ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มายาอธิษฐาน

    ลำดับตอนที่ #2 : - ตอนที่ 1 - ( r e w r i t e )

    • อัปเดตล่าสุด 4 พ.ค. 57


    © Princess







    1

           “นี่ลมหนาวมันออกไปวิ่งทุกเช้าเลยเหรอ?” ผ่านไปสิปแปดชั่วโมงหลังจากที่เหมือนแพรได้นอนหลับพักผ่อนอยู่บนเครื่องบินอย่างเต็มอิ่ม เธอก็ถามไม่ได้หยุดถึงเรื่องราวของเพื่อนเจ้าบ้านซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของเธอเช่นเดียวกับสายไหม คนแรกเป็นลูกสาวบุญธรรมของเจ้าของบ้านหลังงามแห่งซานฟรานซิสโกหลังนี้ชื่อว่าต้นน้ำ ต้นน้ำ คือ สาวร่างอวบ ส่วนสูงไม่มากนักแต่ขยันทำงานเพราะถึงจะเป็นลูกสาวบุญธรรมของเจ้าของบ้านหรือชื่อในวงการ...เจ้าของซูเปอร์มาร์เก็ตที่ใหญ่ที่สุดในซานฟรานซิสโกและเบิร์กลีย์ซึ่งเป็นเมืองใกล้เคียง แต่ก็ไม่ใช่นั่งกินนอนกิน เธอทำตั้งแต่ยกของ ขับรถไปส่งของ งานที่ดูท่าว่าผู้หญิงไม่น่าจะทำไหวทั้งหลายแหล่แต่เธอก็ทำได้ เธอจึงต้องได้รับพลังงานมากกว่าคนทั่วไปด้วยการป้ายเนยลงบนแพนเค้กแบบไม่ยั้งทันทีที่สายไหมที่ตาจะปิดแหล่ไม่ปิดแหล่จากการเอาแต่ชมภาพยนตร์บนเครื่องบินแต่ใจรักการทำอาหารใช้ตะหลิวยกแพนเค้กขึ้นมาจากกระทะ ส่วนลมหนาวที่เธอถามถึง คือ เจ้าบ้านคนที่สองซึ่งมาอาศัยอยู่กับต้นน้ำด้วยปัญหาทางบ้านและสภาพการเงินที่ไม่คล่องตัวเท่าไรนักในอดีต แต่ปัจจุบันนี้เธอดูเหมือนจะมีสตางค์มากกว่าต้นน้ำด้วยงานเล่นเปียโนในบาร์กลางใจเมืองตั้งแต่ช่วงสามทุ่มเป็นต้นไป และไม่เคยมีปัญหาต้องกู้หนี้ยืมสินพ่อแม่บุญธรรมของเธอเลยสักครา
                    พูดถึงลมหนาวแล้วต้นน้ำก็ส่ายหัวแบบเพลียๆ “ใช่ ตอนกลางคืนมันกินเหล้าไง ก็เลยไปออกกำลังกายเผื่อจะผ่อนผัน” ก่อนที่เหมือนแพรจะได้ยินคำตอบแล้วส่ายหัวตามเหมือนเป็นอุปาทาน
                    “แกไม่ต้องออกไปวิ่งเลยนะ ถ้าแกยังไม่ได้เล่าเรื่องผู้ชายคนนั้นให้ฉันฟังสายไหมที่ทำแพนเค้กเสร็จเรียบร้อย จัดการแช่กระทะไว้ในอ่างล้างจานแล้วก็เดินมานั่งยังโต๊ะอาหารข้างๆเหมือนแพร นั่นทำเอาต้นน้ำที่ใจจดใจจ่อกับแพนเค้กชุ่มเนยในปากถึงกับต้องกางหูออกมากว้างๆเพื่อตรวจจับเรื่องราวแซ่บๆของเพื่อน
                    “คนไหน?”
                    ก็มีอยู่คนเดียวแกก็รู้ จะปิดบังทำไมยะ? หรือว่าแกชอบ?” สายไหมย้อนถามเหมือนแพรที่ตอนนี้นั่งนิ่งตัวเป็นหิน “ตอนฉันหันกลับไปมองนะ เขามองแกไม่วางสายตาเลยนะโว๊ย!”
                    “เหรอ?” สาวไทยเชื้อสายจีนพยายามทำเสียงให้เรียบนิ่งที่สุดแต่ก็กลายเป็นเสียงใหญ่ๆที่ฟังแล้วไม่เนียนแทน เพราะก่อนที่เธอจะหลับยาว เพื่อนสาวผิวเข้มได้สังเกตเห็นว่าเธอนั่งยิ้มไม่หุบแถมยังนั่งบิดตัวไปมาอย่างขวยเขินจึงเดาว่าสาเหตุน่าจะเป็นหนุ่มคนนั้นแน่ๆ
                    “ใช่! เนี่ยป้าต้นน้ำแกลองดมเสื้อยัยแพรดูสิ ตอนบนเครื่องบินพอฉันไปหลับพิงมันนะ กลิ่นน้ำหอมผู้ชายนี่ให้ฟุ้งเลย!”
                    “ไหนๆ?” สาวร่างอวบชักอยากพิสูจน์ขึ้นมาเสียแล้วจึงยื่นหน้าเข้ามายังเสื้อของเหมือนแพรที่ยังไม่ได้เปลี่ยนตั้งแต่มาเหยียบซานฟรานซิสโก แต่เหมือนแพรกลับลุกขึ้นจากเก้าอี้เป็นการหนีประจวบเหมาะกับที่ลมหนาววิ่งลงบันไดมาในเสื้อวอร์มมีฮู้ดสีเทาและกางเกงวอร์มสีดำที่ถกขึ้นเล็กน้อยอย่างสดชื่น
                    “ลมหนาวรอฉันด้วย!”

