ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Destiny พรหมลิขิต ขีดเส้นรัก

    ลำดับตอนที่ #6 : ป่วย

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 103
      0
      4 พ.ย. 55

    ~~

    เสียงเรียกเข้าจากมือถือของฉันดังขึ้น ทำให้ฉันที่กำลังจะเดินไปรอลุงพลที่หน้าโรงเรียนเหมือนทุกครั้งถึงกับชะงัก ใครโทรมานะ แปลกจัง...ทั้งๆที่ฉันเพิ่งจะเลิกเรียนด้วยซ้ำ รีบร้อนอะไรขนาดนั้นเชียว ฉันหยิบมือถืออกมาจากกระเป๋ากระโปรง แต่พอเห็นว่าเป็นเบอร์ที่ฉันไม่รู้จักก็แอบขมวดคิ้วไม่ได้ เอ๊ะ...หรือว่าจะเป็นฟิวส์ เพราะฉันไม่เห็นเขามาเรียนตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แถมพอฉันโทรไปหาก็ไม่ยอมรับโทรศัพท์อีกต่างหาก

    “รุ้งพูดค่ะ...” ฉันกดรับสาย และกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ แต่เสียงที่ตอบกลับมาจากปลายสายนี่สิ ทำเอาฉันอดแปลกใจไม่ได้

    “รุ้งเหรอลูก? นี่แม่สาเองนะจ้ะ...”

    “ค่ะแม่...แม่มีอะไรด่วนรึเปล่าค่ะ? หรือว่าฟิวส์เป็นอะไรรึเปล่า? รุ้งไม่เห็นฟิวส์มาโรงเรียนตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะค่ะ”

    “ฟิวส์ไม่สบายน่ะ ไข้ขึ้นสูงด้วย แถมตอนนี้ยังไม่ยอมทานอะไรอีก ถือว่าแม่ขอร้องนะ รุ้งช่วยมาดูฟิวส์หน่อยได้ไหม?” แม้ว่าแม่สาจะไม่ขอร้อง ฉันก็คงจะไปอยู่แล้ว เพราะปกติแล้ว ฟิวส์ไม่ค่อยใช่คนที่จะป่วยง่ายสักเท่าไหร่ แอบรู้สึกแปลกๆยังไงก็ไม่รู้แฮะ

    “ได้ค่ะแม่ น่าจะอีกสัก 15 นาที รุ้งก็คงจะไปถึงนะค่ะ”

    “จ้ะลูก แม่ต้องขอโทษด้วยนะว่าที่โทรมาบอกกะทันหันแบบนี้”

    “ไม่เป็นไรค่ะแม่ รุ้งเข้าใจ” ฉันบอกคนปลายสายด้วยความเข้าใจตามคำพูดของตัวเองจริงๆ ฉันกดวางสาย ก็พอดีกับที่ลุงพลขับรถมารับฉันที่หน้าโรงเรียนพอดี ฉันบอกให้ลุงพลพาฉันไปที่บ้านของฟิวส์ แทนที่จะกลับบ้านเหมือนทุกวัน ฉันส่งข้อความไปบอกแม่ศุว่าฟิวส์ไม่สบาย และฉันจะไปเยี่ยมเขา วันนี้อาจจะกลับบ้านเย็นหน่อย ซึ่งแม่ก็ส่งกลับมาว่าไม่เป็นไร และฝากบอกฟิวส์ด้วยว่าแม่ศุขอให้เขาหายไวๆ

    “สวัสดีค่ะ...แม่สา” ไม่นาน ฉันก็มาถึงหน้าบ้านของฟิวส์ ก่อนที่ฉันจะยกมือไหว้แม่สาที่มายืนรอฉันที่หน้าบ้านด้วยท่าทีกระวนกระวายใจอย่างเห็นได้ชัด

    “ไหว้พระเถอะลูก แล้วนี่รุ้งเป็นยังไงบ้างจ้ะ? แม่ไม่ได้เจอเราตั้งนานปี โตเป็นสาวแล้วเหรอเนี่ย...แถมสวยจนแม่เกือบจำไม่ได้เชียว”

    “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะแม่ แล้วแม่เป็นยังไงบ้างค่ะ?”

    “แม่ก็สบายดีลูก แต่กำลังจะไม่สบาย เพราะลูกชายตัวดีของแม่นี่แหละ” แม่สาเอ่ยตอบกลับมา พร้อมส่ายหัวอย่างอ่อนใจ ฉันจึงอดยิ้มออกมาไม่ได้

    “แล้วตอนนี้ฟิวส์อยู่ที่ไหนคะ?”

    “ฟิวส์อยู่ที่ห้องของเขานั่นแหละ นี่ก็ไม่ยอมกินอะไรมาตั้งแต่เช้าแล้ว แม่ก็พยายามคะยั้นคะยอให้เขาทานข้าวบ้าง แต่ลูกคนนี้ก็ดื้อจริงๆ เล่นไม่ยอมทานอะไรเลย แม่ก็ไม่รู้จะทำยังไงดี ถึงได้โทรเรียกรุ้งมานี่แหละจ้ะ ขอโทษด้วยนะจ้ะที่โทรไปเรียกให้รุ้งมาแบบกะทันหันแบบนี้”

    “ไม่เป็นไรหรอกค่ะแม่ ยังไงรุ้งก็ไม่มีธุระที่อื่นอยู่แล้ว” ฉันตอบกลับไป ก่อนจะขออนุญาตใช้ห้องครัวจากแม่สา และลงมือทำข้าวต้มกุ้ง ซึ่งเป็นของโปรดของคนที่นอนป่วยอยู่ข้างบน เฮ้อ~ ฉันถอนหายใจเบาๆ เมื่อคิดถึงสิ่งที่แม่สาเพิ่งพูดเมื่อกี้

    ฟิวส์เป็นคนที่ค่อนข้างจะเอาแต่ใจตัวเองพอตัว และจะเพิ่มดีกรีมากขึ้น เมื่อเจ้าตัวป่วย เพราะเขาจะดื้อมากๆ อย่างเช่น การที่เขาไม่ยอมทานอะไรมาตั้งแต่เช้าแบบนี้ ซึ่งก็ไม่มีใครสามารถทำให้เขาทานข้าวได้ แต่ก็ใช่ว่าฉันจะทำได้...เพียงแต่ตัวฉันก็ยังพอเกลี้ยกล่อมให้เจ้าตัวทานข้าวได้บ้างน่ะ

    “โตขนาดนี้แล้ว ยังไม่เลิกทำตัวเป็นเด็กๆอีก” ฉันพึมพำกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะนำถาดมายกข้าวต้มกุ้งขึ้นไปข้างบน

    ก๊อกๆ

    แอด...

