ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Drink me } babe ll กินฝัน กินรัก กิน'คุณ ♥

    ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 1.

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 148
      1
      1 มิ.ย. 54









    338205_large


    Chapter 1. Drink me, babe

    ฝันร้าย ความจริง, ปนเปซะจนฉันแยกมันไม่ออกแล้วตอนนี้







               ‘เธอทรยศเรา

                ทำความเสื่อมเสีย สมควรจะถูกเผาเยี่ยงแม่มดฉันเบิกตากว้างแล้วหอบหายใจปาดเหงื่อแล้วจับที่หน้าอกที่เสียงของหัวใจของตัวเองดัง ตึก ตึก ตึก ดังซะจนฉันที่เป็นเจ้าของปวดไปหมด ฉันเอาหัวพิงกับผนังอย่างใจลอย


    โอ๊ย เจ็บชะมัด ทำไมมันถึงแข็งขนาดนี้เนี่ย!

     ฉันหันไปมองผนังแล้วก็ต้องขมวดคิ้วว่าที่นี่มันมืดกว่าปกติ ลองลูบผิวผนังและก็รู้คำตอบที่หัวของฉันเจ็บจี๊ด ผนังที่ฉันชนมันเป็นหินที่ไม่ได้รับการขัดทั้งขรุขระและสาก และมันเป็นชนิดแบบเดียวกับหินที่พื้นซะด้วย

    ฉันคลำเท้าของตัวเอง ฉันกำลังเท้าเปล่าอยู่ ฉันขมวดคิ้วเมื่อรู้สึกถึงอะไรเย็นๆตรงข้อเท้า

    โซ่ล่าม...บ้าน่า !

    ฉันนิ่งอึ้งไปสักประมาณสองสามนาทีก่อนจะลองพยายามที่จะแกะมัน แม้จะรู้ดีว่าไม่มีทางแกะออกได้ฉันสบถออกมาแล้วมองไปทั่วห้อง และขอสาบานได้ว่าฉันมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้นอย่าว่าแต่ของรอบข้างเลยขนาดแค่เท้าตัวเองอยู่ตรงไหนฉันยังต้องคลำด้วยซ้ำ

    ฉันสะดุ้งเมื่อมีใครสักคนเปิดประตูดังเอี๊ยดอ๊าด !

    ฉันหันไปทั่วด้วยความหวาดระแวง เมื่อกี๊ฉันยังนอนอยู่ในห้องอยู่เลยแล้วนี่มันอะไรกันแน่

                “เธอได้สติแตกแน่ถ้าอยู่ในห้องนี้นานอีกหน่อย” เสียงของผู้ชายดังขึ้นฉันสะดุ้งเมื่ออยู่ดีๆแสงไฟก็สว่างวาบ และมันทำให้ฉันเห็นเขาผู้ชายผมสีบรอนซ์ตาสีฟ้าใส่ชุดขาวทั่วทั้งตัวที่กำลังถือเชิงเทียนอยู่

                “มันไม่มาช่วยเธอหรอกลีเนีย ปีศาจน่ะ...ไร้หัวใจ” ปากของฉันขยับไปเองตอบโต้เขาทันควัน

                “โกหก”

                “จะลองไหมล่ะ” ผู้ชายตรงหน้าของฉันพูดด้วยเสียงเย็นเยียบกระชากข้อมือของฉันเข้าหาตัวก่อนจะซุกที่ลำคอของฉัน ฉันขัดขืนเขาและตะโกนร้องขอความช่วยเหลือแต่กลับไม่มีใครสังเกต และฉันจะหนีไปไหนได้ในเมื่อฉันถูกล่ามอยู่

     ชายหนุ่มในรูปของเทวดาหายไปจนสิ้นเหลือเพียงปีศาจร้าย

                “ฉันรักเธอ ลีเนีย ฉันรักเธอ” ขยะแขยงจนฉันแทบจะอาเจียนออกมา

                “ความรัก...น่ากลัวอย่างที่ใครพูดถึง เสพซึ้งซะจนฉันคลั่ง” ฉันกัดริมฝีปากก่อนจะตบหน้าของเขา

                “มันคือ ราคะ

                “มันไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่หรอกลีเนีย”

                   “อย่านะ อย่า ช่วยด้วย... ใครก็ได้ช่วยด้วย!

