ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พรหมข้ามภพ (พีเรียดไทย)

    ลำดับตอนที่ #7 : บทที่ ๓ ทำนายทายทัก ๑๐๐%

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.49K
      118
      23 ม.ค. 65

    บ้านไม้ยกสูงตามแบบฉบับบ้านทรงไทยประยุกต์ปรากฏขึ้นตรงหน้า แก้วกัลยาลงจากรถพลางบิดตัวอย่างขี้เกียจ ยืนรอเพื่อนสาวจอดรถเสร็จก่อนจะเดินเข้าไปหา


    “ฉันไม่ได้สัมผัสอากาศบริสุทธิ์แบบนี้มานานเท่าไหร่แล้วนี่”


    หญิงสาวกวาดมองต้นไม้และดอกหญ้าสีเขียวชอุ่ม สูดลมหายใจเข้าลึกๆ หวังจะนำพาออกซิเจนเข้าไปให้เต็มปอด ตั้งแต่เรียนจบก็ไม่ได้แวะมาเที่ยวบ้านต่างจังหวัดของวิชชุดาเลยสักครั้ง ใช้ชีวิตอยู่บนความวุ่นวายในเมืองกรุง ทำอะไรก็ดูเร่งรีบไปหมด


    “ฉันชวนเธอมาตั้งหลายครั้ง ไม่มาเองนี่หว่า” อดบ่นไม่ได้ ชวนมากี่รอบก็ปฏิเสธ


    “เธอดูสิ พี่นีน่ารับงานฉันไว้คิวแน่นเอี๊ยด! นี่ถ้าวันก่อนฉันไม่เป็นลมกลางกองถ่ายนะ คงไม่ยอมแคนเซิลงานให้ฉันมาพักร้อนหรอก”


    แก้วกัลยาว่าอุบอิบ ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ หล่อนรู้ดีว่านีน่าหวังดี อยากจะตักตวงโอกาสช่วงที่หล่อนกำลังรุ่งขึ้นแท่นเป็นนางเอกเบอร์หนึ่งของเมืองไทยให้หล่อนได้แสดงฝีไม้ลายมือมากที่สุด แต่ก็อย่างว่า...สมัยนี้ดาราหน้าใหม่เข้ามาเต็มวงการเสียหมด อีกไม่นานทางช่องก็คงต้องผลักดันนางเอกหน้าใหม่ขึ้นเรื่อยๆ


    “เปรี้ยวเอ้ย มาถึงแล้วทำไมไม่รีบขึ้นบ้าน” เสียงดังร้องเรียกทำให้สองสาวหันไปมองตามพลางส่งยิ้มหวาน


    วิชชุดาและแก้วกัลยาเดินขึ้นบนบ้านทรงไทยตามกันมายังเก้าอี้รับแขก เพียงไม่กี่นาทีน้ำเย็นๆ ก็ตั้งอยู่ตรงหน้า นางเอกสาวคว้าขึ้นดื่มพลางทำท่าทางกระดี๋กระด๋า


    “แก้วคิดถึงน้ำเย็นๆ ของคุณน้าม๊ากมาก”


    เสียงใสว่าประจบ มองสตรีผิวขาวร่างอวบในชุดลำลองสบายๆ เฉกเช่นคนตามบ้าน ผ้าถุงสีน้ำตาลอ่อนและเสื้อคอกระเช้าสีส้มพลางยิ้มตาหยี


    “ไม่ต้องมาประจบน้าเลย ตั้งแต่เรียนจบเปรี้ยวบอกว่าชวนหนูแก้วมาเที่ยวตั้งหลายหน แต่ก็ไม่ยอมมา”


    วาสนาพยักพะเยิดไปทางบุตรสาวที่แอบหัวเราะ นางรู้สึกรักใคร่เอ็นดูแก้วกัลยาไม่ต่างจากลูกหลานแท้ๆ อาจเป็นเพราะนางรู้ว่าชีวิตครอบครัวของเด็กสาวมีประวัติไม่ค่อยดีนักแต่ก็ยังเต็มไปด้วยความสดใสร่าเริงสมวัย


