ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Destiny พรหมลิขิต ขีดเส้นรัก

    ลำดับตอนที่ #5 : เพื่อน หรือมากกว่าเพื่อน?

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 92
      0
      30 ต.ค. 55

                คนบางคนคิดว่าสิ่งที่ทำให้คนสองคนได้มาพบเจอกันนั้นเรียกว่า ‘พรหมลิขิต ในขณะที่บางคนกลับเรียกมันว่า ความบังเอิญ แล้วสิ่งที่ทำให้ฉันกับฟิวส์มาเจอกันล่ะ? มันควรจะเรียกว่าอะไรดี? คำตอบก็คือ...ไม่รู้

                 ฉันเคยคิดนะว่าฉันแค่ ‘บังเอิญ ชนกับฟิวส์ในวันแรกที่เรารู้จักกัน ฉันแค่บังเอิญ ได้รู้จักกับเขา ฉันแค่บังเอิญ เจอเขาบ่อยๆ ฉันแค่ บังเอิญ เจอเขาในวันที่ฉันทุกข์ใจ หรือในวันที่ฉันต้องการคำปรึกษา แต่ในตอนนี้ คำตอบของฉันมันเปลี่ยนไป บางทีฉันควรจะเรียกสิ่งที่เกิดขึ้นว่า พรหมลิขิต จริงๆฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงรู้สึกแบบนั้น บางทีอาจจะเป็นเพราะความรักเดียวใจเดียวของฟิวส์ที่ยังรักฉันเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง ทั้งๆที่มันก็ผ่านมานานเกือบ 6 ปีแล้วก็ตาม  ที่ฉันรู้ก็เพราะเมื่อวาน ฟิวส์ได้ส่งข้อความมาหาฉันว่า...

               ‘ความรู้สึกที่ฟิวส์มีต่อรุ้ง...มันยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไป แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักกี่ปี

                 และนั่นก็คือเหตุผลว่าทำไมฉันถึงได้เป็นกังวล และหวนกลับไปนึกถึงความหลังแบบนี้ ฉันไม่รู้ว่าฟิวส์ได้ยินสิ่งที่ฉันพูดกับแม่...ตอนที่เราสองคนทำอาหารกันอยู่รึเปล่า? ฉันรู้...ว่าคำพูดบางคำของฉัน มันอาจจะทำร้ายความรู้สึกของฟิวส์ที่มีต่อฉัน ยิ่งเขามาขอตัวกลับบ้านไปก่อน แถมยังเอาแม่สามาอ้างอีก มันยิ่งทำให้ฉันค่อนข้างมั่นใจว่าเขาต้องได้ยินสิ่งที่ฉันพูดแน่ๆ

                  เพล้ง!

                  เสียงบางอย่างตกแตก ซึ่งฉันมั่นใจว่าต้องเป็นแก้ว ทำให้ฉันที่กำลังคิดอะไรเพลินๆในห้องนอนของตัวเองถึงกับผุดลุกขึ้น และรีบวิ่งไปหาต้นเสียง ซึ่งก็คือ...ที่ห้องทำงานแม่ของฉัน

                  “แม่ค่ะ...เป็นอะไรรึเปล่าค่ะ?”

                  ฉันเดินเข้าไปในห้องทำงานของแม่ โดยไม่ต้องเคาะประตู เมื่อเห็นว่ามันเปิดแง้มไว้อยู่แล้ว ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง พร้อมย่อตัวลงไปนั่งข้างๆแม่...ที่รอบตัวมีเศษแก้วเกลื่อนกลาดเต็มไปหมด และมีกรอบรูปของผู้ชายคนหนึ่งอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย คราบน้ำตาที่ยังเปรอะเปื้อนบนแก้มของแม่ ทำให้ท่านรีบหันหน้าหนี และรีบเช็ดมันออก เพื่อไม่ให้ฉันเห็น แม้ว่าฉันจะสังเกตเห็นมันก่อนแล้วก็ตาม

                  “แม่ไม่เป็นไรจ้ะรุ้ง แม่คงจะใจลอยไปหน่อย เลยทำของตกแตกแบบนี้” แม่ของฉันว่า ก่อนจะรีบเอื้อมมือไปหยิบกรอบรูปที่ตกอยู่ข้างๆขึ้นมา และทำท่าจะเก็บมันไว้ในลิ้นชัก เพื่อไม่ให้ฉันเห็นทันที

                  หมับ!