    ฉันเคาะประตูที่ห้องของฟิวส์ ก่อนจะถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไปเลย ร่างสูงขยับตัวเล็กน้อย พร้อมหันมามองว่าใครเข้ามา

    “รุ้ง...”คนบนเตียงเรียกชื่อฉันเบาๆ พร้อมเบิกตากว้าง ก่อนจะหันหน้าไปทางอื่นทันที เล่นเอาฉันถึงกับงงเลยทีเดียว ที่ฟิวส์ไม่สบาย เพราะเจ้าตัวไม่สบายจริงๆ หรือเพราะเหตุผลอื่นกันแน่นะ

    “ฟิวส์เป็นไงบ้าง?” ฉันถามขึ้น แม้ว่าจะรับรู้ถึงอาการแปลกๆของเพื่อนสนิทตั้งแต่ก้าวเข้ามาในห้องแล้วก็เถอะ ฉันเดินไปนั่งข้างๆเขา พร้อมวางถาดข้าวต้มกุ้งไว้ที่โต๊ะ...ข้างๆเตียงของเขา

    “ก็ยังไม่ตาย...” อีกแล้ว...ฉันบอกกับตัวเอง เพราะเจ้าตัวดูจะแปลกไปจากทุกวันที่เราเจอกัน ปกติแล้วเพื่อนสนิทของฉันคนนี้ มักจะไม่ยียวนกวนประสาทฉันเท่าไหร่นัก ยิ่งการที่เจ้าตัวพูดเสียงแข็งแบบนี้...มันแทบจะไม่เคยเกิดขึ้นเลย มันทำให้ฉันอดแปลกใจไม่ได้ นี่ฟิวส์โกรธอะไรฉันรึเปล่าเนี่ย? “...ไม่ไปกอดกับเอ็มซีต่อรึไง? ฟิวส์ยังไม่ตายง่ายๆหรอก ไม่ต้องมาดูแล...”

    คำพูดของฟิวส์ ทำให้ฉันถึงกับร้องอ๋อเลยทีเดียว โธ่~ ไอ้เราก็นึกว่าเขาโกรธเรื่องอะไร ที่แท้ก็เรื่องแค่นี้เอง

    “หึงรุ้งรึไง?” ฉันพูดแหย่คนตงหน้า เล่นเอาเจ้าตัวถึงกับหน้าบึ้งทันที

    “ก็ใช่อ่ะดิ ทั้งหึงทั้งหวงนั่นแหละ” คำตอบของฟิวส์ เล่นเอาฉันถึงกับรู้สึกว่าอุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นทันที แต่ก็ยังอดตะขิดตะขวงใจไม่ได้ บางทีถ้าคนตรงหน้าไม่ใช่เพื่อนสนิทของฉัน หรือถ้าเขาแค่พูดเล่น ฉันอาจจะไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจแบบนี้ก็ได้ แต่ฉันก็รู้อยู่แก่ใจว่าเขารู้สึกแบบที่พูดจริงๆ

    ฉันเอื้อมมือไปแตะหน้าผากของคนตรงหน้า เพื่อวัดอุณหภูมิ ก่อนจะรีบเอามือออก เมื่อรับรู้ได้ว่าเจ้าตัวไข้ขึ้นสูง แถมยังตัวร้อนมากๆอีกต่างหาก

    “ฟิวส์หิวไหม? รุ้งทำข้าวต้มกุ้งมาให้ รุ้งทำสุดฝีมือเลยนะ...”

    “ไม่หิว...”

    “ฟิวส์...นี่ข้าวต้มกุ้ง ของโปรดของฟิวส์เลยนะ ทานสักหน่อยสิ...”

    “ฟิวส์ไม่อยากกิน...”

    “แม่สาบอกรุ้งว่าฟิวส์ไม่กินอะไรมาตั้งแต่เช้าแล้วนะ ทานสักคำสองคำก็ยังดีนะฟิวส์ เดี๋ยวก็ได้ป่วยหนักกว่าเดิมหรอก หรือว่าฟิวส์อยากทานอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า? รุ้งจะได้ทำให้ใหม่...”

    “ฟิวส์ไม่หิว ไม่อยากกิน แล้วก็ไม่เอาอะไรทั้งนั้นแหละ...” เจ้าตัวขึ้นเสียงใส่ฉัน เขาคงรำคาญที่ฉันคะยั้นคะยอให้เขาทานข้าวต้มกุ้ง ในขณะที่ความอดทนของฉันก็หมดลงเช่นกัน นี่ฉันพยายามเกลี่ยกล่อมฟิวส์มาหลายประโยคแล้วนะ แต่ทำไมเพื่อนสนิทของฉันถึงได้ดื้อขนาดนี้ แล้วถ้าทานข้าวยังยากขนาดนี้ ตอนกินยาไม่อยากจะนึกเลยว่าเจ้าตัวจะดื้อขนาดไหน

    “ถ้าฟิวส์ไม่กิน งั้นรุ้งกลับแล้วนะ...”

    หมับ!

