ลำดับตอนที่ #64
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #64 : ปราการไพรีทรอย
อัครชัยและพวก ยังคงล่องแพไปเรื่อย พวกเขาพยายามบังคับแพไม่ให้เข้าไปใกล้ตลิ่งฝั่ง
ที่มีฝูงมดยักษ์วิ่งขนาบมาอยู่ และไม่นานทุกคนก็รู้สึกว่า แพที่ล่องอยู่นั้น มันเริ่มเพิ่ม
ความเร็วขึ้น จนผิดสังเกตุ
" รู้สึกใหม ว่ามันบังคับแพยากขึ้นนะ เหมือนน้ำตรงนี้มันเชี่ยวขึ้น แพก็เร็วขึ้นหรือว่ามันจะลงที่ต่ำไป
เป็น ..เอิบ "
แสงดาว กล่าวแต่เธอยังไม่ค่อยแน่ใจจึงไม่กล้าฟันธงว่าเธอสงสัยอะไรที่จะเกิดขึ้นกับแพ
นี้ แต่แฟนหนุ่มของเธอเข้าใจความคิดของเธอดี เข้าจึงกล่าวขึ้น
" แสงดาวกลัวว่าข้างหน้ามันจะเป็นน้ำตกใช่ใหม แต่น้ำมันใหลแรงจริง ทางที่ดีเราก็ควรระวังตัวไว้
ก็ดี ไม่รู้ว่าข้างหน้าจะเป็นหน้าผาน้ำตกหรือเปล่า เราช่วยกันถ่อแพเขาไปข้างข้างและหยุดดูก่อนดี
ไหม "
" ก็ดีเหมือนกัน ยังไงด้านนี้ก็ไม่มีตัวอะไร และมันเตียนเตียนมองเห็นได้ไกลอยู่คงไม่มีอะไร "
กานต์ กล่าวสนับสนุน และทั้งหมดก็ช่วยกันถ่อแพเข้าไปใกล้ตลิ่งอีกฝั่งที่คิดว่าปลอดภัย
เพราะอีกด้านมีฝูงมดยักษ์ที่ยังตามอยู่ และเมื่อเข้าเลียบฝั่งได้พวกเขาก็กระโดดขึ้นฝั่งไป
พร้อมทั้งดึงแพขึ้นไปบนฝั่งเพื่อไม่ให้แพมันใหลไปตามน้ำที่เชี่ยวกรากด้วย
" น่าจะมีข้างหน้าแน่เลยหน้าผาน้ำตก ยิ่งเราแวะมาดูแล้วน้ำใหลแรงจริงจริง สงสัยว่าเรา
ล่องไปอีกซักหน่อยคงควบคุมแพไม่ได้แน่ "
อรัญตั้งข้อสังเกต
" จะทำไงล่ะที่นี้ แพก็ล่องไปไม่ได้ ยังดีนะที่ฝั่งนี้ไม่มีตัวอะไรน่ากลัวอยู่ ไม่งั้นพวกเราคงเหมือนถูก
บังคับให้แพล่องไปหล่นที่หน้าผาน้ำตกแน่ "
ดุจปราย บ่น
" เราคงต้องเดินเรียบริมน้ำไปเรื่อยแล้วล่ะ ไว้ถ้ามันมีน้ำตกจริงพอพ้นน้ำตกไปเราก็น่าจะล่องแพกัน
ไปได้ต่อ นี่ก็ถือว่าดีแล้วเรามาได้ตั้งนานถ้าเราเดินมาป่านนี้คงยังมาไม่ไกลถึงนี่หรอก "
แสงดาวแสดงความคิดเห็น
ทั้งหมดเริ่มออกเดินเท้าอีกครั้ง แต่คราวนี้พวกเขาได้ยกแพไปด้วย ตอนที่นั่งบนแพมาก็ไม่
ค่อยได้รู้สึกเหนื่อยอะไร แต่ตอนนี้ทุกคนตกยกแพไปด้วยทำให้การเดินทางดูทุลักทุเลและ
ล่าช้ามาก แต่ทุกคนก็ไม่บ่น เพราะคิดว่ายังมีความจำเป็นจะต้องใช้มันอีกในโอกาสข้าง
หน้านี้ ไม่ช้าทุกคนก็ได้ยินเสียงสิ่งที่สงสัยตอนที่ยกแพขึ้นจากแม่น้ำนี้
" เสียงน้ำตก ดีนะที่พวกเราไหวตัวทันเกือบไปแล้วไม่ล่ะ เสียงดังมากด้วยแสดงว่าข้างหน้าต้อง
เป็นน้ำตกที่ตกจากหน้าผาที่สูงมากแน่ "
จามิกร กล่าว อย่างตื่นเต้น เธอรู้สึกอยากรู้อยากเห็น ว่าน้ำตกนั้นมันจะสูงและสวยซักแค่
ใหน ซึ่งทุกคนก็คิดเช่นเดียวกันกับเธอ บรรยากาศการเดินทางที่กดกันอยู่ในวันนี้ทั้งวันดู
ผ่อนคลายลง และเมื่อทุกคนเข้ามาใกล้น้ำตก เสียงน้ำที่ตกลงสู่เบื้องล่างมันดังมากและ
ด้วยความสูงของหน้าผามละอองน้ำปลิวฟ่องตามแรงลมไปในอากาศ ดูขาวโพลนเป็นที่
ตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก
" เย็นสบายดีจังเลยเราคงจะต้องพักที่นี่กันสักพัก แล้วค่อยไต่ลงไปข้างล่าง "
อัครชัยแสดงความคิดเห็น ซึ่งนั้นทำให้ทุกคนแปลกใจ ปรกติอัครชัยเป็นคนจริงจัง ทุกคน