                  ฉันจับข้อมือของแม่ไว้ ทำให้ท่านที่กำลังจะเก็บรูปนั้นถึงกับชะงัก แม่ของฉันหันมามองฉันด้วยความสงสัย ก่อนจะยิ้มให้ฉันเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้

                  “แม่ค่ะ...แม่ไม่ต้องปิดรุ้งแล้วนะค่ะ รุ้งรู้เรื่องหมดทุกอย่าง รุ้งรู้ว่าพ่อกับแม่หย่ากัน เพราะว่าพ่อแอบไปมีผู้หญิงคนอื่นใช่ไหมค่ะ?”

                  “ไม่ใช่ลูก พ่อ...”

                  “...อย่าโกหกรุ้งอีกเลยค่ะแม่ รุ้งรับเรื่องนี้ได้ แล้วรุ้งก็รู้ด้วยว่าที่แม่มักจะพูดว่าไปพ่อไปทำงานที่ต่างประเทศ ก็เพราะไม่อยากให้รุ้งโกรธ หรือเกลียดพ่อที่ไม่ได้มาดูแลเราทั้งคู่แบบนี้...”

                  “...”

                  “...รุ้งมักจะเห็นแม่ร้องไห้ เวลาที่แม่มองรูปพ่อเป็นประจำ...แม่ยังรักพ่ออยู่ใช่ไหมค่ะ? แต่แม่ก็อย่าลืมนะค่ะว่าแม่ยังมีลูกสาวคนนี้อยู่...”

                  “รุ้ง...”

                  หมับ!

                  น้ำตามากมายหลั่งไหลออกมาจากดวงตาสีอัลมอนด์ของแม่ฉัน พร้อมทั้งฉันที่เริ่มจะร้องไห้ตามแม่ไปด้วย ฉันรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างพ่อกับแม่มาตลอด เพียงแต่ฉันไม่เคยพูดออกไปเท่านั้น ถึงแม้ว่าตอนนั้นฉันจะมีอายุเพียงแค่ 7 ขวบ และไม่เข้าใจคำว่า หย่า มากนัก แต่เมื่อฉันโตขึ้น ฉันก็ได้รู้ว่ามันหมายความว่าอย่างไร และเพราะฉันไม่อยากให้แม่เป็นกังวล...จึงทำเป็นเหมือนว่าฉันเชื่อมาตลอดว่าพ่อไปทำงานที่ต่างประเทศ ทั้งๆที่จริงๆมันไม่ใช่แบบนั้น

                  “แม่ขอโทษนะรุ้ง แม่ไม่ได้ตั้งใจที่จะโกหกลูกแบบนั้น...” หลังจากที่แม่ และฉันหยุดร้องไห้ ท่านก็หันมาพูดกับฉัน พร้อมเอื้อมมือมาลูบหัวฉันเบาๆ เหมือนที่ท่านชอบทำตอนที่ฉันเด็กๆ

                  “รุ้งรู้ค่ะแม่ และรุ้งก็ไม่เคยโกรธแม่ หรือพ่อเลยนะค่ะ” ฉันพูดขึ้น พร้อมยิ้มบางๆ ก่อนที่เราสองคนจะช่วยกันเก็บกวาดเศษแก้วที่เกลื่อนกลาดตามพื้น “...รุ้งขอถามอะไรแม่สักอย่างได้ไหมค่ะ?”

                  “ได้สิลูก...”

                  “ตอนนี้...พ่ออยู่ที่ไหนเหรอค่ะ?”

