ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มายาอธิษฐาน

    ลำดับตอนที่ #3 : - ตอนที่ 2 - ( r e w r i t e )

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 65
      1
      7 มิ.ย. 57

    ? Supercell




    ( เผื่อคนอ่านนึกไม่ออกค่ะว่าลีเจียนออฟออเนอร์เป็นยังไง 55 คิดซะว่าพาเที่ยวนะคะ )




    2

                     ซานฟรานซิสโกที่ปกคลุมด้วยอากาศหนาวตลอดชาติ มันจะประหลาดและบ้าบอสุดกู่เลยทีเดียวถ้ามีคนใส่รองเท้าแตะคีบมาเดินมึนๆอยู่ที่นี่ โดยเฉพาะในช่วงที่เพิ่งจะทิ้งลายฤดูหนาวไว้และกำลังจะเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ เช่นอย่างที่เหมือนแพรเป็นอยู่ตอนนี้ เธออยู่ท่ามกลางสายตาแปลกๆนับสิบคู่ที่ยืนรอรถประจำทางเพื่อที่จะมุ่งหน้าไปยังเขตซีคลิฟซึ่งลมหนาวได้เม้าท์ให้ฟังว่าเป็นเขตของคนรวยเช่นกันแต่รสนิยมต่างจากแปซิฟิกไฮท์สที่อยู่บนเนินสูงคือติดกับชายฝั่งทะเลและจะเห็นสะพานโกลเด้นเกททันทีที่ตื่นเช้ามา คิดแล้วร่างกายก็ต้องการทะเลขึ้นมาเสียเดี๋ยวนั้น ดูจากรองเท้าแตะสิว่าต้องการขนาดไหน!?
                    แต่นี่เป็นสิ่งเดียวที่เธอทำตามคำสั่งของนายแพทย์ศตายุได้ นอกเหนือจากนั้น...ไม่มี บ่ายวานนี้ เขาแนะนำให้เธอเข้ารับการผ่าตัด และฉีดยาเตรียมผ่าในอีกสองสามวันที่เซนต์ซาเวียร์ โดยไม่ถามสุขภาพการเงินเธอสักคำ นี่อเมริกานะ! แล้วก็เซนต์ซาเวียร์ด้วย! 
                    เธอตั้งใจไว้ว่าจะกลับไปรักษาตัวที่ประเทศบ้านเกิดซึ่งค่ารักษาพอเอื้อมถึง หลังจากที่ได้รับเงินส่วนแบ่งยอดขายหนังสือท่องเที่ยวซานฟรานที่เธอกำลังจะไปทำอยู่นี่แล้ว จะว่าไปแล้วระบบขนส่งของซานฟรานไม่ได้ซับซ้อนอะไรมากมาย ออกจะสะดวกสบายแถมยังมีรถรางให้ลองนั่งกินลมชมบรรยากาศอีกด้วย แต่เอาไว้วันหลังก็แล้วกัน วันนี้เธอต้องรีบไปยังซีคลิฟ ซึ่งเป็นที่ตั้งของจุดหมายปลายทางในวันนี้ ซึ่งก็คือ ลีเจียนออฟออเนอร์
                    “ขอโทษนะครับ มาดามระหว่างที่รอรถประจำทาง ก็มีชายแปลกหน้าท่าทางจะอายุประมาณเธอแต่เป็นคนอเมริกันเดินเข้ามาพร้อมหน้าตาที่เป็นมิตร “จะไปลีเจียนออฟออเนอร์จากนี่ใช้เวลาเท่าไหร่เหรอครับ?”
                    อ่า...ยุโรปสินะเหมือนแพรไม่ได้คิดอะไรนอกจากนั้นจึงตอบไปด้วยภาษาอังกฤษที่ฝึกฝนมาบ้าง “ประมาณสิบนาทีค่ะ”
                    “ขอบคุณครับ”
                    “ไม่เป็นไรค่ะ” สาวผมส้มลูบท้ายทอยด้วยความรู้สึกเหมือนเป็นตัวแทนประเทศไทยที่ได้ตอบคำถามชาวต่างชาติในต่างถิ่นเช่นนี้
                    “ดูอะไรนี่สิ” ไม่ทันจะละสายตา ชายแปลกหน้าก็สะกิดไหล่เหมือนแพรเป็นการเรียกเธอมาดูของลับที่จู่ๆเขาก็เปิดออกมาจนเต็มสองตาสาวเอเชียคนนี้ เธอรู้วิธีการรับมืออยู่บ้างเมื่อเจอเหตุการณ์แบบนี้แต่เพราะไม่ได้ทันตั้งตัวเธอจึงกรีดร้องแต่ก็พยายามหยุดด้วยการกัดปากตัวเองเอาไว้แม้ไอ้โรคจิตนี่จะยังไม่เก็บของมันกลับเข้าไปก็ตามที ยิ่งแสดงอาการตกใจให้มันเห็นมันก็ยิ่งไม่หยุด!
                    เหมือนแพรไม่รู้จะจัดการสถานการณ์ตรงหน้าอันอล่างฉ่างอย่างไรในเมื่อเธอก็ยืนอยู่ที่ป้ายรถประจำทางนี้คนเดียวหลังจากคนที่มองเธอใส่รองเท้าแตะเมื่อครู่นี้ได้ขึ้นรถประจำทางที่วิ่งมาคันก่อนหน้านี้ไปกันหมดแล้ว
                    นี่ฉันต้องเจอคนแปลกหน้าอีกกี่คนเนี่ยห๊ะ?’ หล่อนคิดในใจ แต่วันนี้โชคเข้าข้างเธอ เมื่อเธอได้ยินเสียงสำเนียงภาษาอังกฤษฟังลื่นหูจนไอ้โรคจิตคนนั้นเก็บของตัวเองเข้าไปในกางเกงก่อนจะรัดตัวด้วยเสื้อโค้ทกันหนาวอย่างแน่นหนาและล่าถอยไป