ไม่คิดว่า เขาจะมีอารมณ์ สุนทรีเช่นนี้
" ยังไงผมก็รุ่นราวคราวเดียวกันกับพวกเรานะ ถึงบางครั้งจะดูซีเรียสไปบ้าง "
อัครชัย กล่าวอย่างเก้อ เก้อ หลังจากที่เห็นทุกคนมองเขาเป็นตาเดียวกันแล้วยิ้ม เขารู้ว่า
ทุกคนคงเเปลกใจที่เขามีอาการเช่นนี้อย่างที่ไม่ค่อยเคยเป็นมาก่อน แต่ภูมิทัศแถวนี้มันดู
เป็นธรรมชาติที่น่ารื่มรมจริงจริง
ทั้งหมด วางแพลงและพักตรงที่หัวน้ำตกพวกเขามองลงไป จึงได้เห็นที่จริงแล้วน้ำตกก็ไม่
ได้สูงมากเท่าไร เพียงแต่เสียงที่ดังมาเป็นเพราะแผ่นหินที่กระจายไปเป็นวงกว้าง ทำให้
น้ำตกมีความกว้างยืดออกไปมาก และจึงทำให้เสียงของน้ำตกดังสนั่น
" นั่น พวกมดยักษ์มันหันหลังกลับไปแล้ว แสดงว่ามันคงไม่ตามพวกเราแล้วล่ะ "
กานต์ กล่าวสิ่งที่เขาสังเกตุเห็น อีกฝากหนึ่งฝูงมดเริ่มทยอยกลับหลังหันห่างออกไป
" มันคงหมดหวังที่จะได้กินพวกเราน่ะสิ จึงได้กลับ แต่นั่นมีพวกมันนอนอยู่หลายตัว ไม่ใหวติงเลย
หรือว่าพวกมันตาย เอ.หรือว่ามันเหนื่อยที่วิ่งตามเรา นี่มันทุ่มเทขนาดนี้เลยเหรอ "
แสงดาว กล่าว
" แปลกนะ ปรกติมดมันเป็นสัตว์ที่มีความเเข็งเเรงมาก มันจะวิ่งมาแบบไม่ดูกำลังเลยหรือ ที่จริง
แล้วน้ำตกที่อ้อมไปทางฝั่งนั้นมันก็ไม่ได้ไกลเท่าไรสำหรับสัตว์ที่มีความเร็วแบบมดถ้ามันจะอ้อม
ไป แต่ทำไมมดมันเลือกที่จะกลับมากกว่าอ้อมไปรอพวกเราอยู่ทางไต้น้ำ ตกฝั่งนั้น และแถมมา
ตายเอาด้วย น่าจะมีสาเหตุอื่นแล้วนะ "
จามิกร ตั้งข้อสังเกตุ
" ก็ดีแล้วล่ะ มันจะยังไงก็ช่าง มันไม่อยุ่ฝั่งนั้นแล้ว เมื่อเราคงไปข้างล่างและล่องแพไปต่อได้ จะได้
ไม่มีพวกมันทั้งฝูงไม่ต้องมาให้ระแวงอีก "
กานต์ กล่าวสรุป แต่ในใจแฟนสาวของเขายังคงครุ่นคิดอยู่จามิกรเห็นว่ามันเป็นเหตุการณ์
ที่น่าผิดสังเกตุอยู่พอสมควร
" หายเหนื่อยแล้ว พวกเราไต่ลงกันไปเถอะ ใหนใหนพวกมดนั่นก็ไปแล้ว "
อัครชัยกล่าว หลังจากเห็นว่าได้พักสักครู่ เรี่ยวแรงทุกคนก็พอจะกลับมาเดินทางต่อได้
แล้ว ทั้งหมดหาเถาวัลย์ผูกเข้ากับแพ พร้อมทั้งค่อยค่อยหย่อนมันลงไปสู่เบื้องล่าง และ
เมื่อแพลงไปถึงพื้นข้างล่างแล้ว พวกเขาก็ไต่ตามลงไป ทางหน้าผาที่ไต่ลงมีทั้งเถาวัลย์
และไม้ยืนต้นเล็กเล็กขึ้นอยู่ พวกเขาจึงใช้จับมันไต่ลงไปได้ไม่ยากนัก เพียงครู่พวกเขาก็
ไต่ลงมาได้ถึงข้างล่าง
" ข้างล่างนี้มีโพลงอะไรไม่รู้เนี่ย มันเป็นรูเข้าไปในหน้าผาเมื่อกี้เราอยู่ข้างบนมองไม่เห็น "
อรัญอุทาน หลังจากที่เขาไต่ลงมาถึงเป็นคนแรกและตกใจที่หันไปเห็นโพลงที่อยู่ด้านหลัง
" คุ้น คุ้น นะ เหมือนเอิบ รูไอ้หนอนยักษ์เลย แต่ดูมันเก่านะ น่าจะซักสองสามวันแล้ว มีต้นไม้ต้ำ
เล็กเล็กเริ่มขึ้นอยู่ "
จามิกร ตั้งข้อสังเกต
" โชคดีไป ที่มันเป็นรูเก่าขนาดนั้น สงสัย ตอนที่มันมาจากพวกเรามันคงมาโผล่ตรงนี้และลงน้ำไป
หรือว่ามดพวกนั้นมันรู้ว่าตรงนี้จะเป็นถิ่นของไอ้หนอนยักษ์แล้ว จึงหนีไป "
อรัญ แสดงความคิดเห็น
" ไม่น่าใช่ หรอกเรื่องมด ต้นสนยักษ์เขาก็บอกแล้วไม่ใช่หรือว่า พวกมดยักษ์พวกนี้มันไม่
ได้กลัวหนอนยักษ์ หนอนยักษ์เสียมากกว่าน่าจะกลัวมดพวกนั้น นี่คงไม่ใช่ความบังเอิญแน่ที่หนอน