     

                 

                “ซุยอา!” ฉันตะโกนลั่นห้องหอบหายใจก่อนจะมองไปรอบห้องที่เป็นสีขาวเตียงนอนโรงพยาบาลและหน้าต่างสะท้อนภาพสวนดอกไม้ที่คุ้นเคย ฉันกัดริมฝีปากของตัวเองแล้วลูบไปตรงที่โดนผู้ชายคนนั้นหอมดม

    ฉันถูมันแรงๆด้วยความขยะแขยง ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่ฝันแต่มันช่างเหมือนความจริงซะจนฉันอดที่จะตื่นกลัวไม่ได้

    ตัวของฉันสั่น ฉันเหม่อออกไปก่อนที่จะพูดคำพูดที่โพล่งออกมาทั้งที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนแต่มันช่างคุ้นเคยเหมือนเป็นคำที่ฉันต้องพูดทุกทีเวลาฉันจนหนทาง ฉันพูดซ้ำไปมา

                “ซุยอา” ฉันพูดทวนไปเรื่อยๆเดินวนอยู่ในห้องซะจนเวียนหัว เดินเข้าห้องน้ำแล้วถอดเสื้อของตัวเองกะจะอาบน้ำเพื่อให้สบายตัวและปลอดโปร่งขึ้นมาบ้าง ฉันมองตัวเองในกระจกและก็ต้องถึงกับแข็งทื่อ

    ปานตรงแขนของฉันขยายใหญ่ขึ้น

    ดวงตาของฉันเป็นสีแดงเถือก

    และ...เลือดสีแดงสดที่ไหลออกมาจากข้อมือตามปานนั่น

    ฉันสัมผัสเลือดนั่น แล้วส่ายหน้าไปมา ความฝันนั่นมันไม่น่าจะตามมาได้นี่ แล้วทำไม เรื่องน่าหวาดกลัวผิดธรรมชาติถึงเกิดขึ้นได้กันล่ะ ฉันปาข้าวของในห้องน้ำระบายอารมณ์ เปิดฝักบัวแล้วเช็ดที่ปานให้เลือดออกมาให้หมด

    นั่งลงก่อนจะกระชากหัวตัวเอง หวังว่าไอ้เรื่องบ้าๆนี่จะเป็นแค่ฝันซ้อนฝัน  

                “กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด !!”  


    ฉันร้องไห้ออกมาผสมกรีดร้องจนเหล่านางพยาบาลที่ได้ยินเสียงต่างกรีดร้องด้วยความตกใจพวกเขายืนแข็งทื่ออยู่หน้าห้องน้ำทำอะไรไม่ถูกจนมีคนใดคนหนึ่งได้สติ

    “รีบหาคนมาเพิ่มเร็ว จับเธอเอาไว้!” แขนของฉันถูกกระชากอย่างแรงฉันกระชากมันกลับแต่แรงนั้นมันช่างเยอะและบีบแขนของฉันแน่นซะจนฉันต้องกัดฟันแหกปากร้องออกมา ฉันเตะขาไปมั่ว น้ำจากฝักบัวกระเซ็นไปทั่วเปรอะรองเท้าของนางพยาบาลไปตามๆกัน

    “ให้ตายเถอะน่า ฉีดยาสลบให้เธอ!” พวกเขาบังคับให้ฉันอยู่เฉยๆ ร่างกายของฉันชาไปหมดฉันนอนร้องไห้และอ่อนแรงเพราะการแหกปากร้องอยู่นานและอาจจะเป็นเพราะยาที่พวกเขาฉีดให้ฉันด้วย ฉันมองเข็มฉีดยาที่แทงเข้าผิวหนังของฉันและของเหลวที่เริ่มหายไปจากหลอก

    โลกของฉันพร่าเลือนไปหมด ฉันเลื่อนมองไปที่กระจกอันเดิมกับที่ฉันเห็นยัยปีศาจร้ายที่เป็น ‘ฉัน

    และมันยังไม่ได้หายไปไหนเลย มันยังจ้องฉันกลับมาจากกระจก...