     

     

     

                    เหมือนแพรถอนหายใจด้วยความโล่งใจที่รอดพ้นข้อสงสัยของยัยสายไหมมาจนได้ แต่จริงๆแล้วถึงสายไหมไม่ซักไซ้ เธอก็อยากจะมาดูละแวกบ้านโดยรอบบ้านของต้นน้ำที่เธอใช้ซุกหัวนอนช่วงที่มาทำงานที่นี่ โดยที่มีลมหนาวนักวิ่งตอนเช้าระดับชาติคอยเป็นวิทยากรแนะนำ เพราะละแวกบ้านของต้นน้ำมีแต่พวกผู้ดีเก่าไม่ก็เศรษฐีใหม่ๆที่ฐานะดีพอจะมาซื้อบ้านอยู่ที่นี่ สถาปัตยกรรมของบ้านในละแวกนี้ได้รับการออกแบบมาอย่างดีเยี่ยมแล้วทั้งสิ้น หลายครั้งหลายคราที่ที่แห่งนี้ปรากฏอยู่บนหน้าจอโทรทัศน์ไม่ว่าจะเป็นข่าวถึงการขึ้นแบบฉุดไม่อยู่ของมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ ไปถึงภาพยนตร์ฮอลลีวูด เป็นบุญของรองเท้ากีฬาที่ใส่มาเป็นรุ่นสู่รุ่นของเธอเสียจริงที่ได้มาเหยียบที่นี่
                    “แถวนี้คือแปซิฟิกไฮท์ส” ลมหนาวกล่าว วันนี้เธอเห็นว่ามีเพื่อนมาวิ่ง...ไม่ใช่สิ มาทัศนศึกษาด้วยจึงออกแรงด้วยการเดินแล้วแกว่งแขนแทน ก่อนจะหันไปทักทายหนุ่มตาน้ำข้าวหน้าหวานละลายใจที่วิ่งผ่านมาพร้อมกับรอยยิ้มและใบหน้าที่โชกเหงื่อแม้อุณหภูมิขณะนี้จะไม่ถึงยี่สิบองศาก็ตามที “ฉันวิ่งจากหน้าบ้านไปถึงร้านกาแฟอีกสามกิโล แต่วันนี้เดินเอาก็ได้ เห็นแกมาด้วย”
                    “อ๋อ ฉันขอกวนแกแค่วันเดียวแหละ” เหมือนแพรบอกก่อนจะถามคำถามที่เกือบทำให้ลมหนาวสะดุดขี้มด “วิ่งไกลขนาดนี้ทำไมแกไม่เลิกกินเหล้าล่ะ?”
                    “แหม่...งานฉันมันก็แบบว่ามีสภาพเป็นแวดล้อมที่เป็นเครื่องดื่มพวกนี้อ่ะนะ”
                    “เป็นนักเปียโนต้องกินเหล้าด้วยเหรอ?” จากคำบอกเล่าของต้นน้ำ เธอรู้มาว่าเพื่อนสาวผมน้ำตาลของเธอ ถึงจะคอแข็งก็ตาม แต่ก็มีวันที่เมาเละกลับมาบ้าน บางวันก็ไม่กลับเพราะเมาเกินไป ตอนแรกเพื่อนร่างอวบก็ไม่ค่อยชอบใจเท่าไรที่หน้าไปรับยัยเพื่อนขี้เมาอาจจะตกเป็นของเธอ แต่ทุกวันนี้เธอไม่เคยต้องรับภาระนั้นแม้แต่ครั้งเดียว ดีใจเสียด้วยซ้ำที่มีเพื่อนร่วมงานหรือกิ๊กก็ไม่รู้ขับรถหรูมาส่งถึงบ้านทุกคืน
                    ดีใจที่ได้เจอหน้าหล่อๆมาดกวนของกิ๊กลมหนาวทุกคืนน่ะสิไม่ว่า!
                    “ตอนแรกฉันก็ไม่เชื่อหรอกว่าจะทำให้เล่นดีขึ้น แต่พอใส่สักกึ๊บสองกึ๊บนะ เล่นดีมาก” ลมหนาวยิ้มอย่างมีเลศนัยพร้อมลากเสียงยาวที่พยางค์สุดท้ายให้เหมือนแพรเหลือกตาด้วยความหน่ายใจก่อนจะเผลอตัวเอาหน้าซุกลงบนเสื้อของตนเองที่มีกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆของชายแปลกหน้าคนนั้นหลงเหลืออยู่แล้วเงยขึ้นพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ
                    “เออเมื่อกี้นี้ฉันได้ยินสายไหมมันพูดอะไรน้ำหอมผู้ชายหมายถึงเสื้อแกรึเปล่า?”
                    เหมือนแพรตาแทบจะหลุดออกจากเบ้ากลัวความจะแตก “ไม่ใช่ของแกหรอกเหรอ?”
                    “ฉันไม่ใช้น้ำหอมผู้ชายย่ะ” ลมหนาวปฎิเสธก่อนจะโน้มใบหน้าลงพิสูจน์กลิ่นที่ลอยออกมาจากเสื้อกันหนาวเหมือนแพร ก็พบว่าเป็นเรื่องจริง
                    “แต่ใช้น้ำหอมผู้ชายก็ไม่เห็นจะแปลก ยัยสองคนนั้นก็สงสัยอะไรแปลกๆ”
                    เหมือนแพรถอนหายใจไม่ทันไร ไม่สิ! เดินขึ้นเนินลงเนินไม่ทันไร ทั้งสองก็มาถึงร้านกาแฟด้วยความรวดเร็วอาจจะเพราะคุยเพลินมาตลอดทาง ด้วยความที่ลมหนาวเป็นเจ้าบ้านอยู่กลายๆ เธอจึงอาสาเดินไปสั่งกาแฟและขนมที่เคาน์เตอร์ โดยเหมือนแพรเป็นคนจัดหาที่นั่ง ซึ่งเมื่อเงยหน้ามองเห็นกระดานเมนูที่แขวนอยู่เหนือเคาน์เตอร์แล้วสนนราคาถึงสองร้อยเกือบสามร้อยบาทต่อแก้ว
                    ไม่นานเกินไป ลมหนาวก็มาถึงโต๊ะพร้อมกับแก้วกาแฟมัคคิอาโต้ร้อนของเธอที่ดูจะแพงเพราะการตกแต่งและรสชาติที่เมื่อแตะลิ้นเธอก็ถึงกับมีสีหน้าที่เคลิบเคลิ้มจนลมหนาวหัวเราะร่า ที่ช็อคกว่านั้นคือเค้กที่ทำจากชาและกาแฟชิ้นบางแบ๋วสนนราคาร้อยกว่าบาทไทยที่ลมหนาวสั่งมาถึงสี่ชิ้นไม่ซ้ำหน้า
                    สรุปแค่ขนมกับกาแฟเบาๆนี่หนึ่งพันบาท! คุณพระ! เหมือนแพรแทบลมจับ
                    อร่อยละซี้!” ส่วนของลมหนาวเป็นชาเอิร์ลเกรย์ร้อนที่ต้องขอบอกว่าต้องทำให้เหมือนแพรเทศนาอีกรอบ
                    “ตอนกลางคืนกินเหล้า ตอนเช้ากินชา นี่ไหว…”
                    แต่เพราะว่าที่ฝ่าเท้าของเหมือนแพร เหมือนมีอะไรบางอย่างที่คดงอจนเธอเสียสมดุลและร้องโอดโอยจนไม่ทันได้เทศน์จบ
                    “แพรแกเป็นอะไร?!”

