ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตะนาวศรี

    ลำดับตอนที่ #64 : ปราการไพรีทรอย

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 134
      17
      6 มี.ค. 62

    อัครชัยและพวก ยังคงล่องแพไปเรื่อย พวกเขาพยายามบังคับแพไม่ให้เข้าไปใกล้ตลิ่งฝั่ง

    ที่มีฝูงมดยักษ์วิ่งขนาบมาอยู่ และไม่นานทุกคนก็รู้สึกว่า แพที่ล่องอยู่นั้น มันเริ่มเพิ่ม

    ความเร็วขึ้น จนผิดสังเกตุ


    " รู้สึกใหม ว่ามันบังคับแพยากขึ้นนะ เหมือนน้ำตรงนี้มันเชี่ยวขึ้น แพก็เร็วขึ้นหรือว่ามันจะลงที่ต่ำไป

    เป็น ..เอิบ "


    แสงดาว กล่าวแต่เธอยังไม่ค่อยแน่ใจจึงไม่กล้าฟันธงว่าเธอสงสัยอะไรที่จะเกิดขึ้นกับแพ

    นี้ แต่แฟนหนุ่มของเธอเข้าใจความคิดของเธอดี เข้าจึงกล่าวขึ้น 


    " แสงดาวกลัวว่าข้างหน้ามันจะเป็นน้ำตกใช่ใหม แต่น้ำมันใหลแรงจริง ทางที่ดีเราก็ควรระวังตัวไว้

    ก็ดี ไม่รู้ว่าข้างหน้าจะเป็นหน้าผาน้ำตกหรือเปล่า เราช่วยกันถ่อแพเขาไปข้างข้างและหยุดดูก่อนดี

    ไหม "


    " ก็ดีเหมือนกัน ยังไงด้านนี้ก็ไม่มีตัวอะไร และมันเตียนเตียนมองเห็นได้ไกลอยู่คงไม่มีอะไร "


    กานต์ กล่าวสนับสนุน และทั้งหมดก็ช่วยกันถ่อแพเข้าไปใกล้ตลิ่งอีกฝั่งที่คิดว่าปลอดภัย

    เพราะอีกด้านมีฝูงมดยักษ์ที่ยังตามอยู่ และเมื่อเข้าเลียบฝั่งได้พวกเขาก็กระโดดขึ้นฝั่งไป

    พร้อมทั้งดึงแพขึ้นไปบนฝั่งเพื่อไม่ให้แพมันใหลไปตามน้ำที่เชี่ยวกรากด้วย


    " น่าจะมีข้างหน้าแน่เลยหน้าผาน้ำตก ยิ่งเราแวะมาดูแล้วน้ำใหลแรงจริงจริง สงสัยว่าเรา

    ล่องไปอีกซักหน่อยคงควบคุมแพไม่ได้แน่  "


    อรัญตั้งข้อสังเกต


    " จะทำไงล่ะที่นี้ แพก็ล่องไปไม่ได้ ยังดีนะที่ฝั่งนี้ไม่มีตัวอะไรน่ากลัวอยู่ ไม่งั้นพวกเราคงเหมือนถูก

    บังคับให้แพล่องไปหล่นที่หน้าผาน้ำตกแน่ "


    ดุจปราย บ่น


    " เราคงต้องเดินเรียบริมน้ำไปเรื่อยแล้วล่ะ ไว้ถ้ามันมีน้ำตกจริงพอพ้นน้ำตกไปเราก็น่าจะล่องแพกัน

    ไปได้ต่อ นี่ก็ถือว่าดีแล้วเรามาได้ตั้งนานถ้าเราเดินมาป่านนี้คงยังมาไม่ไกลถึงนี่หรอก " 


    แสงดาวแสดงความคิดเห็น

    ทั้งหมดเริ่มออกเดินเท้าอีกครั้ง แต่คราวนี้พวกเขาได้ยกแพไปด้วย ตอนที่นั่งบนแพมาก็ไม่

    ค่อยได้รู้สึกเหนื่อยอะไร แต่ตอนนี้ทุกคนตกยกแพไปด้วยทำให้การเดินทางดูทุลักทุเลและ

    ล่าช้ามาก แต่ทุกคนก็ไม่บ่น เพราะคิดว่ายังมีความจำเป็นจะต้องใช้มันอีกในโอกาสข้าง

    หน้านี้ ไม่ช้าทุกคนก็ได้ยินเสียงสิ่งที่สงสัยตอนที่ยกแพขึ้นจากแม่น้ำนี้ 


    " เสียงน้ำตก ดีนะที่พวกเราไหวตัวทันเกือบไปแล้วไม่ล่ะ  เสียงดังมากด้วยแสดงว่าข้างหน้าต้อง

    เป็นน้ำตกที่ตกจากหน้าผาที่สูงมากแน่ "


    จามิกร กล่าว อย่างตื่นเต้น เธอรู้สึกอยากรู้อยากเห็น ว่าน้ำตกนั้นมันจะสูงและสวยซักแค่

    ใหน ซึ่งทุกคนก็คิดเช่นเดียวกันกับเธอ บรรยากาศการเดินทางที่กดกันอยู่ในวันนี้ทั้งวันดู

    ผ่อนคลายลง และเมื่อทุกคนเข้ามาใกล้น้ำตก เสียงน้ำที่ตกลงสู่เบื้องล่างมันดังมากและ

    ด้วยความสูงของหน้าผามละอองน้ำปลิวฟ่องตามแรงลมไปในอากาศ ดูขาวโพลนเป็นที่

    ตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก 


    " เย็นสบายดีจังเลยเราคงจะต้องพักที่นี่กันสักพัก แล้วค่อยไต่ลงไปข้างล่าง "