                “ให้มันได้อย่างนี้ซิน่า ฉันว่าต่อจากนี้เราคงต้องมัดเธอไว้แล้วล่ะ”

                “ดูซิ ถึงขั้นทำร้ายตัวเองกรีดปานซะ...สยองจริงๆ” พระเจ้าคะ ลูกทำอะไรผิดไปชีวิตของลูกถึงได้เหมือนตกอยู่ในขุมนรกอย่างนี้กัน



    image .




    Yerin
    ลูกสวดอ้อนวอนต่อพระเจ้าตลอดมา
    แต่บาปเดียวที่ท่านไม่อภัยลูก
    คือการที่ลูกตกหลุมรักปีศาจร้ายตนนั้น

    ลูกรู้ดีว่าตอนนี้ลูกคือ คนบาปผู้ลุ่มหลง






               “เธออาจจะเป็นโรคประสาทอ่อนๆ”

                “ควรจะปล่อยให้เธอสงบอารมณ์สักหน่อยอย่าพึ่งไปรบกวนเธอ” ฉันฟังมันอย่างเงียบๆสงบเอนหลังเต็มที่รับความสบายจากหมอนของโรงพยาบาลที่นุ่มนิ่ม ปากของฉันแห้งและแตกเพราะการขาดน้ำและแม้ว่าเหล่าพยาบาลจะยื่นมันมาให้ฉันก็ส่ายหน้า

    ไม่ใช่เพราะฉันไม่หิวหรือต่อต้านเป็นนางเอกน้ำเน่า

    แต่ตาของฉันมันฉายให้เห็นว่าน้ำนั้นเป็นสีแดงสดแม้ว่าจริงๆแล้วพยาบาลบอกว่าพวกเธอเห็นมันเป็นน้ำสีใสธรรมดา และนั่นล่ะคือจุดที่สองของการที่พวกเขาคาดคะเนว่าฉันเป็นโรคประสาท (จุดแรกคือที่ฉันคลั่งในห้องน้ำ)

    ฉันไม่อยากจะทำอะไรทั้งนั้นเลยให้ตายเถอะ ฉันอยากจะนั่งอยู่เฉยๆนอนอยู่บนเตียงนี้และตายอย่างสงบในเตียงนี้ ไม่ใช่ไปนอนดันทุรังในห้องฉุกเฉินใช้เครื่องปั๊มหัวใจ ปั่ก ปั่ก ให้เจ็บเล่นจะยื้อไปทำไมกันในเมื่อฉันปลงตกซะแล้ว


                “ก๊อก ก๊อก” ฉันกระพริบตาและนอนนิ่งต่อ นางพยาบาลประจำห้องของฉันรีบไปเปิดประตูให้ ฉันได้ยินเสียงของพวกเขาคุยกันแม้ว่ามันจะไม่ได้น่าสนใจอะไรเลย แต่มันช่วยไม่ได้หูของฉันมันไปฟังเองนี่

                “คุณคือ?

                “คุณหมอมาจากฝ่ายจิตเวชมาตรวจคนไข้ที่ชื่อ เญริน พิษากวัฆณ์ ครับ”

                “อ๋อ เชิญค่ะ”

    ตึก ตึก ตึก เสียงปิดประตูและเสียงฝีเท้าไม่ทำให้ฉันหันไปสนใจหรืออะไรทั้งนั้น ฉันมองตรงไปข้างหน้าเหมือนเดิม เสียงเลื่อนเก้าอี้และนั่งข้างๆเป็นเสียงต่อมา นางพยาบาลหยุดยืนอีกข้างของที่นอนของฉันแล้วกระซิบใส่หูของฉัน

                “หันไปหาเขาทักทายซิคะ” เธอไม่มีสิทธิ์สั่งฉันซะหน่อย

                “ไม่เป็นไรหรอกครับ แล้วแต่เธอเถอะ” ฉันเลิกคิ้วขึ้นแล้วหันไปมองหน้าเขาโดยอัตโนมัติ ผมสีบรอนซ์และตาสีฟ้าใต้แว่นสีดำเข้ารูปนั่นทำให้ฉันถูกสะกด ฉันกลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผาก ช่างคล้ายเหลือเกินจนฉันขนลุก เขาช่างคล้ายคนในฝันร้ายของฉัน


    แตกต่างกันที่เขาไม่ได้เข้ามาประชิดตัวหรือกระชากและตะโกน เขาเพียงยิ้มให้ฉันอย่างเป็นมิตรและเอาปากกาเคาะลงไปในกระดานอธิบายอาการ


                “เริ่มกันเลยดีไหมครับ คุณเญริน?” ฉันยักไหล่ ฉันมีสิทธิ์ที่ปฎิเสธไหมล่ะตอนนี้

                “งั้นคำถามแรก ทำไมคุณถึงไปนอนดิ้นอยู่ในห้องน้ำกรีดร้องเหมือนเห็นผี?

