ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตะนาวศรี

    ลำดับตอนที่ #34 : แผนไต้ดิน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 167
      5
      9 ก.ค. 62



    " ฮ้า า า"


    หลายคนหลายร่างอุทานขึ้นเกือบพร้อมกัน ปิเยพิษทารีอธิบายต่อ เมื่อเห็นอาการทุกคนแบบนั้น


    " ใช่แล้วท่านติอากอจากการค้นคิดเรื่องพิษของหลานข้า มันสามารถทำพิษที่อาบร่าง เรคารียะ

    ของมัจเจแล้วทำให้ไม่มีใครสามารถมองเห็นได้ นอกจากใช้รางพิษ ที่พิษเซลล่าคิดค้นไว้ ล้าง

    ตาจึงจะสามารถมองเห็น ในกระดานปิเยของพิษเซลล่าเขียนบอกไว้อย่างนั้น นี่แสดงว่าการ

    สร้างพิษของ พิษเซลล่าได้บรรลุถึงขึ้นสูงสุดแล้ว "  



    "เหลือเชื่อ เรคารียะ ว่าทำลายยากแล้ว แต่นี่กับมองไม่เห็นอีก ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าบอกจริง

    ปัญหาใหญ่เลยนะเนี่ย "


    เสียงตะเคียน่าพูดขี้นกับพิษทารี ขนาดผู้หยังรู้แทบทุกอย่าง ยังวิตกทำให้ทุกคนเริ่มคิดหนัก


    " ก็อย่างที่บอก เรายังมีทางออก พิษเซลล่าได้คิดค้นรางพิษสำหรับมองเห็นไว้ แล้ว เราโชคดี

    อย่างหนึ่งที่มีมนุษย์ มาร่วมอยู่ด้วย รางพิษใช้ล้างตามนุษย์โลก เท่านั้นปิเยเราไม่มีโอกาสมอง

    เห็น เรคารียะ ได้เลย ตามคำบอกของพิษเซลล่า "


    ปิเยพิษทารีตอบ


    " โอ.."


    คำอุทานของติอากอ เขาไม่รู้จะพูดอะไรต่ออีก


    " ถ้าเราต้องเดินทางไปมัจติส จะต้องสวนกับกองทัพของมัจเจ เราต้องเผชิญหน้ากับมัน เราจะ

    ทานได้เหรอ และเราคงต้องเจอกับกองกำลังล่องหนนั้นด้วย "


    ปิเยทาร์ แสดงความเห็น และก็เป็นสิ่งที่ทุกคนกำลังคิดอยู่พอดีเช่นกัน


    " ไม่สมควรอย่างยิ่ง เหมือนเราวิ่งเข้าไปหาความตาย อย่างไรเราก็คงต้านพวกมันไม่ได้แน่ ตอน

    นี้ถ้าเผชิญหน้ากัน "


    ติอากอกล่าว


    " แล้วจะมีทางใหนที่เราจะเลี่ยงได้บ้างไหม โดยที่เราจะเดินทางไปโดยไม่ต้องสวนกับพวกมัจเจ

    เราต้องอ้อมไปหรือ ท่านตะเคียน่าคิดอ่านอย่างไร"


    อัครชัยแสดงความเห็นบ้าง พร้อมทั้งถามผู้ที่น่าจะรู้ลู่ทางมากกว่าผู้อื่น ตะเคียน่าครุ่นคิดอยู่ครู่

    หนึ่ง จึงตอบ



    " ถ้าจะอ้อมไป คงไม่ทันการณ์ ทัพของมัจเจมันคงมาถึงก่อน พวกเราคงย่อยยับก่อนที่จะได้ราง

    พิษมา พวกเราต้องเดินทางไปกลับอย่างรวดเร็ว อย่างนี้ถ้าเราไปเป็นกลุ่มใหญ่จะทำให้ล่าช้า

    และเป็นเป้าสนใจได้  ข้าขอเสนอให้ พวกมนุษย์ ทั้งหมด และปิเยพิษทารีอีกเพียง หนึ่งร่าง  พร้อมทั้ง

    ปิเยที่เคลื่อนที่ได้รวดเร็วสักสิบร่าง ไปทำการนี้ ถ้าจำเป็นต้องสวนกับพวกมัจเจ โดยที่ไม่ต้องเผชิญหน้า