     

     

     

             มีใครบางคนกำลังนั่งซังกะตายอยู่ในร้าน ลาโมดร้านกาแฟที่ขึ้นชื่อกันว่าไฮโซที่สุดในแปซิฟิกไฮท์สเนื่องจากรายล้อมไปด้วยบ้านพวกผู้ดีมีเงินแห่งซานฟรานซิสโก โอบล้อมไปด้วยทิวทัศน์ของสะพานโกลเด้นเกท คุกอัลคาทราซและพาเลซออฟไฟน์อาร์ต เพราะว่าต้องฟังยัยตัวแทนจำหน่ายชาเนลเคลื่อนที่พล่ามนั่นพล่ามนี่ในเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวกับการเตรียมสอบเข้ายูซีเบิร์กลีย์ในอีกสองเดือนหน้าตามที่ขอร้องเขาเอาไว้เลย
                    กูจะบ้าตาย!’ นายแพทย์ศตายุได้แต่คิดอยู่ในใจก่อนถอนหายใจเป็นรอบที่ร้อยของวัน พลางทอดสายตาไปยังหนังสือเรียนชีววิทยาที่นอนแอ้งแม้งอย่างไร้ค่าอยู่ริมหน้าต่าง นี่เขาต้องนั่งเครื่องบินจากกรุงเทพมาซานฟรานด่วนเพราะเรื่องนี้เองรึเนี่ย?
                    “ถ้าคุณจะพูดเรื่องไร้สาระพวกนี้ ผมขอตัวนะ” เขาพูดห้วนๆใส่สาวผมบลอนด์ที่ดูจะสมองกลวงแม้เป็นถึงลูกสาวท่านผู้อำนวยการโรงพยาบาลเซนต์ซาเวียร์อันโด่งดังด้านงานวิจัยมากที่สุดในอเมริกาตะวันตกก็ตาม ลุกพรวดออกไปพร้อมกับเสื้อเทรนช์โค้ทและกระเป๋าเอกสารหูหิ้วที่แขวนเอาไว้ตรงเก้าอี้ แต่แทนที่เขาจะเดินออกจากร้านทันที ด้วยจิตวิญญาณของแพทย์ เขารีบปรี่ตรงไปยังอีกมุมหนึ่งของร้าน ซึ่งมีผู้หญิงผมน้ำตาลคนหนึ่งกำลังประคับประคองผู้หญิงผมส้มที่ดูเหมือนจะร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดและทรุดลงไปกับพื้นกระเบื้อง
                    “แกฉันขอโทษ! ฉันไม่รู้อ่ะ!” เป็นคนไทยเหมือนเขาซะด้วยนะ
                    “ผมเป็นหมอครับ” ก่อนที่เหตุการณ์จะบานปลายและเขาเองก็ทนดูเพื่อนสาวคนนั้นกับพนักงานของร้านช่วยผู้ป่วยแบบทุลักทุเลไม่ได้
                    “อยู่ๆเพื่อนๆฉันเขาก็เจ็บเท้ามากเลย ฉันแค่เผลอไปเตะขาเขาแค่นั้นเอง”
                    “งั้นเดี๋ยวรีบพาไปโรงพยาบาลก่อนแล้วกัน” ศตายุเบื่อจะฟัง รู้แล้วคือคำที่เขาอยากจะพูดออกไปถ้าไม่ติดว่าแม่สาวคนนั้นเป็นเพื่อนกับผู้ป่วย ซึ่ง...โอเค เขาเคยกอดเธอแบบไม่ได้ตั้งใจ
                    “เธนคุณจะไปไหน?!” กรรมของเวรเวรของกรรมจริงๆ! ยัยผมบลอนด์นั่นรุดออกมาเห็นเขาแบกร่างของสาวผมส้มที่ไม่ไหวด้วยประการทั้งปวงเดินออกจากร้าน โดยมีสาวผมน้ำตาลเดินไล่หลังเข้ามาช่วยพยุงอีกแรง
                    ณ วินาทีนั้น กล้ามเนื้อในอกด้านซ้ายของเหมือนแพรที่แนบเข้าร่างของชายที่บอกว่าตัวเองเป็นหมอก็เต้นรัวแรงจนจับจังหวะไม่ได้ เมื่อชิงโอกาสหันไปมองใบหน้าที่จริงจังของเขา เธอก็อยากจะสลบไปให้รู้แล้วรู้รอด ไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะเป็นหมอ อาชีพที่เธออยากให้มาเป็นสามีในอนาคตมากที่สุด แถมยังเป็นคนที่เธอนั่งเพ้อถึงเขามาตั้งสิบแปดชั่วโมงกว่า! พอเจอตัวจริงแบบใกล้ชิดใกล้ชิดแล้วอยากจะบอกว่า...
                    หล่อฉิบหาย!’