    อัครชัยแสดงความคิดเห็น ซึ่งนั้นทำให้ทุกคนแปลกใจ ปรกติอัครชัยเป็นคนจริงจัง ทุกคน

    ไม่คิดว่า เขาจะมีอารมณ์ สุนทรีเช่นนี้ 


    " ยังไงผมก็รุ่นราวคราวเดียวกันกับพวกเรานะ ถึงบางครั้งจะดูซีเรียสไปบ้าง "


    อัครชัย กล่าวอย่างเก้อ เก้อ หลังจากที่เห็นทุกคนมองเขาเป็นตาเดียวกันแล้วยิ้ม เขารู้ว่า

    ทุกคนคงเเปลกใจที่เขามีอาการเช่นนี้อย่างที่ไม่ค่อยเคยเป็นมาก่อน แต่ภูมิทัศแถวนี้มันดู

    เป็นธรรมชาติที่น่ารื่มรมจริงจริง 

    ทั้งหมด วางแพลงและพักตรงที่หัวน้ำตกพวกเขามองลงไป จึงได้เห็นที่จริงแล้วน้ำตกก็ไม่

    ได้สูงมากเท่าไร เพียงแต่เสียงที่ดังมาเป็นเพราะแผ่นหินที่กระจายไปเป็นวงกว้าง ทำให้

    น้ำตกมีความกว้างยืดออกไปมาก และจึงทำให้เสียงของน้ำตกดังสนั่น 


    " นั่น พวกมดยักษ์มันหันหลังกลับไปแล้ว แสดงว่ามันคงไม่ตามพวกเราแล้วล่ะ "


    กานต์ กล่าวสิ่งที่เขาสังเกตุเห็น อีกฝากหนึ่งฝูงมดเริ่มทยอยกลับหลังหันห่างออกไป


    " มันคงหมดหวังที่จะได้กินพวกเราน่ะสิ จึงได้กลับ แต่นั่นมีพวกมันนอนอยู่หลายตัว ไม่ใหวติงเลย 

    หรือว่าพวกมันตาย เอ.หรือว่ามันเหนื่อยที่วิ่งตามเรา นี่มันทุ่มเทขนาดนี้เลยเหรอ "


    แสงดาว กล่าว


    " แปลกนะ ปรกติมดมันเป็นสัตว์ที่มีความเเข็งเเรงมาก มันจะวิ่งมาแบบไม่ดูกำลังเลยหรือ ที่จริง

    แล้วน้ำตกที่อ้อมไปทางฝั่งนั้นมันก็ไม่ได้ไกลเท่าไรสำหรับสัตว์ที่มีความเร็วแบบมดถ้ามันจะอ้อม

    ไป แต่ทำไมมดมันเลือกที่จะกลับมากกว่าอ้อมไปรอพวกเราอยู่ทางไต้น้ำ ตกฝั่งนั้น และแถมมา

    ตายเอาด้วย น่าจะมีสาเหตุอื่นแล้วนะ "


    จามิกร ตั้งข้อสังเกตุ


    " ก็ดีแล้วล่ะ มันจะยังไงก็ช่าง มันไม่อยุ่ฝั่งนั้นแล้ว เมื่อเราคงไปข้างล่างและล่องแพไปต่อได้ จะได้

    ไม่มีพวกมันทั้งฝูงไม่ต้องมาให้ระแวงอีก "


    กานต์ กล่าวสรุป แต่ในใจแฟนสาวของเขายังคงครุ่นคิดอยู่จามิกรเห็นว่ามันเป็นเหตุการณ์

    ที่น่าผิดสังเกตุอยู่พอสมควร


    " หายเหนื่อยแล้ว พวกเราไต่ลงกันไปเถอะ ใหนใหนพวกมดนั่นก็ไปแล้ว "


    อัครชัยกล่าว หลังจากเห็นว่าได้พักสักครู่ เรี่ยวแรงทุกคนก็พอจะกลับมาเดินทางต่อได้

    แล้ว  ทั้งหมดหาเถาวัลย์ผูกเข้ากับแพ พร้อมทั้งค่อยค่อยหย่อนมันลงไปสู่เบื้องล่าง และ

    เมื่อแพลงไปถึงพื้นข้างล่างแล้ว พวกเขาก็ไต่ตามลงไป ทางหน้าผาที่ไต่ลงมีทั้งเถาวัลย์

    และไม้ยืนต้นเล็กเล็กขึ้นอยู่ พวกเขาจึงใช้จับมันไต่ลงไปได้ไม่ยากนัก เพียงครู่พวกเขาก็

    ไต่ลงมาได้ถึงข้างล่าง 


    " ข้างล่างนี้มีโพลงอะไรไม่รู้เนี่ย มันเป็นรูเข้าไปในหน้าผาเมื่อกี้เราอยู่ข้างบนมองไม่เห็น "


    อรัญอุทาน หลังจากที่เขาไต่ลงมาถึงเป็นคนแรกและตกใจที่หันไปเห็นโพลงที่อยู่ด้านหลัง


    " คุ้น คุ้น นะ เหมือนเอิบ รูไอ้หนอนยักษ์เลย แต่ดูมันเก่านะ น่าจะซักสองสามวันแล้ว มีต้นไม้ต้ำ

    เล็กเล็กเริ่มขึ้นอยู่ "


    จามิกร ตั้งข้อสังเกต


    " โชคดีไป ที่มันเป็นรูเก่าขนาดนั้น สงสัย ตอนที่มันมาจากพวกเรามันคงมาโผล่ตรงนี้และลงน้ำไป 

    หรือว่ามดพวกนั้นมันรู้ว่าตรงนี้จะเป็นถิ่นของไอ้หนอนยักษ์แล้ว จึงหนีไป "


