คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : บทที่ ๔ ฝันฤาจริง ๕๐%
“เธอยังไม่ได้บอกเลยนะว่าทำไมถึงรีบกลับ
ทั้งๆ ที่ตกลงกับฉันไว้แล้วว่าจะค้างกันที่นู้น”
“ฉันลืมไปเลยว่าคืนนี้พี่นีน่ารับงานเอาไว้
แล้วเป็นงานสำคัญมาก”
“เธอก็ช่วยบอกให้ฉันหายข้องใจหน่อยไม่ได้หรือว่าเธอติดงานอะไรน่ะแก้ว
เพิ่งจะออกจากโรงพยาบาลแท้ๆ ยังต้องทำงานดึกๆ ดื่นๆ”
วิชชุดาเอ่ยอย่างหัวเสียพร้อมๆ
กับรถยนต์ที่เคลื่อนมาจอดหน้าบ้านหลังใหญ่
แก้วกัลยาไม่ตอบแต่ส่งยิ้มหวานให้
จริงๆ แล้วหล่อนไม่ได้ติดงานสำคัญอะไรตามที่พูดปดเพื่อนไปหรอก
แต่หลังจากฟังคำของวาสนาแล้วหล่อนเองถึงแม้จะไม่เชื่อเรื่องสิ่งลี้ลับ
แต่ก็อดปฏิเสธไม่ได้ว่าหล่อนรู้สึกกระวนกระวายเหลือเกิน
หล่อนรู้เพียงแค่ว่าคืนนี้จะต้องรีบกลับมาอ่านสมุดบันทึกเล่มนั้นภายในคืนนี้
เหมือนมีใครกำลังรอคอยการกลับมาที่บ้าน ทั้งๆ
ที่บ้านหลังนี้เธออาศัยอยู่เพียงคนเดียว
“ฉันควรจะโทรแคนเซิลพี่นีน่า”
ว่าแล้วก็ยกโทรศัพท์ขึ้นกด
ในขณะที่แก้วกัลยาเบิกตากว้างอย่างตกใจ
เอื้อมมือไปตะครุบเพื่อนสาวไว้อย่างทันท่วงที
“ไม่ต้องหรอก ฉันสบายดีแล้วจริงๆ”
“ไม่อย่างนั้นให้ฉันไปเป็นเพื่อนก็ได้นะแก้ว
ฉันว่าง”
เห็นวิชชุดาพยายามเสนอตัวด้วยความเป็นห่วงก็ยิ้มไม่หุบ
ในชีวิตนี้ไม่รู้ว่าจะมีใครรักและหวังดีกับหล่อนเท่าวิชชุดาอีกแล้วหรือไม่...แม้แต่บิดาหรือมารดาหล่อนก็ไม่เคยต้องการ
“งั้นฉันจะรอจนกว่าพี่นีน่าจะมารับ”
“ฉันไม่เป็นอะไรจริงๆ เปรี้ยว
ฉันสัญญาว่าหากเกิดอะไรขึ้น ฉันจะรีบโทรบอกเธอเป็นคนแรก”
ได้ยินคำมั่นดังนั้นแล้วต้องยอมจำนนพยักหน้าหงึกหงัก
มองร่างเล็กๆ ที่ค่อยลงจากรถไม่ละสายตา
เห็นแก้วกัลยาสีหน้าสดชื่นกว่าเมื่อวานมากมายแล้วก็โล่งใจไปเปราะหนึ่ง
ดวงตากลมแป๋วมองรถสีขาวเคลื่อนตัวออกไปพ้นจากบริเวณตัวบ้าน
หญิงสาวถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะเอื้อมมือล้วงเข้าไปในกระเป๋าสะพาย
ใบหน้าระบายยิ้มออกมาเล็กน้อยเอมือนุ่มแตะเข้าที่สิ่งของที่ต้องการขนาดพอดีมือ
ค่ำคืนนี้หล่อนตั้งใจใช้เวลาอ่านเรื่องราวในสมุดบันทึกเล่มนี้จนจบให้ได้
หญิงสาวบางสัมภาระของตัวเองลงบนโต๊ะอย่างลวกๆ
เอื้อมมือเปิดสวิตซ์ไฟในตำแหน่งที่คุ้นเคย เห็นห้องนอนสะอาดตาพร้อมๆ
กับผ้าปูที่นอนสีฟ้าผืนใหม่คลุมเตียงแล้วก็โถมตัวลงนอนโดยไม่ลืมคว้าเอาสมุดบันทึกสีน้ำเงินมาด้วย
บ้านหลังนี้หล่อนไม่ได้จ้างแม่บ้านอยู่ตลอดเวลา
จะมีก็แต่แม่บ้านเก่าแก่คนสนิทของมารดาที่แวะเวียนมาทำความสะอาดให้วันเว้นวันโดยที่หล่อนเป็นคนจ่ายเงินให้เต็มเดือน
ด้วยเห็นว่านางก็อายุมากแล้วและที่บ้านนี้ตอนกลางวันก็ไม่มีใครอยู่เลยสักคน
แก้วกัลยาขยับตัวนอนหนุนหมอนในท่าที่สบาย
นิ้วเรียวงามค่อยๆ พลิกเปิดกระดาษสีเหลืองหม่น บรรจงอ่านทุกบรรทัดอย่างตั้งใจ
“เดือนสิบ ร.ศ. หนึ่งร้อยเก้า
คุณแม่แลอยากอุ้มหลานเสียแล้ว พร่ำถามทุกเมื่อว่าเหตุใดฉันไม่ได้ออกเรือนเสียที
จักให้ฉันออกเรือนได้อย่างไรเล่า ในเมื่อแผ่นดินสยามยังต้องระวังภัยเป็นนิจ”
อ่านถึงตรงนี้แล้วก็คิ้วขมวดติดกันแน่น
เจ้าของสมุดบันทึกเล่มนี้เขียนเรื่องราวไม่ปะติปะต่อกันเอาเสียเลย ถึงกับหยุดบันทึกไปนานแรมปีแล้วก็มาบันทึกใหม่
อ่านแล้วขัดใจชะมัด...
