้อุตส่าเลี้ยง

    ดูพวกมันมาต้้งสามสี่รุ่นและหลายปีอยู่ ไม่คิดเลยว่ามันกล้าที่จะทำพวกเราได้ขนาดนี้ และที่พวกข้าคิดจะตามมนุษย์

    พวกของท่านไปด้วย  ก็เพื่อจะไปสางบัญชีแค้นกับมันนี่หละ "


    " ข้าว่าข้าพอจะรู้แล้วล่ะตัวที่พวกเจ้าว่า พวกไอซ์โดร์นเคยเล่าให้ข้าฟังว่ามันผ่านลงไปทางนั้นไม่นานมานี้ ถ้าตัวมันยาว

    ยาวและมุดดินได้ มันลงไปทางไต้นั่นแหละ ถ้าพวกเจ้าไปกับพวกเราก็ดี ทั้งเหล่าไอซ์โดร์น และเดฟโดร์นทั้งสาม พวก

    มนุษย์และ สัตว์ทั้งฝูงใหญ่แบบนี้ คงช่วยท่านติอากอได้มากทีเดียว"


    ปู่อินทร์ กล่าว

     ปิเยกาฟีระ ที่ฟังนิ่งอยู่ได้ยินคำกล่าวเรื่องหนอนยักษ์มันพึ่งได้รับข่าวสารเรื่องหนึ่งจากพวกเดียวกันที่พึ่ง

    บอกมา มันจึงเอ่ยกลางวงสนทนาขึ้น 


    " ข้าขออนุญาติท่านเพื่อแจ้งความ พอดีพวกปิเยข้าทีพึ่งปลอดเชื้อแจ้งให้ฟังเรื่องที่พวกท่านกำลังกล่าวถึง ตอนนี้มี

    พวกปิเยข้าที่ปลอดเชื้ออยู่อีกกลุ่มหนึ่งทางไต้ได้รายงานว่า บัดนี้ตัวหนอนแองโกล่า ได้ตายลงไปแล้ว มีภูเขาไฟทาง

    ตะเนยาระเบิดมันหนีรอดออกมาไม่ทัน และพวกของปิเยมัจเจก็เหมือนกันถูกความเหลวร้อนตายอยู่เหลือไม่กี่ร่าง แต่

    พวกมันโชคดีที่หนีไปร่วมกับพวกปิเยน้ำซารียะ  จึงมีหนทางเอาเชื้อมาแปดเปื้อนพวกปิเยข้าไง ตอนนี้พวกท่านไม่ได้มี

    แค่นี้แล้ว ไงมีพวกของปิเยข้าร่วมเป็นร่วมตายไปกับพวกท่านด้วยแน่ "


    " อืม จำนวนมีมากเท่าไรยิ่งดี แต่พวกเจ้าอย่าลืมสิ มีแต่พวกเจ้าที่นี่เท่านั้นที่ปลอดเชื้อ เพราะเผอิญไปรู้วิธีล้างพิษเข้า 

    ยังมีพวกเจ้าอีกมากที่ติดเชื้ออยู่ ถ้าเกิดเจอกันเมื่อไร พวกเจ้าที่ปลอดเชื้ออาจจะเพลี่ยงพล้ำอีกก็ได้ เพราะพวกเจ้าก็รู้

    อยู่การแพร่เชื้อนั้นพวกเจ้าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ นอกจากหนีเท่านั้น และคิดว่าไม่นานให้แสงแดดมันแรงกว่านี้อีก 

    พวกติดเชื้อคงตามมาสมทบถึงที่นี่แน่ ถึงคราวนั้นคงไม่มีใครต้านพวกมันได้ถึงพวกเราจะมีจำนวนมากมายขนาดนี้ก็

    เถอะ "


    อัครชัยกล่าวเตือนสติปิเย กาฟีระ


    " แล้วทีนี้จะทำยังไงดีล่ะ ท่านพูดถูกเลยทีเดียว ปิเยข้าก็ไม่ได้นึกตรงนี้  พวกปิเยข้าบอกพวกปิเยกาฟีระทางไต้ เเต่เดิม

    ก็ติดเชื้อแล้วเหมือนกัน เกิดฝนตกแถวนั้น พวกนั้นจึงถูกคลายพิษมาได้ ทางเดียวที่เราจะรอดและไม่ต้องต่อสู้กับพวก

    เดียวกันคือ ต้องทำให้พวกปิเยข้าทั้งหมดไร้ซึ่งพิษครอบงำเสียก่อน นั่นคือทำให้พวกปิเยข้า เปียกน้ำจืด เพราะมีน้ำจืด

    เท่านั้นที่จะล้างพิษพวกเราได้ ถ้าเป็นน้ำทะเลก็คงถอดพิษไม่ได้เพราะมีปิเยกาฟีระหลายร่าง ที่สังเวยในชายทะเลครา

    ที่พวกปิเยมัจเจมันไปเยือนพวกของท่านติอากอ อันนี้พวกปิเยข้าก็เล่ามาให้ฟังอีกที "


    ปิเยกาฟีระ อธิบาย


    " การที่จะนำพวกมันที่มีไฟช๊อตที่รุนแรงขนาดนั้น ไปใส่ในน้ำนั้นคงไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่เหมือนตอนกลางคืน ที่พวกมันยัง

    ไม่มีพิษสงอะไร ถ้าเป็นตอนก่อนตอนข้ามียานข้าก็อาจจะทำให้ฝนตกได้ ข้าพอรู้เรื่องการใช้แร่ธาติบางอย่าง และเคย

    นำยานเอาแร่ธาตุฝุ่นแห่งนั้นไปใส่ไว้ในเมฆ จนเกิดฝนตกที่นี่มาแล้ว แต่ตอนนี้ข้าไม่มียานแล้ว  จะทำยังงั้นคงไม่ได้"


    มนุษย์ดาวเดฟโดร์นกล่าวแสดงความคิดเห็น




















    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×