    เราต้องลงไต้ดินบริเวรลำน้ำ ลำแควี่ ห่างจากนี่ไปทางเหนือเดินทางสามวัน บริเวรโค้งน้ำนั้นจะมีอุโมงน้ำ

    ขนาดใหญ่ ปิเยเราไม่เคยมีใครรู้มาก่อน แม้แต่โอ๊คคาระ เพราะมันไม่เคยเดินทางมาที่แถขนี้พอที่พวก

    เจ้าจะเล็ดลอดไปได้โดยลอยคอไปในน้ำอุโมงค์นั้น ซึ่งคาดว่าน่าจะมืดมากและเมื่อเดินทางในนั้น พวก

    เจ้าจะอยู่ไต้ดินตอนที่สวนกับทัพมัจเจ และคงไปโผล่อีกที สองวันหลังจากพวกเจ้าลงไปในนั้น คาดว่า

    จะพ้นขบวนทัพของมัจเจพอดี "  


    " ก็เข้าท่าดีนะถึงจะเดินทางมืดสักวันสองวันก็ยังดีกว่าเจอกับทัพของมัจเจ คงปลอดภัยกว่าเป็น

    ใหนๆ  "


    กานต์ แสดงความเห็นด้วย


    " แต่ไม่ใช่ว่าจะง่ายอย่างที่คิดนะ ยังมีสิ่งที่เราต้องกลัวนะ "


    แสงดาว เอ่ยแย้ง


    " เราอยุ่ในนั้นนานเป็นวัน จะมีอากาศพอหายใจใหม และจะมีบางที่หรือเปล่าที่น้ำอาจท่วมจน

    เต็มอุโมงค์เราไม่สามารถลอยคอได้ พวกเราอาจจะจมน้ำ และในน้ำสัตว์น้ำร้ายๆจะมีใหม สัตว์ที่

    นี่ล้วนตัวใหญ่ทั้งนั้นด้วย "  



    คำพูดของแสงดาวถูกที่เดียว


    " เรื่องน้ำเยอะไม่ต้องห่วงช่วงนี้ทางเหนือไม่ค่อยมีฝนตก อุโมงค์นี้เป็นอุโมงค์ไต้ดินถ้าไม่มีฝน

    ตกน้ำจะน้อยหรืออาจจะไม่มีเลยก็ได้ เรื่องสัตว์ที่อยุ่ในนั้น อากาศเบาบางกว่าข้างนอก ไม่น่าจะ

    มี อยู่ในที่มืดมิดเช่นนั้นได้ แต่ก็ประมาทไม่ได้ รู้อยุ่แต่มันมืดมาก รู้ว่ามันอาจจะมีอันตราย แต่มันเป็น

    หนทางเดียวที่ข้าจะคิดได้ออกตอนนี้ ว่าจะไปที่มัจติสโดยไม่ต้องสวนกับพวกมัจเจ  ที่นี่ก็แล้วแต่ว่าพวก

    เจ้าจะเสี่ยงกันหรือไม่ "


    คำตอบและคำถามของมัจเจทำให้ทุกคนครุ่นคิด ตอนนี้ความกดดันและความหวังมาอยุ่ที่พวก

    มนุษย์ อย่างพวกเขาแล้ว


    " ถ้ามันเป็นหนทางเดียวเราจะคิดกันทำไม อย่างไรเราก็คงเลี่ยงไม่ได้หรอก นะทุกคน เสี่ยงก็

    ต้องเสี่ยง ในเมื่อมันไม่มีหนทางที่ดีกว่านี้ อยู่ตรงนี้ก็เสี่ยงเหมือนกันอาจจะเสี่ยงมากกว่าด้วยซ้ำ

    รอความตายอย่างเดียว "


    ดุจปรายแสดงความเห็น แต่เธอรู้ดีว่าคนอื่นต้องคิดอย่างเธออยู่แล้ว


    " เรื่องอากาศให้พวกเจ้าหายใจข้าพอแบ่งปันให้เจ้าได้ ข้าเป็นปิเย สังเคราะห์สิ่งเหล่านั้นอยู่แล้ว

    ไม่ต้องห่วงหรอก ปิเยข้าพอช่วยเหลือพวกเจ้าได้ แต่เรื่องจะให้ปิเยสิบร่างไปด้วย อันนี้ข้าข้าแย้งนะท่าน