ยักษ์มันตั้งใจมาโผล่แถวนี้ ตรงนั้นเหมือนเป็นจุดที่มดยักษ์มันผ่านมาไม่ได้ มันถึงได้ตาย และ
หนอนยักษ์มันคงจะรู้ ว่าแถวนี้จึงเป็นจุดที่ปลอดภัยจากมดยักษ์สำหรับมัน มันจึงเลือกมาโผล่ตรง
นี้ "
จามิกร อธิบาย
" อื้ม น่าจะเป็นจริงอย่างจาว่า แต่ว่าอะไรล่ะที่ทำให้มดยักษ์มันตายได้พวกเราพอจำได้ใหมว่า
ต้นสนยักษ์เข้าบอกไว้ยังไง ว่ามดยักษ์พวกนี้มันกลัวอะไร "
แสงดาวถาม เธอเองยังคงนึกไม่ออก จึงได้ถามความเห็นจากทุกคน
" นึกออกแล้ว ที่ต้นสนบอก พื้นที่กั้นระหว่างมดยักษ์กับปลวกยักษ์นั่นไง ปราการไพรีทรอย พื้นที่
เป็นน้ำตกตรงนี้ คือปราการไพรีทอย หนอนยักษ์มันจึงใช้สถานที่ตรงนี้เป็นทางผ่านไงเพื่อไม่ให้ไป
เจอกับพวกมดยักษ์ "
ดุจปราย กล่าวทันทีที่เธอนึกขึ้นมาได้
" ใช่จริงจริงด้วย เมื่อมดยักษ์มันเลยเข้ามาในเขตปราการนี้มันจึงตายไงและมันไปต่อไม่ได้ จึงต้อง
กลับไง "
อรัญ กล่าวสนับสนุนคำพูดแฟนสาว
" คงใช่จริงจริงอย่างดุจปรายบอกแระ งั้นแสดงว่าตอนนี้เราได้เข้ามาในเขตของปลวกยักษ์และเจ้า
หนอนยักษ์ เอ๊ไม่ใช่สิ เพราะปราการนี้มันก็มีผลต่อปลวกยักษ์เหมือนกันแสดงว่า ต้องผ่านพื้นที่ไป
อีกไม่รู้เท่าไรจึงจะพ้นจากปราการนี้ และนั่นพวกเราถึงจะเจอกับพวกปลวกยักษ์ "
่จามิกร แสดงความคิดเห็น
" เราจะเจอกับปลวกยักษ์อีกเมื่อไรไม่รู้ แต่เจ้าของรูนี่สิ มันคงจะไม่ได้กลัวพื้นที่แถวนี้แน่ ไม่งั้นมัน
คงไม่เลือกที่จะโผล่มาแถวนี้ "
แสงดาว ตั้งข้อสังเกตุ
" นั่นสิ เราก็รู้ว่าถ้ามันอยู่แถวนี้ความเคลื่อนไหวของพวกเราหนอนยักษ์มันคงรับรู้ได้แน่"
อัครชัย กล่าว
" แต่ว่าก็ว่าเถอะ แถวนี้เสียงน้ำตกและเเรงสั่นสะเทือนจากน้ำที่ตกลงมามันก็ดังมากอยู่นะ มัน คง
แยกไม่ออกหรอกมั้งว่าจะเป็นเสียงพวกเรากำลังเดิน และอีกไม่นานพวกเราก็เอาแพลงน้ำแล้ว "
แสงดาว อธิบายกับแฟนหนุ่ม
" ก็หวังว่าให้เป็นเช่นนั้น เพราะถ้ามันแยกแยะได้ พวกเราแย่อีกแน่ ตอนนี้พวกเรายิ่งไม่มีอวัยวะ
พิเศษเพิ่มมาเหมือนแต่ก่อนอีกด้วย มันน่ากลัวขนาดใหน ดูสิดูรอยใหญ่น่ากลัวของมันสิหนอนยักษ์
หลังจากออกมาจากรูนี้แล้ว มันก็ยังเลื้อยไปตามริมน้ำนี่ ดูสิรอยมันจางจางมองออกอยู่เลย "
อัครชัยกล่าว พร้อมกับชี้ให้ทุกคนดู และความคิดหนึ่งก็แว๊บขึ้นและเขาจึงกล่าวต่อ
" นี่มันก็เย็นพอสมควรแล้ว คืนนี้เราพักแถวนี้ใหม ถ้าเรารีบไปอาจไปมืดค่ำแถวถิ่นของปลวกยักษ์
หรือเปล่าไม่รู้
" นั่นน่ะสิ ถ้าเราพักกันตรงนี้ แล้วเช้าได้ล่องแพออกไปเวลาอาจพอให้เราผ่านพวกปลวกยักษ์ไป
ได้ เพราะมันมีเวลากลางวันมากชั่วโมง "
กานต์ กล่าวสนับสนุน เพราะเห็นด้วยกับความคิดของอัครชัย
และเมื่อทุกคนก็เห็นด้วย พวกเขาจึงหากิ่งไม้และเริ่มก่อกองไฟ พวกเขาสังเกตุเห็นว่าใน
น้ำมีสัตว์จำพวกปลาอยู่หลายตัวและรู้สึกได้ว่ามันเป็นสายพันธ์ที่พวกเขานั้นเคยเห็นที่บน
โลก ถึงมันจะตัวใหญ่แต่ก็พอให้พวกเขาล่ามันมาพอเป็นอาหารได้ พวกเขาเอามันมาย่าง
ไฟและกินกันรู้สึกได้ว่า อาหารมื่อนี้ดูเป็นธรรมชาติและเอร็ดอร่อยที่สุดเป็นมื้อแรกตั้งแต่
มาที่นี่