    “เดี๋ยวก่อนสิรุ้ง นั่งลงก่อนสิ อย่าเพิ่งโกรธฟิวส์นะ ฟิวส์ไม่ได้ตั้งใจจะพูดกับรุ้งด้วยน้ำเสียงแบบนั้น ฟิวส์ขอโทษ” เมื่อเห็นว่าฉันทำท่าจะเดินออกไปจากห้อง คนที่นอนป่วยอยู่บนเตียงก็รีบคว้าข้อมือฉันไว้ ก่อนจะพูดกับฉันด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด

    ปัง!

    หมับ!

    “พี่รุ้ง~~~” เสียงทั้งสามเสียงเกิดขึ้นในเวลาใกล้ๆเคียงกัน โดยเสียงแรกเกิดจากการที่ใครบางคนเปิดประตูเข้ามาในห้องฟิวส์ พร้อมกับที่เจ้าตัวแทบจะถลามากอดฉัน และเรียกชื่อของฉันด้วยน้ำเสียงร่าเริงสุดๆ หึๆ ให้มันได้อย่างนี้สิ...คนพี่กำลังจับข้อมือฉันไว้ ส่วนคนน้องก็กำลังกอดฉันอยู่

    “ออกไปไกลๆเลยฟิล์ม อย่ามาแตะต้องตัวรุ้งนะ” ฉันที่กำลังจะพูดขึ้น แต่ฟิวส์กลับขัดขึ้นมาเสียก่อน เจ้าตัวพูดกับน้องชายของตัวเอง ก่อนจะรีบแกะมือของน้องชายออกจากตัวฉันทันที

    “โห่~ พี่รุ้งเป็นแค่เพื่อนพี่ไม่ใช่รึไง? ทำเป็นหวงไปได้” ฟิวส์ยอมปล่อยอ้อมกอด ก่อนจะพูดออกมา พร้อมทำปากยื่นอย่างงอนๆ เล่นเอาฉันอดหัวเราะออกมาไม่ได้

    “มันเรื่องของฉัน คนนี้ฉันหวงเว้ย” ฟิวส์ว่าไม่พอ ยังรีบดึงฉันมากอด และเอนหัวของเขามาพิงที่แขนของฉันทันที ทำเป็นเด็กหวงของเล่นไปได้ เพื่อนฉัน

    “แต่รุ้งว่าฟิวส์ก็ปล่อยรุ้งเหมือนกันนะ เกรงใจน้องบ้างสิ”

    “ใครสน...”

    “ฟิวส์...” สุดท้าย คนที่กอดฉันอยู่ ก็ต้องยอมคลายอ้อมกอดอย่างเสียไม่ได้ เมื่อโดนฉันมองด้วยแววตาไม่พอใจ และนั่นก็เรียกเสียงหัวเราะจากชายหนุ่มอีกคนในห้องให้ดังขึ้น เล่นเอาคนที่กำลังป่วยอยู่ แทบจะลุกมาเตะน้องชายตัวเองกับความกวนประสาทของเจ้าตัว ถ้าฉันไม่มองเพื่อนสนิทด้วยสายตาปรามๆ    ก่อนอ่ะนะ

    “คิดถึงพี่รุ้งจังเลย พี่รุ้งของฟิล์มสวยขึ้นเยอะเลย อย่างนี้คงมีคนมาจีบเต็มเลยสิ...”

    “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกฟิล์ม ว่าแต่เราเถอะ เพิ่งจะขึ้นม.3 ไหงสูงกว่าพี่อีกเนี่ย แถมยังหล่อขึ้นเป็นกองเลยด้วย อย่างนี้สาวไม่ติดตรึมเหรอเนี่ย?”

    “มันแน่อยู่แล้วครับ ว่าแต่พี่รุ้งเถอะ...สนใจมีแฟนเด็กไหมครับ?”

    พลั่ก!

    ยังไม่ทันที่ฟิล์มจะพูดจบ ร่างสูงที่นอนป่วยอยู่ก็รีบลุกขึ้นยันโครมคนที่พูดจ้ออยู่ทันที เล่นเอาคนที่ไม่ทันได้ตั้งตัว ถึงกับลงไปกองกับพื้นเลยทีเดียว

    “อย่ามาลามปามเพื่อนฉัน ไอ้น้องบ้า!

    “แตะไม่ได้เลยนะคนเนี่ย ฮึ! เอ๊ะ...กลิ่นอะไรน่ะ หอมจัง”

    ร่างสูงว่า ก่อนที่คนที่เพิ่งโดนถีบจะลุกขึ้น พร้อมตอบกลับไปอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์มากนัก ก่อนจะพูดถึงกลิ่นของอาหารขึ้นมาเฉยๆ

    “อ๋อ...พี่ทำข้าวต้มกุ้งมาให้ฟิวส์น่ะจ้ะ แต่เขาไม่อยากกิน ฟิล์มหิวไหม? อยากกินข้าวต้มกุ้ง...ฝีมือพี่รึเปล่า?”

    “กินแล้วจะท้องเสียไหมเนี่ย...”

    “ฟิล์ม!

    “ฮ่าๆ ผมล้อเล่นน่ะครับพี่รุ้ง ฝีมือทำอาหารของพี่รุ้ง...อร่อยที่สุด ใครก็สู้ไม่ได้ แล้วตอนนี้ผมก็หิวมากๆด้วย งั้นไม่เกรงใจล่ะนะครับ” เจ้าตัวว่า พร้อมยอฉัน ก่อนจะเดินไปหยิบถาดข้าวต้มกุ้ง ซึ่งวางอยู่ที่ข้างๆเตียงของพี่ชายตัวเอง

    “ไม่ให้เว้ย นี่รุ้งทำให้ฉันนะ” แต่ยังไม่ทันที่ฟิล์มจะได้หยิบ คนที่นอนอยู่บนเตียงก็รีบยกถาดข้าวต้มหนีทันที เฮ้อ~ ทีเมื่อกี้ล่ะ...พูดให้ตายก็ไม่ยอมกิน บทจะยอม ก็ยอมง่ายๆซะงั้น

    “ก็พี่รุ้งบอกว่าพี่ไม่อยากกินแล้วนี่ แถมพี่รุ้งก็ให้ข้าวต้มกุ้งกับฟิล์มแล้วด้วย พี่ฟิวส์อย่ามาแย่งกันดิ” ฟิล์มที่โดนแย่งข้าวต้มไปต่อหน้าต่อตาเอ่ยแย่งขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้

    “ก็ตอนนี้ฉันจะกิน...มีอะไรไหม?”