    ตะเคียน่า ปิเยเราล้วนไม่มีการป้องกันตัวได้สักร่างยกเว้นข้า เอาไปถ้าถูกเรคาหรือเรคารียะโจมตี จะสิ้น

    เสียเปล่า เป็นอันว่า ปิเยข้า ขอไปเพืยงร่างเดียว กับพวกมนุษย์ทั้งหมดเท่านั้นพอ ว่าแต่พวกมนุษย์ล่ะจะ

    เต็มใจไปด้วยกันทั้งหมดใหม"


    ปิเยพิษทารี ถาม


    " พวกเราคงไม่มีทางเลือกอื่นหรอก และอีกอย่างก็เพื่อพิสูจน์ว่าเราไม่ได้เป็นเผ่าพันธุ์ที่ขี้ขลาดจนแสดง

    ความเกรงกลัวความตาย โดยไม่คิดที่จะทำอะไรได้ เราทุกคนยินดีที่จะไป "


    ปู่อินทร์กล่าว  ได้ยินคำมั่นเช่นนี้ ติอากอก็พูดขึ้น


    " ข้าดีใจที่พวกท่านคิดได้อย่างนี้ ขอให้ท่านเดินทางปลอดภัยนะ พิษทารี คงช่วยดูแลท่านได้

    และบางอย่างท่านก็คงต้องช่วยเหลือเขาบ้าง แล้วแต่เหตุการณ์เฉพาะหน้า ที่พวกท่านทั้งหมด

    จะคิดอ่านแก้ไขเอา พวกเราฝากความหวังไว้กับพวกท่านนะ หวังว่าพวกท่านคงไม่ทำให้พวก

    เราผิดหวัง "



    และทั้งหมดก็เตรียมออกเดินทางทันทีเพราะเกรงจะไม่ทันเวลา  แต่ระหว่างนั้นเอง ตะเคียน่าก็

    สังเกตุเห็นสิ่งที่เขาไม่ได้นึกถึงแต่แรก



    " ปิเยพิษทารี ข้าเกรงว่าร่างเจ้าจะใหญ่เกินไปจะไม่สามารถลอดเข้าไปในอุโมงค์น้ำได้ "


    ตะเคียน่าบอก


    " แล้วจะทำอย่างไร ถ้าท่านพิษทารีไม่ไปด้วยพวกเราก็จะไปกันไม่ถูกนะ  "


    อัครชัยแย้ง กังวลถ้าไม่มีผู้นำทาง และผู้รู้จักรางพิษ


    " ข้าจะทำไงได้เล่าร่างข้าใหญ่แบบนี้ ที่จริงข้าก็ไม่อยากมีร่างกายใหญ่โตขนาดนี้ สู้ร่างเล็กแบบ

    มนุษย์พวกนี้ไม่ได้คล่องแคล่วดี "


    ปิเยพิษทารีกล่าว
     

    " ถ้าข้าทำให้ร่างของท่านล็กลงได้ แต่ข้าไม่มั่นใจนะว่าร่างของเจ้าจะกลับมาใหญ่เหมือนเดิมได้ เจ้า

    จะยอมรับได้ใหม  "


    ตะเคียน่าเสนอ


    " ทำอย่างไรล่ะ ท่าน ข้าขอรู้วิธีก่อน ข้าถึงจะตัดสินใจ ที่จริงร่างใหญ่ของข้าเกินไปแบบทุกวันนี้

    ข้าก็ไม่ได้ชอบหรอกนะ "  


    ปิเยพิษทารีถาม  


    " ก็ให้มนุษย์ใช้อาวุธคมของเขาไง อาวุธนั้นสามารถตบแต่งร่างเจ้าให้เล็กได้ "


    ตะเคียน่าอธิบายวิธี


    " โอ.จริงอยู่ท่านตะเคียน่า การทำอย่างนั้นร่างกายข้าเล็กก็จริงอยู่ แต่บาดแผลบาดเจ็บข้าคง

    มาก แล้วข้าจะเดินทางไปในทันทีกับพวกเขาได้อย่างไรโดยไม่พักฟื้น ก่อน "


    ปิเยพิษทารี แย้งและรู้ผลที่จะเกิดขึ้นหากทำเช่นนั้น


    " เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง มีเรื่องหนึ่งที่ข้าลืมบอกไป อาการบาดเจ็บหรือแผลต่างๆที่เกิดขึ้นกับปิเย