                “เห็นคุณมากกว่ามั้ง” ฉันชะงักอยากที่จะตะครุบปากตัวเองแต่ติดตรงที่ข้อมือของฉันถูกมัดกับที่กั้นเตียงฉันเลยได้แต่มองหน้าเขาอย่างไม่แน่ใจ เสียงดุของนางพยาบาลทำให้ฉันแอบใจแป้ว แต่เขาก็ยิ้มต่อ

                “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมโดนมากกว่านี้มาก็เยอะ จิตเวชน่ะต้องใจเย็นๆ” เขากำลังบอกฉันซินะว่าเขาเคยโดนด่ามาเยอะแล้ว

                “มาเข้าเรื่องกันต่อ ช่วยตอบจริงจรังหน่อยนะครับ คำถามเดิมแต่หวังว่าคำตอบจะเปลี่ยนไป” ฉันทำเสียงไม่สบอารมณ์เมื่อเขาพูดเหมือนบังคับแต่ก็ตอบออกไปเมื่อบรรยากาศมันดูเงียบวังเวง

           

                
    “ฉันเห็นตัวเองในกระจก”

                “คุณรังเกียจตัวเองเหรอครับ เญริน” ฉันส่ายหน้าแล้วมองหน้าเขานิ่งผู้ชายคนนี้ดูคุยกับฉันอย่างป็นธรรมชาติและผ่อนคลาย ไม่ได้เกี่ยวว่าเขาเป็นจิตแพทย์แต่มันเป็นมากกว่านั้นความคุ้นเคยนี่มันสะกิดใจฉัน ฉันกัดริมฝีปากแล้วพูดตอบแม้มันจะดูบ้ามากไปหน่อยก็ตาม

                “ไม่ใช่ ฉันหมายถึง ฉันที่ไม่ใช่’ฉัน

                “แล้วคุณที่ไม่ใช่คุณเป็นยังไง?

                “ดวงตาของฉันเป็นสีแดง ดูฉันบ้าคลั่งและน่ากลัว ปานตรงข้อมือของฉันใหญ่ขึ้นและเลือดไหลออกมาเหมือนโดนกรีด แต่ฉันไม่ได้กรีดมัน” ฉันหลบสายตาของเขาที่จ้องมองมาเหมือนทะลุเข้าไปถึงจิตใจที่แท้จริงของฉัน หวังจะรู้คำตอบทั้งหมด

                “คุณอาจหาว่าฉันบ้า แต่มันคือเรื่องจริงเลือดมันไหลออกมาเอง”

                “ฝันร้ายรึเปล่าพรรค์นี้”

                “เกือบทุกวัน ซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้จักแต่เมื่อวานคือวันแรกที่ความฝันของฉันเปลี่ยนไป” ฉันกำราวเหล็กที่เป็นที่กั้นเตียงแน่น แล้วหลบสายตาของทุกคนเลือกที่จะมองไปที่ผ้าห่มสีขาวสะอาด

                “ฝันเปลี่ยนไป ยังไง?

                “ขอไม่ตอบ”

                “เญริน ถ้าเธอไม่ตอบฉันก็วิเคราะห์.../ฉันโดนข่มขืน”   

    รอบข้างต่างเงียบฉี่เมื่อฉันโพล่งมันออกไป ไม่มีแม้แต่เสียงของการกระทบระหว่างดินสอที่ผู้ชายจากจิตเวชคนนี้ถืออยู่ร่วงหล่น เขาอาจจะอึ้งจนได้แต่นิ่งค้างไป ส่วนนางพยาบาลก็คงงงไม่แพ้กันว่าฉันที่เป็นเด็กโรงพยาบาลทำไมถึงไปฝันเรื่องกามอารมณ์บ้าบออะไรนั่นได้

                “พอใจรึยัง จะถามต่อไหมล่ะว่าเป็นยังไง เกิดอะไรขึ้น ในฝันฉันหน้าตาเป็นยังไง”

                “แล้วใคร...”