    พี่ชายของฟิล์มว่า ก่อนที่จะเกิดสงครามเย็นขึ้น เมื่อพี่น้องจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่มีใครยอมใครเลยทีเดียว ฉันกุมขยับด้วยความปวดหัวกับความดื้อของพี่น้องคู่นี้ เมื่อก่อน เคยทะเลาะกันยังไง ตอนนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ

    “ฟิวส์ไม่อยากกินไม่ใช่เหรอ? ก็ให้ฟิล์มทานไปเถอะ น้องเพิ่งกลับมาจากโรงเรียน คงยังไม่ได้กินอะไร...ใช่ไหมฟิล์ม?”

    “ช่ายยย~ ตอนนี้ฟิล์มหิวมากๆเลย”

    “ฟิวส์ก็หิวนะ แถมฟิวส์ยังไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้าแล้วด้วย”

    เพื่อนสนิทของฉันเริ่มงอแง เมื่อเห็นว่าฉันดูเหมือนจะเข้าข้างน้องชายของเขามากกว่า นั่นทำให้ฉันอกส่ายหัวกับความดื้อของคนตรงหน้าไม่ได้

    “รุ้งทำข้าวต้มมาให้ฟิวส์ แต่ฟิวส์ไม่อยากกินมันเองนี่นา เมื่อกี้รุ้งบอกให้กิน ก็ไม่กิน แต่ตอนนี้ดันมาอยากกินซะงั้น นี่ฟิวส์จะเอายังไงกันแน่?”

    “ก็...ตอนนี้ฟิวส์อยากกินแล้ว นะรุ้ง~” ฉันถอนหายใจออกมาอย่างเสียไม่ได้ เฮ้อ~ ถ้าฟิวส์จะดื้อตาใสขนาดนี้นะ

    “ฟิล์ม...เดี๋ยวพี่ลงไปทำข้าวต้มกุ้งให้ใหม่นะ ตอนนี้ให้ข้าวต้มถ้วยนี้กับพี่ฟิวส์ไปก่อนแล้วกัน เพราะเขาไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้าแล้ว แถมฟิวส์ยังต้องกินยาด้วย”

    “แต่ว่า...”

    “...ถือว่าพี่ขอนะฟิล์ม”

    “...ก็ได้ครับ” เจ้าตัวยอมรับคำอย่างเสียไม่ได้ และยังดูเคืองพี่ชายของตัวเองอยู่มากเลยทีเดียว

    “รุ้ง~ ป้อนข้าวให้ฟิวส์ด้วยนะ...” ดูเหมือนเรื่องจะจบด้วยดี ถ้าไม่เพราะคนที่นอนป่วยอยู่ อ้อนให้ฉันป้อนข้าวให้เขาด้วย

    “แค่ป่วย ไม่ได้เป็นง่อยซักหน่อย ทำไมต้องให้พี่รุ้งป้อนด้วย มีมือ...ก็กิน    เองดิ” แน่นอนว่าฉันไม่ได้พูดประโยคนี้ออกไปแน่นอน แต่กลับเป็นคนที่ยืนอยู่ข้างฉันต่างหาก

    “ความพอใจส่วนตัวของฉัน...มีอะไรไหม?”

    “ถ้าบอกว่ามีล่ะ?”

    “ไอ้...”

    “พอๆ ทั้งคู่นั่นแหละ จะทะเลาะอะไรกันหนักกันหนาเนี่ย โตๆกันแล้วนะ” ฉันโพล่งออกมาอย่างเหลืออด เมื่อเห็นว่าพี่น้องคู่นี้ทำท่าจะทะเลาะกันอีกรอบ “เอ่อ...ฟิล์ม ถือว่าพี่ขอนะ ช่วยออกไปข้างนอกสักพักได้ไหม? ถ้าฟิวส์ทานข้าว ทานยาเสร็จแล้ว พี่จะลงไปทำข้าวต้มให้นะ...”

    “...”

    “ฟิล์ม...”

    “ก็ได้ครับ” คนข้างตัวฉันรับคำด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจมากนัก และยังไม่วายบอกกับพี่ชายตัวเองว่า...

    “ฝากไว้ก่อนเถอะ...”

    ...ก่อนออกจากห้องไป เฮ้อ~ ให้มันได้อย่างนี้สิ

    “ทะเลาะกันมาตั้งแต่เด็กจนโต...ไม่เบื่อบ้างรึไง?” ฉันถามขึ้น ในขณะที่ตัวเองกำลังป้อนข้าวต้มให้กับร่างสูงบนเตียงตามคำขอ

    “ถ้าเบื่อ ก็คงเลิกทะเลาะกันไปนานแล้ว อาจจะเพราะว่าฟิวส์กับฟิล์มเป็นผู้ชายกันทั้งคู่ล่ะมั้ง ถ้าจะให้แสดงออกตรงๆเราเป็นห่วงอีกฝ่าย เหมือนพี่น้องคู่อื่นๆ มันก็...คงจะดูแปลกๆน่ะ”

    “นั่นสินะ...” ฉันรับคำ พร้อมพยักหน้าตามคำพูดของอีกฝ่าย แต่อยู่ๆฟิวส์กลับจ้องหน้าฉันนิ่งๆ จนฉันต้องหลบตาไม่ได้

    “ทำไมเวลาฟิวส์มอง รุ้งจะต้องหลบตาฟิวส์ด้วย?”

    “ก็...” ฉันถึงกับติดอ่างไปชั่วขณะ เมื่อได้ยินคำถามของเพื่อนสนิท จะให้ฉันตอบว่ายังไงล่ะ? เขินเหรอ? ฉันเองก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ “ก็...ทำไมฟิวส์ชอบมองรุ้งล่ะ?”