    “โธ่ ก็แก้วไม่ว่างนี่คะ” บ่นอุบอิบแต่ก็ไม่วายยิ้มหวาน


    “แล้วทำไมวันนี้ถึงมาได้ล่ะ ฮึ” ถามแล้วก็เอื้อมมือไปแตะมือนุ่มนิ่ม อีกมือก็ลูบเส้นผมดำขลับเบาๆ


    “คุณแม่ขา ยัยแก้วมาแล้วลืมลูกเลยนะคะ ลูกแม่นั่งอยู่ตรงนี้ตั้งนานแล้วไม่ยักจะบ่นคิดถึง ไม่ถามสักคำว่ามีคนมาจีบบ้างไหม”


    วิชชุดาว่าหน้ามุ่ยอย่างแสนงอนจนคนมองทั้งคู่หัวเราะร่า รู้ดีว่าคนพูดไม่ได้จริงจังนัก


    “มาใกล้ๆ แม่มา”


    วาสนากวักมือเรียกโดยที่บุตรสาวก็เข้ามาสวมกอดอย่างว่าง่าย หากแต่เสี้ยววินาทีที่กำลังจะปล่อยมือแก้วกัลยาออกหวังจะหอมแก้มลูกสาวขี้ประจบ สายตาละมุนหยุดเข้าที่ลายเส้นบนฝ่ามือนิ่ม ก่อนจะพลิกไปมา รอยยิ้มกว้างเมื่อครู่ก็จางลง


    “คุณแม่รู้สึกอะไรหรือเปล่าคะ”


    วิชชุดากระซิบถามในขณะที่วาสนาหน้าซีดลง แต่แล้วเมื่อเห็นดวงตาฉงนของนางเอกสาวก็ปรับเปลี่ยนกิริยา แอบซ่อนความรู้สึกสงสัยไว้ในใจ


    “เดี๋ยวหนูแก้วรอน้าตรงนี้นะลูก นึกขึ้นได้ว่าวันนี้ทำกล้วยบวชชีเอาไว้ เดี๋ยวน้าไปเอามาให้”


    วาสนาว่าเป็นเชิงตัดความสงสัย ลุกขึ้นยืนก่อนจะคว้ามือวิชชุดาเดินตามกันออกไป ปล่อยให้แก้วกัลยามองตามด้วยความงุนงง ยกมือไม้ตัวเองขึ้นดูด้วยกลัวว่าจะมีอะไรผิดปกติ แต่ก็ไม่ยักจะมีอะไรนี่นา


    “เป็นอะไรของเขา”


    บ่นอุบอิบแต่ก็ขยับตัวนั่งในท่าสบาย หยิบแก้วน้ำขึ้นดื่มอย่างไม่คิดข้องใจ


    ทางด้านสองแม่ลูกที่เดินห่างออกมาด้วยท่าทีเร่งรีบก็หยุดลงทันทีที่พ้นสายตา วาสนาคิ้วขมวดลอบมองแก้วกัลยาเป็นระลอก


    “คุณแม่เห็นอะไรคะ”


    วิชชุดาถามอย่างระมัดระวัง หล่อนทราบดีว่ามารดามีสัมผัสที่หก แค่เพียงเห็นเส้นลายมือคนที่กำลังดวงชะตาตกก็จะสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ แต่เรื่องนี้ทางครอบครัวก็เก็บไว้เป็นความลับไม่บอกใครด้วยกลัวว่าหากพูดไปคนอื่นจะหาว่าสติไม่ดีเสียเปล่าๆ


    “พูดอย่างนี้แสดงว่าจงใจพาแก้วมาให้แม่สัมผัสใช่มั้ย”


    “หนูเป็นห่วงยัยแก้วนี่คะ พักนี้ยัยแก้วก็เจอแต่เรื่องแปลกๆ ตั้งแต่ฝันเห็นผู้ชายที่ไม่รู้จักซ้ำๆ กันหลายคืนติดต่อกัน”


    “ลูกคนนี้มันน่าตีนัก!