" ดีกว่ากินปลาใหลยักษ์นั่นเยอะเลย ปลานี่มันคาวและรสชาติเหมือนกับที่อยู่บนโลกเลย นี่กระมัง
มันเป็นถิ่นที่ มีสัตว์จากโลกเรามาอยู่ ต้นไม้และสัตว์แถวนี้จึงดูมันเหมือนกับที่โลกมาก เพียงแต่
ขนาดที่มันใหญ่เท่านั้นเองที่แตกต่างกัน "
จามิกรกินไปพลาง พูดไปด้วย และลิ้มรสอาหารด้วยความเอร็ดอร่อย
" พวกเราต้องกินให้อิ่ม และดับกองไฟก่อนที่มันจะมืดค่ำ เพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจในตอน
กลางคืนเราไม่รู้ว่าจะมีตัวอะไรเข้ามาแถวนี้ได้อีกถ้ามันเห็นแสงไฟ "
อัครชัย กล่าว ทุกคนเห็นด้วยและไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไร และเมื่ออิ่มหนำสำราญกัน
ทุกคนแล้ว อย่างที่คุยกันไว้กองไฟก็ถูกเขี่ยเพื่อให้ดับทันที และเมื่อไฟถูกเขี่ยและถูกเอา
น้ำมาพรมใส่เพื่อให้ดับ ควันสีขาวก็คลุ้งกระจายไปทั่ว จนทั้งหมดกลัวที่จะเป็นจุดสนใจ
จากผู้ที่มองเห็นมาจากที่อื่น จึงได้รีบกันฝ่าควันขาวเร่งเอาน้ำไปใส่ให้ดับ
อัครชัย รู้สึกผิดสังเกตุเขาได้กลิ่นควันไฟแปลกแปลก แต่ก็สายเกินไปเมื่อสูดกลิ่นนั้น
เข้าไปเขาก็รู้สึกวิงเวียงและปฎิสัมปชัญยะ ก็ดับวูบ
" ว้าย "
แสงดาวรู้สึกตกใจเธอร้องเสียงหลง ที่จู่จู่แฟนหนุ่มของเธอก็ล้มลงข้างกองไฟ ที่ยังไม่ดับ
สนิท เธอพยายามฝ่าควันไฟดึงร่างของอัครชัยออกมาให้ไกลจากกองไฟเพราะกลัวร่าง
ของแฟนหนุ่มร้อนและไหม้ และเมื่อดึงออกมาได้พอสมควรทุกคนจึงรีบไปพยายามเข้า
ช่วย แต่เมื่อรับร่างของอัครชัยมาจากมือแสงดาวแล้ว ทุกคนก็ต้องตกใจอีกเพราะร่างแสง
ดาวก็ล้มลงหมดสติไปอีกคน
" เกิดอะไรขึ้นทำไม หมออัครกับแสดงดาว ถึงเป็นอย่างนี้ "
อรัญ กล่าวอย่างตระหนก กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนทั้งสอง
" สงสัยปลาที่เรากินแน่เลยมันอาจมีพิษอะไรก็ได้ที่เราไม่รู้ พวกเราก็กินกันไปเยอะด้วยจะเป็นไรไป
ด้วยเปล่าเนี่ย "
ดุจปราย กล่าวอย่างสงสัย เพราะเธอเป็นพยาบาลจึงคาดเดาด้วยความสงสัย เพราะเธอ
เคยได้รับการรักษาคนที่กินอะไรที่พิษและเข้ามาทำการรักษา
หลังจากที่ดุจปรายกล่าวจบต่างคนต่างมองหน้ากัน และรู้สึกกันได้ทุกคนว่าตัวเองก็เริ่มมี
อาการวิงเวียนเช่นกัน และสติทุกคนก็ดับวูบและล้มลงไม่รู้สติอีกเลย
ไม่รู้นานเท่าไร อัครชัยเหมือนฝันไปว่ามีความมืดมิดในขณะภวัง เริ่มมีแสงสว่างที่สว่าง
มากมันสว่างเสียจนเขาไม่เคยได้เจอมาก่อน และด้วยความสว่างนั้นได้ทำให้เขาตกใจตื่น
เขารู้สึกตัวและลืมตาดูรอบรอบ แต่ก็ต้องหยีตา เมื่อเห็นว่ามีแสงสว่างมารอบตัวไปทั่ว มัน
สว่างเสียจนเขาต้องหรี่ตา และพยายามฝ่าแสงสว่างนั้นมองไปรอบรอบ เขาเห็นทุกคน
นอนกันระเกะระกะ อยู่รอบกองไฟที่มอดแล้ว เขาจำได้ว่ามันเป็นกองไฟทีพวกเขาจุดได้
และช่วยกันดับก่อนที่ความรู้สึกเขาจะวูบหายไป และเมื่อตั้งสติได้เขาไม่รู้ว่าทุกคนจะเป็น
อะไรหรือเปล่าที่นอนแน่นิ่งเช่นนี้ เขาจึงพยายามเขย่าร่างของทุกคนให้รู้สึกตัว และเขาก็
ดีใจ ที่ทุกคนเริ่มรู้สึกตัวเมื่อเขาปลุก
" เอ๊ะเราเป็นอะไรไปเนี่ย เอ๊ะ สว่างทำไมรอบตัวพวกเรามันสว่างขนาดนี้แสงอะไร "