    อรัญ แสดงความคิดเห็น


    " ไม่น่าใช่ หรอกเรื่องมด ต้นสนยักษ์เขาก็บอกแล้วไม่ใช่หรือว่า พวกมดยักษ์พวกนี้มันไม่

    ได้กลัวหนอนยักษ์ หนอนยักษ์เสียมากกว่าน่าจะกลัวมดพวกนั้น นี่คงไม่ใช่ความบังเอิญแน่ที่หนอน

    ยักษ์มันตั้งใจมาโผล่แถวนี้ ตรงนั้นเหมือนเป็นจุดที่มดยักษ์มันผ่านมาไม่ได้ มันถึงได้ตาย และ

    หนอนยักษ์มันคงจะรู้ ว่าแถวนี้จึงเป็นจุดที่ปลอดภัยจากมดยักษ์สำหรับมัน มันจึงเลือกมาโผล่ตรง

    นี้ "


    จามิกร อธิบาย



    " อื้ม น่าจะเป็นจริงอย่างจาว่า แต่ว่าอะไรล่ะที่ทำให้มดยักษ์มันตายได้พวกเราพอจำได้ใหมว่า

    ต้นสนยักษ์เข้าบอกไว้ยังไง ว่ามดยักษ์พวกนี้มันกลัวอะไร "


    แสงดาวถาม เธอเองยังคงนึกไม่ออก จึงได้ถามความเห็นจากทุกคน


    " นึกออกแล้ว ที่ต้นสนบอก  พื้นที่กั้นระหว่างมดยักษ์กับปลวกยักษ์นั่นไง ปราการไพรีทรอย พื้นที่

    เป็นน้ำตกตรงนี้ คือปราการไพรีทอย หนอนยักษ์มันจึงใช้สถานที่ตรงนี้เป็นทางผ่านไงเพื่อไม่ให้ไป

    เจอกับพวกมดยักษ์ "


    ดุจปราย กล่าวทันทีที่เธอนึกขึ้นมาได้



    " ใช่จริงจริงด้วย เมื่อมดยักษ์มันเลยเข้ามาในเขตปราการนี้มันจึงตายไงและมันไปต่อไม่ได้ จึงต้อง

    กลับไง "


    อรัญ กล่าวสนับสนุนคำพูดแฟนสาว


    " คงใช่จริงจริงอย่างดุจปรายบอกแระ งั้นแสดงว่าตอนนี้เราได้เข้ามาในเขตของปลวกยักษ์และเจ้า

    หนอนยักษ์ เอ๊ไม่ใช่สิ เพราะปราการนี้มันก็มีผลต่อปลวกยักษ์เหมือนกันแสดงว่า ต้องผ่านพื้นที่ไป

    อีกไม่รู้เท่าไรจึงจะพ้นจากปราการนี้ และนั่นพวกเราถึงจะเจอกับพวกปลวกยักษ์ "


    จามิกร แสดงความคิดเห็น


    "  เราจะเจอกับปลวกยักษ์อีกเมื่อไรไม่รู้ แต่เจ้าของรูนี่สิ มันคงจะไม่ได้กลัวพื้นที่แถวนี้แน่ ไม่งั้นมัน

    คงไม่เลือกที่จะโผล่มาแถวนี้  "



    แสงดาว ตั้งข้อสังเกตุ



    " นั่นสิ เราก็รู้ว่าถ้ามันอยู่แถวนี้ความเคลื่อนไหวของพวกเราหนอนยักษ์มันคงรับรู้ได้แน่"


    อัครชัย กล่าว


    " แต่ว่าก็ว่าเถอะ แถวนี้เสียงน้ำตกและเเรงสั่นสะเทือนจากน้ำที่ตกลงมามันก็ดังมากอยู่นะ มัน คง

    แยกไม่ออกหรอกมั้งว่าจะเป็นเสียงพวกเรากำลังเดิน และอีกไม่นานพวกเราก็เอาแพลงน้ำแล้ว "


    แสงดาว อธิบายกับแฟนหนุ่ม


    " ก็หวังว่าให้เป็นเช่นนั้น เพราะถ้ามันแยกแยะได้ พวกเราแย่อีกแน่ ตอนนี้พวกเรายิ่งไม่มีอวัยวะ

    พิเศษเพิ่มมาเหมือนแต่ก่อนอีกด้วย มันน่ากลัวขนาดใหน ดูสิดูรอยใหญ่น่ากลัวของมันสิหนอนยักษ์

    หลังจากออกมาจากรูนี้แล้ว มันก็ยังเลื้อยไปตามริมน้ำนี่ ดูสิรอยมันจางจางมองออกอยู่เลย "


    อัครชัยกล่าว พร้อมกับชี้ให้ทุกคนดู และความคิดหนึ่งก็แว๊บขึ้นและเขาจึงกล่าวต่อ


    " นี่มันก็เย็นพอสมควรแล้ว คืนนี้เราพักแถวนี้ใหม ถ้าเรารีบไปอาจไปมืดค่ำแถวถิ่นของปลวกยักษ์

    หรือเปล่าไม่รู้


    " นั่นน่ะสิ ถ้าเราพักกันตรงนี้ แล้วเช้าได้ล่องแพออกไปเวลาอาจพอให้เราผ่านพวกปลวกยักษ์ไป

    ได้ เพราะมันมีเวลากลางวันมากชั่วโมง "


    กานต์ กล่าวสนับสนุน เพราะเห็นด้วยกับความคิดของอัครชัย

    และเมื่อทุกคนก็เห็นด้วย พวกเขาจึงหากิ่งไม้และเริ่มก่อกองไฟ พวกเขาสังเกตุเห็นว่าใน