    “รุ้งน่ารักขนาดนี้ ฟิวส์จะไม่มองได้ยังไง?” ฟิวส์ตอบกลับมา พร้อมยิ้มกว้าง แต่มันกลับทำให้ฉันรู้สึกร้อนๆที่หน้าขึ้นมา ตอนนี้ฉันคงหน้าแดงมากๆแน่เลย เพราะฉันแอบได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆจากคนบนเตียงด้วย

    “อะ...เอ่อ...คือ...ฟิวส์อย่าแกล้งรุ้งสิ นี่รุ้งเลยไม่รู้จะพูดอะไรเลยนะเนี่ย” ฉันแกล้งตีโพยตีพายว่าเป็นความผิดของอีกฝ่าย ในขณะที่เพื่อนสนิทจองฉันก็ทำเพียงยิ้มน้อยๆออกมาเท่านั้น “ดะ...เดี๋ยวรุ้งลงไปเอายามาให้นะ”

    ฉันพูดรัวใส่อีกฝ่าย ก่อนจะรีบเดินออกมาข้างนอกทันที โอ๊ย! ทำไมหัวใจฉันถึงเต้นแรงขนาดนี้เนี่ย แถมฉันยังรู้สึกตื้อๆอีกต่างหาก นี่อย่าบอกนะว่าฉันเขินฟิวส์จริงๆน่ะ

    ฉันเอื้อมมือไปหยิบขวดยาแก้ไข้ ซึ่งอยู่ในตู้ยาชั้นบน แต่ฉันคงเตี้ยเกินไป เลยเอื้อมไม่ถึงสักที

    “โอ๊ะ!” ฉันร้องขึ้น เมื่อตัวเองพยายามที่จะหยิบยาแก้ไข้ ก็พอดีกับที่ใครบางคนหยิบมันให้ฉันเสียก่อน

    “นี่ครับ...” ฟิล์มพูดขึ้น ก่อนจะยื่นขวดยาแก้ไข้มาให้ฉัน พร้อมยิ้มกว้าง

    “ขอบใจจ้ะ...” ฉันเอ่ยขอบร่างสูงกว่า พร้อมยิ้มตอบกลับไป แต่นั่นกลับทำให้คนตรงหน้าฉันนิ่งไปเลยทีเดียว “...เป็นอะไรรึเปล่าฟิล์ม?”

    “ปะ...เปล่าครับ แค่คิดว่าพี่รุ้งยิ้มแบบนี้น่ารักมากๆเลย”

    “เอ่อ...-///-” นี่พี่ชายของเขาเพิ่งจะชมฉันไปหยกๆ นี่ฉันก็มาโดนน้องชายชมอีกรอบ ถ้าฉันเป็นลม เพราะหัวใจเต้นแรงเกินไป ก็อย่ามาว่ากันล่ะกัน “ปกติพี่ก็ยิ้มแบบนี้อยู่แล้วนี่นา ทำไมอยู่ๆถึงมาชมพี่ล่ะ?”

    “ไม่มีอะไรหรอกครับ ฟิล์มก็แค่อยากชม อ่อ...ฟิล์มต้องขอบคุณพี่รุ้งด้วยนะครับที่มาดูแลพี่ฟิวส์ในวันนี้ จริงๆฟิล์มก็ห่วงเขานะ ถึงได้รีบขึ้นไปดู ทั้งๆที่เพิ่งจะกลับมาจากโรงเรียน แต่จะให้ฟิล์มพูดตรงๆ มันก็ยังไงอยู่...”

    ฉันอมยิ้มกับท่าทางของฟิล์ม และแอบสังเกตเห็นว่าที่ใบหูของคนตรงหน้าฉันแอบแดงๆด้วย สงสัยจะเขินจัด แต่ก็ไม่แปลกนักหรอก เพราะถึงแม้ทั้งคู่จะเป็นพี่น้องกัน แต่ก็มักจะไม่พูดหวานๆใส่กัน แถมยังชอบทะเลาะกันอีกต่างหาก ไม่แปลกที่ฟิล์มจะออกอาการเขิน เมื่อต้องมาบอกกับฉันว่าตัวเองก็เป็นห่วงพี่ชายเหมือนกัน

    “ไม่เป็นไรหรอก ฟิวส์เป็นเพื่อนสนิทของพี่นี่นา ยังไงพี่ก็ต้องมาดูแลเขาอยู่แล้ว...” ฉันว่า ก่อนจะผละออกไป แต่คำพูดต่อมาของฟิล์มนี่สิ...กลับทำให้ฉันถึงกับนิ่ง

    “แค่เพื่อนสนิท...จริงๆเหรอครับ?”

    เป็นอีกครั้งที่ฉันได้ยินคนถามฉันด้วยประโยคแบบนี้ เพราะคนแรกที่ถามฉันก็คือแม่ของฉัน และคนที่สองก็คือฟิล์มนั่นเอง

    “ฟิล์ม...พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง?” ฉันหมุนตัวหันกลับไปถามคนที่ยืนอยู่ด้านหลังฉัน ฟิล์มมีท่าทีลังเล เมื่อถูกฉันถาม ก่อนที่เจ้าตัวจะเอ่ยออกมา

    “ไม่มีอะไรหรอกครับพี่รุ้ง ฟิล์มก็ถามไปงั้นแหละ พี่รุ้งเอายาขึ้นไปให้พี่ฟิวส์ทานเถอะครับ” คนตรงหน้าฉันตัดบท ก่อนจะดุนหลังให้ฉันขึ้นไปข้างบน เมื่อว่าฉันจะยังแอบสงสัยกับท่าทาง และคำพูดแปลกๆของฟิล์มอยู่ แต่ก็ต้องยอมขึ้นข้างบนไปอย่างเสียไม่ได้

    ...โดยที่ฉันไม่ทันได้เห็นว่านัยน์ตาสีดำสนิทมองตามฉันมาด้วยความไม่เข้าใจ...

