คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 1.
Chapter 1. Drink me, babe
ฝันร้าย ความจริง, ปนเปซะจนฉันแยกมันไม่ออกแล้วตอนนี้
‘เธอทรยศเรา’
‘ทำความเสื่อมเสีย สมควรจะถูกเผาเยี่ยงแม่มด’ ฉันเบิกตากว้างแล้วหอบหายใจปาดเหงื่อแล้วจับที่หน้าอกที่เสียงของหัวใจของตัวเองดัง ตึก ตึก ตึก ดังซะจนฉันที่เป็นเจ้าของปวดไปหมด ฉันเอาหัวพิงกับผนังอย่างใจลอย
โอ๊ย เจ็บชะมัด ทำไมมันถึงแข็งขนาดนี้เนี่ย!
ฉันหันไปมองผนังแล้วก็ต้องขมวดคิ้วว่าที่นี่มันมืดกว่าปกติ ลองลูบผิวผนังและก็รู้คำตอบที่หัวของฉันเจ็บจี๊ด ผนังที่ฉันชนมันเป็นหินที่ไม่ได้รับการขัดทั้งขรุขระและสาก และมันเป็นชนิดแบบเดียวกับหินที่พื้นซะด้วย
ฉันคลำเท้าของตัวเอง ฉันกำลังเท้าเปล่าอยู่ ฉันขมวดคิ้วเมื่อรู้สึกถึงอะไรเย็นๆตรงข้อเท้า
โซ่ล่าม...บ้าน่า !
ฉันนิ่งอึ้งไปสักประมาณสองสามนาทีก่อนจะลองพยายามที่จะแกะมัน แม้จะรู้ดีว่าไม่มีทางแกะออกได้ฉันสบถออกมาแล้วมองไปทั่วห้อง และขอสาบานได้ว่าฉันมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้นอย่าว่าแต่ของรอบข้างเลยขนาดแค่เท้าตัวเองอยู่ตรงไหนฉันยังต้องคลำด้วยซ้ำ
ฉันสะดุ้งเมื่อมีใครสักคนเปิดประตูดังเอี๊ยดอ๊าด !
ฉันหันไปทั่วด้วยความหวาดระแวง เมื่อกี๊ฉันยังนอนอยู่ในห้องอยู่เลยแล้วนี่มันอะไรกันแน่
“เธอได้สติแตกแน่ถ้าอยู่ในห้องนี้นานอีกหน่อย” เสียงของผู้ชายดังขึ้นฉันสะดุ้งเมื่ออยู่ดีๆแสงไฟก็สว่างวาบ และมันทำให้ฉันเห็นเขาผู้ชายผมสีบรอนซ์ตาสีฟ้าใส่ชุดขาวทั่วทั้งตัวที่กำลังถือเชิงเทียนอยู่
“มันไม่มาช่วยเธอหรอกลีเนีย ปีศาจน่ะ...ไร้หัวใจ” ปากของฉันขยับไปเองตอบโต้เขาทันควัน
“โกหก”
“จะลองไหมล่ะ” ผู้ชายตรงหน้าของฉันพูดด้วยเสียงเย็นเยียบกระชากข้อมือของฉันเข้าหาตัวก่อนจะซุกที่ลำคอของฉัน ฉันขัดขืนเขาและตะโกนร้องขอความช่วยเหลือแต่กลับไม่มีใครสังเกต และฉันจะหนีไปไหนได้ในเมื่อฉันถูกล่ามอยู่
ชายหนุ่มในรูปของเทวดาหายไปจนสิ้นเหลือเพียงปีศาจร้าย
“ฉันรักเธอ ลีเนีย ฉันรักเธอ” ขยะแขยงจนฉันแทบจะอาเจียนออกมา
“ความรัก...น่ากลัวอย่างที่ใครพูดถึง เสพซึ้งซะจนฉันคลั่ง” ฉันกัดริมฝีปากก่อนจะตบหน้าของเขา
“มันคือ ราคะ”
“มันไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่หรอกลีเนีย”
“อย่านะ อย่า ช่วยด้วย... ใครก็ได้ช่วยด้วย!”