                    เออ นั่นสิ น่าจะสลบเนอะถ้าไม่ติดว่ามียัยลมหนาวจิตสัมผัสมารยาหญิงมาช่วยพยุงด้วย
                    แต่เหมือนแพรก็สลบไปแล้ว แล้วก็เนียนคอตกลงบนแผงอกแกร่งของนายแพทย์หนุ่มอีกต่างหาก! ที่สำคัญ ลมหนาวจิตสัมผัสก็สัมผัสไม่ได้ด้วย!
                    “ทำตัวให้เป็นประโยชน์หน่อย” เมื่อเดินมาถึงรถพร้อมๆกับสาวผมบลอนด์ที่เดินบนส้นสูงมาอย่างฟึดฟัดกำลังยืนกอดอกคิดว่าศตายุจะสนใจ เหอะ! คนอย่างเขาไม่ชอบหรอกผู้หญิงสวยใสไร้สมองแบบหล่อน แต่เธอก็ยังแง่งอนเป็นเด็กๆ และนั่นทำให้คนที่ดูเหมือนจะเงียบๆดูเหตุการณ์มาตลอดอย่างลมหนาวต้อง
                    “วอทเดอะเฮลยูอาร์?” หันไปด่า ใช่! ด่าลูกสาวท่าผู้อำนวยการโรงพยาบาล! ก่อนจะใช้มือที่ว่างอีกข้างหนึ่งเปิดประตูรถมินิคูเปอร์ แฮทช์สีแดงสดของเขาที่ปลดล็อคเรียบร้อยแล้วจากหน้าร้านและพาร่างของเหมือนแพรเข้าไปอย่างใจเย็น ก่อนจะตามเข้าไปนั่งตามคำบอกของนายแพทย์หนุ่ม
                    “แล้วนั่นจะยืนคิดว่าสวยอีกนานมั๊ย?” ไม่ต้องบอกก็รู้สินะว่าพูดกับใคร
                    คุณรู้มั๊ยว่ายัยบลอนด์สมองกลวงนั่นทำอะไรหลังจากศตายุยังพอมีเมตตาให้เธอติดรถขากลับ?”
                    “เธนคะ! คุณจะให้ยัยสองตัวข้างหลังนี่ติดรถไปกับเราไม่ได้นะคะ!”
                    ลมหนาวที่คุ้นชินกับภาษาอังกฤษเป็นอย่างดีฟังแล้วก็ฉุนกึก หล่อนชำเลืองมองมายังเหมือนแพรที่สลบอยู่ด้านหลังและเธอที่พร้อมแล้วที่จะทำให้ยัยผีเจาะปากนี่ปวดบ้าง นายแพทย์ศตายุเองเหยียบมิดแล้วก็ยังไม่พ้นไปแดงเพื่อไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดซึ่งก็คือเซนต์ซาเวียร์
                    “มันว่าฉันนะคะ! และรับรองเลยถ้าคุณพ่อของฉันรู้เรื่องนี้ล่ะก็ เขาเล่นงานคุณแน่ๆ”
                    เธนคะ! ฉันได้ข่าวว่าคุณเป็นแฟนเพลงของบรูโน่ มาร์ส ฟังหน่อยมั๊ยคะ? เผื่อมลพิษทางเสียงจะลดลงบ้าง” ลมหนาวกล่าวพร้อมยื่นหูฟังของเธอให้กับศตายุที่ดูจะยื่นมือมารับอย่างรู้ทัน แต่ยัยนั่นก็ไม่เลิกราวี เธอปัดมือของนายแพทย์ที่เธอหลงรักให้ห่างจากยัยหมูตอนนั่น
                    “แกน่ะเงียบไปเลยนะ อยากใกล้ตายเหมือนเพื่อนแกรึไง?”
                    “อย่ามาแช่งเพื่อนฉันนะ!”
                    “อย่าแช่งเธอนะ!”
                    ด้วยความบังเอิญ...ลมหนาวก็โพล่งขึ้นพร้อมกับที่ศตายุซึ่งกำลังร้อนใจว่าเมื่อไหร่จะไฟเขียวโพล่งขึ้นมา เหมือนแพรที่แกล้งทำสลบก็เกือบลืมตัวตื่นเพราะเสียงดังคูณสอง ส่วนสาวผมบลอนด์ก็หมดฤทธิ์ไปเพราะคิ้วที่ขมวดเข้าหากันพร้อมจะมีเรื่องของเธนจนลมหนาวที่ไม่พอใจเช่นกันเริ่มสังเกตเห็นอะไรบางอย่างจากท่าทางของชายหนุ่ม และนอกเชี่ยวชาญด้านเครื่องดื่มมึนเมาแล้ว เรื่องน้ำหอมเธอก็มักไม่พลาด เมื่อเธอมองไปรอบๆรถแล้วมองเห็นขวดน้ำหอมซึ่งอยู่บนตัวของเหมือนแพรไม่ผิดแน่...               

