ลิขิตเทวา สัญญาจอมเวทย์
"องค์หญิงเซราฟิน่า" ต้องขอยืมพลังของจอมเวทย์จากยุคสมัยแห่งทวยเทพ "แฮรโรว์" เพื่อป้องกันการรุกรานของพญามาร แถมจอมเวทย์ แฮรโรว์ ยังต้องดูแล "แอลล์" เทพธิดาจอมป่วนบุตรสาวของอาจารย์ไซรัสอีกด้วย
ผู้เข้าชมรวม
3,377
ผู้เข้าชมเดือนนี้
132
ผู้เข้าชมรวม
พระเอกเก่ง นางเอกเก่ง นางเอกฉลาด พระเอกเทพ วังหลวง เกิดใหม่ ทะลุมิติ รัก ฮาเร็ม เวทมนตร์ ผจญภัย แฟนตาซี ต่างโลก เทพ ตัวเอกเก่ง
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ในโลกแห่งมนตรา ' องค์หญิงเซราฟิน่า ' ต้องขอยืมพลังของจอมเวทย์จากยุคสมัยแห่งทวยเทพ
' แฮรโรว์ ' เพื่อปกป้องอาณาจักรจากการรุกรานของพญามาร
หลังสงครามแห่งทวยเทพ จากเรื่องราวของภาคก่อน ใน สัญญา มนตราเวทย์ ทำให้มิติของมนุษย์ถูกรุกรานโดยเหล่าปีศาจโดยการนำของพญามาร ‘ลิลิธ’
‘องค์หญิงเซราฟีน่า’ รัชทายาทแห่งอาณาจักรสุดท้ายแห่งมวลมนุษย์ จึงต้องออกตามหา
‘แฮรโรว์’ จอมเวทย์ผู้หายสาบสูญไปตั้งแต่ครั้งอดีตกาลสมัยสงครามเทพ เพื่อยืมพลังเขาในการหยุดยั้งการรุกรานของพญามาร นำความสงบสุขมาสู่ภพนี้อีกครั้ง…แถมจอมเวทย์แฮรโรว์ยังต้องดูแลเทพธิดาจอมป่วนของบุตรีของอาจารย์ไซรัส เทพธิดาเอาแต่ใจอีกด้วย เอายังไงดีเนี่ย
นิยายเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องอ่านภาคแรกก็ได้ เริ่มอ่านภาคนี้เลยก็ได้ครับ จะปล่อยให้อ่านฟรีไปจนกว่าจะใกล้จบเช่นเดิม ตัวละครจากภาคที่แล้ว คือ แฮรโรว์ และเทพต่างๆ ในเรื่องเท่านั้น
บทนำ
ขุนเขามืดมิดด้านนอกเต็มไปด้วยกรงเล็บและเสียงคำรามแหลมสูงของสัตว์ร้าย
ท่ามกลางถ้ำมืดมิด คบเพลิงถูกจุดอยู่ราวกับแสงเล็กๆ ท่ามกลางความมืดผู้ถืออยู่เป็นสตรีสาวรุ่นผู้หนึ่ง...
นางไว้ผมยาวสลวยเรียบลื่นสีแดงจนออกส้มราวกับใบเมเปิ้ล... ใบหน้าคมคาย จมูกโด่ง แววตาโฉบเฉี่ยวดื้อรั้นราวกับจิ้งจอก...
เรือนร่างอรชน ทว่าสูงโปร่ง ผิวพรรณขาวละเอียด เอวคอดดูบอบบาง ทว่าหากสังเกตจะทราบว่านางฝึกฝนร่างกายมาอย่างดี... นางสวมเกราะหนังสัตว์และห่มคลุมด้วยเสื้อคลุมกันหนาว
“การเดิมพันของเราสูงเกินไปหรือไม่องค์หญิง”
ชายคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังกล่าวกับนาง เขาสวมเกราะเฉกเช่นอัศวิน ทว่าผมสั้นหยักศกออกเป็นลอนสีอ่อนออกน้ำตาล ใบหน้าคมสัน แววตาสีน้ำตาลดูซุกซนเหมือนพ่อค้ามากกว่านักรบ
“เขาว่าหากตกกระแสน้ำเชี่ยว ต่อให้เป็นใยแมงมุมก็ต้องพยายามคว้าไว้”
สาวเจ้าของคบเพลิงกล่าว...