“ซุยอา!” ฉันตะโกนลั่นห้องหอบหายใจก่อนจะมองไปรอบห้องที่เป็นสีขาวเตียงนอนโรงพยาบาลและหน้าต่างสะท้อนภาพสวนดอกไม้ที่คุ้นเคย ฉันกัดริมฝีปากของตัวเองแล้วลูบไปตรงที่โดนผู้ชายคนนั้นหอมดม
ฉันถูมันแรงๆด้วยความขยะแขยง ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่ฝันแต่มันช่างเหมือนความจริงซะจนฉันอดที่จะตื่นกลัวไม่ได้
ตัวของฉันสั่น ฉันเหม่อออกไปก่อนที่จะพูดคำพูดที่โพล่งออกมาทั้งที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนแต่มันช่างคุ้นเคยเหมือนเป็นคำที่ฉันต้องพูดทุกทีเวลาฉันจนหนทาง ฉันพูดซ้ำไปมา
“ซุยอา” ฉันพูดทวนไปเรื่อยๆเดินวนอยู่ในห้องซะจนเวียนหัว เดินเข้าห้องน้ำแล้วถอดเสื้อของตัวเองกะจะอาบน้ำเพื่อให้สบายตัวและปลอดโปร่งขึ้นมาบ้าง ฉันมองตัวเองในกระจกและก็ต้องถึงกับแข็งทื่อ
ปานตรงแขนของฉันขยายใหญ่ขึ้น
ดวงตาของฉันเป็นสีแดงเถือก
และ...เลือดสีแดงสดที่ไหลออกมาจากข้อมือตามปานนั่น
ฉันสัมผัสเลือดนั่น แล้วส่ายหน้าไปมา ความฝันนั่นมันไม่น่าจะตามมาได้นี่ แล้วทำไม เรื่องน่าหวาดกลัวผิดธรรมชาติถึงเกิดขึ้นได้กันล่ะ ฉันปาข้าวของในห้องน้ำระบายอารมณ์ เปิดฝักบัวแล้วเช็ดที่ปานให้เลือดออกมาให้หมด
นั่งลงก่อนจะกระชากหัวตัวเอง หวังว่าไอ้เรื่องบ้าๆนี่จะเป็นแค่ฝันซ้อนฝัน
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด !!”
ฉันร้องไห้ออกมาผสมกรีดร้องจนเหล่านางพยาบาลที่ได้ยินเสียงต่างกรีดร้องด้วยความตกใจพวกเขายืนแข็งทื่ออยู่หน้าห้องน้ำทำอะไรไม่ถูกจนมีคนใดคนหนึ่งได้สติ
“รีบหาคนมาเพิ่มเร็ว จับเธอเอาไว้!” แขนของฉันถูกกระชากอย่างแรงฉันกระชากมันกลับแต่แรงนั้นมันช่างเยอะและบีบแขนของฉันแน่นซะจนฉันต้องกัดฟันแหกปากร้องออกมา ฉันเตะขาไปมั่ว น้ำจากฝักบัวกระเซ็นไปทั่วเปรอะรองเท้าของนางพยาบาลไปตามๆกัน
“ให้ตายเถอะน่า ฉีดยาสลบให้เธอ!” พวกเขาบังคับให้ฉันอยู่เฉยๆ ร่างกายของฉันชาไปหมดฉันนอนร้องไห้และอ่อนแรงเพราะการแหกปากร้องอยู่นานและอาจจะเป็นเพราะยาที่พวกเขาฉีดให้ฉันด้วย ฉันมองเข็มฉีดยาที่แทงเข้าผิวหนังของฉันและของเหลวที่เริ่มหายไปจากหลอก
โลกของฉันพร่าเลือนไปหมด ฉันเลื่อนมองไปที่กระจกอันเดิมกับที่ฉันเห็นยัยปีศาจร้ายที่เป็น ‘ฉัน’
และมันยังไม่ได้หายไปไหนเลย มันยังจ้องฉันกลับมาจากกระจก...