                    “ของฉันใหญ่กว่าอีก ฉันให้เธอคนนี้ดูทุกวันเลยด้วย!”
                    โอเค...ถ้าไม่หนีก็เกินคนไปหน่อยแล้ว! ว่าแต่เสียงนั้นมันคุ้นๆอย่างไรชอบกล
                    บอกได้เลยว่าหันไปมีผงะ
                    “หมอ?”
                    เจ้าของเสียงกร้าวๆเมื่อครู่นั้นทำเอาเธอต้องหลุดคำพูดเหมือนคนสนิทแบบนั้นออกมา สาวผมส้มใช้มือเก็บปอยผมไว้ที่หลังใบหูเพื่อที่จะมองใบหน้าของนายแพทย์ศตายุบนรถเปิดประทุนสีขาวสนนราคาคงหลายล้านบาทไทยพร้อมกับดันสันแว่นสายตาที่สวมใส่ขึ้นอย่างเท่ ก่อนจะค่อยๆชะลอรถออกไปยังร้านอาหารจานด่วนแบบไดรฟ์ทรูซึ่งอยู่ไกลออกไปเพียงหนึ่งร้อยเมตรด้วยความเร็วระดับสี่สิบ และนั่นทำให้เหมือนแพรคิดอะไรได้ขึ้นมา จึงค่อยๆเดินกะโผลกกะเผลกตามก้นรถคันของคุณหมอไป
                    “หมอคะ! คือว่า...เมื่อวานคุณหมอบอกฉันว่าห้ามเดินเยอะ แต่ว่าฉันแลกเงินดอลลาร์มาน้อยอ่ะ คุณหมอคิดว่าฉันจะไปลีเจียนออฟออเนอร์ภายในครึ่งชั่วโมงยังไงดีคะ?” หญิงสาวพูดไปให้ลอยเข้านายแพทย์หนุ่มซึ่งนั่งอยู่ยังเบาะคนขับ ในฐานะที่เขาคงจะอยู่ ณ ซานฟรานซิสโกมานาน คงจะรู้เรื่องระบบขนส่งมากกว่าคนที่พึ่งจะมาศึกษาเช่นเธอ แต่ก็สาบานไม่ได้ว่าที่พูดไปไม่มีอะไรแอบแฝงเลย
                    “นี่เรารู้จักกันด้วยเหรอ?”
                    “คะ?”
                    ศตายุทำสีหน้าครุ่นคิดที่เหมือนแพรเห็นแล้วอยากจะยันหน้าซักรอบถ้าไม่ติดว่าทำเป็นยิ้มสู้เสืออยู่ “เมื่อวันที่แอร์พอร์ทคุณยังบอกไม่รู้จักผมอยู่เลย...นี่คุณประสาทกลับเหรอ?”
                    เหมือนแพรฉีกยิ้มให้มากกว่าเดิมจนตาหยีเผื่อเขาจะเห็นความสวยของเธอขึ้นมาบ้าง แต่ในใจลืมบุญคุณที่เขาช่วยเธอจากคนโรคจิตไปเสียสนิท จนต้องแอบยู่ปากน้อยๆพอปลดปล่อยความระอา
                    “ก็...ฉันคิดว่าคุณคงจะอยู่ที่นี่มานาน น่าจะเชี่ยวชาญเส้นทาง” ในเมื่อปฏิญาณตนไว้แล้วว่าวันนี้ออกจากบ้านของต้นน้ำมาจะใช้แค่สิบดอลลาร์ ทุกทางที่เหมือนแพรสามารถจะประหยัดเงินสามร้อยบาทอันมีค่าได้ เธอจะทำ เธอยังคงเดินตามรถที่ชะลอความเร็วด้วยความที่ถนนช่วงนี้เป็นเนินสูง นึกคิดในใจว่านี่ก็เลี้ยวโค้งจากสี่แยกมาแล้ว เดินตามมาไกลมิใช่น้อยเลย
                    “ถือซะว่าเป็นค่ากอดไง”
                    ชายหนุ่มได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับเบรกรถ หันมามองเธออย่างช้าๆและนั่นมันดูแล้วน่าหมั่นไส้มาก ก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำเอาเหมือนแพรเลือดขึ้นหน้า “ก็คุณไม่ใช่แฟนเก่าผมซะหน่อย น็อทเวิร์ธลุคกิ้งฟอร์(Not worth looking for = ไม่มีค่าพอที่จะมอง)”
                    ศตายุเร่งความเร็วรถออกไปทิ้งไว้เพียงฝุ่นควันให้หญิงสาวผมส้มสำลักจนเผลอหยิบปอยผมหนามาหนึ่งปอยเพื่อปิดปากและจมูก และมองยาวตามท้ายรถของเขาไปอย่างหน่ายใจแม้จะยังหยีตาเพราะมลพิษที่เขาทิ้งไว้อยู่ก็ตาม
                    เมื่อคิดจะเดินกลับไปยังป้ายรถประจำทางเธอก็รู้สึกถึงความเจ็บร้าวที่เท้าเมื่อต้องเดินขึ้นเนินกลับไป แม้จะเป็นเนินสั้นๆแต่ก็ชันไม่ใช่น้อย ชันมากกว่าครั้งที่วิ่งตามลมหนาวเมื่อเช้าวันก่อนเสียอีก จึงได้แต่เดินกะเผลกกลับไปยังที่ที่ยืนรอ พลางคิดเรื่องที่เธอไม่ควรจะยุ่มย่าม แต่ก็ห้ามใจไม่อยู่จริงๆ
                    แฟนเก่าคุณนี่มีค่าขนาดไหนกันนะ?’