     

     

    “ฟิวส์...ฝ้ายได้ยินว่าเมื่อวานฟิวส์ไม่สบาย? หายดีแล้วเหรอ?” เพื่อนสาวในห้องฉันเดินเข้ามายืนที่ข้างโต๊ะของฟิวส์ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น เอ่อ...นี่ฝ้ายรู้ได้ยังไงว่าฟิวส์ไม่สบาย

    “ถ้าไม่หายดีจะมานั่งอยู่ตรงนี้ไหม?” คำตอบของฟิวส์ ทำให้ฉันอดตีแขนเพื่อนสนิทเบาๆไม่ได้ เพราะคำพูดของเขาเล่นเอาฝ้ายถึงกับหน้าเสียเลยทีเดียว

    “นะ...นั่นสินะ ฝ้ายก็ถามอะไรไม่รู้เรื่องเลยเนอะ” เพื่อนสาวของฉันก็เออออห่อหมกไปด้วย แม้ว่าสีหน้าของเธอจะไม่ได้ดีขึ้นนัก

    “รู้แล้ว...จะยังถามทำไม?”

    “ฟิวส์...พูดกับเพื่อนรุ้งดีๆหน่อยได้ไหม?”

    “ช่างมันเถอะรุ้ง ฝ้ายก็ถามไม่รู้เรื่องเองแหละ แต่ถ้าฟิวส์ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” ร่างบางว่าอย่างไม่ถือสา พร้อมยิ้มเจื่อนๆให้ฉัน

    “ฟิวส์...” ฉันเรียกชื่อคนข้างตัว ก่อนจะใช้ศอกสะกิดเขาเบาๆ หวังว่าเขาคงจะเข้าใจนะว่าฉันกำลังจะสื่ออะไร

    “...ขอบคุณที่เป็นห่วง” แม้น้ำเสียงของฟิวส์จะดูห้วนๆ แต่มันก็ทำให้ฝ้ายดูมีสีหน้าดีขึ้น ก่อนที่เธอจะเดินออกไป “...นี่รุ้ง...ทำไมต้องให้ฟิวส์มาพูดอะไรแบบนี้ด้วย รุ้งก็รู้ว่าฟิวส์ไม่สนใจใครอยู่แล้ว”

    “แต่ถึงยังไง ฝ้ายก็เป็นเพื่อนรุ้งนะฟิวส์ แล้วเธอก็ดูเป็นห่วงฟิวส์จริงๆ เห็นไหมว่าแค่ฟิวส์พูดขอบคุณกับเธอ ฝ้ายก็ดูมีสีหน้าดีขึ้นแล้ว”

    “เฮ้อ~” ร่างสูงถอนหายใจ พร้อมทำหน้าบึ้ง หากก็ไม่ได้เถียงอะไรกลับมาอีก แม้ว่าเจ้าตัวจะยังแอบบ่นอยู่คนเดียวก็เถอะ

    “ฟิวส์ดูแคร์รุ้งจังเนอะ” อิงฟ้าที่นั่งถัดออกไปจากฉันเอ่ยขึ้น นั่นทำให้ฟิวส์ที่นั่งข้างๆฉันรีบพูดขึ้นทันที

    “ก็รุ้งเป็นเพื่อนสนิทคนเดียวของฟิวส์นี่นา ฟิวส์ก็ต้องแคร์มากเป็นพิเศษอยู่แล้ว” เจ้าตัวว่า พร้อมยิ้มกว้าง ก่อนจะเอื้อมมือมายีหัวฉันเบาๆ นั่นทำให้ฉันอดยิ้มออกมาไม่ได้ ถ้าอยู่ต่อหน้าคนอื่น ฟิวส์จะไม่เคยแสดงอาการว่าเขาคิดกับฉันมากกว่าเพื่อนให้คนอื่นได้เห็น นอกเสียจากว่าฉันจะอยู่กับเขาเพียงแค่สองคน

    “แต่ฟิวส์ก็แคร์รุ้งมาก...ซะจนไม่แคร์คนอื่นเลยนี่นา” ฉันเอ่ยว่าร่างสูง ในขณะที่เขาก็ทำเพียงยักไหล่เท่านั้น

    “ก็...มันไม่มีใครที่ฟิวส์ควรจะแคร์เท่ารุ้งแล้วนี่นา...”

    “กรี๊ดๆ” ทันทีที่ฟิวส์พูดจบ เสียงกรี๊ดของเพื่อนผู้หญิงในห้องก็ดังขึ้นทันที นั่นทำให้ฉันอดหน้าแดงไม่ได้ เพราะฉันแอบเห็นว่าอิงฟ้ามองฉันอย่างล้อๆด้วย

    “จะกรี๊ดอะไรกันนักหนาก็ไม่รู้ อิงก็ด้วย...เลิกมองรุ้งด้วยสายตาแบบนี้ได้แล้ว” ฉันบ่นอุบ เรียกรอยยิ้มจากคนข้างๆ และเพื่อนสาวที่นั่งถัดไปได้เป็นอย่างดี

    “จ้าๆ ไม่มองก็ไม่มอง” อิงฟ้ายอมถอนสายตาจากฉัน แม้ว่าจะยังแอบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียวไม่ได้ก็เถอะ

    “ช่างมันเถอะน่ารุ้ง คนเขาก็กรี๊ดไปงั้นแหละ...อย่าไปสนใจเลย”

    “อื้อ”



     

    “รุ้ง ฮือๆ T_T” เสียงที่คุ้นหูเรียกชื่อของฉัน พร้อมด้วยการร้องไห้ตามมาด้วย ทำให้ฉันไม่ต้องเดาเลยว่าเป็นใคร และมันเกิดอะไรขึ้น

    หมับ!

    “โดนเขาหักอกมาอีกแล้วใช่ไหม?”