    น้ำมีสัตว์จำพวกปลาอยู่หลายตัวและรู้สึกได้ว่ามันเป็นสายพันธ์ที่พวกเขานั้นเคยเห็นที่บน

    โลก ถึงมันจะตัวใหญ่แต่ก็พอให้พวกเขาล่ามันมาพอเป็นอาหารได้ พวกเขาเอามันมาย่าง

    ไฟและกินกันรู้สึกได้ว่า อาหารมื่อนี้ดูเป็นธรรมชาติและเอร็ดอร่อยที่สุดเป็นมื้อแรกตั้งแต่

    มาที่นี่


    " ดีกว่ากินปลาใหลยักษ์นั่นเยอะเลย ปลานี่มันคาวและรสชาติเหมือนกับที่อยู่บนโลกเลย นี่กระมัง

    มันเป็นถิ่นที่ มีสัตว์จากโลกเรามาอยู่ ต้นไม้และสัตว์แถวนี้จึงดูมันเหมือนกับที่โลกมาก เพียงแต่

    ขนาดที่มันใหญ่เท่านั้นเองที่แตกต่างกัน "


    จามิกรกินไปพลาง พูดไปด้วย และลิ้มรสอาหารด้วยความเอร็ดอร่อย


    " พวกเราต้องกินให้อิ่ม และดับกองไฟก่อนที่มันจะมืดค่ำ เพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจในตอน

    กลางคืนเราไม่รู้ว่าจะมีตัวอะไรเข้ามาแถวนี้ได้อีกถ้ามันเห็นแสงไฟ "


    อัครชัย กล่าว ทุกคนเห็นด้วยและไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไร และเมื่ออิ่มหนำสำราญกัน

    ทุกคนแล้ว อย่างที่คุยกันไว้กองไฟก็ถูกเขี่ยเพื่อให้ดับทันที และเมื่อไฟถูกเขี่ยและถูกเอา

    น้ำมาพรมใส่เพื่อให้ดับ ควันสีขาวก็คลุ้งกระจายไปทั่ว จนทั้งหมดกลัวที่จะเป็นจุดสนใจ

    จากผู้ที่มองเห็นมาจากที่อื่น จึงได้รีบกันฝ่าควันขาวเร่งเอาน้ำไปใส่ให้ดับ

    อัครชัย รู้สึกผิดสังเกตุเขาได้กลิ่นควันไฟแปลกแปลก แต่ก็สายเกินไปเมื่อสูดกลิ่นนั้น

    เข้าไปเขาก็รู้สึกวิงเวียงและปฎิสัมปชัญยะ ก็ดับวูบ



    " ว้าย "


    แสงดาวรู้สึกตกใจเธอร้องเสียงหลง ที่จู่จู่แฟนหนุ่มของเธอก็ล้มลงข้างกองไฟ ที่ยังไม่ดับ

    สนิท เธอพยายามฝ่าควันไฟดึงร่างของอัครชัยออกมาให้ไกลจากกองไฟเพราะกลัวร่าง

    ของแฟนหนุ่มร้อนและไหม้ และเมื่อดึงออกมาได้พอสมควรทุกคนจึงรีบไปพยายามเข้า

    ช่วย แต่เมื่อรับร่างของอัครชัยมาจากมือแสงดาวแล้ว ทุกคนก็ต้องตกใจอีกเพราะร่างแสง

    ดาวก็ล้มลงหมดสติไปอีกคน


    " เกิดอะไรขึ้นทำไม หมออัครกับแสดงดาว ถึงเป็นอย่างนี้ "


    อรัญ กล่าวอย่างตระหนก กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนทั้งสอง


    " สงสัยปลาที่เรากินแน่เลยมันอาจมีพิษอะไรก็ได้ที่เราไม่รู้ พวกเราก็กินกันไปเยอะด้วยจะเป็นไรไป

    ด้วยเปล่าเนี่ย "


    ดุจปราย กล่าวอย่างสงสัย เพราะเธอเป็นพยาบาลจึงคาดเดาด้วยความสงสัย เพราะเธอ

    เคยได้รับการรักษาคนที่กินอะไรที่พิษและเข้ามาทำการรักษา

    หลังจากที่ดุจปรายกล่าวจบต่างคนต่างมองหน้ากัน และรู้สึกกันได้ทุกคนว่าตัวเองก็เริ่มมี

    อาการวิงเวียนเช่นกัน และสติทุกคนก็ดับวูบและล้มลงไม่รู้สติอีกเลย


    ไม่รู้นานเท่าไร อัครชัยเหมือนฝันไปว่ามีความมืดมิดในขณะภวัง เริ่มมีแสงสว่างที่สว่าง

    มากมันสว่างเสียจนเขาไม่เคยได้เจอมาก่อน และด้วยความสว่างนั้นได้ทำให้เขาตกใจตื่น 

    เขารู้สึกตัวและลืมตาดูรอบรอบ แต่ก็ต้องหยีตา เมื่อเห็นว่ามีแสงสว่างมารอบตัวไปทั่ว มัน

    สว่างเสียจนเขาต้องหรี่ตา และพยายามฝ่าแสงสว่างนั้นมองไปรอบรอบ เขาเห็นทุกคน

    นอนกันระเกะระกะ อยู่รอบกองไฟที่มอดแล้ว เขาจำได้ว่ามันเป็นกองไฟทีพวกเขาจุดได้ 

    และช่วยกันดับก่อนที่ความรู้สึกเขาจะวูบหายไป และเมื่อตั้งสติได้เขาไม่รู้ว่าทุกคนจะเป็น

    อะไรหรือเปล่าที่นอนแน่นิ่งเช่นนี้ เขาจึงพยายามเขย่าร่างของทุกคนให้รู้สึกตัว และเขาก็