                    และแล้วโรงพยาบาลเซนต์ซาเวียร์ก็ประจักษ์อยู่ตรงหน้าคนในรถของศตายุ เขาเปิดประตูนำร่างของสาวผมส้มลงมาจากรถทันทีหลังจากดับเครื่องยังลานจอดรถซึ่งอยู่ด้านหน้าตัวอาคารอันหรูหราและทันสมัย
                    เดินไหวมั๊ยเนี่ย?” เขาพึมพำ ก่อนจะยื่นมือทั้งสองข้างไปเป็นหลักให้ดึงเอาตัวเธอขึ้นมาได้ พร้อมๆกับที่ลมหนาวดันตัวเธอออกมาจากในรถ
                    “อ๊าก!” แต่ดูเหมือนความอดทนเนียนของเหมือนแพรจะมีอยู่จำกัด เธอเผลอร้องอุทานเสียงดังด้วยความเจ็บปวดเมื่อชายหนุ่มไม่ทันระวังในการเคลื่อนย้ายร่างที่แกล้งหมดสติของเธอ จนเท้าของเธอไปโดนกับขอบรถเข้าอย่างจัง
                    “รอนี่นะเดี๋ยวผมไปเอาวีลแชร์มาให้” แพทย์หนุ่มขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่เสี้ยววินาทีหนึ่งเมื่อได้ยินเสียงร้อง “มิแรนด้า ไปเอาวีลแชร์มาให้หน่อย!”
                    “ก็ได้ๆ!
                    นั่นทำให้ลมหนาวหลุดหัวเราะออกมาดังลั่นหลังจากเป็นไม้เบื่อจนเมาแอ๋กับสาวน้อยมิแรนด้าที่ดูท่าทางจะวุฒิภาวะต่ำเตี้ยติดดินจนเธอคิดว่ายัยหนูนี่คงจะไม่มีความสุขไปทั้งวันเป็นแน่  เช่นเดียวกับเหมือนแพรที่หัวเราะไม่ได้มากเพราะมันไปสะเทือนเท้า
                    เปล่าหรอก กลัวตื่น เดี๋ยวไม่เนียน น่าสงสารนะ
                    “ค่อยๆนะ” และก็เป็นหน้าที่ของศตายุที่ช่วยประคับประคองร่างของเหมือนแพรจากรถมาวางที่เก้าอี้รถเข็น โดยที่เขาก็ขออาศัยแรงของเพื่อนที่มาด้วยเล็กน้อยพอเป็นพิธี
                    เนียนนะคะมึ-งและแล้วลมหนาวก็สัมผัสได้