    “อื้อ (T_T) (_ _) (T_T) (_ _)

    เจ้าของเสียงรับวิ่งมากอดฉัน ก่อนที่ฉันจะถามขึ้น พร้อมกับที่เพื่อนสนิทของฉันพยักหน้ารับอย่างแกนๆ อิงฟ้ามักจะถูกผู้ชายบอกเลิกด้วยเหตุผลต่างๆนานาที่ผู้ชายสักคนจะสามารถหามาเป็นข้ออ้างในการขอเลิกผู้หญิงได้ จนบางครั้งฉันยังรู้สึกว่าเหตุผลที่ถูกยกมานั้นดูไม่สมเหตุสมผลเลยด้วยซ้ำ ถ้าอยากจะบอกเลิกกันจริงๆ ฉันว่าสู้บอกว่าไม่รัก หรืออยากเลิกจริงๆ ยังจะดีกว่าเหตุผลมากมายที่คนพวกนั้นยกมาเสียอีก

    “แล้วเหตุผลล่ะ?” ฉันเอ่ยถามขึ้น เหมือนทุกๆครั้งที่อิงฟ้ามักจะเป็นฝ่ายถูกบอกเลิก และฉันก็จะถามถึงเหตุผลของการถูกเลิกทุกครั้งไป

    “เขาบอกว่า...อิงดีเกินไป”

    “งั้นมันก็คงเลวเกินไปงั้นสิ นั่นก็แสดงว่ามันไม่ควรจะมาขออิงคบตั้งแต่แรกแล้ว ถ้าคิดว่าตัวเองไม่ดีพอ ก็อย่ามาให้ความหวัง...แล้วมาทำให้คนอื่นต้องเจ็บปวดสิ อยากถามจริงๆเลยว่าการจะบอกเลิกใครสักคนเนี่ย ช่วยหาเหตุผลที่มันดีกว่านี้ได้ไหม? เธอดีเกินไป หรือว่าฉันดีไม่พอ หึ...น้ำเน่าชะมัดเลย” ฉันบ่นขึ้นอย่างอดไม่ได้ กับเหตุผลงี่เง่าที่แฟนคนล่าสุดของอิงฟ้ายกขึ้นมาอ้าง

    “รุ้ง...นี่อิงกำลังเสียใจอยู่นะ จะบ่นอะไรนักหนา” อิงฟ้าที่กำลังร้องไห้เสียใจขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด เหอะ~

    “ก็มันอดไม่ได้นี่ ถามจริงเถอะ ไม่เข็ดบ้างรึไงที่ต้องผู้ชายทิ้งติดๆกัน        แบบนี้น่ะ สุดท้าย ก็ต้องมาร้องไห้ฟูมฟายกับรุ้งแบบนี้ ทำไมอิงถึงไม่ลองรู้จักใครนานๆ ถึงแม้ว่าอาจจะใช้เวลานานหน่อย แต่สิ่งที่ได้มามันก็คุ้มค่ากว่านะ เลิกรู้จักใครเพียงผิวเผิน แล้วก็เป็นแฟนกับเขาง่ายๆแบบนี้เถอะ”

    “ก็...อิงคิดว่าเขาดีจริงๆนี่นา” เมื่ออิงฟ้าเห็นว่าฉันต่อว่าเธออย่างซึ่งๆหน้า นั่นทำให้เธออดหน้างอไม่ได้ แต่ก็ยังยอมคำตอบของฉัน

    “แล้วเป็นไง? ก็ต้องมาโดนบอกเลิกนับครั้งไม่ถ้วนแบบนี้เนี่ยนะ” ฉันเถียงกลับไป เมื่อเพื่อนสนิทตอบกลับมา

    “โอเคๆ ต่อไปนี้ อิงจะใช้เวลารู้จักใครนานๆ จะได้ไม่ต้องเสียใจอีก แล้วรุ้งก็เลิกซ้ำเติมอิงได้แล้ว นี่อิงเพิ่งถูกบอกเลิกนะ จะปลอบสักคำก็ไม่มี”

    “เฮ้อ~

    ฉันถอนหายใจกับตัวเองเบาๆ เมื่อได้ยินคำพูดของเพื่อนสนิท ถ้านี่เป็นครั้งแรกที่อิงฟ้าถูกบอกเลิก ฉันก็คงจะปลอบคนข้างตัวมากกว่าที่จะซ้ำเติมอยู่แล้ว แต่เพราะว่าเหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นบ่อยซะจนฉันเอือม ฉันถึงได้กล้าว่าเพื่อนสนิทตรงๆมากกว่าที่จะปลอบใจเธอ และทุกครั้งที่ฉันพูดแบบนี้ อิงฟ้าก็มักจะตอบกลับมาว่าเธอจะใช้เวลารู้จักคนใหม่นานๆ แต่สุดท้าย มันก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมอยู่ดี ฉันล่ะเพลียใจแทนเพื่อนสนิทจริงๆ

    “รุ้ง...ถามอะไรหน่อยสิ” เราต่างคนต่างเงียบกันไปสักพัก ก่อนที่คนข้างตัวฉันจะเอ่ยขึ้น

    “...?”

    “...ฟิวส์ชอบรุ้งเหรอ?” แต่คำพูดต่อมาของเจ้าตัวนี่สิ กลับทำให้ฉันถึงกับนิ่ง ทำไมอยู่ๆเพื่อนสนิทของฉันถึงอยากรู้เรื่องนี้ ทั้งๆที่ไม่กี่นาทีที่ผ่านมา เพื่อนฉันกำลังบอกให้ฉันปลอบเธอ เพราะเธอกำลังเสียใจที่ถูกแฟนทิ้ง ไหงอยู่ดีๆถึงเปลี่ยนเรื่องไปเฉยๆแบบนี้ล่ะ? ฉันตามอารมณ์คนข้างตัวไม่ทันจริงๆ

    “...อิงถามทำไมน่ะ?” นานพอตัวกว่าฉันจะควานหาเสียงตัวเองเจอ ก่อนจะเอ่ยถามเพื่อนสนิทกลับไป

    “ไม่รู้สิ...แค่อยากรู้น่ะ” คำตอบของอิงฟ้า เกือบจะทำให้ฉันหลุดหัวเราะออกมา ถ้าไม่เพราะนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนที่มองมาทางฉันด้วยท่าทีจริงจัง

    “เอ่อ...”