อรัญอุทาน เขาตกใจที่มีแสงสว่างมาก และรู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเขาหมดสติไป
เพราะอะไร
และยังไม่ทันทีที่ทุกคนหายแปลกใจเกี่ยวกับแสงสว่าง
" แซ็ด ด "
ฉับพลันทุกคนก็ได้ยินเสียงแผดประหลาดแสบแก้วหูและนั่นทำให้ทุกคนพยายามมองหา
สิ่งที่มาของเสียง และทุกคนก็ได้เห็น แสงประหลาดที่พุ่งสว่างวาบอยู่บนท้องฟ้าพุ่งลงไป
ทางทิศไต้ แสงและเสียงประหลาดเกิดมาจากที่เดียวกัน
" ตู้ม "
เสียงเหมือนระเบิดขนาดใหญ่ดังมากขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับแสงที่ทุกคนมองเห็นก็แตก
กระจายในท้องฟ้า และแสงก็วูบดับลง พร้อมทั้งแสงจ้าที่เกิดอยู่เมื่อสักครู่ก็ดับลงด้วย
" มันเกิดอะไรขึ้นแล้วทำไมแสงนั่น มันสว่างขนาดนั้น "
ดุจปรายถาม เธอยังคงแปลกใจกับเหตุการประหลาดเมื่อครู่
" มันต้องเป็นอุกาบาตที่มีขนาดใหญ่แน่เลย ถึงได้เกิดเเสงและเสียงดังแบบนี้ได้ "
จามิกรตอบอย่าง ค่อนข้างมั่นใจ หลังจากพิจารณาจากสิ่งที่มองเห็น
" ประหลาด ไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อน แล้วมันเกี่ยวกับพวกเราที่หมดสติ กันมาทั้งคืนไม๊ เนี่ยดูแล้ว
ตอนนี้น่าจะสายสายของอีกวันแล้ว เมื่อคืนพวกเราทั้งหมดสลบกันอยู่ตรงนี้ทั้งหมดแน่เลย "
อรัญ วิเคราะและตั้งข้อสังเกต
" ไม่น่าจะเกี่ยวอุกาบาตตกมันเป็นปรากฏการทางธรรมชาติ ที่พวกเราสลบไป อาจเป็นเพราะมี
สาเหตุอะไรสักอย่างหนึ่งทำให้เราสลบไปไม่น่าเกี่ยวกับอุกาบาต "
อัครชัย อธิบาย
" จะเป็นเพราะปลาที่เรากินเข้าไปกันไม๊มันอาจมีสารพิษที่มีผลต่อสติสัมปชัญญะของพวกเราก็
ได้ "
จามิกร แสดงความคิดเห็น
" ไม่น่าจะใช่ เพราะพวกเราไม่ได้มีอาการปวดท้องก่อนที่จะพากันสลบไป ผมสงสัยว่าน่าจะเป็น
ควันไฟเสียมากกว่า จำได้ก่อนสลบไปรู้สึกได้ว่าเหมือนได้กลิ่นสารพิษอะไรสักอย่างหนึ่ง เตะจมูก
ก่อนที่จะวูบไป "
อัครชัย ตั้งข้อสังเกตุ
" อื้ม ใช่แสงดาวก็ได้กลิ่นเหมือนกันตอนที่เข้าไปช่วยพี่หมอ มันเหมือนเราฉีดยากันยุงนั่แหระ แต่
กลิ่นมันแรงกว่า "
แสงดาวกล่าวคล้อยตามแฟนหนุ่มของเธอ
" กลิ่นเหรอ จาก็ได้กลิ่นเหมือนกัน แสดงว่าควันไฟนี่รมพวกเราจนสลบ การก่อกองไฟของพวกเรา
นี่มันคงทำปฎิกริยากับท่อนไม้ที่อาจจะเป็นพิษอะไรสักอย่างหนึ่งก็เป็นได้ "
จามิกร แสดงความคิดเห็น
" แต่ผมคิดว่ามันไม่น่าจะเป็นท่อนไม้ มันอาจจะเป็นพื้นดินแถวนี้นะ อย่างที่เรารู้กันดินแถวนี้มีสารที่
ฆ่าแมลงได้ ทั้งมดยักษ์และปลวกยักษ์ถึงกลัวมัน การสุมไฟของพวกเราคงกระตุ้นสารในดินให้ฟุ้ง
กระจายและเมื่อเราสูดเขาไปจึงสลบไป "
กานต์ ตั้งข้อสังเกตุ
" สมแล้ว มีแฟนเป็นเป็นด๊อกเตอร์ อันนี้วินิจฉัยดูความน่าจะเป็นไปได้ที่สุด"
อรัญ กล่าวสับพยอกกานต์
" ก็ยังดีนะที่ระหว่างสลบอยู่ไม่มีตัวอะไรมาคาบพวกเราไป สลบกันทุกคนข้ามคืนมาเลยไม่มีคนเฝ้า
ยามเลยเมื่อคืนนี้ นี่ถ้าแสงไม่สว่างมาก อาจไม่มีอะไรกระตุ้นให้กลับมามีสติก็ได้"
อัครชัย กล่าว
" รอดมาได้ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว ว่าแต่อุกาบาตนั่นนะสิ มันคงจะใหญ่มากนะ ทั้งแสงและเสียง