     

     

     

                    กว่าเหมือนแพรจะพาร่างตัวเองมาถึงลีเจียนออฟออเนอร์ พิพิธภัณฑ์ศิลปะซึ่งอยู่ในทำเนียบสถานที่ที่ต้องไปเมื่อมาเยือนซานฟราน ก็เกือบทำเท้าของเธอแหลกสลาย แม้นี่จะไม่ใช่วันอาทิตย์ แต่ผู้คนกลับพลุกพล่าน โดยเฉพาะบรรดาคู่บ่าวสาวใบหน้าระรื่นดูแล้วชื้นหัวใจประเมินด้วยสายตาประมาณห้าคู่ได้ อยู่ตามมุมสวยต่างๆของสถานที่อันกว้างขวางแห่งนี้ ที่เมื่อมาแล้วสามารถโมเมได้เลยว่าอยู่ยุโรป ด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรปสีขาวดูสะอาดตา รับกับท้องฟ้าสีสันสดใสของวันนี้

                    แต่จะหม่นหมองก็ตรงที่...ไม่ว่าเธอจะนั่งรออยู่ที่ใด พยายามเดินดูนั่นดูนี่ภายนอกตัวอาคารซึ่งบรรจุงานศิลป์อันเลอค่ามากมายไปพลาง ก็ยังไม่เห็นมีวี่แววที่เธอจะพบเจ้านายของเธอเลย แม้ว่านี่จะล่วงเลยเวลานัดมากว่าครึ่งชั่วโมงได้ สุดท้ายก็ต้องหยุดนั่งลงด้วยความปวดเท้าแม้จิตวิญญาณคนทำหนังสือจะพยายามลากสังขารไปดูสิ่งน่าสนใจเพื่อเก็บมาทำ แต่ก็ไม่ไหวอยู่ดี จึงจบลงด้วยการนั่งพัก เขียนบันทึกสิ่งที่ได้เห็นลงในสมุดสีเหลืองเล่มเล็กและถอนหายใจด้วยความเจ็บร้าวที่เท้าไปพลาง
                    "กรี๊ด!" ระหว่างที่เหมือนแพรกำลังนั่งบันทึกรายละเอียดของที่นี่อยู่นั้นเอง เสียงร้องอุทานด้วยความตกใจก็ดังออกมาจากปากของหญิงผมน้ำตาลตาประกายฟ้าในชุดเจ้าสาวสีขาวสะอาดที่กำลังจะเดินผ่านหน้าเธอไป แต่ก็ตกจากส้นสูงและเสียการทรงตัวมาทางที่เธอนั่งอยู่ เห็นดังนั้นเธอจึงรีบเข้าช่วยพยุงก่อนที่เจ้าสาวจะหัวคะมำ
                    "ขอบคุณนะคะ" เธอรีบขอบคุณเป็นการใหญ่ก่อนจะค่อยๆพยายามทรงตัวบนส้นสูงอีกครั้ง แต่ก็ทำไม่สำเร็จ เหมือนแพรจึงก้มลงไปดูข้อเท้าที่เจ้าสาวยกกระโปรงขึ้น ก็พบว่าข้อเท้าของเธอแพลงเป็นแผลแดงเสียแล้ว 
                    "เจ้าบ่าวคุณอยู่ไหนคะ?" เธอถามด้วยภาษาอังกฤษที่ฝึกฝนมาบ้าง 
                    "เขาไปหาโลเกชั่นถ่ายรูปอยู่น่ะค่ะ"
                    "งั้นเดี๋ยวฉันช่วยพาคุณเดินนะคะ" ว่าแล้วเหมือนแพรก็รวบสมุดและปากกาลงกระเป๋าสะพายคู่ใจก่อนจะเข้ามาช่วยพยุงหญิงสาวชาวอเมริกันที่แม้จะสวมส้นสูงแล้วก็ยังมีความสูงเท่าเธอที่สวมเพียงถุงเท้ากับรองเท้าแตะ
                    "โอ้! ที่รัก!" เมื่อเดินมาถึงยังลานด้านหน้าซึ่งมีรูปปูนปั้นตระหง่านอยู่ เสียงของคนที่ขึ้นชื่อว่าสามีก็ดังขึ้นมาแต่ไกล เขาเป็นคนผิวดำที่ร่างสูงใหญ่และดูดีเหมาะสมกับเจ้าสาวคนนี้มาก 
                    "เดินเร็วๆเลยก็ได้ค่ะ" นั่นคือสิ่งที่ทำให้เหมือนแพรยิ้ม พวกเขาเดินมาหากันดุจฉากรักในเทพนิยาย ยิ่งมีสถานที่สวยๆแบบนี้เป็นฉากหลัง ก็ยิ่งทำให้เธอยิ้มกว้างจนแทบจะลืมไปเลยว่าเท้าของเธอก็เริ่มมีอาการเจ็บเช่นกัน
                    "คุณเป็นอะไรไปน่ะที่รัก?"
                    "ฉันเดินตกส้นสูงน่ะค่ะ ดีที่ได้ผู้หญิงคนนี้ช่วยพาฉันมา"
                    เหมือนแพรที่ค่อยๆปล่อยตัวเจ้าสาวให้เขาไปรับกับอ้อมแขนของเจ้าบ่าว เหลือบไปเห็นผู้ชายตาตี่คนหนึ่งที่เดินตามเจ้าบ่าวมาด้วยกำลังเข้าไประหว่างบทสนทนาของทั้งคู่ ฟังดูคร่าวๆแล้วก็คงจะเกี่ยวกับสถานที่ถ่ายภาพของทั้งคู่กระมัง
                    เธอเห็นว่าสถานการณ์เริ่มคลี่คลายแล้ว จึงปลีกตัวออกมาอย่างเงียบๆ ก็เลยมานั่งกินลมอยู่ยังม้านั่งไม้บริเวณน้ำพุซึ่งอยู่ถัดไปในลานกว้าง แต่จริงๆแล้วยังไม่ทันจะนั่งเลย
                    "คุณครับ ช่วยไปถ่ายรูปกับเจ้าสาวหน่อยได้มั๊ยครับ? เธอบอกว่าอยากเก็บคุณไว้ในโฟโต้บุ๊คงานแต่งของเธอ คุณคือความทรงจำที่ดีของพวกเขาทั้งคู่" เหมือนแพรได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้ว 'ภาษาอะไรวะ?' คือสิ่งที่เธอกำลังคิด แถมสวดมาอย่างยาว...นี่ถ้าเป็นหมอผีเธอคงชักตายไปแล้ว
                    "ฉันคนไทยค่ะ" เธอตอบไปอย่างเรียบนิ่งแต่ผู้ชายตาตี่คนนั้นสิ...หน้าแตกดังโพละ!
                    "ไม่ใช่คนเกาหลีเหรอครับ?" พอได้ฟังภาษาอังกฤษสุดจะแปร่งของเขา หญิงสาวก็แทบหงาย ช่วยกลับไปพูดเกาหลีให้ไม่รู้เรื่องเหมือนเดิมดีกว่ารู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างอย่างนี้ 
                    "ไม่ใช่เกาหลี คนไทยค่ะคนไทย" 
                    "จริงเหรอครับ? คุณหน้าเกาหลีมากเลยนะ ไม่ใช่จริงเหรอ?"
                    เอ้า! ไม่เชื่ออีก!
                    "ให้ฉันร้องเพลงชาติมั๊ย?"