“ให้มันได้อย่างนี้ซิน่า ฉันว่าต่อจากนี้เราคงต้องมัดเธอไว้แล้วล่ะ”
“ดูซิ ถึงขั้นทำร้ายตัวเองกรีดปานซะ...สยองจริงๆ” พระเจ้าคะ ลูกทำอะไรผิดไปชีวิตของลูกถึงได้เหมือนตกอยู่ในขุมนรกอย่างนี้กัน
image .
Yerin
แต่บาปเดียวที่ท่านไม่อภัยลูก
คือการที่ลูกตกหลุมรักปีศาจร้ายตนนั้น
ลูกรู้ดีว่าตอนนี้ลูกคือ คนบาปผู้ลุ่มหลง
“เธออาจจะเป็นโรคประสาทอ่อนๆ”
“ควรจะปล่อยให้เธอสงบอารมณ์สักหน่อยอย่าพึ่งไปรบกวนเธอ” ฉันฟังมันอย่างเงียบๆสงบเอนหลังเต็มที่รับความสบายจากหมอนของโรงพยาบาลที่นุ่มนิ่ม ปากของฉันแห้งและแตกเพราะการขาดน้ำและแม้ว่าเหล่าพยาบาลจะยื่นมันมาให้ฉันก็ส่ายหน้า
ไม่ใช่เพราะฉันไม่หิวหรือต่อต้านเป็นนางเอกน้ำเน่า
แต่ตาของฉันมันฉายให้เห็นว่าน้ำนั้นเป็นสีแดงสดแม้ว่าจริงๆแล้วพยาบาลบอกว่าพวกเธอเห็นมันเป็นน้ำสีใสธรรมดา และนั่นล่ะคือจุดที่สองของการที่พวกเขาคาดคะเนว่าฉันเป็นโรคประสาท (จุดแรกคือที่ฉันคลั่งในห้องน้ำ)
ฉันไม่อยากจะทำอะไรทั้งนั้นเลยให้ตายเถอะ ฉันอยากจะนั่งอยู่เฉยๆนอนอยู่บนเตียงนี้และตายอย่างสงบในเตียงนี้ ไม่ใช่ไปนอนดันทุรังในห้องฉุกเฉินใช้เครื่องปั๊มหัวใจ ปั่ก ปั่ก ให้เจ็บเล่นจะยื้อไปทำไมกันในเมื่อฉันปลงตกซะแล้ว
“ก๊อก ก๊อก” ฉันกระพริบตาและนอนนิ่งต่อ นางพยาบาลประจำห้องของฉันรีบไปเปิดประตูให้ ฉันได้ยินเสียงของพวกเขาคุยกันแม้ว่ามันจะไม่ได้น่าสนใจอะไรเลย แต่มันช่วยไม่ได้หูของฉันมันไปฟังเองนี่
“คุณคือ?”
“คุณหมอมาจากฝ่ายจิตเวชมาตรวจคนไข้ที่ชื่อ เญริน พิษากวัฆณ์ ครับ”
“อ๋อ เชิญค่ะ”
ตึก ตึก ตึก เสียงปิดประตูและเสียงฝีเท้าไม่ทำให้ฉันหันไปสนใจหรืออะไรทั้งนั้น ฉันมองตรงไปข้างหน้าเหมือนเดิม เสียงเลื่อนเก้าอี้และนั่งข้างๆเป็นเสียงต่อมา นางพยาบาลหยุดยืนอีกข้างของที่นอนของฉันแล้วกระซิบใส่หูของฉัน
“หันไปหาเขาทักทายซิคะ” เธอไม่มีสิทธิ์สั่งฉันซะหน่อย
“ไม่เป็นไรหรอกครับ แล้วแต่เธอเถอะ” ฉันเลิกคิ้วขึ้นแล้วหันไปมองหน้าเขาโดยอัตโนมัติ ผมสีบรอนซ์และตาสีฟ้าใต้แว่นสีดำเข้ารูปนั่นทำให้ฉันถูกสะกด ฉันกลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผาก ช่างคล้ายเหลือเกินจนฉันขนลุก เขาช่างคล้ายคนในฝันร้ายของฉัน
แตกต่างกันที่เขาไม่ได้เข้ามาประชิดตัวหรือกระชากและตะโกน เขาเพียงยิ้มให้ฉันอย่างเป็นมิตรและเอาปากกาเคาะลงไปในกระดานอธิบายอาการ
“เริ่มกันเลยดีไหมครับ คุณเญริน?” ฉันยักไหล่ ฉันมีสิทธิ์ที่ปฎิเสธไหมล่ะตอนนี้
“งั้นคำถามแรก ทำไมคุณถึงไปนอนดิ้นอยู่ในห้องน้ำกรีดร้องเหมือนเห็นผี?”