ใบหน้าสวยหวานต้องแสงไฟให้เห็นสีหน้ากังวลชัดเจน... ทว่าชายที่พูดตอบได้แต่ถอนใจเมื่อฟังคำตอบ
“อย่างไรเสียเราก็ใกล้เป้าหมายแล้ว หากมองตามแผนที่”
ชายผมทองสั้นดวงตาสีฟ้าดูท่าทีว่ามาจากตระกูลผู้ดี ใบหน้าเกลี้ยงเกลา ตีนผมมีปอยผมเล็กๆ สวมชุดเกราะอัศวินวาววับ อัศวินอีกคนของกลุ่ม พยายามพลิกดูแผนที่หนังสัตว์ในมือ เขาพลิกไปมาราวกับหันผิดทิศผิดทาง ขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่ง
“ทางนี้แหละ”
“ขอบอกก่อนว่าถ้าหากข้าตายที่นี่ หญิงในเมืองหลวงหลายคนร่ำไห้เป็นแน่”
ชายเจ้าของคำถามกล่าวกับผู้ถือแผนที่ ขณะที่ตนพิงไปยังผนังถ้ำ
“เพราะงั้นได้โปรดบอกข้าเถิดว่าใกล้ถึงแล้ว”
“เงียบก่อน” หญิงสาวผู้ถือคบเพลิงกล่าวพลางย่อตัวลง นางเงี่ยหูฟัง
เสียงกรงเล็บครูดกับพื้นหิน ทำเอานางดับคบเพลิงแทบไม่ทัน ในความมืดไม่นานดวงตาของทั้งสามก็มืดบอดลง
“ดวงตานกฮูก”
หญิงสาวเอ่ยเวทมนตร์เสริมแกร่งอย่างแผ่วเบา ไม่นานดวงตาของนางก็วาวเรือง ทำให้นางมองเห็นในที่มืด
ปากถ้ำด้านล่างเต็มไปด้วยอสูรคลานไปทั่ว แต่ก็เห็นว่าเป็นลานกว้าง ตรงพื้นมีอักษรและหินผลึกขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง พร้อมกับถ้วยอัคนีที่มอดดับทั้งห้ารายล้อม
“ท่านเห็นอะไรบ้าง”
อัศวินผมทองถามอย่างแผ่วเบา
“พวกแมลงปีศาจ... อย่างน้อยๆ ยี่สิบตัว”
“เราสามคนพอไหว ท่านเซอร์จัดการสักสิบตัว ข้ากับองค์หญิง สักคนละห้า” อัศวินผมสีน้ำตาลพูดรวบรัด ก่อนจะปลดซองหนังที่เข็มขัดของเสื้อเกราะเพื่อเตรียมหยิบอาวุธ
“พวกเราต้องปกป้ององค์หญิงไม่ใช่เหรอ เจ้ากับข้าคนละ 10 ตัวถึงจะถูก” อัศวินผมทองท้วงทันควัน
“ใจเย็น... ขอข้าสังเกตการณ์สัก” ไม่ทันขาดคำองค์หญิง อัศวินผมสีน้ำตาลก็เผลอเหยียบโดนเศษหินจนมันร่วงลงไปยังพื้นที่ด้านล่าง ปลุกเหล่าอสูรร้ายให้ตื่นจากภวังค์และหันหาต้นเสียง
องค์หญิงถอนใจก่อนจะคลายคาถา รีบจุดไฟและโยนคบไฟลงไปเบื้องล่าง
“แสงตะวันเจิดจรัส”
นางร่ายคาถา พริบตาคบเพลิงที่ดับก็สว่างวาบราวกับแสงไฟถูกสาดสอง... พวกอสูรตกใจในแสงนั้น ทว่าอัศวินผมน้ำตาลหลับตาไม่ทันปรับแสงร้องด้วยความตกใจเช่นกัน
พริบตาโถงนั้นก็สว่างขึ้น เผยให้เห็นพื้นที่ต่างระดับด้านล่างถ้ำ
องค์หญิงกระโจนลงไปอย่างว่องไว ทำให้อัศวินผมทองเลยต้องพุ่งลงตาม และหอกเวทย์ออกมาจากฝัก ใส่พลังงานให้มันยืดเป็นหอกใช้งาน และรวมถึงนำโล่ห์ออกมาตั้งรับอย่างชำนาญ
ขณะที่อัศวินอีกคนตั้งตัวได้ก็พุ่งลงมาเช่นกัน แต่เขาถือปืนลูกโม่สองอันในมือ ยิงรัวกระสุนสายฟ้าราวกับสิงห์ปืนไว...