                    "ป...ไปถ่ายรูปให้หน่อยเถอะครับ"
                    เหมือนแพรหน้ามุ่ยเล็กน้อยไม่ใช่เพราะต้องไปถ่ายรูป เรื่องนั้นเธอยินดี แต่เพราะชายเกาหลีจำไมคนนี้มากกว่าที่ดูจะทำให้เธอปวดหัว ว่าแล้วเธอก็ก้าวอาดๆไปหาคู่บ่าวสาวที่กำลังยืนประคับประคองกันให้ใครหลายๆคนที่เดินผ่านไปมาอิจฉา
                    เธอเข้าไปยืนข้างๆเจ้าสาวพร้อมรอยยิ้ม โดยมีชายเกาหลีที่เธอพึ่งจะคุยด้วยเมื่อครู่ทำหน้าที่ชักภาพ ก่อนที่พวกเขาจะโบกมือลาเธอกับช่างภาพหนุ่มชาวเกาหลีและเดินตามกลุ่มช่างภาพกลุ่มใหม่ไปยังเสาด้านหน้าทางเข้าตัวอาคารพิพิธภัณฑ์ ที่ประหลาดใจกว่านั้นก็คือ เมื่อหันกลับมาอีกครั้ง เธอก็ได้พบกับนายแพทย์ศตายุซึ่งเดินมาพร้อมรอยยิ้มอันแสนอบอุ่นที่เธอไม่เคยได้รับและไม่คิดจะได้รับ กำลังคุยอยู่อย่างสนุกสนานกับหญิงสาวผมดำขลับใบหน้าสระสวยอย่างกับดาราในละครหลังข่าว อีกทั้งยังแต่งตัวดีมากๆอีกต่างหาก เรียกได้ว่าเทียบกันไม่ติดกับรองเท้าแตะคีบสีเหลืองที่เธอสวมใส่มาเลยแม้แต่นิด
                    แกน่ะสิยัยแพร เทียบเขาไม่ติด!’
                    “เธอคือเหมือนแพรใช่มั๊ย?” สาวผมส้มสะดุ้งเมื่อถูกเรียกชื่อจากหญิงตรงหน้าที่เธอกำลังพินิจพิจารณาเสื้อผ้าที่หล่อนสวมใส่อยู่อย่างถือวิสาสะ แต่ล้วนแล้วก็มองเพราะความสวยงามและความเหมาะเจาะกันพอดีของสีสันและการออกแบบทั้งนั้น ไม่ได้มีเจตนาอื่น
                    แต่ถ้ามี...ก็คงจะเป็นใบหน้าที่คุ้นเป็นเอามากแต่ไม่รู้ว่าเธอชื่ออะไร? และรู้จักเธอได้อย่างไร?
                    “ค...ค่ะ” สาวไทยจีนตอบ “ค...คุณคือ...”
                    “ฉันเอิงเอยไง! นี่แกจำฉันไม่ได้เหรอ? ที่แกชอบลอกการบ้านวิทย์ เลข อังกฤษอยู่บ่อยๆไง จำได้รึเปล่า?
                    เหมือนแพรได้ยินคนสวยตรงหน้าพูดแบบนั้นคิ้วของเธอก็ขมวดเข้าหากัน ปากของเธอมุบมิบทวนชื่อของคนตรงหน้าซ้ำไปซ้ำมา ก่อนจะนึกขึ้นได้
                    เอิงเอย...ยัยเด็กปอห้านั่นน่ะเหรอ?!’
                    “จำได้รึยัง?” เจ้าของชื่อเอิงเอยถาม ส่วนตัวเธอแล้วใบหน้าของสาวผมส้มนั้นเด่นชัดในความทรงจำครั้งยังเรียนมหาวิทยาลัย เธออาจจะไม่สนิทเท่ากับเพื่อนในแก๊งอย่างสายไหม ลมหนาวและต้นน้ำ แต่ก็มีสิ่งที่ยืนยันเช่นรูปภาพ ทั้งสองได้ถ่ายรูปภาพที่หยิบขึ้นมาดูกี่ครั้งก็หัวเราะอยู่ไม่น้อย แม้ตอนนี้สำหรับเหมือนแพร เธอยังจะเลือนรางอยู่ แต่ก็พอคลับคล้ายคลับคลา
                    “อ๋อ! แหม...ก็แก...สวยขึ้นตั้งเยอะ ฉันจำไม่ได้เลย”
                    ได้ยินคำชมดังนั้นเอิงเอยก็ยิ้มหวาน ก่อนจะใช้นิ้วเรียวคว้าปอยผมไว้หลังใบหูเนื่องจากลมที่พัดแรงมาบดบังการพูดคุยกันฉันงานคืนสู่เหย้า “ถึงจะดูไม่เหมือนของแท้ แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรมาเลยนะ” แล้วหันไปมองศตายุ ผู้ซึ่งยืนแน่นิ่งไม่ใช่ไม่รู้จะทำตัวอย่างไร แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่สองคนนี้จะเลิกรำลึกความหลังกันเสียที
                    “รำลึกความหลังกันเสร็จรึยังครับ?”
                    เหมือนแพรผงะเล็กน้อยที่หางเสียงอันสุภาพหลุดออกจากปากของคนที่ไม่น่าจะพูดอะไรดีๆแบบนี้ออกมาได้ ถึงน้ำเสียงจะแดกดันมายังเธอ แต่เมื่อหางเสียงนั้นออกมา ใบหน้าของเขาก็หันไปหาเอิงเอยเพื่อนเก่าของเธออย่างอัตโนมัติ และทั้งหมดนี้เธอไม่ได้คิดไปเอง
                    “ไปกันเถอะ ฉันตื่นเต้นจะแย่แล้วที่จะได้ทำงานกับเพื่อนเก่า” เอิงเอยเอ่ยปาก คนนี้ชื่อฮันคัง เป็นช่างกล้องของฉันในวันนี้นะแพร” แต่ศตายุเห็นว่าเป็นการอ้อยอิ่ง จึงกระชากแขนเข้ามาคล้องแขนของเขาเข้าไปด้วยอย่างที่สุภาพบุรุษเขาทำกัน ก่อนที่จะหยุดให้เอิงเอยได้พูดคุยกับช่างภาพที่เธอจ้างมาในวันนี้ ซึ่งก็คือชายเกาหลีที่เหมือนแพรพึ่งจะได้คุยด้วยนับคำได้เมื่อครู่
                    สุภาพบุรุษกับคนอื่นเหลือเกินไอ้บ้า!’ เธอกัดฟันและหลับตาเพื่อปลดปล่อยความระอาอีกครั้งที่ได้พบกับการกระทำสุดเอือมของเขา ยิ่งรู้ว่าเขาจุดหมายปลายทางในวันนี้เป็นที่เดียวกันกับเธอก็ยิ่งเจ็บใจ แต่แล้วก็ต้องลืมมันไปชั่วขณะ เมื่อสำเนียงภาษาอังกฤษแบบแปร่งๆที่เธอคุ้นเคยเช่นกันสอดแทรกเข้ามาในห้วงคำนึง
                    มันพูดว่าอะไรวะ?’ นั่นเป็นสิ่งแรกที่เธอคิดหลังจากรับอุปกรณ์กล้องราคาแพงที่เขาฝากถือมาในมือก่อนจะเดินตามเอิงเอยและศตายุที่คุยกันอย่างเริงร่าไป