                  เมื่อเคลียร์สิ่งที่ค้างคาในใจของฉันกับแม่เรียบร้อย ฉันจึงตัดสินใจถามท่านถึงพ่อของตัวเอง ซึ่งฉันไม่เคยได้เจอท่านมาเกือบ 10 ปี แม่เงียบไปนาน ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง

                  “แม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะตั้งแต่ที่แม่หย่ากับพ่อ แม่ก็ไม่เคยติดต่อกับพ่อของลูกอีกเลย”

                  “อ่อ...ค่ะ”

                  ฉันรับคำ เมื่อได้ยินคำตอบของแม่ ก่อนจะยิ้มออกมาบางๆ แม่ของฉันดูดีขึ้น หลังจากการร้องไห้หนักๆที่ผ่านมาเมื่อกี้          

                  “แล้วลูกกับฟิวส์...เป็นยังไงบ้างจ้ะ?”

                  “แม่หมายความว่ายังไงคะ?”

                  “แม่ไม่อยากให้อดีตระหว่างแม่กับพ่อจะทำให้เราต้องมาทำให้ลูกของแม่ไม่กล้ามีความรักนะลูก ความรักเป็นสิ่งที่สวยงาม แม้ว่ามันจะทำให้เราต้องเจ็บปวด หรือเสียน้ำตา แต่มันก็เป็นเพียงบททดสอบหนึ่งเท่านั้น...”

                  “...”

                  “...แม่ดูออกว่าฟิวส์ชอบรุ้ง แล้วแม่ว่า...รุ้งก็คงรู้เหมือนกันใช่ไหม?”

                  “ค่ะแม่ รุ้งรู้มาตลอดว่าฟิวส์คิดกับรุ้งมากกว่าเพื่อน และฟิวส์ก็คิดแบบนี้มาตั้งแต่วันแรกที่รุ้งเจอเขาตอนม.ต้นจนถึงตอนนี้”

                  “...หายากนะลูก ผู้ชายที่รักเดียวใจเดียวแบบนี้ ในเมื่อรุ้งรู้ว่าฟิวส์คิดยังไงกับลูก แล้วลูกของแม่ล่ะ...คิดยังไงกับฟิวส์?”

                  คำถามของแม่ทำให้ฉันถึงกับนิ่ง ตัวฉันเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าตัวเองคิดยังไงกับเพื่อนสนิทคนนี้กันแน่ ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าถ้าเราจะชอบหรือรักใครสักคน เราควรจะรู้สึกยังไง? ควรจะใจเต้นแรงเหมือนในนิยายรัก หรือควรจะเขินอาย เมื่อเขาอยู่ใกล้ๆ ฉัน...ตอบไม่ได้จริงๆ

                  “รุ้ง...ก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะแม่ รุ้งรู้แค่ว่าฟิวส์เป็นเพื่อนผู้ชายเพียงคนเดียวที่รุ้งสนิทที่สุด และเวลาที่รุ้งมีปัญหา หรือมีเรื่องไม่สบายใจ ฟิวส์ก็มักจะเป็นคนแรกๆที่รุ้งอยากได้คำปรึกษา รุ้งก็...ไม่รู้ว่าตัวเองคิดยังไงกับฟิวส์กันแน่...”

                  “รุ้งรู้ไหมว่าแม่ไม่เคยเห็นรุ้งแคร์ผู้ชายคนไหนมากเท่าฟิวส์มาก่อนเลยนะ บางทีที่รุ้งไม่รู้ว่าตัวเองคิดยังไงกับฟิวส์กันแน่ อาจจะเป็นเพราะลูก และฟิวส์สนิทกันมากๆจนรุ้งแยกไม่ออกว่าตัวเองคิดกับฟิวส์แค่เพื่อน หรือว่ามากกว่าเพื่อน...”

                  “...มันอาจจะเป็นแบบที่แม่บอกก็ได้ เพราะรุ้งแยกมันไม่ออกจริงๆ”



          “ฟิวส์...” ฉันเรียกชื่อของร่างสูงที่กำลังเดินเข้ามาในโรงเรียน เล่นเอาคนที่กำลังเดินมาถึงกับชะงัก และมองมาทางฉันงงๆ

           “รุ้ง...”