ส่วนองค์หญิงนางดึงมีดสีแดงราวกับใบดาบทำจากผลึกแก้วสีแดงก่ำขึ้นตั้งท่า... นางตวัดมีดดาบสั้นอย่างชำนาญ
เหล่าปีศาจเห็นเงาผู้บุกรุกมันเลยพุ่งใส่ทันที อัศวินผมทองใช้โล่กำบังแล้วพลักพวกมันจนกระเด็นไปตัวหนึ่ง ขณะอีกมือก็จ้วงแทงหอกไปพร้อมกัน คมหอกทะลุร่างอสูรแมลงเลือดสีดำไหลทะลักราวกับน้ำมันดิบกระเซ็นไปทั่ว เกิดกรดกร่อนไปตามพื้น...
ทว่าเกราะของเขาเมื่อต้องเลือดพิษก็เรืองรองขึ้นมาราวกับแสงเปล่งประกายขับไล่ความมืดชำระไอชั่วร้ายนั้น...
องค์หญิงย่อตัวลงตวัดมีดดาบใส่ร่างของศัตรู พริบตาร่างของปีศาจแมลงตัวหนึ่งก็ฉีกเป็นชิ้นๆ ราวกับการร่ายรำ นางพลิกตัวกระโดดเหยียบร่างแล้วพุ่งแทง... ขณะที่อัศวินผมน้ำตาลยิงปืนออกมาเป็นกระสุนเวทย์สายฟ้าอีกครั้งใส่แมลงเหล่านั้น จนมันกรีดร้องด้วยอาการบาดเจ็บ....
ตัวที่โดนกระสุนเวทย์แม้บาดเจ็บแต่ก็ไม่ตาย ไม่นานมันก็เหมือนจ้องมองและสร้างม่านเกราะพลังงานได้ด้วยตนเองราวกับวิวัฒนาการได้...
แมลงปีศาจตัวหนึ่งยิงพิษใส่องค์หญิง ทว่านางเอี้ยวตัวหลบอย่างคล่องแคล่ว ส่วนอัศวินเกราะผู้ถือโล่ห์ ก็เข้าบังให้นางทันที และใช้โล่นั้นดันร่างของแมลงปีศาจให้กระเด็น พอมันสิ้นท่าก็แทงซ้ำด้วยปลายหอก
ตอนนี้ทั้งสามตกอยู่ในวงล้อม เพราะเสียงและกลิ่นคาวเลือดของปีศาจชักพาฝูงของพวกมันมามากขึ้นทุกที
นางหันมองผลึกก็สังเกตเห็นสิ่งที่ตามหา
“ข้าจะปลดผนึกจอมเวทย์ พวกเจ้าถ่วงเวลาให้ข้า...”
องค์หญิงสั่งการอย่างเด็ดขาด แม้อัศวินผมน้ำตาลจะไม่เห็นด้วยในทีแต่ก็เข้าบังนางไว้ และระดมยิงเปิดทางให้ กระสุนสายฟ้ายามนี้ทำได้เพียงชะงักตัวพวกมันไว้เท่านั้น
องค์หญิงรีบเก็บดาบสั้นของตน เอามือสัมผัสผลึกตรงกลางโถงใหญ่ ราวกับจะหาอักขระหรือกลไกคลายผนึกนี้...
ทว่ามืดแปดด้าน มองเช่นไรก็ดูไม่ออกเลยว่าต้องทำเช่นไร
“เร็วหน่อยองค์หญิง”
อัศวินผมทองเร่งขณะประชิดจนหลังแทบชนกับอัศวินอีกคน สุดท้ายอัศวินโลห์เลยสิ้นหนทาง เขาใช้สองมือจับโล่และกระแทกมันลงบนพื้น เพื่อสร้างออร่าสีทองส่องกระจายไปทั่ว เหล่าปีศาจแมลงชะงักอยู่ได้พักหนึ่ง
องค์หญิงกวาดตาไปทั่วก็เห็นอักษรโบราณของเอลฟ์สลักอยู่ ใจความว่า...