                   

                    คู่ชายหญิงชาวไทยตรงหน้าพาเธอไปรอบๆลานด้านหน้า โดยที่ไม่นานนักเธอและช่างภาพเกาหลีก็เร่งความขึ้นจนสามารถเดินขนาบข้างทั้งคู่ได้ เอิงเอยเจ้าของผมดำสลวยแทบไม่ได้คุยกับศตายุเลย เธอเอาแต่ถามนั่นถามนี่สาวผมส้มจนคนตอบเมื่อยปาก คำว่าเจ้านายของคนตรงหน้าสลายหายไปกับสายลมเย็นๆที่พัดผ่าน เมื่อใดที่เปิดปากเสียงหัวเราะของทั้งคู่ก็บังเกิด เรื่องซานฟรานบ้าง เรื่องความหลังครั้งยังเรียนมหาวิทยาลัยบ้าง ทำเอาศตายุซึ่งมาที่นี่ประมาณสองสามครั้งได้และสามารถนึกภาพของที่นี่ได้อย่างชัดแจ้ง จุดสนใจของเขาแทนที่จะเป็นงานศิลปะก็กลายเป็นรอยยิ้มของเหมือนแพรแทนที่ไม่ว่าจะในอิริยาบถใดก็เหมือนกับคนรักเก่าที่หายสาบสูญไปไม่มีผิด จนเขาที่มองอยู่ไกลๆเพื่อให้สาวๆได้มีเวลาส่วนตัวตามที่สุภาพบุรุษเขาปฏิบัติกันอดจะเพ้อถึงเธอ ณ ที่ตรงนั้นไม่ได้ ศตายุยกฝ่ามือเรียวยาวที่ผ่าตัดให้ผู้คนหายจากอาการเจ็บปวดอันทรมานมานักต่อนักยกขึ้นลูบผมยาวสีส้มสลวยแบบลมๆอยู่ตรงนั้น หลุดจากภวังค์อีกครั้งก็เพราะเสียงกดชัตเตอร์ของช่างภาพหนุ่มที่มีขนาดตาเท่าเม็ดก๋วยจี๊
                    “คุณถ่ายรูปผมเหรอ?” นายแพทย์หนุ่มหันไปถามด้วยสายตาค้อนควัก
                    “แล้วคุณเห็นว่าผมทำอะไรล่ะ? แต่งหน้าหรืออาบน้ำ?” ได้ยินแบบนั้นแพทย์ร่างสูงกว่าก็ฉุนกึก แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการใดๆออกมา แม้ความเคืองจะเล็ดลอดออกมาทางสายตาก็ตาม
                    “รูปที่สวยที่สุดคือรูปที่เราโฟกัสโดยที่วัตถุไม่ได้รับรู้ ภาพเหล่านี้จึงออกมาธรรมชาติ ธรรมชาติเป็นสิ่งที่สวยที่สุด”
                    “นี่คุณกำลังพูดถึงตัวเอง ให้ตัวเองฟังอยู่นะ” ศตายุได้ยินคำพูดเพ้อเจ้อในความคิดของเขาก็เหน็บแนมจนหนุ่มเกาหลีต้องจิ๊ปาก ก่อนจะเดินไปทางอื่นและงึมงำในลำคอ
                    “คิดว่าเราชอบมันเหรอ? บ้า!”