“เห็นคุณมากกว่ามั้ง” ฉันชะงักอยากที่จะตะครุบปากตัวเองแต่ติดตรงที่ข้อมือของฉันถูกมัดกับที่กั้นเตียงฉันเลยได้แต่มองหน้าเขาอย่างไม่แน่ใจ เสียงดุของนางพยาบาลทำให้ฉันแอบใจแป้ว แต่เขาก็ยิ้มต่อ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมโดนมากกว่านี้มาก็เยอะ จิตเวชน่ะต้องใจเย็นๆ” เขากำลังบอกฉันซินะว่าเขาเคยโดนด่ามาเยอะแล้ว
“มาเข้าเรื่องกันต่อ ช่วยตอบจริงจรังหน่อยนะครับ คำถามเดิมแต่หวังว่าคำตอบจะเปลี่ยนไป” ฉันทำเสียงไม่สบอารมณ์เมื่อเขาพูดเหมือนบังคับแต่ก็ตอบออกไปเมื่อบรรยากาศมันดูเงียบวังเวง
“ฉันเห็นตัวเองในกระจก”
“คุณรังเกียจตัวเองเหรอครับ เญริน” ฉันส่ายหน้าแล้วมองหน้าเขานิ่งผู้ชายคนนี้ดูคุยกับฉันอย่างป็นธรรมชาติและผ่อนคลาย ไม่ได้เกี่ยวว่าเขาเป็นจิตแพทย์แต่มันเป็นมากกว่านั้นความคุ้นเคยนี่มันสะกิดใจฉัน ฉันกัดริมฝีปากแล้วพูดตอบแม้มันจะดูบ้ามากไปหน่อยก็ตาม
“ไม่ใช่ ฉันหมายถึง ฉันที่ไม่ใช่’ฉัน’ “
“แล้วคุณที่ไม่ใช่คุณเป็นยังไง?”
“ดวงตาของฉันเป็นสีแดง ดูฉันบ้าคลั่งและน่ากลัว ปานตรงข้อมือของฉันใหญ่ขึ้นและเลือดไหลออกมาเหมือนโดนกรีด แต่ฉันไม่ได้กรีดมัน” ฉันหลบสายตาของเขาที่จ้องมองมาเหมือนทะลุเข้าไปถึงจิตใจที่แท้จริงของฉัน หวังจะรู้คำตอบทั้งหมด
“คุณอาจหาว่าฉันบ้า แต่มันคือเรื่องจริงเลือดมันไหลออกมาเอง”
“ฝันร้ายรึเปล่าพรรค์นี้”
“เกือบทุกวัน ซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้จักแต่เมื่อวานคือวันแรกที่ความฝันของฉันเปลี่ยนไป” ฉันกำราวเหล็กที่เป็นที่กั้นเตียงแน่น แล้วหลบสายตาของทุกคนเลือกที่จะมองไปที่ผ้าห่มสีขาวสะอาด
“ฝันเปลี่ยนไป ยังไง?”
“ขอไม่ตอบ”
“เญริน ถ้าเธอไม่ตอบฉันก็วิเคราะห์.../ฉันโดนข่มขืน”
รอบข้างต่างเงียบฉี่เมื่อฉันโพล่งมันออกไป ไม่มีแม้แต่เสียงของการกระทบระหว่างดินสอที่ผู้ชายจากจิตเวชคนนี้ถืออยู่ร่วงหล่น เขาอาจจะอึ้งจนได้แต่นิ่งค้างไป ส่วนนางพยาบาลก็คงงงไม่แพ้กันว่าฉันที่เป็นเด็กโรงพยาบาลทำไมถึงไปฝันเรื่องกามอารมณ์บ้าบออะไรนั่นได้
“พอใจรึยัง จะถามต่อไหมล่ะว่าเป็นยังไง เกิดอะไรขึ้น ในฝันฉันหน้าตาเป็นยังไง”
“แล้วใคร...”