“เบื้องหน้าคือชายผู้มั่นคง... สุภาพชนผู้อารี... ผู้พิทักษ์แห่งมวลมนุษย์ หากท่านร้องขอ เขาย่อมรับฟัง”
“ป้ายหลุมศพหรือไงกัน”
นางพึมพำ ขมวดคิ้ว... มือหนึ่งกุมขมับโดยไม่รู้ตัว ขณะที่อัศวินผมน้ำตาลก็ยังระดมยิงไม่หยุดหย่อน
“ข้าจะขาดใจตายแล้ว... ท่านเร่งมือหน่อยเถอะ”
ทว่าท่ามกลางความสับสน นางก็หันมองร่างที่ถูกผนึก ใจกลางเหมือนก้อนคริสตัลขนาดใหญ่สีฟ้า มีชายในชุดนักเวทย์คนหนึ่งกำลังหลับอยู่อย่างสงบนิ่ง
“ท่านจอมเวทย์ได้โปรดช่วยข้าด้วย” องค์หญิงพูดและทุบไปที่ผนึกราวกับไม่รู้ว่าตนกำลังทำสิ่งใดอยู่....
ราวกับเรื่องบังเอิญ สิ่งที่ทำกลับได้ผล...
พริบตาร่างที่หลับใหลอยู่ด้านในก็ลืมตา เกิดรอยราวไปทั่วผนึกก้อนใหญ่ ไม่นานมันก็แตกกระจายราวกับเกิดระเบิดออก เศษสะเก็ดไมได้ทำร้ายเหล่าอัศวินและองค์หญิงเบื้องหน้า... แต่เศษละอองนั้นทำเอาเหล่าปีศาจกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดราวกับถูกคลื่นเวทย์โจมตี...
ร่างด้านในมีชายผู้หนึ่ง ใบหน้าดูอ่อนเยาว์หล่อเหลา...เกลี้ยงเกลาราวกับเด็กหนุ่ม ผมสีอ่อนในชุดของนักเวทย์โบราณเก่าคร่า... ค่อยๆ ล้มพับลงมา องค์หญิงจึงเร่งไปประคองรับร่างนั้นไว้ ไม่นานเขาก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง และพยุงตัวขึ้น
เมื่อเห็นว่ามีสตรีประคองเขาก็ตกใจและผละออก ทว่าตัวเขายังไม่มีเรียวแรงนัก แต่ก็พยายามทรงตัวไว้
“พวกท่านเป็นใคร”
ชายปริศนาในผลึกที่ค่อยๆ พยุงร่างตนไว้ไต่ถามเหล่าผู้มาเยือน
“ข้าคือองค์หญิงเซราฟิน่า องค์หญิงรัชทายาทแห่งอาณาจักรนิรันด์ ส่วนทั้งสองคืออัศวินของข้า... ข้ามาที่นี่เพื่อตามหาท่าน ท่านจอมเวทย์”
องค์หญิงกล่าวกับชายตรงหน้า
“จากบันทึกของผู้ก่อตั้งอาณาจักรนิรันด์ องค์ปฐมราชาพอลที่หนึ่ง ท่านคือจอมเวทย์คนสุดท้ายของภพนี้ จอมเวทย์แฮรโรว์”
ชายผู้ที่พึ่งออกจากผนึกค่อยๆ พยุงตัวขึ้น
“ข้าคงไม่อาจอ้างฉายานั้นหรอกขอรับ... ข้าเป็นเพียงนักเวทย์ต่ำต้อย หากแต่จอมเวทย์คงมีแต่อาจารย์ของข้าเท่านั้น”
คำพูดนั้นทำเอาอัศวินผมน้ำตาลใบหน้าถอดสี ราวกับการเดินทางเสี่ยงอันตรายนี้คว้าน้ำเหลว ทว่าอัศวินผมทองกลับนิ่ง เขาหันมองและเอ่ยถามนักเวทย์ในศิลาตรงหน้า
“ขอทราบนามอาจารย์ของท่านได้หรือไม่”
อัศวินผมทองกล่าวเพราะติดใจบางอย่าง
นักเวทย์ ตอบกลับอย่างสุภาพ
“นามของอาจาย์ข้าคือไซรัส”
คำนั้นทำเอาอัศวินผมทองเข้าใจและจับไหล่ของอัศวินผมน้ำตาลที่กำลังเข่าอ่อนไว้
“เทพอมตะไซรัส เทพแห่งปัญญาและเวทมนตร์กระนั้นเหรอ” อัศวินผมทองถามอีกครั้ง ชายคนดังกล่าวพยักหน้า