     

                    นอกจากที่นี่จะเป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับการมาถ่ายรูปแต่งงาน ยังเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆของคู่บ่าวสาวซึ่งจะมาประกาศความรักอย่างเป็นพิธีการ เอิงเอยจึงหยิบยกภาพที่ตนเองเดินผ่านแล้วเห็นมาคุยจ้อกับเหมือนแพรซึ่งคงจะมีความฝันที่สวยงามเกี่ยวกับพิธีแต่งงานเฉกเช่นเธอ ขณะที่พากันมานั่งจิบกาแฟและทานของว่างกันที่คาเฟ่ของพิพิธภัณฑ์
                    ทำไม...เหมือนแพรถึงรู้สึกว่ากำลังฟังเอิงเอยร่ายยาวถึงงานแต่งงานในฝันของเธอ ขณะที่สาวเจ้าช่างคุยไม่ได้มองมายังคู่สนทนาอย่างเธอ กลับเป็นศตายุ ซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของเธอ หาใช่ฝั่งขวาของเธอที่เหมือนแพรนั่ง?
                    “แล้วเธอล่ะเหมือนแพร? เธอคิดถึงเรื่องแต่งงานบ้างรึเปล่า?” เอิงเอยดูเหมือนพึ่งจะรู้ตัวว่าพูดเรื่องของตัวเองมากเกินไป จึงเปิดโอกาสให้เพื่อนสาวได้พูดบ้าง แต่เพื่อนสาวของเธอกำลังขมวดคิ้วเกร็งด้วยความฉงนสนเท่ห์ เดาไปต่างๆนานาว่าสองคนนี้รู้จักกันได้อย่างไร? คิดวนไปมาหลายครั้งหลายคราว่าคงจะไม่ได้เป็นคู่รักกัน ตามที่เธอรู้สึกว่าศตายุคอยลอบมองเธออยู่ตลอดเวลาเช่นบนโต๊ะนี้ คงจะยังคิดถึงคนรักเก่าอยู่ล้นใจ
                    แน่ะ! หันขวับกลับไปอีกแล้ว! ไม่ก็เปลี่ยนโฟกัสเป็นระยะไกลที่เมื่อเหมือนแพรหันไปมองก็เป็นหญิงสาวอกภูเขาไฟซึ่งเดินมาอย่างสง่าผ่าเผย จนเธอเองก็ต้องเผลอชะเง้อมอง บางทีที่เขามองเธอ อาจจะเป็นเพราะเธอดูละครน้ำเน่ามากเกินไป
                    “เหมือนแพร! ได้ยินที่ฉันถามเธอรึเปล่า?” เพื่อนสาวหน้าตาน่ารักเอียงคอถามทวน จนเธอต้องหันกลับมาทำหน้าเหลอหลาทั้งๆที่ได้ยินคำถามนั้นเต็มสองรูหู
                    “อ...อ๋อ ฉันยังไม่ได้คิดเรื่องนั้นน่ะ ฮ่าๆ” สาวผมส้มตอบ “ขอทำงานก่อน”
                    “ตอบแบบดารานี่นา” เอิงเอยว่าแล้วก็เงียบไปครู่หนึ่ง เหมือนจะนึกเรื่องที่ต้องพูดขึ้นมาได้ “เหมือนแพร...ฉันจำได้ว่าเธออยู่เอกภาษาจีนตอนที่เรียนมหาลัย ถ้าอย่างนั้นเสาร์นี้หนึ่งทุ่มตรง เธอไปเป็นล่ามให้คุณแม่ของฉันได้มั๊ย?”
                    เหมือนแพรที่กำลังยกแก้วกาแฟขึ้นจิบถึงกับหยุดการกระทำทุกอย่าง แววตาของเธอเป็นประกายเมื่อได้ยินคำว่าล่าม ความจริงแล้วเธอใฝ่ฝันอยากจะเป็นล่ามคอยสานสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอน และประเทศจีนอันเป็นต้นกำเนิดของต้นตระกูลของเธอ อีกทั้งวัฒนธรรมอันน่าหลงใหล การได้เข้าศึกษาภาษานี้ในระดับอุดมศึกษาถือเป็นความสำเร็จขั้นแรกของเธอ ส่วนงานการทำหนังสือ เป็นงานประจำของเธอที่เธอยังคงยึดจับไว้ไม่ปล่อยระหว่างที่เธอยังหางานล่ามที่เธอใฝ่ฝันยังไม่ได้ ในเมื่อคนที่พูดภาษาจีนได้นั้นมีจำนวนเพิ่มขึ้น และบางครั้งเหมือนแพรก็เก่งไม่พอที่จะแย่งงานทำกับคนเหล่านั้นซึ่งมีเวลาทั้งวี่ทั้งวันกับการทบทวนตำรา ต่างกับเธอซึ่งต้องวิ่งวุ่นทำงานพิเศษระหว่างที่เรียนอยู่เพื่อจุนเจือครอบครัว เมื่อเสาหลักของบ้านอย่างพี่เหมือนฝันก็ได้ทุนไปเรียนต่อ ณ มหานครลอนดอน ประเทศอังกฤษ อีกทั้งภาระหนี้สินค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เช่น ค่าบ้านที่พักอาศัยที่ยังใช้ไม่หมดกว่าครึ่ง
                    แต่ว่า...เมื่อคืนก่อนจะหลับตานอน เธอได้รับปากต้นน้ำว่าจะไปช่วยเช็คสต็อคของที่โกดังยังใจกลางเมืองตั้งแต่เช้าจนดึกเพื่อเป็นการตอบแทนการมาอาศัยอยู่ที่บ้านด้วยกับสายไหม และนั่นเป็นวันเสาร์พอดี
                    ทำไม...? อีกครั้ง...รู้สึกได้เหมือนว่ามีใครรอลุ้นคำตอบของเธออยู่ แต่เมื่อเงยหน้าจากแก้วกาแฟร้อนขึ้นมอง ก็เหมือนว่าทุกอย่างที่เธอรู้สึก เป็นเรื่องที่เธอฟุ้งซ่านไปเอง
                    “เอ่อ...คือ...ฉันไม่ได้เก่งอะไรขนาดนั้น”