ตอนที่ระเบิด อาจเป็นไปได้ว่าอาจมีบางชิ้นส่วนที่ระเบิดได้ไม่หมดตกลงสู่พื้นดินแถวทางไต้นั่นก็
ได้ "
จามิกร ตั้งข้อสังเกตุ และความสมมุติฐานของเธอนั้นถูกต้อง
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
" มัจเจนาย พวกปิเยเราสิ้นชีตะไปนับไม่ถ้วนเลย ก้อนหินยักษ์ที่ตกจากท้องฟ้า มันร่วงเข้ามาตรง
กลางกลุ่มพวกปิเยเราพอดีเลย เนี่ยแม้แต่ปิเยที่หาข่าวกับปิเยข้า ยังสิ้นชีตะไปหลายร่างเลย "
ร่างสะบักสะบอมของปิเยร่างหนึ่งเข้ามารายงาน เหตุการไม่คาดฝันได้เกิดขึ้น ก้อนหิน
ยักษ์ที่มีขนาดหลายตัน ลอยพุ่งมาจากบนอากาศ พร้อมแผดเสียงระเบิดขึ้น และมีก้อนที่มี
ขนาดใหญ่ก่อนหนึ่งกระเเทกเข้าก็พื้นดินกลางขบวนทัพของมัจเจ ที่กำลังเคลื่อนพลจะ
เข้าโจมตี ฝ่ายของติอากอ แรงกระแทกทำให้ทัพมัจเจ ต้องสูญเสียกำลังพลไปเป็นจำนวน
มาก และคราวนี้ความสูญเสียไพร่พลไปหนักกว่าคราวที่น้ำท่วมใหญ่คราวที่แล้วเสียอีก
" แล้ว แองโกล่าที่อยู่ข้างหน้าล่ะเป็นอย่างไรบ้าง "
ปิเยโอ๊คาระ ถามปิเยร่างที่เข้ามารายงาน นั้น
" ยังไม่รู้ชะตากรรมเลย ท่าน ตอนที่จวนตัวเห็นเขาพยายามจะมุดดินหนี แต่ไม่วายถูกก้อนหิน
กระแทกเข้าไป ได้รับบาดแผลใหญ่มากเหมือนกันก่อนที่จะเห็นมุดดินหายไปไม่รู้ว่าจะรอดหรือ
เปล่า "
ปิเยผู้รายงานข่าวตอบ
" โอเป็นอะไรกันวะ ทำไมเมื่อปิเยเราตั้งท่าจะเข้าโจมตี พวกติอากอมันเมื่อไร ทำไมต้องมี
เหตุการณ์ให้สูญเสียแบบนี้ทุกที พวก มันมีดีอะไร "
มัจเจ กล่าวอย่างหัวเสีย
" ปิเยข้าคิดว่ามันเป็นความบังเอิญมากกว่า พวกมันจะโชคดีไปทุกครั้งเชียวหรือ อย่าไปเสียขวัญ
เลยมัจเจ ถือว่าโชคดีเท่าไรแล้วที่สมุนของเจ้าสิ้นชีตะไป แต่ปิเยเจ้ากับปิเยข้ายังอยู่ ยังมีโอกาสที่
สามารถหากำลังเพิ่มเติมอีกมาก ยังไงเสียไม่ช้าก็เร็วปิเยเราก็ต้องมีโอกาสอีกแน่สมุนของปิเยเราก็
สร้างได้อีก พวกนั้นมันไม่คณามือพวกเราหรอก นั่นไง แองโกล่าก็ไม่ได้สิ้นชีตะไปโผล่มานั่นแล้ว "
โอ๊ดคาระกล่าว พร้อมชี้ไปที่หนอนยักษ์ที่ปรากฏกายโผล่ขึ้นมาบนผิวดินที่ไม่ไกลห่างออก
ไปนัก แต่ลำตัวของมันกับแดงฉานไปด้วยเลือด ผิวหนังตามลำตัวที่ทอดยาวมีบาดแผล
ฉกรรจ์ และผิวหนังฉีกขาดเปื่อยยุ่ยและหลุดร่อนบางส่วน ดูมันเชื่องช้ากว่าแต่ก่อนที่ มัจเจ
เห็นมาก ไม่เหลือเค้ารางของสัตว์ร้ายที่น่าเกรงขามอีกต่อไป
" ข้าเจ็บเหลือเกินท่าน โอ๊คคาระ ท่านมีวิธีรักษาบาดแผลเพื่อบรรเทาความเจ็บมันลงบ้าง
ใหม "
หนอนยักษ์ครวญครางอย่างเจ็บปวด มันมีความหวังว่าต้นไม้ที่มีอายุมานาน น่าจะพอมี
ประสบการณ์ พอจะหาทางรักษาอาการบาตเจ็บของมันได้ แต่หนอนยักษ์กลับคิดผิด
" ไม่เลย ปิเยเราไม่เคยรู้วิธีที่จะ รักษาเจ้าหรอกแองโกล่า คิดว่าเวลาเท่านั้นที่จะเยียวยาบาดแผล
ของเจ้าได้ เจ้าต้องทรมาณไปจนกว่าแผลมันจะหายเอง และนั่นคงเป็นเวลานับเดือน และนั่นจะ
เป็นบททดสอบว่า เจ้าจะทนพิษบาดแผลอยู่ถึงตอนนั้นได้หรือไม่ "
โอ๊คคาระตอบ คำตอบนั้นทิ่มแทงใจหนอนยักษ์ยิ่งนัก และนั่นยิ่งทำให้หนอนยักษ์รู้สึกได้ว่า
กำลังใจมันได้ลดน้อยลง บาดแผลรู้สึกได้ว่ามันมีความเจ็บปวดเพิ่มขึ้น หนอนยักษ์กลับไป