     
                    เมื่อเข้ามายังประตูของโรงพยาบาล ลมหนาวที่รับหน้าที่เข็นรถของเหมือนแพรเพื่อนสนิทมายังแผนกฉุกเฉินซึ่งเป็นด่านหน้าสุดของที่นี่ ดูเหมือนหล่อนจะรู้งานแต่ไม่ใช่งานมีสาระแน่ๆ
                    “หมอจะเข็นผู้ป่วยไปเองเลยมั๊ยคะ? ไหนๆก็ประจำไข้เพื่อนฉันแล้ว” งานสาระแนน่ะสิไม่ว่า!
                    “ใครบอก?”
                    ลมหนาวอึ้งไปครู่หนึ่ง “แหมคุณศตายุเนี่ยล่ะก็ ซึนจังเลยนะคะ”
                    ศตายุเหล่มองใบหน้าทะเล้นของลมหนาวด้วยความเอือม “สนิทกับผมเหรอครับ?”
                    แล้วเธอก็ต้องมองแผ่นหลังของนายแพทย์หนุ่มไทยที่ห่างไกลออกไป เพื่อนที่แสนดีมีอาการเซ็งเป็ดเล็กน้อยให้เหมือนแพรคนป่วยที่เริ่มไม่ค่อยชอบใจกิริยาท่าทางของตาหมอคนนี้เท่าไหร่ปริปากบ่น
                    “ดีแล้วล่ะแกที่ฉันไม่ได้รักษากับหมอคนนั้น พูดจาสุนัขไม่รับประทานเลย” เธอเอ่ย “แล้วแกจะถอนหายใจทำไมเนี่ย?”
                    “อ้าวนี่ตื่นได้แล้วเหรอยะ?” ได้ที ลมหนาวก็กระแนะกระแหนให้สมกับการแสดงยอดเยี่ยมของเพื่อนสาว
                    เหมือนแพรมีท่าทีเหลอหลานิดๆ ก่อนจะรู้สึกตัวทำท่าว่างัวเงียต่อ “จะสลบอะไรนานนักเล่า? ไม่ได้โดนมอมยานี่นา…”
                    “สมมติว่าฉันเชื่อแกแล้วกันนะ” ลมหนาวพูดพลางพยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงยอมรับ “ทั้งเรื่องสลบ แล้วก็...น้ำหอม”
                    ระหว่างที่ทั้งสองสาวถูกพามานั่งรอด้วยบริการอำนวยความสะดวกของเหล่าพยาบาลและพนักงานต่างเชื้อชาติดูใจดีเกินกว่าที่คาดเอาไว้ ศตายุก็ดูเหมือนมีงานยุ่งที่จะต้องสะสางในห้องทำงานส่วนตัวของเขาซึ่งมองเห็นสะพานโกลเด้นเกทซึ่งมีสีสันเจ็บแสบมาตั้งแต่ปีหนึ่งเก้าสามห้าได้ในแบบพาโนรามา เขากำลังสวมเสื้อกาวน์อย่างเร่งรีบพร้อมกับแว่นสายตาที่ทำให้เขาดูหล่อขึ้นอีกเป็นกอง เพื่อต้อนรับผู้ป่วยรายใหญ่ที่แม้วันนี้ไม่มีนัด เธอก็มาต้องใช้คำว่า ท่านต่างหากจึงจะเหมาะสม
                    วันนี้ท่านไม่มีแอพพ้อยท์เม้นท์กับผมนี่ครับ”
                    “เรื่องนั้นฉันรู้จ่ะ” ท่านยิ้ม ท่านคือคุณหญิงผกาวดี หรือชื่อในวงการ เมียท่านทูตสีเล็บของท่านแสบทรวงไม่น้อยหน้าสะพานโกลเด้นเกทเลย อีกทั้งการใส่ส้นสูงปรี้ดของท่านก็ทำให้คุณหมอเจ้าของไข้ดีใจที่อาการของท่านบรรเทาลงด้วยดี แต่ส้นสูงนั่นมันก็สูงจนน่าใจหาย
                    “คิดถึงบรรยากาศห้องผ่าตัดเหรอครับ? ใส่ซะสูงเชียว”
                    “ศตายุเนี่ยนะ!” คุณหญิงทำท่าแง่งอนเป็นเด็กๆ “ฉันขอรบกวนเธอแค่แป๊บบบบ...เดียว เดี๋ยวฉันต้องรีบไปร่วมไฮทีกับเพื่อนๆต่อ”
                    เช่นกัน นายแพทย์ศตายุก็รีบ แต่ด้วยความที่ท่านเป็นหนึ่งในผู้อุปการคุณของเขา เขาไม่อาจพูดอะไรได้นอกจากต้องเป็นผู้ฟังที่ดี
                    “เสาร์นี้หนึ่งทุ่มตรง ช่วยทำตัวว่างๆ แล้วมาที่บ้านฉันทีนะจ๊ะ”
                    “ทำไมเหรอครับ?”
                    คุณหญิงได้ยินดังนั้นท่านก็กัดฟันกรอด “เสาร์นี้วันเกิดฉัน!”
                    “อ่อครับๆ” นายแพทย์สะดุ้งก่อนจะเรียกสติกลับมาได้ทันท่วงที เขาลืมไปเสียสนิทว่านี่ก็ใกล้วันเกิดของท่านที่เชิญเขาไปร่วมงานทุกปี อาจเป็นเพราะว่าเขาไปบ้านคุณหญิงซึ่งเป็นบ้านพักตากอากาศของท่านเหมือนเป็นกิจวัตรอยู่แล้ว เนื่องในโอกาสพิเศษอะไรเขาก็เลยลืม “แต่ว่า...ผมยังไม่ได้เตรียมของขวัญให้เลย แล้วคุณท่านอยากได้อะไรเป็นพิเศษรึเปล่าครับ?”
                    “โอ๊ยเธอ! แค่ผ่าตัดฉันจนหายดีนี่ก็ถือว่าเป็นของขวัญสุดพิเศษที่เธอให้กับฉันแล้วล่ะจ่ะ แต่ว่าฉันน่ะมีของขวัญพิเศษจะให้เธอที่งานนะ ห้ามพลาดเด็ดขาด!”
                    ศตายุได้ยินคุณหญิงพูดด้วยเสียงชวนตื่นเต้นเช่นนั้น ก็อดจะสงสัยไม่ได้ว่าของขวัญที่ว่านั้นคืออะไร?