    ดีใจ ที่ทุกคนเริ่มรู้สึกตัวเมื่อเขาปลุก 


    " เอ๊ะเราเป็นอะไรไปเนี่ย เอ๊ะ สว่างทำไมรอบตัวพวกเรามันสว่างขนาดนี้แสงอะไร "


    อรัญอุทาน เขาตกใจที่มีแสงสว่างมาก และรู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเขาหมดสติไป

    เพราะอะไร

    และยังไม่ทันทีที่ทุกคนหายแปลกใจเกี่ยวกับแสงสว่าง 


    " แซ็ด ด "


    ฉับพลันทุกคนก็ได้ยินเสียงแผดประหลาดแสบแก้วหูและนั่นทำให้ทุกคนพยายามมองหา

    สิ่งที่มาของเสียง  และทุกคนก็ได้เห็น แสงประหลาดที่พุ่งสว่างวาบอยู่บนท้องฟ้าพุ่งลงไป

    ทางทิศไต้ แสงและเสียงประหลาดเกิดมาจากที่เดียวกัน 


    " ตู้ม "


    เสียงเหมือนระเบิดขนาดใหญ่ดังมากขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับแสงที่ทุกคนมองเห็นก็แตก

    กระจายในท้องฟ้า และแสงก็วูบดับลง พร้อมทั้งแสงจ้าที่เกิดอยู่เมื่อสักครู่ก็ดับลงด้วย


    " มันเกิดอะไรขึ้นแล้วทำไมแสงนั่น มันสว่างขนาดนั้น "


    ดุจปรายถาม เธอยังคงแปลกใจกับเหตุการประหลาดเมื่อครู่


     " มันต้องเป็นอุกาบาตที่มีขนาดใหญ่แน่เลย ถึงได้เกิดเเสงและเสียงดังแบบนี้ได้  " 


    จามิกรตอบอย่าง ค่อนข้างมั่นใจ หลังจากพิจารณาจากสิ่งที่มองเห็น


    " ประหลาด ไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อน แล้วมันเกี่ยวกับพวกเราที่หมดสติ กันมาทั้งคืนไม๊ เนี่ยดูแล้ว

    ตอนนี้น่าจะสายสายของอีกวันแล้ว เมื่อคืนพวกเราทั้งหมดสลบกันอยู่ตรงนี้ทั้งหมดแน่เลย "


    อรัญ วิเคราะและตั้งข้อสังเกต 


    " ไม่น่าจะเกี่ยวอุกาบาตตกมันเป็นปรากฏการทางธรรมชาติ ที่พวกเราสลบไป อาจเป็นเพราะมี

    สาเหตุอะไรสักอย่างหนึ่งทำให้เราสลบไปไม่น่าเกี่ยวกับอุกาบาต "


    อัครชัย อธิบาย


    " จะเป็นเพราะปลาที่เรากินเข้าไปกันไม๊มันอาจมีสารพิษที่มีผลต่อสติสัมปชัญญะของพวกเราก็

    ได้ "


    จามิกร แสดงความคิดเห็น


    " ไม่น่าจะใช่ เพราะพวกเราไม่ได้มีอาการปวดท้องก่อนที่จะพากันสลบไป ผมสงสัยว่าน่าจะเป็น

    ควันไฟเสียมากกว่า จำได้ก่อนสลบไปรู้สึกได้ว่าเหมือนได้กลิ่นสารพิษอะไรสักอย่างหนึ่ง เตะจมูก  

    ก่อนที่จะวูบไป "


    อัครชัย ตั้งข้อสังเกตุ


     " อื้ม ใช่แสงดาวก็ได้กลิ่นเหมือนกันตอนที่เข้าไปช่วยพี่หมอ มันเหมือนเราฉีดยากันยุงนั่แหระ แต่

    กลิ่นมันแรงกว่า "


    แสงดาวกล่าวคล้อยตามแฟนหนุ่มของเธอ


    " กลิ่นเหรอ จาก็ได้กลิ่นเหมือนกัน แสดงว่าควันไฟนี่รมพวกเราจนสลบ การก่อกองไฟของพวกเรา

    นี่มันคงทำปฎิกริยากับท่อนไม้ที่อาจจะเป็นพิษอะไรสักอย่างหนึ่งก็เป็นได้ "


    จามิกร แสดงความคิดเห็น


    " แต่ผมคิดว่ามันไม่น่าจะเป็นท่อนไม้ มันอาจจะเป็นพื้นดินแถวนี้นะ อย่างที่เรารู้กันดินแถวนี้มีสารที่

    ฆ่าแมลงได้ ทั้งมดยักษ์และปลวกยักษ์ถึงกลัวมัน การสุมไฟของพวกเราคงกระตุ้นสารในดินให้ฟุ้ง

    กระจายและเมื่อเราสูดเขาไปจึงสลบไป "


    กานต์ ตั้งข้อสังเกตุ


    " สมแล้ว มีแฟนเป็นเป็นด๊อกเตอร์ อันนี้วินิจฉัยดูความน่าจะเป็นไปได้ที่สุด"


    อรัญ กล่าวสับพยอกกานต์


    " ก็ยังดีนะที่ระหว่างสลบอยู่ไม่มีตัวอะไรมาคาบพวกเราไป สลบกันทุกคนข้ามคืนมาเลยไม่มีคนเฝ้า

    ยามเลยเมื่อคืนนี้ นี่ถ้าแสงไม่สว่างมาก อาจไม่มีอะไรกระตุ้นให้กลับมามีสติก็ได้"