           “ฟิวส์เป็นอะไรรึเปล่า? หรือว่าฟิวส์โกรธรุ้ง? ทำไมอยู่ๆถึงหนีกลับบ้านไปเฉยๆแบบนั้นล่ะ?” ฉันรัวคำถามใส่คนตรงหน้าด้วยความสงสัย ฟิวส์นิ่งไป    สักพัก ก่อนจะสบตาฉัน และตอบกลับมา

           “ไม่มีอะไรหรอกรุ้ง ฟิวส์บอกแล้วไงว่าแม่สา...”

           “รุ้งไม่เชื่อ!” ฉันพูดแทรกขึ้นมา ทั้งๆที่ฟิวส์ยังพูดไม่จบเสียด้วยซ้ำ “...มันต้องมีอะไรแน่ๆใช่ไหมฟิวส์? ไม่อย่างนั้น ฟิวส์คงไม่เอาแม่สามาอ้างหรอก เพราะถ้าแม่สารู้ว่าฟิวส์อยู่กับรุ้ง แล้วมีเรื่องด่วนจริงๆ แม่สาก็จะโทรมาบอกรุ้งด้วยเช่นกัน หรือว่า...รุ้งพูดอะไรให้ฟิวส์ไม่สบายใจรึเปล่า?”

            กึก!

                    ร่างสูงชะงัก เมื่อฉันพูดประโยคสุดท้ายออกมา มันยิ่งทำให้ฉันมั่นใจว่าร่างสูงตรงหน้าฉัน ต้องได้ยินสิ่งที่ฉันพูดกับแม่แน่ๆ

                    “คือ...”

                    “...รุ้งขอโทษนะฟิวส์ รุ้งไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้น รุ้งรู้ว่าคำพูดของรุ้งทำร้ายความรู้สึกของฟิวส์ รุ้งผิดเอง...ที่พูดอะไรโดยไม่คิด...”

                    “ช่างมันเถอะ...”

                    “O_O

                    “...สิ่งที่รุ้งพูด ไม่ใช่ว่ารุ้งไม่ได้คิดให้ดีก่อนที่จะพูดออกมา แต่รุ้ง...ไม่คิดมากกว่าว่าฟิวส์จะได้ยิน รุ้งถึงได้พูดมันออกมา...จริงไหม?”

                    “ก็...จริง”

                    “ฟิวส์รู้ว่ารุ้งไม่ได้คิดอะไรกับฟิวส์ รุ้งไม่ผิดหรอก ฟิวส์นี่แหละที่ผิด ถ้าฟิวส์ไม่คิดกับรุ้งมากกว่าเพื่อน บางทีเรื่องทุกอย่างมันอาจจะไม่เป็นแบบนี้ก็ได้...”

                    “...”

                    “...แต่ก็แปลก ทั้งๆที่ฟิวส์ไม่ได้เจอรุ้งมาเกือบ 3 ปี แต่ก็ไม่มีใครสามารถมาแทนที่รุ้งในใจฟิวส์ได้เลยจริงๆ”

                    “ฟิวส์...”

                    เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ เมื่อเพื่อนสนิทของฉันพูดจบ ฉันรู้สึกว่าการหวนกลับมาเจอกันครั้งนี้ของฉันและเขา กลับทำให้อะไรๆมันดูแย่ลงไปกว่าเดิมเสียอีก

                    “ไม่ต้องเครียดหรอกน่า ฟิวส์ชินแล้ว”

                    “ชินแล้ว?”

                    “อื้ม...ก็...เจ็บจนชินแล้ว”

                    “ฟิวส์... รุ้งก็ไม่ได้อยากให้เรื่องทุกอย่าง มันกลับกลายเป็นแบบนี้หรอกนะ” ฉันถอนหายใจ ก่อนจะพูดขึ้น ก็ใครจะไปคิดล่ะว่าทุกอย่างจะเลวร้ายลง ทั้งๆที่เราสองคนเพิ่งจะกลับมาเจอกันในเวลาไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์แบบนี้

                    “ฟิวส์รู้ และฟิวส์ก็ไม่เคยโกรธรุ้งหรอก รุ้งจำได้ไหมว่าเมื่อ 3 ปีก่อน...ฟิวส์เคยพูดกับรุ้งว่ายังไง?”