                “แล้วใคร?” ฉันหันกลับไปมองหน้านายคุณหมอที่มองหน้าฉันนิ่ง เขากลืนน้ำลายแล้วสบตาฉันนิ่งโพล่งคำถามน่าอายออกมา แม้ว่าเขาจะดูจริงจรังแค่ไหนก็ตามเถอะมันช่างทำให้ฉันอึ้งไปหลายวิเหมือนกัน

                “ใครทำเธอ”

                “...!!” ฉันนิ่งอึ้งมองหน้าเขานิ่งเขาเองก็ดูจะช็อกกับคำถามของตัวเองเหมือนกัน เลยแก้เก้อด้วยการกระชับแว่นแล้วส่งเสียงกระแอมตบมือดังหนึ่งทีก่อนจะขึ้นเสียงเรียกความสนใจจากนางพยาบาลที่เงี่ยหูฟังสุดทธิ์

                “ผมว่าวันนี้เราพอแค่นี้กันดีกว่า”

                “คุณพยาบาลช่วยรออยู่ในห้องนี้เป็นเพื่อนคนไข้ด้วยนะครับ เดี๊ยวผมจะไปพิจารณาปฎิกริยาของเธอ มันต้องใช้เวลาและสมาธิค่อนข้างมากน่ะ” เขาเดินหันหลังแล้วคว้ากระดานเขียนอาการของฉันและเมื่อมือของเขาจับไปที่กลอนประตูฉันก็ส่งเสียงเรียกเขา

                “เฮ้ นายชื่ออะไร?” เขาหันหลังมามองฉันแล้วยิ้มกว้าง

                “อีกไม่นานเธอก็รู้ชื่อฉันแล้วล่ะ”

                “ฉันไม่เข้าใจ” เขาที่มีตำแหน่งเป็นถึงคุณหมอหัวเราะดันแว่นตาเข้าไปให้กระชับกับรูปหน้าแล้วเอานิ้วมาแตะที่ริมฝีปากแดงๆของตัวเองและพูดทิ้งท้ายเอาไว้

                “ตอนเที่ยงคืนรักษาสุขภาพให้ดีนะ ระวังจะโดนกระชากไป”

                “อะไรกระชากไปเหรอ?

                “...ฝันร้ายที่ไม่มีวันจบสิ้นน่ะ” ปัง! เขาหันหลังกลับปิดประตูใส่ไม่ยอมฟังฉันที่ทักท้วงเขาและนั่นทำให้ฉันกำมือแน่นอย่างไม่ชอบใจ หันไปมองนางพยาบาลที่มองตามนายคุณหมอนั่นไปตาลอย ใช่ เขาหล่อไม่ใช่หล่อแบบผิวเผินแต่เขามีเสน่ห์ดึงดูดเหมือนมนตร์สะกด

    แตกต่างกับฉันที่เป็นยัยขี้โรค ผิวขาวซีด ผอมแห้งแรงน้อยและปากแตกและห้อเลือดเหมือนยัยบ้าในโรงพยาบาล(ฉันเป็นแล้วเลยล่ะ)

    แต่ไม่รู้ทำไม ฉันถึงรู้สึกว่าเขาเป็นเพียงแค่คนธรรมดาไม่ได้วิเศษวิโสมากกว่าฉันเลยนะ  

     

                ตึก ตึก ตึก ผมเดินวนไปวนมาอยู่บนดาดฟ้าแล้วนั่งเอนพิงที่เสาของดาดฟ้ารับลมเย็นสบายมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เป็นสีฟ้าใส เหม่อลอยอยู่อย่างนั้นอยู่นานจนถูกเบนความสนใจไปด้วยการเปิดประตูปึงปังตามหลักนิสัยของหลุยส์

    ผมมองหลุยส์ในชุดเสื้อกาวน์สีขาวและแว่นตาอันใหญ่เบอเริ่มนั่นอย่างเฉยชา แล้วกวักมือเรียกหลุยส์ให้มาหาผมแต่หลุยส์กับส่ายหน้าและตะโกนตอบ