                    “ช่วยฉันหน่อยนะแพร!” เอิงเอยพูดด้วยน้ำเสียงและแววตาเว้าวอน “นี่คุณแม่ฉันก็พึ่งบอกว่าให้หาล่ามมาให้วันนี้เอง วันนี้ก็วันศุกร์แล้วด้วย เขาบอกว่าให้หามาให้ได้ จ่ายไม่อั้นเลยนะ!”
                    หูของเหมือนแพรผึ่งทันทีเมื่อได้ยินคำว่า จ่ายไม่อั้นเธอไม่ใช่คนหน้าเงินแต่ถ้าได้มีงานทำและได้ช่วยเรื่องหนี้สินของทางบ้านได้ เธอก็จะทำ แต่ ณ เวลานี้ ก็ยังลังเลเพราะสัญญากับเพื่อนสาวคนสนิทเอาไว้แล้วอีกงาน แต่เธอก็ตัดสินใจแล้วว่าจะรับงานนี้ ขณะที่เอิงเอยกำลังเอ่ยปากชวนอีกสองหนุ่มไปยังบ้านของเธอในวันเสาร์นี้
                    “คุณฮันคังด้วยนะคะ ถ้าไม่ลำบากเกินไป ขอรบกวนนำกล้องไปด้วยนะคะ คุณแม่ของฉันต้องการช่างภาพด้วย งานนี้จ่ายไม่อั้นค่ะ”
                    “ได้ครับ” ฮันคังยิ้มจนปากฉีกจะถึงหูในที่สุดก็มีคนพูดคุยภาษาอังกฤษกับตน ความจริงศตายุที่ไม่ได้สนทนาอะไรกับสองสาวก็คุยได้แต่หมอนั่นรูดซิปปากเงียบและง่วนอยู่กับการบังคับตัววิ่งรูปขนมขิงไม่ให้ชนสิ่งกีดขวางหรือตกหล่นไปในเหว จนฮันคังเห็นแล้วก็อยากจะกระตุกแขนซักข้างของนายแพทย์ติดเกมให้สะใจเล่นถ้าไม่ติดว่าเขาเป็นคนดีและยังห่วงความปลอดภัยของตนเอง
                    นายแพทย์หนุ่มวางโทรศัพท์ในมือลงเมื่อได้คะแนนตามที่ตนเองต้องการแล้วประกอบกับหมดเวลาเล่นเกมของเขาที่ตั้งไว้ไม่ให้เสพติดจนเกินไป มารับการ์ดเชิญที่เอิงเอยหยิบขึ้นมาจากกระเป๋าถือหนังสัตว์สีน้ำตาลอ่อนสบายตายื่นให้ทั้งแขกทั้งสามคนของเธอ
                    “ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ขอเชิญอย่างเป็นทางการเลยนะคะ”
                    เหมือนแพรยิ้มน้อยๆเฉกเช่นฮันคังซึ่งดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่ที่สามารถได้ยินรับรู้สิ่งที่เอิงเอยพูดขึ้นได้ ทั้งสองเปิดอ่านก็พบว่าเป็นงานวันเกิดของคุณแม่ของเอิงเอย ซึ่งชื่อในวงการก็คือ...เมียท่านฑูต แต่ศตายุหยิบขึ้นมาเปิดดูก็ทิ้งลงบนโต๊ะ แต่ดูเหมือนจะเลยคำว่าทิ้งไปเสียหน่อย ใช้คำว่าเขวี้ยงแลดูจะเหมาะสมกว่า เหมือนแพรและฮันคังเห็นเช่นนั้นก็อึ้งงันไปตามๆกัน
                    “ให้ตายเถอะ นี่ผมต้องไปเช่าสูทอย่างนั้นเหรอ? สิ้นเปลืองจริงๆ” ศตายุพูดเป็นภาษาอังกฤษเพราะเห็นฮันคังดีอกดีใจที่ได้พูดคุยภาษาเดียวกันกับคนไทยอีกสามคน
                    “สิ้นเปลืองเหรอคะ? แต่คุณแม่บอกว่าพี่หมอน่ะมีสูทในตู้เยอะอยู่แล้...”
                    “แล้วท่านไม่คิดว่าผมใส่จนเบื่อบ้างเหรอ? ผมเอาไปส่งซักที่ลอนดรี้จนไม่มีใส่แล้ว งั้นผมคงไปงานท่านไม่ได้หรอก ยกเว้นว่าจะเปลี่ยนเดรสโค้ด ที่มันคอมฟอร์ทเทเบิลกว่านี้”
                    เหมือนแพรฟังคำพูดของศตายุแล้วก็ขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความไม่พอใจใส่เขา ยิ่งเห็นสีหน้าที่ถอดสีของเอิงเอยเพื่อนสาว เธอถึงกับต้องพูดเป็นภาษาไทย “ถ้าฉันเป็นคนจัดงาน ฉันก็จะไม่เกรงใจแขกแบบคุณหรอก แล้...”
                    “พูดอย่างกับคุณมีชุดใส่อย่างนั้นน่ะ”
                    เอิงเอยเห็นว่าทั้งคู่กำลังจะเปิดศึกภาษาไทยที่ฮันคังต้องนั่งงงอีกครั้งจึงรีบแทรกขึ้นมาเป็นภาษาอังกฤษ “พอเลยๆ ตีมมันเว่อร์ไปจริงๆนั่นแหละ ขอโทษด้วยนะคะพี่หมอ งั้นเอิงเปลี่ยนเป็นแคชชวลก็ได้ เพราะตอนนี้ยังไม่ได้ตกลงกับคุณแม่ว่าสไตล์งานจะเป็นแบบไหน ท่านยุ่งมากๆ แต่ความจริงแล้วปีนี้ท่านก็อยากจะแหวกแนวงานกลางคืนให้เป็นแคชชวลแบบวัยรุ่นเหมือนกัน”
                    ด้วยความที่สาวผมส้มเป็นคนละเอียดรอบคอบเธอจึงหยิบปากกาจากกระเป๋าแจ็คเก็ตมาขีดฆ่าคำว่า ค็อกเทลเป็น แคชชวลแทนกันลืมตัวจ่ายเงินกับการซื้อชุดเดรสหรูหราเพื่อลบคำสบประมาทของนายแพทย์เรื่องมากคนนั้น โดยอดที่จะมองค้อนรอยยิ้มพออกพอใจของเขาไม่ได้