                    “จำได้สิ...ฟิวส์เคยบอกรุ้งว่า...ฟิวส์ไม่ได้ต้องการให้รุ้งชอบฟิวส์กลับไป...”

                    “อื้ม...ใช่ แล้วตอนนี้ ฟิวส์ก็ยังยืนยันนะว่าฟิวส์ไม่ต้องการให้รุ้งมาชอบฟิวส์ตอบ รุ้งไม่ต้องเครียดหรอกน่า...”

                    ร่างสูงว่า พร้อมยิ้มกว้าง ก่อนจะเอื้อมมือมาลูบหัวฉันเบาๆ นั่นทำให้ฉันคลายกังวลลงไปบ้าง ฉันก็ได้แต่หวังว่ามันคงจะไม่มีเรื่องอะไรที่จะมาทำร้ายความรู้สึกของฟิวส์ไปมากกว่านี้เลยนะ แค่นี้...ฉันก็รู้สึกผิดต่อฟิวส์มากพอแล้ว ฮู่ว~


     

                    “รุ้ง!!

                    หมับ!

                    เสียงเรียกที่คุ้นหูดังขึ้น พร้อมกับแรงดึงที่ข้อมือของฉัน ส่งผลให้ตัวฉันแทบจะลอยไปอยู่ในอ้อมกอดของเจ้าของเสียง

                    “เอ็มซี!!” ฉันเรียกชื่อเจ้าของอ้อมกอดด้วยความตกใจ ก่อนจะเงยหน้ามองเอ็มซีอย่างงงๆ “เอ่อ...นี่มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ?” ฉันเอยถามขึ้นอีกครั้งอย่างงงๆ และไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นัก

                    “ก็รุ้งไปยืนทำอะไรกลางถนนล่ะ? เห็นไหมว่ารถมันเยอะขนาดไหน? ชอบทำตัวให้เป็นห่วงอยู่เรื่อยเลยนะ”

                    “รุ้งเคยทำตัวให้เอ็มเป็นห่วงตอนไหนกัน...ก็เพิ่งจะมีตอนนี้นี่แหละ แล้วอยู่ๆถุงมันก็ขาด แอปเปิ้ลมันก็เลยร่วง รุ้งก็แค่เดินไปเก็บเท่านั้นเอง แถมตอนนั้นมันก็ยังไฟแดงอยู่ด้วย”

                    “แต่ตอนที่เอ็มเห็น มันเปลี่ยนเป็นไฟเขียวแล้วนี่นา ดีนะ...ที่เอ็มดึงรุ้งมาได้ทัน ไม่อย่างนั้นรุ้งได้โดนรถชนแน่ๆ” เอ็มซีพูดขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมก้มมามองฉันด้วยนัยน์ตาสีน้ำตาลที่แสดงออกถึงความห่วงใยจากใจจริงของเจ้าตัว จนฉันต้องรีบหลบตา และผลักตัวเองออกมาจากอ้อมแขนของเอ็มซี

                    “ยังไงก็...ขอบคุณที่ช่วยนะ” ฉันเอ่ยขึ้น พร้อมยิ้มให้ร่างสูงกว่าบางๆ เล่นเอาเอ็มซีถึงกับชะงักไปเลยทีเดียว เอ่อ...นี่ฉันทำอะไรผิดอย่างนั้นเหรอ?

                    หมับ!