                “ฉันยังไม่อยากเกรียมนะซุยอา”

                “ก็เผื่อนายจะโง่เชื่อฉันไง”

                “ชิ!” ผมกระตุกยิ้มลุกขึ้นยืนเสยผมที่ปรกหน้าแล้วมองเจ้าสร้อยคอรูปไม้กางเขนที่ทำมาจากเงินบริสุทธิ์ มันเป็นอะไรที่ทั้งปกป้องผมและสามารถฆ่าผมได้ในเวลาเดียวกัน ผมละสายตาก่อนจะเดินเข้าไปหาหลุยส์ที่อยู่ในเงาหลีกเลี่ยงแสงแดด

                “คราวหน้านายน่าจะบอกให้ฉันเตรียมร่มมาด้วย”

                “แล้วใครบอกให้นายโยนเสื้อโค้ตทิ้งล่ะ” หลุยส์ส่งเสียงฟึดฟัด

                “มันเหม็นแล้วไม่หอม ฉันใส่มันมาตั้งอาทิตยิ์นึงแล้วนะ” ผมยักไหล่แล้วพิงกับประตูทางเข้าดาดฟ้าแล้วเข้าประเด็น

                “ใช่เธอรึเปล่า”

                “เปลี่ยนไปซะฉันเกือบจำไม่ได้ แต่ก็ใช่”

                “ข้อพิสูจณ์” หลุยส์ยิ้มแล้วถอดแว่นตาออกเก็บใส่กระเป๋ากางเกงอย่างลวกๆ

                “ฝีปากกล้าเหมือนลีเดีย คุยกับฉันอย่างผ่อนคลายแถมดูจะไม่ตกมนตร์สะกด” หลุยส์พูดไปเรื่อยๆแต่มีอย่างหนึ่งที่เขาไม่ได้บอกซุยอา และจะไม่บอกแน่จนกว่าอีกฝ่ายจะซักไซ้ถามเข้ามาเอง เรื่องฝันร้ายของเญรินนั่นเอง

                “ตอนนี้เธอชื่อเญริน”

                “ไม่สำคัญ เธอคือลีเดีย”

                “ใจร้ายไม่เปลี่ยนหัวใจนายโดนปิดตายซะจนแข็งเป็นหินแล้วมั้งเนี่ย” ผมยักไหล่ก่อนจะเลียริมฝีปากของตัวเองและนั่นทำให้หลุยส์แอบชักสีหน้าใส่ แววตาของหมอนั่นแข็งกร้าวขึ้นมาเพียงไม่กี่วินาทีก่อนจะหายไป

    หลุยส์ไม่พอใจกับการกระทำของผม ผมพนันได้เลย

                “มันเป็นทางเดียวที่จะทำให้เธอพ้นจากไอ้เครื่องเซ่นบ้าๆนั่น” ผมพูดเตือนเขา หลุยส์ขมวดคิ้วแล้วพูดพึมพำออกมา

                “งั้นถ้าเราถลกหนังของเธอตรงที่ถูกเครื่องเซ่นกาฝากนั่นเกาะซะก็จบเรื่อง” ผมส่ายหน้า

                “ถึงจะทำอย่างนั้นมันก็ขึ้นมาใหม่ได้ หลุยส์...เครื่องเซ่นมันติดอยู่ในสายเลือดของลิเดีย”

                “นายจะยอมรีดเลือดของเธอออกมาทุกหยด ให้กลายเป็นศพแห้งเหี่ยวหรือเพียงแค่/สูบวิญญาณเธอและมอบวิญญาณใหม่ให้” หลุยส์เข่นคำพูดออกมาและสรุปสั้นๆเดินหนีผมไปจนสุดสายตาและหายไปกับความมืด  

                “ทางไหนมันก็น่ารังเกียจไม่แพ้กันหรอกซุยอา” เขาคงอยากจะสงบใจก่อนที่เวลาจะมาถึง ผมคิดอย่างนั้น  








     เดี๊ยวมาต่อค่ะ
    เม้นเป็นกำลังก่อนดีไหมคะ ?

    555555555555555555555  รักนะแต่ไม่แสดงออก XD







    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×