     

     

     

                    ทันทีที่เหมือนแพรกลับมาถึงบ้านยังแปซิฟิกไฮทส์โดยระบบขนส่งสาธารณะเช่นที่เคยทำ แม้ความเจ็บปวดจากการเดินขึ้นเนินเพื่อมาถึงบ้านจะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เธอเหนื่อยล้า แต่ความเหนื่อยล้าก็ไม่สามารถลดละความตั้งใจที่เธอจะมาทบทวนภาษาจีนที่ไม่ได้พูดอยู่เกือบปีได้ เธอคว้าหนังสือตำราเรียนภาษาจีนที่ติดมาด้วยขึ้นมาอ่านก่อนจะลงไปยังห้องรับแขกที่ชั้นล่างของบ้านตามคำเรียกของแมรีซึ่งบังเอิญเช่าภาพยนตร์จีนแต่ไม่มีบรรยายอังกฤษให้หล่อนเข้าใจมาฉายออกยังโทรทัศน์จอแอลซีดีความกว้างเท่าชุดโซฟาที่วางอยู่ เพื่อมาแปลให้เธอ
                    “หนูแปลทันมั๊ยแพร์รี่?” แมรี หรือ แม่บุญธรรมของต้นน้ำซึ่งนอนอยู่บนโซฟารูปตัวแอลถามขึ้นเช่นนี้ซ้ำอยู่หลายคราพร้อมกับคว้าป็อปคอร์นเคลือบคาราเมลหวานซึ่งต้องไปยืนต่อแถวทนความหนาวเย็นเพื่อซื้อมาเข้าปาก โดยไม่ลืมที่จะยื่นถังป็อปคอร์นให้เหมือนแพรซึ่งแปลภาษาจีนได้อย่างคล่องแคล่วแต่มีปัญหาติดขัด ที่เมื่อแปลจากจีนเป็นไทย จากไทยไปเป็นอังกฤษ ไม่ทันใจแมรี จนกระทั่งลมหนาวในชุดเดรสสีดำรัดรูปพร้อมออกไปทำงานที่บาร์แจ๊สใจกลางเมืองในคืนนี้และต้นน้ำที่พึ่งจะอบขนมเค้กช็อกโกแลตในครัวเสร็จเดินมานั่งลงพร้อมกับแก้วไวน์ในมือเพื่อแปลสิ่งที่เหมือนแพรพูดเป็นภาษาไทยให้แมรีฟังจนได้อรรถรส ตามมาด้วยสายไหม ที่เดินบ่นกระปอดกระแปดตามออกมาเมื่อเห็นต้นน้ำรีบมาจับจองที่นั่งโดยไม่พิถีพิถันกับการทำเค้กเท่าที่ควร เพราะตอนนี้เธอกำลังเข้าเรียนหลักสูตรการทำอาหารในเมืองและคนอย่างต้นน้ำยังไม่เนี้ยบพอสำหรับเค้ก
                    เหมือนแพรเห็นว่าเพื่อนๆอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมกับเสียงรินไวน์โดยลมหนาวซึ่งแจกจ่ายให้เพื่อนทั้งสามคน และแมรีได้หลับคาถังป็อปคอร์นแม้ภาพยนตร์จะยังคงเล่นอยู่ จึงได้เอ่ยปากออกไปถึงเรื่องของคืนวันเสาร์
                    “สายไหม ต้นน้ำ ฉันคงไปช่วยพวกแกที่โกดังไม่ได้แล้วนะ ฉันมีงานเป็นล่ามน่ะ”
                    “เออดีเหมือนกัน ฉันก็ไม่ไป” ได้ยินสายไหมพูดเช่นนั้นขณะที่มีป็อปคอร์นกรอบอยู่เต็มปาก เพื่อนสาวผมส้มก็งงงวย ทำไมเธอถึงพูดง่ายแบบนั้น?
                    “ฉันก็ยกเลิกแล้ว วันเสาร์นี้ฉันไม่ว่าง สบายใจได้นะ พวกฉันไม่โกรธ” ต้นน้ำเสริม “งั้นวันเสาร์นี้ปิดบ้านนะ เพราะฉันกับสายไหมต้องไปจัดงานวันเกิดเมียทูต ส่วนยัยลมก็ต้องไปเล่นเปียโนที่งานนั้นเหมือนกัน คงต้องฝากกุญแจบ้านไว้กับแกถ้าแกกลับมาก่อน”
                    สาวผมส้มได้เช่นนั้นก็ถึงกับเบิกตาโพลง เพราะว่างานที่เพื่อนๆของหล่อนไปและงานที่เธอไปเป็นงานเดียวกัน
                    “จริงเหรอ? ถ้าแบบนั้นก็งานเดียวกันน่ะสิ ใช่มั๊ย?” ว่าแล้วก็รีบไปหยิบการ์ดเชิญจากกระเป๋าสะพายคู่ใจที่วางไว้กลางโต๊ะกาแฟให้เพื่อนสาวดู ที่เมื่อพวกเธอเห็นแล้วก็ถึงกับกรีดร้องด้วยความดีใจ โดยเฉพาะเจ้าบ้านอย่างต้นน้ำที่จะได้ไปไหนมาไหนพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งสี่คนเสียที

                    

                        

     


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×