    วาสนาเค้นเสียงดุอย่างไม่จริงจังนัก โดยที่อีกฝ่ายได้แต่ส่งยิ้มแห้ง


    “คุณแม่อย่าเสียงดังไปสิคะ! ยัยแก้วเกลียดการดูหมอ ถ้าพูดไปตรงๆ ก็คงไม่ยอมฟัง”


    “แล้วเรื่องเป็นมายังไง ไหนเล่าให้แม่ฟังซิ”


    “รายละเอียดเอาไว้จะเล่าให้ฟังทีหลังค่ะ แต่ตอนนี้บอกหนูได้หรือยังคะว่าคุณแม่เห็นอะไร” เสียงหวานว่าราวกับจะกระซิบ หากแต่วาสนากลับโบกมือไหว


    “ไปตักกล้วยบวชชีหลังบ้านมาหน่อย”


    “คุณแม่


    “แม่บอกให้ไปก็ไปเถอะน่า”


    “แต่ว่า...”


    วิชชุดาว่าเสียงเว้าวอน อยากรู้ใจจะขาดว่ามารดาสัมผัสอะไรได้ กลัวจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรตามมาเอาชีวิตยัยแก้วนี่สิ!


    “ไม่ใช่เจ้ากรรมนายเวรอย่างที่คิดหรอก ไม่ได้อันตรายอะไร...ทีนี้จะไปตักใส่ถ้วยมาให้แม่ได้หรือยัง”


    เหมือนจะรู้ทันความคิดบุตรสาว ก็เจ้าหล่อนเล่นแสดงออกมาทั้งสีหน้าและแววตาว่าคิดไปในทางเลวร้ายขนาดนั้น! แต่ก่อนที่จะสรุปอะไรๆ นางก็ควรจะทำอะไรให้แน่ชัดอีกสักหน่อย


    “ก็ได้ค่ะ”


    ตอบหน้ามุ่นพลางเดินฟึดฟัดเข้าหลังบ้านไป


    วาสนากระตุกยิ้มมุมปากเมื่อเห็นท่าทีของบุตรสาว แต่แล้วทันทีที่ร่างอรชรลับสายตาไป หล่อนจึงเดินเข้ามาในห้องรับแขกอีกครั้งก่อนจะทรุดตัวนั่งลงข้างแก้วกัลยา


    “อ้าว! แล้วเปรี้ยวละคะคุณน้า” คนถามว่าตาปริบๆ ชะเง้อดูอย่างสงสัย


    “น้าให้ไปตักขนม เดี๋ยวก็คงจะตามมา”


    วาสนาเอื้อมมือไปกอบกุมมือนุ่มนิ่มนั่นอีกครั้งอย่างเนียนๆ ไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัวว่าหล่อนจงใจจะมองลายมือนั่นอีกรอบให้ชัดเจน


    “ว่าแต่หนูเถอะ เรียนจบแล้วเป็นสาวสวยขนาดนี้ มีใครมาแจกขนมจีบบ้างหรือเปล่า”


    “แก้วยังสนุกกับงานอยู่เลยค่ะ ยังไม่ได้สนใจใคร”


    นางเอกสาวยิ้มตาหยี นึกถึงหนุ่มๆ ที่แวะเวียนมาแจกขนบจีบกันอยู่เนืองๆ แล้วก็แอบขำ หลายต่อหลายคนเข้ามาพูดดี เอาอกเอาใจ พร่ำบอกว่าจะรอจนกว่าหล่อนรับรัก แต่เพียงเวลาห่างไม่ถึงเดือน แค่หล่อนไม่มีท่าจะเล่นด้วยหรือรับไมตรี ชายปากหวานเหล่านั้นก็อันตธานหายไปทีละคนสองคน


    “แล้วได้เก็บของแทนใจใครไว้หรือเปล่า” ถามอย่างพยายามไม่ให้มีพิรุธ


    “เปล่านี่คะ เอ...จะมีก็แค่ดอกไม้ ตุ๊กตาแฟนคลับน่ะค่ะ”


    แก้วกัลยาทำท่านึกคิดโดยไม่ทันสังเกตว่าคู่สนทนามีท่าทีเปลี่ยนไปเช่นไร


    เวลาผ่านไปครู่หนึ่งนางเอกสาวจึงได้สัมผัสท่าทีที่แปลกไป เห็นวาสนาตีสีหน้าเคร่งเครียดแล้วก็สงสัย ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่


    “คุณน้ามีอะไรหรือเปล่าคะ ดูสีหน้าไม่ค่อยดีเลย”