“แล้วใคร?” ฉันหันกลับไปมองหน้านายคุณหมอที่มองหน้าฉันนิ่ง เขากลืนน้ำลายแล้วสบตาฉันนิ่งโพล่งคำถามน่าอายออกมา แม้ว่าเขาจะดูจริงจรังแค่ไหนก็ตามเถอะมันช่างทำให้ฉันอึ้งไปหลายวิเหมือนกัน
“ใครทำเธอ”
“...!!” ฉันนิ่งอึ้งมองหน้าเขานิ่งเขาเองก็ดูจะช็อกกับคำถามของตัวเองเหมือนกัน เลยแก้เก้อด้วยการกระชับแว่นแล้วส่งเสียงกระแอมตบมือดังหนึ่งทีก่อนจะขึ้นเสียงเรียกความสนใจจากนางพยาบาลที่เงี่ยหูฟังสุดทธิ์
“ผมว่าวันนี้เราพอแค่นี้กันดีกว่า”
“คุณพยาบาลช่วยรออยู่ในห้องนี้เป็นเพื่อนคนไข้ด้วยนะครับ เดี๊ยวผมจะไปพิจารณาปฎิกริยาของเธอ มันต้องใช้เวลาและสมาธิค่อนข้างมากน่ะ” เขาเดินหันหลังแล้วคว้ากระดานเขียนอาการของฉันและเมื่อมือของเขาจับไปที่กลอนประตูฉันก็ส่งเสียงเรียกเขา
“เฮ้ นายชื่ออะไร?” เขาหันหลังมามองฉันแล้วยิ้มกว้าง
“อีกไม่นานเธอก็รู้ชื่อฉันแล้วล่ะ”
“ฉันไม่เข้าใจ” เขาที่มีตำแหน่งเป็นถึงคุณหมอหัวเราะดันแว่นตาเข้าไปให้กระชับกับรูปหน้าแล้วเอานิ้วมาแตะที่ริมฝีปากแดงๆของตัวเองและพูดทิ้งท้ายเอาไว้
“ตอนเที่ยงคืนรักษาสุขภาพให้ดีนะ ระวังจะโดนกระชากไป”
“อะไรกระชากไปเหรอ?”
“...ฝันร้ายที่ไม่มีวันจบสิ้นน่ะ” ปัง! เขาหันหลังกลับปิดประตูใส่ไม่ยอมฟังฉันที่ทักท้วงเขาและนั่นทำให้ฉันกำมือแน่นอย่างไม่ชอบใจ หันไปมองนางพยาบาลที่มองตามนายคุณหมอนั่นไปตาลอย ใช่ เขาหล่อไม่ใช่หล่อแบบผิวเผินแต่เขามีเสน่ห์ดึงดูดเหมือนมนตร์สะกด
แตกต่างกับฉันที่เป็นยัยขี้โรค ผิวขาวซีด ผอมแห้งแรงน้อยและปากแตกและห้อเลือดเหมือนยัยบ้าในโรงพยาบาล(ฉันเป็นแล้วเลยล่ะ)
แต่ไม่รู้ทำไม ฉันถึงรู้สึกว่าเขาเป็นเพียงแค่คนธรรมดาไม่ได้วิเศษวิโสมากกว่าฉันเลยนะ
ตึก ตึก ตึก ผมเดินวนไปวนมาอยู่บนดาดฟ้าแล้วนั่งเอนพิงที่เสาของดาดฟ้ารับลมเย็นสบายมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เป็นสีฟ้าใส เหม่อลอยอยู่อย่างนั้นอยู่นานจนถูกเบนความสนใจไปด้วยการเปิดประตูปึงปังตามหลักนิสัยของหลุยส์
ผมมองหลุยส์ในชุดเสื้อกาวน์สีขาวและแว่นตาอันใหญ่เบอเริ่มนั่นอย่างเฉยชา แล้วกวักมือเรียกหลุยส์ให้มาหาผมแต่หลุยส์กับส่ายหน้าและตะโกนตอบ