                   

                    ลมหนาวที่ยืนชะเง้อชะแง้พยายามโฉบกระจกห้องของศตายุไปมาเป็นต้องสะดุ้ง เมื่อหมอหนุ่มเดินออกมาส่งคุณหญิงทรงผมกระบังลมแช่แข็งถึงหน้าห้อง หล่อนจึงรีบวิ่งกลับมานั่งข้างๆเหมือนแพรซึ่งกำลังจะเฉาตายคาวีลแชร์
                    ในใจคิดมากว่า ไม่นะ! หมอของฉันจะเป็นเด็กคุณหญิงคุณนายไม่ได้! ไม่ใช่! ไม่จริง!’
                    “ฉันบอกแล้วว่าอย่าไปยุ่งเรื่องชาวบ้าน!” แต่เหมือนแพรก็ต้องออกปากกระซิบเพราะเอือมในตัวเพื่อนสาวที่กระเหี้ยนกระหือรือมากจนเกินงาม
                    “ก็มันเป็นเรื่องที่ฉันอยากรู้มานานนี่! ว่าสองคนนั้นเขามีซัมติงอินกอไผ่รึเปล่า?” ในที่สุดหล่อนก็ยอมนั่งลงเฉยๆและมองยาวไปยังนายแพทย์ศตายุที่หน้าตา สรรพคุณ การศึกษา คำพูดคำจาแลดูจะสะท้านมดลูกเพื่อนสาวเสียเหลือเกินกำลังส่งคุณหญิงด้วยรอยยิ้มที่คาดว่าน่าจะส่งเข้าประกวดเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในครั้งหน้า
                    “ถึงคิวคุณแพรแล้วค่ะ” นางพยาบาลสาวกล่าวด้วยรอยยิ้มและสำเนียงไทยแปร่งๆ เธออาสาทำหน้าที่เข็นเก้าอี้รถเข้าประตูห้องที่เปิดอ้าต้อนรับเธอเข้าไป โดยที่ลมหนาวก็ทำเป็นเดินตามเข้าไปด้วย แต่ก็ต้องเดินคอตกกลับมาด้วยร่างสูงของศตายุที่ขวางเธอกับประตูให้ออกห่างกัน
                    “แม่คนไข้รอข้างนอกนะครับ”
                    เหมือนแพรอยากจะขำแทบบ้า แต่ก็ขำไม่ได้เพราะมันไปสะเทือนที่เท้าซึ่งมีกระดูกผิดรูปเป็นสาเหตุให้เธอเจ็บ เธอจึงได้แต่หัวเราะหน้าตึงๆเสียงขาดๆหายๆแทน
                    ตอนนี้นางพยาบาลก็ออกไปแล้ว เหลือแต่เธอกับนายแพทย์ศตายุ ที่ไม่รู้ว่าจะเขม็งกับแฟ้มประวัติของเธอไปทำไม? หญิงสาวไม่กล้าถามเป็นเพราะความเขินที่ได้อยู่กับนายหมอแว่นสองต่อสอง ที่พ่วงด้วยบรรดาถ้วยและประกาศนียบัตรวางเรียงราย กลัวคนไม่รู้ว่าเจ๋งล่ะมั๊ง?
                    “เป็นอะไร? หิวน้ำ?” แล้วเธอก็ต้องเงียบ ในที่สุด เขาก็เงยหน้ามาพูดกับเธอ จะดีใจดีมั๊ยนี่เพราะเขาไม่ยิ้มให้เธอเหมือนคุณผู้หญิงคนนั้นเลย เหมือนแพรเสียใจ
                    “ปเปล่าค่ะ”
                    เขาปิดฝาแฟ้มลงก่อนจะลุกจากเก้าอี้หมุนเพื่อมาดูอาการ เหมือนแพรอึ้งจนนิ่งเมื่อเห็นเขาวางมาดที่เย่อหยิ่งไว้บนโต๊ะและก้มลงมาถอดรองเท้ากีฬาที่รัดเชือกอย่างแน่นหนาของเธอ เธอพยายามกลั้นยิ้มอย่างแรงกล้าแต่ก็ดูไม่เป็นผล
                    “ก็ไม่เห็นจะมีอะไรนี่”
                    “ข้างนี้ค่ะ”
                    เวรกรรม