    เรา น้ำในลำภาชีระ ประสานได้รวดเรีว ถ้าเจ้าทำก็ชุ่มแช่ร่างแค่พอเปียก แผลทั้งหมดของเจ้าก็

    จะหายได้ในพริบตา "


    ตะเคียน่าอธิบาย


    " โอ.. อย่างนั้นข้าก็ยินดี มนุษย์โลกจัดการเลย เอาให้เหลือรูปร่างพอกับพวกท่านนะ กิ่งก้านไม่

    ต้องให้เหลือมาก เอาแค่พวกท่านก็พอ ดูคล่องแคล่ว "

     
    มื่อได้รับคำยินยอมจากพิษทารี ปู่อินทร์ รับอาสาเป็นผู้ถากถากร่างของพิษทารี ที่ชุ่มแช่อยู่ใน

    น้ำ ลำภาชีะ เวลาไม่นาน ร่างนั้นก็มีรูปร่างคล้ายและใกล้เคียงกับมนุษย์


    "  โอมหัศจรรย์จริง ท่านพิษทารี ท่านเจ็บบ้างใหมโดนทำเช่นนี้ "


    ปิเยทรานส์ถามอย่างแปลกใจ


    " ไม่เลยท่านทรานส์ ข้ารู้สึกว่าข้าสบายตัวด้วยซ้ำ อาการบาดเจ็บไม่เกิดเลยเพราะปิเยข้ามิพิษที่รักษาแผลตัวเองได้อยู ตอน

    นีปิเย ข้าพร้อมจะเดินทางแล้ว "


    ปิเยพิษทารีพูดอย่างมั่นใจ


    " ข้าอยากทำเช่นท่านบ้าง ดีจัง ร่างกายใหญ่มานานไม่คล่องแคล่ว เหมือนท่านตอนนี้เลย "


    ปิเยทรานส์กล่าวต่อ  แต่ตะเคียน่าตัดบทขี้น


    " พวกมนุษย์และพิษทารี จะเสียเวลานะ ถ้าทำความต้องการของเจ้าอีกร่าง และข้าก็เชื่อว่า ยัง

    มีปิเยอีกหลายร่างต้องการทำเช่นนี้เหมือนกัน เอาอย่างนี้ ให้พวกมนุษย์ ทิ้งอาวุธคมไว้ที่นี่สัก

    อัน ที่นี้พวกเจ้าจะตัดแต่งกันยังไงก็ตามใจ แต่อย่าให้เขารอเสียเวลา "


    และทั้งหมดก็ปฏิบัติตามคำของตะเคียน่า 


    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ 


    ณ กองคาราวานของมัจเจ


    " ได้ข่าวว่าพวกมันเดินทางมาสบทบกันแล้วเหรอ มัจเจ "


    โอ๊คคาระ กล่าวกับมัจเจหลังได้รู้ข่าวการเดินทาง  


    " ใช่เลยท่านโอ๊คคาระ "


    มัจเจตอบ


    " ข้าอยากจะบอกว่า ดีจะได้สางแค้นซะพร้อมกันเลย แต่พักนี้ข้าไม่ค่อยอยากจะพูดอะไรมาก

    เลย เพราะกลัวเจ้าทำให้ข้าผิดหวังซ้ำอีก "


    โอ๊คคาระกล่าว


    """" พูดไปพูดมาก็ไม่พ้นข้าอีกแล้ว """


    มัจเจคิดในใจ แต่ก็ได้แสร้งพูดเอาใจกลบอาการแค้นเคืองออกไป


    " เราคงไม่ผิดหวังตลอดหรอกท่านโอ๊คคาระ อย่าลืมสิเรามีไม้ตายที่พวกมันไม่สามารถต้านทาน

    ได้อยู่ในมือ ที่พวกมันรอดไปได้ทุกครั้งไม่ใช่เพราะความคิดท่านหรือการที่ข้าทำตามความคิดที่

    แยบยลท่านแล้วไม่ได้ผลหรอกนะ แต่ว่าดวงพวกมันยังคงดีอยู่มากกว่า ท่านต้องได้ยึดครองสิ่ง

    ที่หวังแน่ ดวงพวกมันคงดีอีกไม่นานหรอก ถ้าทัพใหญ่พวกเราไปถึง "