                    “รุ้งน่ารักเกินไปแล้ว” คนข้างตัวฉันว่า ก่อนที่เขาจะเอื้อมมือมาลูบหัวฉันเบาๆ พร้อมหันมายิ้มกว้างจนตาหยีให้ฉัน นั่นทำให้ฉันอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “...หัวเราะอะไรน่ะรุ้ง หน้าเอ็มมีอะไรติดอย่างนั้นเหรอ?” ร่างสูงว่าอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าฉันหัวเราะออกมา ฉันจึงยิ้มออกมาอีกครั้ง แล้วจึงตอบคำถามของเอ็มซี

                    “ไม่มีอะไรติดหน้าเอ็มหรอก รุ้งแค่...ไม่เคยเห็นเอ็มยิ้มกว้างจนตาหยีแบบนี้นี่นา ก็เลยอดแปลกใจ แล้วก็หัวเราะออกมาไม่ได้น่ะ”

                    “อ๋อ...อย่างนี้นี่เอง แล้วนี่...รุ้งเป็นอะไรมากรึเปล่า?”

                    “ถามช้าไปไหมเอ็ม? ถ้ารุ้งเป็นอะไรจริงๆ คงจะไม่มายืนคุยกับเอ็มนานขนาดนี้หรอก” ฉันเอ่ยแหย่คนข้างตัว ทำให้เขาอดขำตัวเองไม่ได้ “...รุ้งไม่เป็นไรหรอก เพราะเอ็มมาช่วยรุ้งได้มันเวลาพอดี”

                    “แล้วของพวกนี้ รุ้งต้องไปซื้อใหม่รึเปล่าเนี่ย? เพราะดูท่า...มันจะใช้ไม่ได้หมดแล้ว” เอ็มซีถามขึ้น เรียกสายตาของฉันให้ก้มมองของที่เพิ่งซื้อมา ไม่ว่าจะเป็นแอปเปิ้ล ส้ม ไข่ และของอื่นๆอีกมากมาย...ที่ตอนนี้กองอยู่ด้วยกันจนแทบแยกไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร

                    “ก็คงต้องเป็นแบบนั้นแหละ” ฉันพยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับคำพูดของเอ็มซี ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ หึๆ ให้มันได้อย่างนี้เซ่~ ฉันเพิ่งจะซื้อของเสร็จเมื่อไม่กี่นาทีก่อน แล้วนี่ฉันจะต้องกลับไปซื้อของพวกนี้ใหม่อีกรอบเหรอเนี่ย

                    “ป่ะ...ไปกัน เดี๋ยวเอ็มไปช่วยถือของนะ”

                    “จ้า~

     

     

                    “นี่รุ้ง...มีแฟนก็ไม่เห็นบอกกันบ้างเลยนะ” ทันทีที่ฉันนั่งลงบนโต๊ะของตัวเอง อิงฟ้าที่นั่งถัดออกไป ก็รีบเขยิบมานั่งข้างๆฉัน พร้อมเอ่ยประโยคนี้กับฉันทันที เอ่อ...เพื่อนสนิทของฉันพูดเรื่องอะไรเนี่ย

                    “แฟนเฟินที่ไหนกันอิง รุ้งไม่เห็นรู้เรื่องเลย”

                    “ก็เอ็มไง...”

                    “เอ็มซีเนี่ยนะ?” ฉันย้อนถามกลับไปด้วยความงุนงง แล้ว...เอ็มซีเข้ามาเกี่ยวอะไรล่ะเนี่ย นี่ฉันงงไปหมดแล้วนะเนี่ย

                    “ก็ใช่น่ะสิ เมื่อวานอิงเห็นรุ้งกับเอ็มซีกอดกันซะแน่นเชียว แถมยังไปเดินซื้อของกันกระหนุงกระหนิงอีกต่างหาก กรี๊ด~ อิจฉาอ่ะ” ท่าทางของเพื่อนฉัน ยิ่งทำให้ฉันถึงกับปลง ยัยอิงฟ้าเข้าใจผิดไปถึงไหนแล้วเนี่ย? ไหนจะสายตาเพ้อฝันนั่นอีก

                    “มันไม่ได้เป็นแบบที่อิงคิดสักหน่อย...”

                    “รุ้งหมายความว่าไง?”