    อัครชัย กล่าว 


    " รอดมาได้ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว ว่าแต่อุกาบาตนั่นนะสิ มันคงจะใหญ่มากนะ ทั้งแสงและเสียง

    ตอนที่ระเบิด อาจเป็นไปได้ว่าอาจมีบางชิ้นส่วนที่ระเบิดได้ไม่หมดตกลงสู่พื้นดินแถวทางไต้นั่นก็

    ได้ "


    จามิกร ตั้งข้อสังเกตุ และความสมมุติฐานของเธอนั้นถูกต้อง


    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


    " มัจเจนาย พวกปิเยเราสิ้นชีตะไปนับไม่ถ้วนเลย ก้อนหินยักษ์ที่ตกจากท้องฟ้า มันร่วงเข้ามาตรง

    ลางกลุ่มพวกปิเยเราพอดีเลย เนี่ยแม้แต่ปิเยที่หาข่าวกับปิเยข้า ยังสิ้นชีตะไปหลายร่างเลย "


    ร่างสะบักสะบอมของปิเยร่างหนึ่งเข้ามารายงาน เหตุการไม่คาดฝันได้เกิดขึ้น ก้อนหิน

    ยักษ์ที่มีขนาดหลายตัน ลอยพุ่งมาจากบนอากาศ พร้อมแผดเสียงระเบิดขึ้น และมีก้อนที่มี

    ขนาดใหญ่ก่อนหนึ่งกระเเทกเข้าก็พื้นดินกลางขบวนทัพของมัจเจ ที่กำลังเคลื่อนพลจะ

    เข้าโจมตี ฝ่ายของติอากอ แรงกระแทกทำให้ทัพมัจเจ ต้องสูญเสียกำลังพลไปเป็นจำนวน

    มาก และคราวนี้ความสูญเสียไพร่พลไปหนักกว่าคราวที่น้ำท่วมใหญ่คราวที่แล้วเสียอีก


    " แล้ว แองโกล่าที่อยู่ข้างหน้าล่ะเป็นอย่างไรบ้าง "


    ปิเยโอ๊คาระ ถามปิเยร่างที่เข้ามารายงาน นั้น 


    " ยังไม่รู้ชะตากรรมเลย ท่าน ตอนที่จวนตัวเห็นเขาพยายามจะมุดดินหนี แต่ไม่วายถูกก้อนหิน

    กระแทกเข้าไป ได้รับบาดแผลใหญ่มากเหมือนกันก่อนที่จะเห็นมุดดินหายไปไม่รู้ว่าจะรอดหรือ

    เปล่า "


    ปิเยผู้รายงานข่าวตอบ


    " โอเป็นอะไรกันวะ ทำไมเมื่อปิเยเราตั้งท่าจะเข้าโจมตี พวกติอากอมันเมื่อไร ทำไมต้องมี

    เหตุการณ์ให้สูญเสียแบบนี้ทุกที พวก มันมีดีอะไร " 


    มัจเจ กล่าวอย่างหัวเสีย 


    " ปิเยข้าคิดว่ามันเป็นความบังเอิญมากกว่า พวกมันจะโชคดีไปทุกครั้งเชียวหรือ อย่าไปเสียขวัญ

    เลยมัจเจ  ถือว่าโชคดีเท่าไรแล้วที่สมุนของเจ้าสิ้นชีตะไป แต่ปิเยเจ้ากับปิเยข้ายังอยู่ ยังมีโอกาสที่

    สามารถหากำลังเพิ่มเติมอีกมาก ยังไงเสียไม่ช้าก็เร็วปิเยเราก็ต้องมีโอกาสอีกแน่สมุนของปิเยเราก็

    สร้างได้อีก พวกนั้นมันไม่คณามือพวกเราหรอก นั่นไง แองโกล่าก็ไม่ได้สิ้นชีตะไปโผล่มานั่นแล้ว "


    โอ๊ดคาระกล่าว พร้อมชี้ไปที่หนอนยักษ์ที่ปรากฏกายโผล่ขึ้นมาบนผิวดินที่ไม่ไกลห่างออก

    ไปนัก แต่ลำตัวของมันกับแดงฉานไปด้วยเลือด ผิวหนังตามลำตัวที่ทอดยาวมีบาดแผล

    ฉกรรจ์ และผิวหนังฉีกขาดเปื่อยยุ่ยและหลุดร่อนบางส่วน ดูมันเชื่องช้ากว่าแต่ก่อนที่ มัจเจ

    เห็นมาก ไม่เหลือเค้ารางของสัตว์ร้ายที่น่าเกรงขามอีกต่อไป


    " ข้าเจ็บเหลือเกินท่าน โอ๊คคาระ ท่านมีวิธีรักษาบาดแผลเพื่อบรรเทาความเจ็บมันลงบ้าง

    ใหม "


    หนอนยักษ์ครวญครางอย่างเจ็บปวด มันมีความหวังว่าต้นไม้ที่มีอายุมานาน น่าจะพอมี

    ประสบการณ์ พอจะหาทางรักษาอาการบาตเจ็บของมันได้ แต่หนอนยักษ์กลับคิดผิด


    " ไม่เลย ปิเยเราไม่เคยรู้วิธีที่จะ รักษาเจ้าหรอกแองโกล่า คิดว่าเวลาเท่านั้นที่จะเยียวยาบาดแผล

    ของเจ้าได้ เจ้าต้องทรมาณไปจนกว่าแผลมันจะหายเอง และนั่นคงเป็นเวลานับเดือน  และนั่นจะ

    เป็นบททดสอบว่า เจ้าจะทนพิษบาดแผลอยู่ถึงตอนนั้นได้หรือไม่ "


    โอ๊คคาระตอบ คำตอบนั้นทิ่มแทงใจหนอนยักษ์ยิ่งนัก และนั่นยิ่งทำให้หนอนยักษ์รู้สึกได้ว่า