“ฉันยังไม่อยากเกรียมนะซุยอา”
“ก็เผื่อนายจะโง่เชื่อฉันไง”
“ชิ!” ผมกระตุกยิ้มลุกขึ้นยืนเสยผมที่ปรกหน้าแล้วมองเจ้าสร้อยคอรูปไม้กางเขนที่ทำมาจากเงินบริสุทธิ์ มันเป็นอะไรที่ทั้งปกป้องผมและสามารถฆ่าผมได้ในเวลาเดียวกัน ผมละสายตาก่อนจะเดินเข้าไปหาหลุยส์ที่อยู่ในเงาหลีกเลี่ยงแสงแดด
“คราวหน้านายน่าจะบอกให้ฉันเตรียมร่มมาด้วย”
“แล้วใครบอกให้นายโยนเสื้อโค้ตทิ้งล่ะ” หลุยส์ส่งเสียงฟึดฟัด
“มันเหม็นแล้วไม่หอม ฉันใส่มันมาตั้งอาทิตยิ์นึงแล้วนะ” ผมยักไหล่แล้วพิงกับประตูทางเข้าดาดฟ้าแล้วเข้าประเด็น
“ใช่เธอรึเปล่า”
“เปลี่ยนไปซะฉันเกือบจำไม่ได้ แต่ก็ใช่”
“ข้อพิสูจณ์” หลุยส์ยิ้มแล้วถอดแว่นตาออกเก็บใส่กระเป๋ากางเกงอย่างลวกๆ
“ฝีปากกล้าเหมือนลีเดีย คุยกับฉันอย่างผ่อนคลายแถมดูจะไม่ตกมนตร์สะกด” หลุยส์พูดไปเรื่อยๆแต่มีอย่างหนึ่งที่เขาไม่ได้บอกซุยอา และจะไม่บอกแน่จนกว่าอีกฝ่ายจะซักไซ้ถามเข้ามาเอง เรื่องฝันร้ายของเญรินนั่นเอง
“ตอนนี้เธอชื่อเญริน”
“ไม่สำคัญ เธอคือลีเดีย”
“ใจร้ายไม่เปลี่ยนหัวใจนายโดนปิดตายซะจนแข็งเป็นหินแล้วมั้งเนี่ย” ผมยักไหล่ก่อนจะเลียริมฝีปากของตัวเองและนั่นทำให้หลุยส์แอบชักสีหน้าใส่ แววตาของหมอนั่นแข็งกร้าวขึ้นมาเพียงไม่กี่วินาทีก่อนจะหายไป
หลุยส์ไม่พอใจกับการกระทำของผม ผมพนันได้เลย
“มันเป็นทางเดียวที่จะทำให้เธอพ้นจากไอ้เครื่องเซ่นบ้าๆนั่น” ผมพูดเตือนเขา หลุยส์ขมวดคิ้วแล้วพูดพึมพำออกมา
“งั้นถ้าเราถลกหนังของเธอตรงที่ถูกเครื่องเซ่นกาฝากนั่นเกาะซะก็จบเรื่อง” ผมส่ายหน้า
“ถึงจะทำอย่างนั้นมันก็ขึ้นมาใหม่ได้ หลุยส์...เครื่องเซ่นมันติดอยู่ในสายเลือดของลิเดีย”
“นายจะยอมรีดเลือดของเธอออกมาทุกหยด ให้กลายเป็นศพแห้งเหี่ยวหรือเพียงแค่/สูบวิญญาณเธอและมอบวิญญาณใหม่ให้” หลุยส์เข่นคำพูดออกมาและสรุปสั้นๆเดินหนีผมไปจนสุดสายตาและหายไปกับความมืด
“ทางไหนมันก็น่ารังเกียจไม่แพ้กันหรอกซุยอา” เขาคงอยากจะสงบใจก่อนที่เวลาจะมาถึง ผมคิดอย่างนั้น
เดี๊ยวมาต่อค่ะ
เม้นเป็นกำลังก่อนดีไหมคะ ?
555555555555555555555 รักนะแต่ไม่แสดงออก XD
ความคิดเห็น