นึกถึง พวกปลวกยักษ์ที่เคยอยู่ด้วย มันเองเคยได้รับการบาดเจ็บมาหลายครั้ง หลายครั้งที่
ถูกฝูงมดยักษ์โจมตี จนได้รับบาดเจ็บ พวกปลวกยักษ์ จะรู้ถึงวิธี หาทางรักษาโดยนำเอา
สารจากต้นไม้ชนิดต่างต่าง หรือดินบางชนิด ที่ปลวกยักษ์หยั่งรู้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่ทำให้
รักษาร่างกายได้ ทำให้ไม่เคยได้รับความเจ็บปวดสาหัสสากันขนาดนี้ ถ้าเป็นไปได้และมี
แรงพอ หนอนยักษ์มีความคิดอยากจะกลับไปอยู่กับพวกปลวกยักษ์ตามเดิมมากกว่า แต่
ติดที่ว่า ตัวมันเองทำอะไร กับพวกปลวกยักษ์ไว้ และรู้ว่าร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บขนาดนี้
ถ้าคิดจะย้อนกลับไป โอ๊คคาระและพวกมัจเจคงไม่ให้โอกาสมันได้กลับไปแบบมีชีวิตแน่
เพราะตอนนี้ร่างกายของมันบาดเจ็บเกินจะป้องกันตัวเองด้วยซ้ำ คิดเช่นนั้นทางที่ดีที่สุด
คือเงียบและทนความบาดเจ็บไป จนกว่าแผลทั่วทั้งร่างจะหายเป็นปรกติ แต่มันก็ทรมาณ
เพราะร่างที่ยาวใหญ่ขาดผิวหนังที่ปกปิดเนื้อด้านใน มันล่อให้แมลงมาเกาะและกัด ทำให้
รู้สึก เจ็บและคันมาก มันจึงอยู่นิ่งนิ่งไม่ได้เลย
" ท่านโอ๊คคาระ แองโกล่าบาดเจ็บขนาดนี้จะรอดหรือ "
ปิเยมัจเจถามโอ๊คคาระหลังจากที่หนอนยักษ์ห่างออกไป ปิเยมัจเจดูจากบาดแผลฉกรรจ์
ทั่วตัวของหนอนยักษ์แล้วน่าเป็นห่วง
" ถ้ามันไม่รอดก็ถือว่ามันคงไม่คู่ควรเดินทางไปโลกกับพวกปิเยเราแล้ว ล่ะ ทำไงได้ ปิเยข้าก็ไม่ได้
ทำให้แองโกล่าต้องบาดเจ็บแบบนี้นี่ ถ้าแองโกล่ามันไม่ใหวจริงร่างที่สิ้นชีตะของมัน ก็จะให้ปิเย
เจ้าและพวกเอามาเป็นอาหารไง "
ปิเยโอ๊คคาระตอบแบบจะไม่ต้องคิด ทำให้มัจเจรู้ ว่าถ้าตัวมันเองมีสภาพที่หมดประโยชน์
กับปิเยโอ๊คคาระเมื่อไหร่ สภาพของมันก็คงไม่ต่างกับหนอนยักษ์ตอนนี้เช่นกัน นึกขัดอยู่
ในใจ แต่ไม่ได้พูดอะไร ตอนนี้ภาวนาอย่างเดียวว่าจะให้หนอนยักษ์มีชีวิตรอดอยู่ให้ได้
เพราะจะได้เป็นผู้เปิดประตู
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
" เป็นอย่างไรบ้างท่าน ดีหนึ่ง มีอะไรเสียหายใหม "
ปู่อินทร์ตั้งคำถามหลังจากที่ชาวเดฟโดร์นร่างหนึ่งเข้าไปสำรวจยาน เนื่องจากเกรงว่ามี
ผลกระทบจากแสงและแรงระเบิดของอุกาบาตที่พุ่งลงมาสู่พื้น
" มีความเสียหายอยู่มากเลยทีเดียว แผงวงจรคงช๊อดรวนไปหมด คงต้องช่วยกันซ่อมอีก
หลายวันอยู่ เจ้านี้สมเป็นเผ่าพันธ์มนุษย์ที่มีน้ำใจเป็นห่วงเป็นใยพวกเราจริงจริง พวกเราคิดไม่ผิดที่
เปลี่ยนใจ ไม่ทำตามความตั้งใจแต่เดิม และยิ่งได้เห็นพวกมนุษย์ดีอย่างนี้ ทำให้ความตั้งใจอีก
หลายอย่างที่จะทำ อาจต้องกลับมาคิดใหม่และทำใหม่อีกด้วย "
มนุษย์ ดาวเดฟโดร์นตอบ แต่ปู่อินทร์ไม่เข้าใจทั้งหมด พวกดาวเดฟโดร์นเคยบอก ตอน
แรกจะหลอกใช้ให้เขาสอนการสื่อสาร ให้ได้เป็นผลสำเร็จ และจะกำจัดเขาเสีย แต่ต้องมา
เปลี่ยนใจ เพราะเห็นถึงความดีของเขา และนั่นคือความเปลี่ยนความตั้งใจไปครั้งหนึ่งแล้ว
แต่มนุษย์ เดฟโดร์นกับพูดว่าจะมีความตั้งใจที่อาจจะต้องเปลี่ยนไปอีก นั่นคือสิ่งที่เข้ายัง
ไม่เข้าใจ
" อันที่จริงนะพวกดาวเราไม่น่ามาหลงอยู่ในแรงอาฆาตเลย ไม่งั้นคงไม่ต้องลำบากมาถึงที่นี่ไม่ต้อง