    “...”

    “...ถ้ารุ้งบอกว่าใช่ล่ะ...อิงจะว่าไง?” สุดท้าย ฉันก็ต้องยอมแพ้กับสายตาที่มองมาของเพื่อนสนิท ก็เล่นมองฉันด้วยสายตากดดัน ซึ่งเป็นอะไรที่ฉัน       เกลียดมากๆ มันทำให้ฉันต้องตอบออกมาอย่างเลี่ยงไม่ได้

    “ถึงว่า...ความสัมพันธ์ของรุ้งกับฟิวส์ดูแปลกๆ เพราะรุ้งเคยบอกอิงว่ารู้จักกับฟิวส์มาตั้งนานแล้ว แถมยังสนิทสุดๆด้วย แต่ท่าทางของรุ้งกับฟิวส์กลับไม่เป็นแบบนั้น มันยังดูเหมือนสนิทกันนั่นแหละ แต่มันดูสนิทกันแบบไม่สนิทใจยังไงไม่รู้...”

    “...”

    “...แถมฟิวส์ยังดูแคร์รุ้งมากๆด้วย ถ้ามองในแง่ของเพื่อนสนิท มันก็คงเป็นเพราะฟิวส์สนิทกับรุ้งมากๆ แต่ถ้ามองอีกแง่หนึ่ง เขาดูแคร์รุ้งมากเกินไป มากจนแทบจะไม่แคร์ความรู้สึกของคนอื่นเหมือนที่รุ้งพูดเมื่อวานนั่นแหละ...”

    “...”

    “...และนั่นก็ทำให้อิงคิดว่าฟิวส์ชอบรุ้ง แล้วก็..คงชอบมานานแล้วใช่ไหม?”

    คำวิจารณ์ของเพื่อนสนิท ทำให้ฉันต้องเงียบไป ฉันเพิ่งจะรู้ว่าเพื่อนของตัวเองเป็นนักวิจารณ์ตัวยง ทั้งๆที่ฉันไม่เคยเล่าเรื่องของฟิวส์ให้อิงฟ้าฟังเลย นอกจากว่าเขาเป็นเพื่อนสนิทที่ฉันรู้จักมานาน และสนิทกันมากๆ แต่ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเพื่อนของฉันจะวิจารณ์ความสัมพันธ์ของฉันกับฟิวส์ได้เป็นฉากๆแบบนี้ แถมยังจับความรู้สึกของอีกฝ่ายได้อีก สุดยอดอ่ะ

    “...อื้อ...ฟิวส์ชอบรุ้งมาตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกันแล้ว...”

    “อิงล่ะอิจฉารุ้งจริงๆที่มีผู้ชายมาชอบตั้ง 2 คน แถมยังเป็นรักแรกพบอีกด้วย”

    “หืม?” ฉันครวญอย่างงงๆ เมื่อได้ยินคำพูดของอิงฟ้า ทำไมเพื่อนสนิทของฉันถึงได้ดูกระดี้กระด้าจังนะ ไหนเมื่อกี้บอกว่ากำลังเสียใจอยู่ไง

    “ลืมไปแล้วรึไงว่าเอ็มซีก็ชอบรุ้งเหมือนกันน่ะ อิงยังบอกรุ้งเลยว่าต้องเป็น ‘รักแรกพบ แน่ๆ”

     

    เอ็มซีชอบรุ้งแน่ๆเลยเพื่อนสนิทของฉันก็พูดขึ้น หลังจากที่เห็นท่าทางของเอ็มซีตอนแรกๆ พร้อมบุ้ยหน้าไปทางคนข้างตัวที่กำลังสนใจการเรียนอยู่ ทำให้ฉันอดดุเพื่อนสาวไม่ได้

    บ้าน่าอิง...เพิ่งจะเจอกันวันแรกเองนะ

    ...รักแรกพบไง ฮ่าๆ เพื่อนสาวของฉันยิ้มกว้าง พร้อมอธิบายต่อ ...ไม่เคยได้ยินเหรอว่าคนเราจะตกหลุมรัก หลังจากที่สบตากันเกิน 8 วิ

    บ้าน่า… ฉันส่ายหน้ากับความคิดเว่อร์ๆของเพื่อนสนิท ก่อนจะหันไปสนใจการเรียนต่อ อิงฟ้ายักไหล่เหมือนไม่สนใจ แล้วเราสองคนก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีก

     

    นั่นสินะ ฉันแทบจะลืมไปแล้วว่าเพื่อนสาวของฉันทักแบบนี้ ตั้งแต่วันแรกที่เราสองคนเจอเอ็มซีแล้ว แต่...ฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเจ้าตัวจะมาทวนความจำฉันอีกรอบทำไม?

    “อ๋อ...แล้วไงต่ออ่ะ? อิงมาบอกรุ้งทำไม?” อิงฟ้าทำหน้าเพลียๆ เมื่อเห็นว่าฉันดูจะไม่เข้าใจจุดประสงค์ที่เธอพูดเรื่องนี้ขึ้นมา

    “ก็...รุ้งชอบใครในสองคนนี้ล่ะ? ฟิวส์...หรือว่า...เอ็มซี”

    “...”

    ฉันเงียบ เมื่อได้ยินคำถามของเพื่อนสาว ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองชอบใคร เพราะฉันก็มองคนทั้งคู่เป็นเพียงเพื่อนมาตลอด

    “...อย่าบอกนะว่าเลือกไม่ได้น่ะ”

    “ไม่ใช่ว่าเลือกไม่ได้หรอก แต่รุ้งไม่รู้ต่างหากว่าตัวเองชอบใครกันแน่”

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×