“เดือนยี่ ร.ศ. หนึ่งร้อยสิบสอง ปืนใหญ่ป้อมพระจุลจอมฯ
ป้อมผีเสื้อสมุทรก่อตั้งแล้วเสร็จ ป้องกันปากน้ำเจ้าพระยา...”
อ่านถึงตรงนี้แล้วก็ยิ่งหรี่ตาลงอย่างสงสัย
ทั้งๆ ที่ข้อความก่อนหน้ามีรอยหนังสือชัดเจน
แต่ทำไมตัวหนังสือถัดไปมันช่างดูเลือนลางเหมือนกับคนเขียนพยายามเอาหินมาครูดกับกระดาษหนาแรงๆ
“หญิงในฝันผู้นั้นคือใครกัน
เผลอละเมอให้ไอ้ทองได้ยินไปเสียแล้ว หล่อนจะมาเกิดแล้วหรือยังหนอ”
อ่านถึงตรงนี้ก็พลางยิ้มอย่างมีความสุขที่สามารถแกะร่องรอยตัวอักษรได้แม้ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก
ไม่รู้ว่าคนที่เขียนสมุดเล่มนี้คิดอะไรอยู่ถึงได้อวตารบันทึกเรื่องราวเหมือนกับตัวเองอยู่ในเหตุการณ์
อาจจะเป็นคนที่คลั่งโบราณคดีมากๆ เอาก็ได้ถึงได้ทำอะไรพิเรนทร์แบบนี้
แถมยังเอาไปตั้งไว้ในซากบ้านเมืองเก่าๆ เพื่อให้ดูน่าเชื่อถือ
คงคิดล่ะสิว่าคนที่เก็บได้คงจะต้องแจ้งตำรวจหรือศูนย์วัฒนธรรมให้ออกข่าวดังกระฉ่อน
แต่มันใช้ไม่ได้กับแก้วกัลยา!
ครืด...
โทรศัพท์ที่ตั้งปิดเสียงไว้สั่นสะเทือนจนไถลไปกับพื้นโต๊ะ
หญิงสาวเด้งตัวลุกขึ้นจากที่นอนคว้าอุปกรณ์สื่อสารทันสมัยขึ้นมาดู
หญิงสาวเม้มปากแน่นท่าทีลังเลอยู่พักใหญ่
“ว่าไงคะคุณแม่”
“ทำอะไรอยู่หรือลูก”
เสียงละมุนดังขึ้นมาจากปลายสาย
“กำลังจะนอนแล้วค่ะ”
“เป็นอะไรไปลูก ไม่ค่อยสบายหรือ”
แก้วกัลยาเงียบ
พยายามสลัดความน้อยเนื้อต่ำใจออกไปจากความคิด
พักหลังมานี้กานต์มณีโทรหาหล่อนไม่บ่อยนัก
ตอนนี้ชีวิตมารดาทางนู้นก็คงมีความสุขดีจนเกือบลืมไปเสียแล้วมั้งว่าทางนี้ยังมีลูกสาวอยู่อีกคน
“คุณแม่มีธุระอะไรกับแก้วหรือคะ”
ถามไปแล้วก็รอคอยคำตอบอย่างใจเย็น
เห็นอีกฝ่ายเงียบไปชั่วอึดใจก็คงเดาได้ไม่ยาก เพียงแค่คิดก็ทำให้แววตาสดใสสลดลงถนัดตา
“ปีนี้แม่คงไม่ได้กลับเมืองไทย”
อยากจะตะโกนออกไปดังๆ
เหลือเกินว่าคงหนีไม่พ้นเรื่องของมาคัสและเคลวินสองพ่อลูกนั่น! อยากจะถามเหลือเกินว่ามารดาไม่ห่วงหล่อนบ้างหรืออย่างไร
ถ้านับย้อนหลังไปคงเกือบสามปีแล้วล่ะมั้งที่ไม่ได้เจอหน้าเธอ!