    กำลังใจมันได้ลดน้อยลง บาดแผลรู้สึกได้ว่ามันมีความเจ็บปวดเพิ่มขึ้น  หนอนยักษ์กลับไป

    นึกถึง พวกปลวกยักษ์ที่เคยอยู่ด้วย มันเองเคยได้รับการบาดเจ็บมาหลายครั้ง หลายครั้งที่

    ถูกฝูงมดยักษ์โจมตี จนได้รับบาดเจ็บ พวกปลวกยักษ์ จะรู้ถึงวิธี หาทางรักษาโดยนำเอา

    สารจากต้นไม้ชนิดต่างต่าง หรือดินบางชนิด ที่ปลวกยักษ์หยั่งรู้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่ทำให้

    รักษาร่างกายได้ ทำให้ไม่เคยได้รับความเจ็บปวดสาหัสสากันขนาดนี้ ถ้าเป็นไปได้และมี

    แรงพอ หนอนยักษ์มีความคิดอยากจะกลับไปอยู่กับพวกปลวกยักษ์ตามเดิมมากกว่า แต่

    ติดที่ว่า ตัวมันเองทำอะไร กับพวกปลวกยักษ์ไว้ และรู้ว่าร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บขนาดนี้ 

    ถ้าคิดจะย้อนกลับไป โอ๊คคาระและพวกมัจเจคงไม่ให้โอกาสมันได้กลับไปแบบมีชีวิตแน่ 

    เพราะตอนนี้ร่างกายของมันบาดเจ็บเกินจะป้องกันตัวเองด้วยซ้ำ คิดเช่นนั้นทางที่ดีที่สุด 

    คือเงียบและทนความบาดเจ็บไป จนกว่าแผลทั่วทั้งร่างจะหายเป็นปรกติ แต่มันก็ทรมาณ

    เพราะร่างที่ยาวใหญ่ขาดผิวหนังที่ปกปิดเนื้อด้านใน มันล่อให้แมลงมาเกาะและกัด ทำให้

    รู้สึก เจ็บและคันมาก มันจึงอยู่นิ่งนิ่งไม่ได้เลย


    " ท่านโอ๊คคาระ แองโกล่าบาดเจ็บขนาดนี้จะรอดหรือ "


    ปิเยมัจเจถามโอ๊คคาระหลังจากที่หนอนยักษ์ห่างออกไป ปิเยมัจเจดูจากบาดแผลฉกรรจ์

    ทั่วตัวของหนอนยักษ์แล้วน่าเป็นห่วง


    " ถ้ามันไม่รอดก็ถือว่ามันคงไม่คู่ควรเดินทางไปโลกกับพวกปิเยเราแล้ว ล่ะ ทำไงได้ ปิเยข้าก็ไม่ได้

    ทำให้แองโกล่าต้องบาดเจ็บแบบนี้นี่ ถ้าแองโกล่ามันไม่ใหวจริงร่างที่สิ้นชีตะของมัน ก็จะให้ปิเย

    เจ้าและพวกเอามาเป็นอาหารไง "


    ปิเยโอ๊คคาระตอบแบบจะไม่ต้องคิด ทำให้มัจเจรู้ ว่าถ้าตัวมันเองมีสภาพที่หมดประโยชน์

    กับปิเยโอ๊คคาระเมื่อไหร่ สภาพของมันก็คงไม่ต่างกับหนอนยักษ์ตอนนี้เช่นกัน นึกขัดอยู่

    ในใจ แต่ไม่ได้พูดอะไร  ตอนนี้ภาวนาอย่างเดียวว่าจะให้หนอนยักษ์มีชีวิตรอดอยู่ให้ได้

    เพราะจะได้เป็นผู้เปิดประตู


    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    " เป็นอย่างไรบ้างท่าน ดีหนึ่ง มีอะไรเสียหายใหม "


    ปู่อินทร์ตั้งคำถามหลังจากที่ชาวเดฟโดร์นร่างหนึ่งเข้าไปสำรวจยาน เนื่องจากเกรงว่ามี

    ผลกระทบจากแสงและแรงระเบิดของอุกาบาตที่พุ่งลงมาสู่พื้น


    " มีความเสียหายอยู่มากเลยทีเดียว  แผงวงจรคงช๊อดรวนไปหมด คงต้องช่วยกันซ่อมอีก

    หลายวันอยู่ เจ้านี้สมเป็นเผ่าพันธ์มนุษย์ที่มีน้ำใจเป็นห่วงเป็นใยพวกเราจริงจริง พวกเราคิดไม่ผิดที่

    เปลี่ยนใจ ไม่ทำตามความตั้งใจแต่เดิม และยิ่งได้เห็นพวกมนุษย์ดีอย่างนี้ ทำให้ความตั้งใจอีก

    หลายอย่างที่จะทำ อาจต้องกลับมาคิดใหม่และทำใหม่อีกด้วย "


    มนุษย์ ดาวเดฟโดร์นตอบ แต่ปู่อินทร์ไม่เข้าใจทั้งหมด พวกดาวเดฟโดร์นเคยบอก ตอน

    แรกจะหลอกใช้ให้เขาสอนการสื่อสาร ให้ได้เป็นผลสำเร็จ และจะกำจัดเขาเสีย แต่ต้องมา

    เปลี่ยนใจ เพราะเห็นถึงความดีของเขา และนั่นคือความเปลี่ยนความตั้งใจไปครั้งหนึ่งแล้ว 

    แต่มนุษย์ เดฟโดร์นกับพูดว่าจะมีความตั้งใจที่อาจจะต้องเปลี่ยนไปอีก นั่นคือสิ่งที่เข้ายัง