    วาสนาปรายตามองเด็กสาวที่จ้องมองมาอย่างใคร่รู้ นางได้แต่ถอดถอนหายใจเฮือกใหญ่เพราะด้วยไม่รู้จะพูดออกไปดีหรือไม่ บอกไปแล้วเดี๋ยวก็หาว่าหล่อนงมงายอีก


    “แม่ฉันมีสัมผัสที่หก ฉันอยากให้แม่ดูชะตาชีวิตเธอ”


    เสียงวิชชุดาว่ามาไกลๆ มือทั้งสองถือถ้วยขนมหวานออกมาสองถ้วยเล็ก วางลงบนโต๊ะในขณะที่วาสนาปล่อยมือแก้วกัลยาออก


    “หมายความว่ายังไง”


    “ก็ฉันเป็นห่วงเธอ เรื่องคุณหลวงอะไรนั่น”


    วิชชุดายอมรับแต่โดยดีเพราะว่าตอนนี้ไหนๆ ก็พามาถึงที่และดูเหมือนมารดาจะเห็นอะไรดีๆ แล้ว ปกปิดต่อไปก็เห็นท่าทางจะคุยกันไม่รู้เรื่องเสียที


    แก้วกัลยาหน้าเหวอ แอบเห็นวาสนาหน้าเสียไปก็ใจไม่ดี ถึงแม้จะไม่ชอบการดูดวงหรือการทำนายทายทักอะไรพวกนี้ แต่เห็นคุณน้าที่เคารพเป็นแบบนี้แล้วก็อดใจอ่อนไม่ได้ ถึงจะไม่เชื่อก็ตาม...แต่ยอมให้ทำนายอะไรหน่อยก็คงไม่เสียหาย


    “ถ้าอย่างนั้น...คุณน้าทำนายให้แก้วหน่อยสิคะ แก้วอยากรู้”


    คราวนี้ถึงเป็นคราวที่วาสนาทำสีหน้าจริงจัง แม้จะเห็นถึงความขบขันและไร้ซึ่งความใคร่รู้จากสายตาคู่นั้น แต่มาถึงขนาดนี้แล้วก็ควรจะพูดให้เจ้าของชะตาได้ทราบ แม้อีกฝ่ายจะไม่มีความศรัทธาเลยก็ตาม


    “น้ารู้ว่าพูดไปหนูก็คงจะไม่เชื่อ แต่น้าสัมผัสได้จริงๆ ว่ามีดวงจิตแสนไกลเรียกหาหนูแล้วมันก็เข้ามาใกล้ทุกที น้าไม่รู้ว่าตอนนี้หนูสื่อสารหรือพบเจอเจ้าของจิตดวงนั้นหรือยัง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้เจ้าของจิตนี่ยังมีชีวิตอีกหรือเปล่า น้ารู้แค่ตอนนี้หนูมีของแทนความผูกพันอยู่กับตัว แต่น้าไม่รู้ว่ามันคืออะไร”


    ๏  อยุธยาเมืองเก่าของสยาม                 

    วัดอารามโทรมทรุดไม่ทันสมัย

    น้องเห็นใครเดินผ่านหายจากไป         

    เพราะเหตุใดถึงได้ปรากฏมา

    ๏ บันทึกลับ ร.ศ.หนึ่งร้อยหก                

    น้องเก็บพกกลับด้วยอยากค้นหา

    คำทำนายทายทักแม่วาสนา              

    หรือคิดว่าน้องนี้จะนึกกลัว        

     

    -----------------------------------

    จบบทด้วยกลอนเพราะๆ ค่ะ (คิดว่างั้น ฮ่าา)

    หลังจากคุณแม่ให้คีโม มีอาการข้างเคียงค่อนข้างเยอะ ไรท์จึงหายตัวไปอีกแล้ว ฮือออ 

    จนผ่านมาถึงวันนี้ คุณแม่อาการดีขึ้น หายปวดท้อง แสบร้อนในปากลดลง สามารถรับประทานอาหารได้ แต่ไรท์ยังคงต้องทำอาหารอ่อนให้ทานจนกว่าจะจบคอร์สค่ะ

    ตอนหน้าแม่แก้วจะได้เจอคุณหลวงแล้วน้าาา จะเจอยังไงมาติดตามกันค่าาา

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×