                    “...ก็เมื่อวาน รุ้งไปซื้อของ แล้วพอดีว่าถุงแอปเปิ้ลมันขาด รุ้งก็เลยเดินไปเก็บ ซึ่งแอปเปิ้ลมันก็กลิ้งไปอยู่เกือบกลางถนน แต่ตอนนั้นรุ้งเห็นว่ามันไฟแดงอยู่ เลยไม่ได้สนใจ แต่พอเอ็มเดินมา เขาเห็นว่าสัญญาณไฟมันเปลี่ยนเป็นสีเขียว ก็เลยรีบมาดึงรุ้งไว้ เลยดูเหมือนว่าเราสองคนกอดกันเท่านั้นเอง...”

                    “อ้าว...”

                    “...ส่วนเรื่องที่เราสองคนเดินซื้อของกันกระหนุงกระหนิงน่ะ จริงๆแล้ว...เอ็มซีก็แค่มาช่วยรุ้งซื้อของ และก็ถือของด้วย แล้วเราก็คุยกันปกตินะ รุ้งว่าอิงจินตนาการไปไกลเองมากกว่า...”

                    “จริงเหรอ? แต่อิงว่าสิ่งที่อิงเห็นมันไม่ใช่แบบนั้นนะ” ร่างบางยังคงเชื่อในความคิดของตัวเอง จนฉันอดส่ายหน้าไม่ได้ ก่อนที่หางตาของฉันจะหันไปเห็นว่าเอ็มซีกำลังจะเดินเข้ามานั่งที่ตะ จึงรีบคว้าเขามายืนยันด้วยอีกคน

                    หมับ!

                    “เอ็มมาก็ดีแล้ว มาช่วยรุ้งยืนยันหน่อยสิว่าเราสองคนไม่ได้เป็นแฟนกัน”

                    “ฮะ O_O

                    เอ็มซีร้องขึ้นอย่างงงๆ เมื่อเห็นว่าพอฉันคว้าตัวเขามาได้ ก็พูดประโยคนี้กับเขา เล่นเอาเจ้าตัวถึงกับงงเลยทีเดียว

                    “ก็อิงฟ้าน่ะสิ คิดว่าเราสองคนเป็นแฟนกัน...”

                    “อ้าว...แล้วไม่ใช่เหรอ?”

                    “เอ็ม!” ฉันเรียกชื่อคนขี้เล่นด้วยน้ำเสียงกึ่งโกรธกึ่งอาย เล่นเอาเจ้าของชื่อถึงกับหัวเราะออกมาเลยทีเดียว ไม่เห็นว่ามันจะน่าขำตรงไหนเลย

                    “ฮ่าๆ เอ็มล้อเล่นน่า รุ้งก็เครียดไปได้ เราสองคนไม่ได้เป็นแฟนกันจริงๆหรอกอิงฟ้า แต่ในอนาคตอ่ะ...ไม่แน่”

                    เพียะ!

                    “เอ็มซี!

                    “ฮ่าๆ” ฉันตีแขนของร่างสูงแก้เขิน โอ๊ย! แล้วทำไมฉันต้องเขินด้วยล่ะเนี่ย ไม่เข้าใจตัวเองจริงๆ แต่ท่าทางของฉันก็เรียกเสียงหัวเราะจากเอ็มซี รวมทั้งอิงฟ้าได้เป็นอย่างดี “...โอ๋~ ดีกันน้า~ เอ็มแค่ล้อเล่นนิดเดียวเอง”

    คนข้างตัวฉันว่า ก่อนจะยื่นนิ้วก้อยมาตรงหน้าฉัน และมองฉันตาปริบๆ เล่นเอาฉันอดยิ้มออกมาไม่ได้ แล้วจึงยื่นมือไปเกี่ยวก้อยของเขา

    “ก็ได้...” ฉันว่า เรียกรอยยิ้มให้ปรากฏบนใบหน้าของร่างสูง โดยที่ฉันไม่ทันได้สังเกตเห็นร่องรอยความเจ็บปวดในนัยน์ตาสีน้ำตาลของเอ็มซี ก่อนที่มันจะหายไป เมื่อเจ้าตัวกะพริบตา

    “พวกเธอสองคนเป็นแฟนกันเถอะ ถ้าจะน่ารักกันทั้งคู่ขนาดนี้”

    “อิงฟ้า!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×