“แก้วง่วงค่ะแม่ แค่นี้ก่อนนะคะ”
“เดี๋ยวลูก...แก้ว”
หญิงสาวกดตัดสายแล้วปิดเครื่องทันทีแทบไม่คิด
โยนเครื่องมือสื่อสารขนาดจิ๋วลงบนที่นอนอย่างไม่คิดจะใส่ใจนัก
สายตาเหลือบมองสมุดบันทึกสีน้ำเงินเข้มแล้วก็คว้ามาถือไว้ก่อนจะเดินทิ้งห่างออกไปที่หน้าต่าง
แค่เปิดบานพับออกลมเย็นๆ ก็โชยเข้าจนหนาวเหน็บ
มองขึ้นไปบนฟ้าก็พบกับพระจันทร์เต็มดวงพราวไปด้วยแสงดาว
นิ้วเรียวยาวบรรจงเปิดหน้าหนังสืออีกรอบ
ทว่าพลิกไปจากหน้าที่อ่านค้างอยู่ก็พบกับความว่างเปล่า
หล่อนพลิกไปมาพลางขมวดคิ้วให้ยุ่ง ไม่มีเรื่องราวหลังจากนั้นต่อแล้วหรืออย่างไร?
สงสัยคิดคำโบราณใช้ไม่ออก!
“อุ้ย”
อุทานอย่างตกใจเมื่อกระดาษแข็งๆ
สีน้ำตาลหม่นหลุดปลิวลงกับพื้น
แก้วกัลยาก้มหยิบพลิกไปมา
เห็นรอยกาวเหนียวๆ ที่สูญสิ้นประสิทธิภาพไปตามกาลเวลาหลุดลอก
คลี่เปิดออกก่อนจะสาวเท้าไปยืนริมหน้าต่างเช่นเดิม ปากก็พึมพำตามตัวอักษรอย่างลืมตัว
แสงจันทร์สาดส่องเต็มดวงหน้า เมฆลอยหายไปเผยเห็นจันทราเต็มดวง
๏ กาลเวลาผ่านพ้นจบกี่ภพ
จักประสบพบพานคะนึงหา
แม้นตัวตายวอดวายม้วยชีวา
มิอาจลาล่วงลับใจภักดิ์ดี
๏ แม้นมิเจอแก้วตาอยู่เคียงพักต์
พี่ก็จักวัลคุ์นิมิตด้วยสุขขี
คืนจันทราอธิษฐานมิรอรี
ฤทัยนี้จักพานพบประสบครัน
คนพูดอมยิ้มกับบทกลอนหวานหูอย่างขำขัน
สมัยนี้ใครเขาเขียนบทความเชยๆ แบบนี้จีบสาวกันเล่า
เห็นทีคงเป็นผู้หญิงเรียบร้อยแว่นหนาเตอะคร่ำครึล่ะสิไม่ว่า!
ไม่ทันจะได้นินทาเจ้าของสมุดบันทึกไปมากกว่านั้น
จู่ๆ หน้าหนังสือที่ว่างเปล่าก็ปรากฎแสงวาบจนมือเล็กปล่อยสมุดในมือจนหล่นตุบไปกับพื้นด้วยความแสบตา
“อะไรเนี่ย”
เหมือนตัวเองกำลังจะลอยได้
รู้สึกเบาโหวงคล้ายจะเป็นลมเหมือนวันที่อยู่กองถ่าย
ลมหนาวยังพัดผ่านจนม่านพลิ้วไหว ยิ่งขยับกายถอยยิ่งรู้สึกเหน็บหนาวทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เปิดแอร์คอนดิชั่นเนอร์เสียด้วยซ้ำ
พยายามขยับกายถอยหนีแต่ก็กลับยิ่งเหมือนถูกดึงรั้งไปเสียทุกที
เพียงเสี้ยวนาทีตัวหล่อนก็ชาวาบ
แก้วกัลยาหลับตาปี๋
เหมือนมีใครมาผลักจากข้างหลังทำให้หญิงสาวเผลอกรีดร้องด้วยความตระหนก
นึกในใจว่าคงล้มหัวคะมำแหงๆ ทว่าไม่มีแต่จะเจ็บปวดรวดร้าวที่ตรงไหน
ร่างกายที่ด้านชาก็วูบมืดลง รู้ตัวอีกทีก็เมื่อแสงจ้านั้นหายไป
ขนตายาวงอนกะพริบถี่ๆ
มือทั้งสองค้ำยันอยู่กับพื้นพรหมสีน้ำตาลไหม้ หันไปรอบกายแล้วยิ่งตกใจ มันดูอึดอัดไปหมดเมื่อมีแค่แสงร่ำไรจากจันทราสาดส่องผ่านหน้าต่างเปิดกว้างโอ่อ่า
ห้องกว้างขวางล้วนสร้างแต่ด้วยไม้สักขัดเป็นเงามัน
เห็นโต๊ะตัวใหญ่ตั้งอยู่ไม่ไกลก็ค่อยสาวเท้าเดินเข้าไปใกล้
หยิบต้องขวดใสบรรจุดอกไม้แห้งเอาไว้มากมาย กลิ่นหอมรัญจนแตะจมูกราวกับน้ำอบ
นี่มันเรื่องอะไรกัน
หล่อนชักกลัวเสียแล้วนี่!
ความคิดเห็น