                    “อ๊าก!” พอเริ่มถอดข้างที่มีปัญหา เธอก็มีปัญหาขึ้นมาจริงๆ ร้องเสียงดังลั่นห้องจนคนเป็นหมอรำคาญ แต่ครั้งนี้เธอเจ็บจริงๆ เป็นฝ่ายหมอเสียเองที่ทำไม่รู้ร้อนรู้หนาวยังมีหน้าจับฝ่าเท้าข้างขวาของเธอมาพลิกดูอย่างกับเลือกผัก
                    เป็นมานานรึยัง?”
                    “ตั้งแต่เด็กๆค่ะ”
                    “แล้วทำไมไม่ผ่าซะล่ะ?”
                    นายแพทย์หนุ่มมาดกวนยักคิ้วก่อนจะกล่าวคำพูดชวนสะเทือนใจออกมา “ดูด้วยตาแล้วล่ะก็ต้องผ่าตัดนะ”
                    นั่นทำให้คนเจ็บหน้าซีดลงไปถนัดตา อาการเจ็บก็ว่าหนักแล้วเจอภาระการเงินถึงกับต้องหลีกทาง เพราะนั่นคือเหตุผลที่เธอไม่พาตัวเองไปรับการผ่าตัดอย่างที่ควรกระทำ แต่เธอไม่สบายใจเลยแม้แต่นิด เพราะดันมาอาการกำเริบในเมืองที่สภาพภูมิประเทศเป็นเนินเขาสูงพอๆกับค่าครองชีพอย่างซานฟรานซิสโก
                    “ไม่ผ่าได้มั๊ยคะ? แบบว่ามีวิธีรักษาอื่นแนะนำบ้างมั๊ย?”
                    “คุณคงหมายถึงอะไรที่ชีปเปอร์แดนดิส (Cheaper than this = ถูกกว่านี้)” ศตายุลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางเรียบนิ่งแล้วยักคิ้ว “ช็อต?”
                    สาวเรือนผมส้มพยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงยอมรับ เธออยากจะด่าเขากลับอยู่หรอกเพราะฟังจากน้ำเสียงดูแล้ว เขาก็ด่าเธออ้อมๆว่าไม่มีจะกิน ถ้าไม่ติดว่าเขาหล่อ เป็นหมอ ใส่แว่น ตรงสเป็กเธอเป๊ะๆ แถมมากอดเธออย่างกับในละครเกาหลีอีกต่างหาก ณ จุดนี้ ถึงจะกอดผิดคนเหมือนแพรก็ยินดี
                    “ผมให้ทางแผนกเอ็กซ์เรย์เตรียมห้องไว้ให้คุณแล้ว เชิญ”
                    เหมือนแพรนั่งนิ่งมีท่ารอให้เขาเข็นรถเข็นให้แต่ว่าความเป็นจริงมันโหดร้ายนัก เขาเดินรุดหน้าไปยังประตูและเปิดมันออกพร้อมเพยิดหน้าให้ผู้ป่วยสาวเข็นรถของเธอเองออกไปข้างนอก เธอจึงทำปากเบ้โดยไม่ได้สนใจเลยว่าการกระทำนี้อยู่ในสายตาของนายแพทย์หนุ่ม
                    “สวยตาย…”

     

     

     


    A/N. วันนี้อัพ 2 ตอนรวดเลย (ก็แค่บทนำกับตอน 1 เองนะอย่ามั่วได้ป่ะ : คนอ่าน) ไรท์ก็อัพไปดูเดอะสตาร์ไป หล่อกว่าหมอเยอะ *โดนเหมือนแพรตบปากนับครั้งเท่าอายุ* ตอนนี้ถ้าใครเคยอ่านแล้วก็จะรู้ว่าซ้ำเย้อ~ แต่มันก็ตัดออกไม่ได้นะ Tv T ตอนหน้าตัวละครอีกสองตัวจะออกมาแล้วนะคะ แล้วก็ไปเที่ยวซานฟรานกันอย่างจริงจังซะที ร้อนๆแบบนี้ต้องไปเที่ยวเมืองหนาวกัน~
    ปล. ทิ้งท้ายกันไปด้วยสายตาตอนประโยค " สวยตาย" ของคุณหมอค่ะ เจอกันตอนหน้าในวันหยุดสุดสัปดาห์ค่า ~ !



     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×