    " เออจริงด้วย เจ้านี่พูดถูก ที่นี่เราก็คงไม่จำเป็นต้องส่งอะไรไปแล้วไว้ทัพใหญ่เราไปถึงก็ทำลาย

    มันซะทีเดียวเลย ว่าแต่ว่าถ้าเราไปถึงโลกมนุษย์ได้ ข้าจะให้พวกจาบิล่าอยู่ครองที่นี้ เจ้าว่าดี

    ใหม  แต่ไม่ถามเจ้าดีกว่า ข้าว่าอย่างไรเจ้าก็ต้องว่าอย่างนั้นอยู่แระ "


    โอ๊คคาระกล่าว และพูดเองเออเอง  มัจเจไม่อยากขัดคำพูด แต่เขาไม่เห็นด้วย แต่ก็จำเป็นต้อง

    นิ่งเสียและคิดว่าเขาจะต้องเป็นใหญ่เพียงคนเดียว เพียงแต่รอเวลาและโอกาสมาถึงเท่านั้นเอง


    " ท่านมัจเจ มีปิเย หนึ่งร่างกับพวกมนุษย์ ที่ตะเนยาเดินทางมาทางพวกเรา ถ้าไม่เลี่ยงกันคาดว่าน่าจะ

    อีกสักสามสี่วันคงได้ถึงพวกเรา " 


    ทันใดมีต้นไม้ต้นหนึ่งได้เข้ามารายงานข่าว 


    " มันจะมาไม้ใหนกัน หรือว่าพอปิเยทางไต้มาถึงคงปรึกษากันว่าจะยอมจำนนแก่เรา แต่นั่นไม่ใช่ เจ้าตะ


    เคียน่าแน่ "


    โอ๊คคาระ แสดงความเห็นหลังจากรับทราบข่าวนั้น


    " จะมายังไงก็ช่างเถอะไว้ค่อยแจ้งตอนเจอกันก็แล้วกัน บางทีพวกนั้นอาจไม่อยากทำสงครามกับเราก็

    เป็นได้แล้ว ท่านโอ๊คคาระ 


    มัจเจกล่าวตอบ


    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    "" หลังจากที่กลุ่มของปู่อินทร์ และปิเยพิษทารีเดินทางล่วงมาได้สามวัน พวกเขาเดินผ่านพื้น

    ที่ดินแดนที่เป็นกลุ่มพันธมิตรปิเย จึงไม่ได้รับการต่อต้านมีแต่บอกทางมาและขอให้โชคดีมาโดย

    ตลอด ปิเยพันธมิตรรู้ดีว่าพวกเขาคือความหวังสุดท้ายของปิเยที่นี่ 



    " ไต้รากของปิเยใหญ่ข้างหน้าโน้นแล้ว จุดหมายของเรา"


    ปิเย พิษทารี กล่าวเขารู้เพราะมีปิเยชึ้ทางบอก  และครู่เดียวทั้งหมดก็เดินทาง


    " โอ ลึกเข้าไปหน่อยเดียวก็มืดแล้วดูน่ากลัวจัง "


    ดุจปรายกล่าวทันทีที่มองเห็น


    "  เป็นไงจะเปลี่ยนใจหรือ พวกเราต้องเข้าไปอยู่ในนี้ สามสี่วันตามที่ท่านตะเคียน่าบอก "


    พิษทารีกล่าวเพราะคิดว่าพวกเขาเริ่มฝ่อเมื่อมาเจอสถานที่จริง


    " เข้าไปสิ ปรายก็พูดไปอย่างนั้นแหระ ตัดสินใจมาแล้ว ท่านพิษทารีไม่ต้องห่วงหรอก ใช่ใหม

    ทุกคน "


    ดุจปรายกล่าวแสดงความมั่นใจ และถามความเห็นทุกคนไปในที


    " อย่าเสียเวลากันอยู่เลยเข้าไปดีกว่า ช้าเพียงเสี้ยวนาทีอาจไม่ทันการณ์ พวกเขารอความหวัง

    จากเราอยู่นะ "


    แทนคำตอบ ปู่อินทร์ กล่าวกระตุ้นสิ่งที่จะทำกันทันที


    " ดีงั้นเราเข้าไปกันเลยจะได้ไม่เสียเวลา สองวันนี้เราอาจจะไม่ได้พักผ่อนในนั้นคงอันตรายเรื่อง