รบราฆ่าฟันกัน ทั้งพวกเรา และพวกไอซ์โดร์นก็ไม่ต้องแทบจะสูญสิ้นเผ่าพันธ์ "
มนุษย์ดาวเดฟโดร์นกล่าวขึ้นอีกเหมือนพึ่งสำนึกได้
" นั่นสิ สงครามไม่ได้ทำให้ใครดีขึ้น ถ้าคิดได้ก็ดี แต่ทุกอย่างติดอยู่ที่อำนาจนะ สิ มนุษย์เองบางที
ก็เข้าหั้มหั่นกันเองเหมือนกัน กว่าจะคิดได้ก็เหลือแต่ความสูญเสีย "
ปูอินทร์ กล่าวอย่างเข้าใจ
" อืมนั่นสิ ต่อไปหลังจากที่ซ่อมยานเสร็จพวกเราจะทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับพวกเราและพวก
ไอซ์โดร์นแล้ว คงไม่ตามล่าเอาชีวิตพวกไอซ์โดร์นเหมือนที่ตั้งใจแต่แรกแล้ว พวกเราจะหาทางนำ
พวกไอซ์โดร์นกลับไปดาวของเรา สองมิติของดาวโคร์นจะเลิกสู้รบกันและฟื้นฟูดาวของเราให้กลับ
มาดีเหมือนเดิม "
มนุษย์ดาวเดฟโดร์นกล่าว
" ข้าดีใจนะที่พวกท่านคิดได้ และดีใจที่การเสี่ยงชีวิตและรอดตายของข้าครั้งนี้ไม่สูญเปล่า ว่าแต่
ทำไมอุกาบาตมันถึงกระทบกระเทือนกับยานของท่านมาก ปรกติแล้วอุกาบาตเมื่อผ่านชั้น
บรรยากาศจะเกิดการระเบิดเสียจนหมดไม่มีล่วงหล่นมาถึงพื้นดิน ผลกระทบแค่แสงจ้าและเสียงดัง
ไม่น่าจะมีผลกับยานที่มีวิวัฒนาการก้าวล้ำอย่างยานของท่าน ทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้ล่ะ "
ปู่อินทร์ตั้งข้อสังเกตุ
" อุกาบาตที่มาครั้งนี้ ที่จริงแล้วมันไม่ปรกติเหมือนทุกครั้งที่เจ้าเข้าใจ ตอนที่มันพุ่งลงมา สายตา
ข้าสามารถมองเห็นมันได้ ตลอด แต่สายตามมนุษย์อย่างเจ้าคงมองผ่านแสงจ้าของมันไปไม่ได้ "
มนุษย์ดาวเดฟโดร์นกล่าว นั่นยิ่งทำให้ปูอินทร์ ยิ่งมีความสงสัยขึ้นไปอีกเขาจึงเอ่ยปาก
ถาม
" มันมีอะไรที่ไม่ปรกติหรือ ท่าน"
" มีสิการพุ่งลงมาของอุกาบาตที่จริงแล้ว มีการผ่านชั้นบรรยายกาศและระเบิดไปจนหมดก็จริงอยู่
แต่อุกาบาตที่มาคราวนี้จริงจริงแล้วมันไม่น่าจะมีแค่ลูกเดียว ลักษณะการพุ่งลงมาทำให้มันอาจจะมี
อุกาบาตมากกว่าหนึ่งลูก โดยพุ่งตามหลังกันลงมา เมื่อลูกแรกเข้าสู้ชั้นบรรยากาศอาจเกิดการ
ระเบิด แต่แรงที่พุ่งด้วยความเร็ว อาจทำให้เกิดช่องเป็นรูโหว่ของชั้นบรรยากาศก่อนการระเบิดก็
เป็นได้ และนั่นจึงเป็นช่องให้อุกาบาตลูกที่ตามมาสามารถพุ่งผ่านช่องแยกของชั้นบรรยากาศลงมา
ได้โดยที่แทบจะไม่เป็นอะไร และอุกาบาตลูกหลังนี่แหระ ที่มันมาหล่นที่ใหนซักที่หนึ่งบนโลกแห่ง
นี้ และมันจึงมีผลกระทบต่อยานของข้าไง เพราะมันเป็นวัตถุที่มาจากนอกโลกอาจมีรังษีอะไรซัก
อย่างหนึ่งที่ทำอันตรายกับยานของข้า ซึ่งนั่นพวกข้าคงต้องค้นหาสาเหตุของมันอีกที "
มนุษย์ดาวเดฟโดร์นอธิบาย
" โอ๊โห มีเหตุการณ์ แบบนี้ด้วยเหรออะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้น นี่ถ้าอุกาบาตที่มันมีขนาดใหญ่
กว่านี้และมีตามกันมาสองลูกแบบนี้ และลูกที่ตามมาใหญ่และตกลงบนพื้นแบบนี้ ไม่ราบคาบหรือ "
ปู่อินทร์ตั้งข้อสังเกตุ
" นั่นน่ะสิ แต่เหตุการแบบนี้ไม่ได้เป็นเรื่องบังเอิญที่จะเกิดขึ้นง่ายง่าย และจังหวะมันจะเหมาะเหม็ง
ได้แบบนี้ นอกเสียจาก มันจะไม่ใช่ความบังเอิญ "
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น