    ไม่เข้าใจ


    " อันที่จริงนะพวกดาวเราไม่น่ามาหลงอยู่ในแรงอาฆาตเลย ไม่งั้นคงไม่ต้องลำบากมาถึงที่นี่ไม่ต้อง

    รบราฆ่าฟันกัน ทั้งพวกเรา และพวกไอซ์โดร์นก็ไม่ต้องแทบจะสูญสิ้นเผ่าพันธ์ "


    มนุษย์ดาวเดฟโดร์นกล่าวขึ้นอีกเหมือนพึ่งสำนึกได้


    " นั่นสิ สงครามไม่ได้ทำให้ใครดีขึ้น ถ้าคิดได้ก็ดี แต่ทุกอย่างติดอยู่ที่อำนาจนะ สิ มนุษย์เองบางที

    ก็เข้าหั้มหั่นกันเองเหมือนกัน กว่าจะคิดได้ก็เหลือแต่ความสูญเสีย " 


    ปูอินทร์ กล่าวอย่างเข้าใจ


    " อืมนั่นสิ ต่อไปหลังจากที่ซ่อมยานเสร็จพวกเราจะทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับพวกเราและพวก

    ไอซ์โดร์นแล้ว คงไม่ตามล่าเอาชีวิตพวกไอซ์โดร์นเหมือนที่ตั้งใจแต่แรกแล้ว พวกเราจะหาทางนำ

    พวกไอซ์โดร์นกลับไปดาวของเรา สองมิติของดาวโคร์นจะเลิกสู้รบกันและฟื้นฟูดาวของเราให้กลับ

    มาดีเหมือนเดิม "


    มนุษย์ดาวเดฟโดร์นกล่าว


    " ข้าดีใจนะที่พวกท่านคิดได้ และดีใจที่การเสี่ยงชีวิตและรอดตายของข้าครั้งนี้ไม่สูญเปล่า ว่าแต่

    ทำไมอุกาบาตมันถึงกระทบกระเทือนกับยานของท่านมาก ปรกติแล้วอุกาบาตเมื่อผ่านชั้น

    บรรยากาศจะเกิดการระเบิดเสียจนหมดไม่มีล่วงหล่นมาถึงพื้นดิน ผลกระทบแค่แสงจ้าและเสียงดัง

    ไม่น่าจะมีผลกับยานที่มีวิวัฒนาการก้าวล้ำอย่างยานของท่าน ทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้ล่ะ "


    ปู่อินทร์ตั้งข้อสังเกตุ


    " อุกาบาตที่มาครั้งนี้ ที่จริงแล้วมันไม่ปรกติเหมือนทุกครั้งที่เจ้าเข้าใจ ตอนที่มันพุ่งลงมา สายตา

    ข้าสามารถมองเห็นมันได้ ตลอด แต่สายตามมนุษย์อย่างเจ้าคงมองผ่านแสงจ้าของมันไปไม่ได้ "


    มนุษย์ดาวเดฟโดร์นกล่าว นั่นยิ่งทำให้ปูอินทร์ ยิ่งมีความสงสัยขึ้นไปอีกเขาจึงเอ่ยปาก

    ถาม


    " มันมีอะไรที่ไม่ปรกติหรือ ท่าน"


    " มีสิการพุ่งลงมาของอุกาบาตที่จริงแล้ว มีการผ่านชั้นบรรยายกาศและระเบิดไปจนหมดก็จริงอยู่ 

    แต่อุกาบาตที่มาคราวนี้จริงจริงแล้วมันไม่น่าจะมีแค่ลูกเดียว ลักษณะการพุ่งลงมาทำให้มันอาจจะมี

    อุกาบาตมากกว่าหนึ่งลูก โดยพุ่งตามหลังกันลงมา เมื่อลูกแรกเข้าสู้ชั้นบรรยากาศอาจเกิดการ

    ระเบิด แต่แรงที่พุ่งด้วยความเร็ว อาจทำให้เกิดช่องเป็นรูโหว่ของชั้นบรรยากาศก่อนการระเบิดก็

    เป็นได้ และนั่นจึงเป็นช่องให้อุกาบาตลูกที่ตามมาสามารถพุ่งผ่านช่องแยกของชั้นบรรยากาศลงมา

    ได้โดยที่แทบจะไม่เป็นอะไร และอุกาบาตลูกหลังนี่แหระ ที่มันมาหล่นที่ใหนซักที่หนึ่งบนโลกแห่ง

    นี้ และมันจึงมีผลกระทบต่อยานของข้าไง เพราะมันเป็นวัตถุที่มาจากนอกโลกอาจมีรังษีอะไรซัก

    อย่างหนึ่งที่ทำอันตรายกับยานของข้า ซึ่งนั่นพวกข้าคงต้องค้นหาสาเหตุของมันอีกที "


    มนุษย์ดาวเดฟโดร์นอธิบาย


    " โอ๊โห มีเหตุการณ์ แบบนี้ด้วยเหรออะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้น  นี่ถ้าอุกาบาตที่มันมีขนาดใหญ่

    กว่านี้และมีตามกันมาสองลูกแบบนี้ และลูกที่ตามมาใหญ่และตกลงบนพื้นแบบนี้ ไม่ราบคาบหรือ "


    ปู่อินทร์ตั้งข้อสังเกตุ


    " นั่นน่ะสิ แต่เหตุการแบบนี้ไม่ได้เป็นเรื่องบังเอิญที่จะเกิดขึ้นง่ายง่าย และจังหวะมันจะเหมาะเหม็ง

    ได้แบบนี้ นอกเสียจาก มันจะไม่ใช่ความบังเอิญ "




























    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×