    อากาศ ถ้าข้าต้องสังเคราะห์นานหลายวันคงไม่ใหวเหมือนกัน "


    แทนคำตอบทุกคนรีบมุดเข้าไปทันที ข้างในนั้น น้ำไม่ได้เยอะอย่างที่ตะเคียน่าบอกจริงๆ น้ำสูง

    ไม่เกินหัวเข่าทำให้พวกเขาลุยเข้าไปได้ง่าย



    " เขาว่าอุโมงค์นี้ยาวเวลาตะโกนสะท้อนไกลใช่เหรอ อรัญ "


    ดุจปรายชวนแฟนหนุ่มคุยเพื่อคลายกังวลหลังจากที่เริ่มเข้ามาได้และแสงสว่างเริ่มหมด ซึ่งทุก

    คนก็ไม่ได้ว่าอะไร  


    " ตามทิฐฏีเขาก็ว่าอย่างนั้นแหละนะ แต่จะตะโกนอีกเหรอจำได้ใหม เมื่อตอนนั้นใครตะโกน

    แล้วมีตัวอะไรมา ฮิฮิ "


    อรัญตอบอย่างติดตลก


    " บ้าคนยิ่งกลัวๆ อยุ่ พูดอะไร แต่ในนี้ไม่มีตัวอะไรไม่ใช่เหรอ ลองดูใหมอย่างน้อยก็ช่วยระบาย

    ความเครียดมั่ง เดี๋ยวเข้าไปลึกกว่านี้ก็คงต้องเงียบกันหมดแล้วมั้ง "


    ดุจปรายขออีก แต่ครานี้แสงดาวตอบให้


    " ทำเหอะดุจปรายไม่เสียหายอะไร แสงดาวก็อยากรู้เหมือนกันว่าเสียงก้องจากอุโมงลึกมากแบบนี้จะ

    เป็นยังไง "


    แสงดาวกล่าวสนับสนุน


    " นึกว่าอยากจะรู้ว่าจะเป็นตัวอะไรมา ฮ่า ๆๆๆๆ"


    อรัญยังหยอกต่อ  

    พิษทารีได้ยินคำโต้ตอบของมนุษย์ เขาเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง ว่าทำไมต้องตะโกน แล้วมัน

    ทำให้คลายเครียดได้ตรงใหน และจะอยากรู้ไปทำไมแค่การเปร่งเสียงเขาเสียเองมีเสียงที่เพราะ

    กว่าในความคิดของเขา เขาจึงเปร่งเสียงขึ้น


    " วู๊ว "


    ทุกคนตกใจเล็กน้อยที่ได้ยินเสียง พิษทารี แต่ก็พอเข้าใจ


    " น่าน เถียงกันดีนัก ท่านพิษทารีคงรำคาญ เลยโชว์เองเลย ฮ่าๆๆๆ "


    อรัญกล่าวอย่างอารมณ์ดีอีก แต่หลังจากที่เสียงอรัญเงียบ เเละเสียงที่ตะโกนของพิษทารีดัง

    ก้องไปนานมากเงียบลง


    " คลึ๊ก คึ๊ก ๆๆๆๆ"


    เสียงอะไรอย่างหนึ่งดังขึ้นในนั้นชัดเจน


    " เสียงอะไรน่ะปู่อินทร์ "


    จามิกรณ์ถามขึ้น


    "  ไม่รู้เหมือนกัน แต่เสียงมันดังอยู่ในอุโมงข้างหน้าพวกเรานี้ "


    ปู่อินทร์ตอบ และพยายามเงี่ยหูฟัง


    " ถอย ถอย ถอยกลับไปก่อน.. ออกไปก่อนมีอะไรไม่รู้สวนพวกเราออกมา"


    ไม่รอให้ปู่อินทร์พูดซ้ำ ทั้งหมดหันหลังกลับทันที คราวนี้ จุดหมายคือแสงสว่างกลมๆที่ปลายอุ

    โมงนี้ ทั้งหมดทุลักทุเลและวิ่งกันอย่างไม่คิดชีวิต ครานี้พวกเขารู้สึกได้ว่าเสียงนั้นดังไล่หลัง