“ท่านคงหลับไปยาวนาน... อาจาย์ของท่านบัดนี้เป็นกลุ่มเทพสูงสุด เป็นรองแต่เพียงเทพผู้สร้างเท่านั้น...หากไซรัสเป็นอาจาย์ท่านจริง บัดนี้ท่านคือจอมเวทย์แล้ว” ชายผมทองทวนความ
“ข้าหลับไปนานเท่าไหร่กัน” จอมเวทย์สลัดความอ่อนล้าและสำรวจรอบๆ วิหารรอบตัวเขาตอนนี้ไม่ต่างจากถ้ำร้าง
“จากบันทึกก็เกือบเจ็ดร้อยปีแล้วเจ้าค่ะ ท่านจอมเวทย์” องค์หญิงตอบและมองไปรอบๆ
“ที่นี่คือหุบเขาหิมะแห่งความตาย ได้โปรดท่านจอมเวทย์ จากบันทึกมีแต่ท่านจึงจะกำจัดพญามารและนำยุคสมัยแห่งความสงบสุขกลับคืนมาได้”
แฮรโรว์นิ่งไปครู่หนึ่ง ทว่าแววตาของทั้งสามตอนนี้ฉาบฉายความหวัง และแฮรโรว์ไม่อยากเป็นคนบอกว่ามันไม่ใช่แบบนั้น และดับประกายฝันคนเหล่านี้
“ได้ขอรับ... ข้าจะช่วยพวกท่านเท่าที่ทำได้... ก่อนอื่นไปจากที่นี่ก่อน... ข้าอยากได้สถานที่ปลอดภัยที่ใกล้สุดที่เป็นลานกว้างสักหน่อย โปรดบอกข้า” แฮรโรว์กล่าวกับทั้งสาม
“ถ้าใกล้สุดคงเป็นใจกลางเมือง ไอร่อนวู๊ด ห่างจากที่นี่พอสมควร ณ บริเวณตีนเขาแห่งนี้” อัศวินผมทองกล่าวกับแฮรโรว์
“ข้าไม่รู้จัก... แต่เอาเถอะ หวังว่านางจะรู้”
แฮโรว์พูดแล้วโบกมือในอากาศ...ราวกับร่ายมนต์...
“ปีกแห่งรุ่งอรุษ สายรุ้งแห่งฟากฟ้า กายาแห่งเสรีภาพ โปรดให้ข้ายืมพลังของเจ้า จงออกมามังกรแห่งแสง ออโรร่า”
ท่ามกลางความสับสน พริบตาเพดานถ้ำก็ยุบตัว เศษหินถล่มลงมา ทว่าความตกใจของอัศวินและองค์หญิงที่มองดูก็พบว่ารอบตัวพวกเขามีเกราะม่านพลังงานกันเศษหินทั้งหมดไว้
เพดานถ้ำถล่มลงมาทั้งหมด... หินที่ร่วงลงมาเผยให้เห็นท้องฟ้ากว้างและแสงสาดส่องจากด้านนอก...
มังกรสีขาวสว่างราวกับประกายแสงขาวบินร่อนลงมา นางใช้กรงเล็บฉีกทึ้งภูเขาจนเจอโถงที่อยู่ของทั้งสี่ มังกรจ้องมองด้วยดวงตาสีเรืองรอง เกล็ดสีสว่าง แผ่พลังงานราวกับเป็นกลุ่มก้อนแห่งแสงสว่าง...
“ไม่ได้พบกันนานนะ ท่านแฮรโรว์”
แฮรโรว์เงยหน้าและทักทายราวกับต้อนรับสหาย
“ออโรร่า โปรดพาพวกข้าไปที่ลานของเมืองไอร่อนวู๊ดจะได้ไหม” แฮรโรว์กล่าวอย่างสุภาพ
ขณะที่องค์หญิงและทุกคนได้แต่ยืนตะลึงเพราะเห็นมังกรตัวเป็นๆ ครั้งแรก สองอัศวินเองก็ตกใจจนไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว
“สำหรับท่านได้เสมอ...” มังกรสีขาวตอบด้วยเสียงกังวาล นั่นทำเอาเหล่าผู้มาเยือนแทบยืนไม่อยู่ทีเดียว
ผลงานอื่นๆ ของ นกเหลืองแก้มส้ม ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ นกเหลืองแก้มส้ม
ความคิดเห็น