    พวกเขามาเรื่อยๆ ใกล้เข้ามา จนรู้สึกได้ว่ามันต้องเป็นสัตว์อะไรชนิดหนึ่งที่มีลมหายใจอุ่นๆและ

    พ่นโดนหลังทุกคนแปลว่าอยู่ในระยะกระชั้นชิด ทุกคนรู้ว่าไม่มีเวลาหยุดดูแน่ นอกจากรีบหนีให้

    พ้นปากอุโมงค์ไปอย่างเดียวเท่านั้นถึงจะรอด  และพวกเขาก็ได้มาถึงและหลุดปากอุโมงค์ออก

    มาได้หวุดหวิด



    " พ้นอุโมงแล้วกระโดดออกไปข้างๆ "


    เสียง ปู่อินทร์ ดังทันทีที่ พ้นปากอุโมง  ไวเท่าความคิดทุกคนปฎิบัติเช่นนั้นทันที แม้แต่ปิเย    

    พิษทารี และ หลังจากทุกร่างพุ่งออกไปด้านข้างอย่างที่ปู่อินทร์บอก ร่างทุกคนก็นอนอยู่กับพื้น

    พวกเขารู้สึกว่าได้รอดพ้นจากการติดตามมาทางด้านหลังแล้วครานี้ และรู้สึกได้ว่าสิ่งที่ตามมามิได้

    หยุดที่ร่างใดร่างหนึ่ง มันคงวิ่งไปข้างหน้า เขาแนวป่าราบไปเป็นหน้ากลอง โดยมิได้หยุด และเมื่อทุก

    คนทรงตัวได้จึงได้พยามองตามสิ่งนั้นไป


    " จรเข้ .ยะ.ยักษ์ "


    พวกเขาอุทานขึ้นเกือบพร้อมกัน  สิ่งที่สายตาพวกเขาเห็นนั้น คือจรเข้ขนาดมหึมา มันใหญ่มาก

    ขนาดที่ไม่คิดว่ามันจะสามารถเข้าไปในอุโมงค์ที่พวกเขาพึ่งเข้าไปเมื่อกี้นี้ได้ แต่มันได้วิ่งลุย

    แนวป่าต่อไปเรื่อยอย่างตกใจ  อรัญเห็นอาการที่มันวิ่งเช่นนั้น เขากับเก็บอาการไม่ได้


    "  ฮ่า ๆ  ๆ บอกแล้วอย่าตะโกน ตะโกนกันทีไร เรียกตัวอะไรมาทุกที โอ๊ยท้องเเข็ง นึกถึงที่

    พวกเราวิ่งหนี่ออกมา และไอ้จรเข้นั้นวิ่งไป หางจุกตูดกันหมดทุกคนเลย "  


    อรัญพูดพลางหัวเราะพราง  ทุกคนเลยมีอาการเช่นนั้นด้วย ความเหนื่อยเมื่อกี้ดูทุกคนไม่ได้

    สนใจกันเลย ทุกคนพูดไม่ออก พอจะพูดก็หัวเราะอีก


    " ถ้าข้ารู้ว่าเป็นไอ้ตัวเเบบนี้ ข้าคงไม่ต้องวิ่งออกมาด้วยหรอก มันไม่กินข้าหรอก มันกินแต่ร่างที่

    มีเลือดเนื้อ "


    ปิเยพิษทารีกล่าว


    " อย่าเลย ท่าน พิษทารี ข้าเห็นท่านวิ่งน้ำหน้ามาเลย ท่านอย่าพูด ยิ่งพูดก็ยิ่งขำ ข้าวิ่งตามท่านมานะ

    ฮ่าๆๆๆ "


    อรัญหัวเราะต่ออีก เมื่อได้ยินคำพูดของปิเยพิษทารี ตอนนี้ อะไรก็เห็นเป็นเรื่องน่าขำไปหมด


    " ข้ากลัวพวกเจ้าจะออกไม่ทันเลยพยายามวิ่งให้ไว ถ้าข้าช้าพวกเจ้าหนีมันไม่ทันแน่ "


    พิษทารี แก้ตัวอีก ที่จริงแล้วตอนนั้นเขาก็ขวัญเสียเช่นกันในสถานการณ์เช่นนั้นแต่ได้วางฟอร์ม

    ไว้  แต่ทุกคนกลับรู้ทัน









    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×