ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    M E S S A F T E R S T O R M "

    ลำดับตอนที่ #85 : ZODIAC GEM Prologue

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 24
      0
      27 พ.ย. 59






    ปฐมบทแห่งสงคราม


    เปลวเพลิงกำลังลุกโชน ผืนแผ่นดินกำลังมอดไหม้

    เมื่อ ดีออส เทพสูงสุดแห่งโลกที่มีนามว่า “อันดาเลีย” ทรงกริ้วหนึ่งในสามเทพจักรราศีสถิตย์อัญมณีแห่งอิกนิคัส อัญมณีแห่งอัคคี และสั่งห้ามกลับดินแดนสีขาวจนกว่าจะทำภารกิจเสร็จสิ้น

    การเลือกราชันแห่งโฟเซีย ผู้ครอบครองอัญมณีแห่งอิกนิคัส

    ซึ่งบัลลังค์นี้ถูกปล่อยว่างนับแต่สิ้นมหากษัตริย์อลาริคที่สิบสี่ ก็ยังไม่มีผู้เหมาะสมที่จะเป็นผู้ถือครองอัญมณีสีเพลิงนี้

    จนมาถึงยุคของมหากษัตริย์ อลาริค ดัลคัส คาซีมีร์ ที่ยี่สิบสาม

    ผู้พิทักษ์บัลลังค์โฟเซียได้ให้กำเนิดบุตรชาย และอัศจรรย์บังเกิดในคืนนั้นเมื่ออัญมณีอิกนิคัสได้เปล่งประกายเป็นครั้งแรก ทำให้ ดยุคฮาร์เวียร์ เซซาริส ปักใจเชื่อว่าบุตรชายของตนนั้นคงเป็นราชันแห่งบัลลังค์เพลิง

    แต่กระนั้นก็ต้องได้รับการยอมรับจากสามเทพจักรราศีที่สถิตอยู่ในอัญมณี ซึ่งปัญหาใหญ่คงเป็นเทพที่ถูกเนรเทศซึ่งไม่เคยยอมรับใครร่วมห้าร้อยปี

    เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านดยุคอายุย่างวัยสิบเก้าปี ยามใดที่เด็กหนุ่มอายุครบยี่สิบ ก็จะถึงเวลาตัดสินว่าทายาทแห่งเซซาริสผู้นี้ ใช่ผู้ครอบครองแห่งอิกนิคัสหรือไม่...


    .................................


    “ตื่นๆ เฮ้ย จะนอนอีกนานไหมวะ?”

    เสียงปลุกที่ดังอยู่ข้างหูทำให้เขาต้องลืมตาตื่น กะพริบตาสองสามครั้งเพื่อปรับโฟกัส และสิ่งที่เข้ามาในคลองสายตาคือใบหน้าสวยเฉียบราวกับอิสตรีที่ขมวดคิ้วตีหน้ายุ่งยาก นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มเป็นประกายสดใสซื่อๆคล้ายดวงตาของเด็ก หางตาเชิดขึ้นเล็กๆดั่งตาหงส์ที่ทำให้ใบหน้านั้นทวีความหวานยิ่งขึ้นแต่ใต้ตากลับคล้ำคล้ายคนไม่ค่อยนอน เรือนผมสีดำสนิทยาวระต้นคอ มีผ้าคาดศีรษะเก่าๆปิดหน้าผากไว้โดยปล่อยให้ชายผ้าขาดๆนั่นเลยไหล่มา ขณะที่รูปร่างสูงโปร่งในชุดมอซอนั่นกำลังเท้าสะเอวมองเขาอย่างเอาเรื่อง และริมฝีปากบางสวยนั่นกำลังเอ่ยปากเมื่อเห็นว่าคนที่ตนปลุกได้ลืมตาตื่นแล้ว

    “ตื่นสักทีนะคุณชาย”

    คนเพิ่งตื่นหันซ้ายหันขวาเพื่อตั้งสติและรวบรวมความคิด เขานอนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีร่มเงา ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ากำลังรอรถม้าโดยสาร และด้วยความง่วงจากการที่เมื่อคืนนอนไม่หลับเลยตัดสินใจไปพักสายตาสักงีบใต้ร่มไม้ แต่สุดท้ายก็หลับไปจริงๆ แถมยัง ฝัน ด้วย มือใหญ่ขยี้เรือนผมสีบลอนด์ขาวของตนขณะที่อีกข้างเอื้อมไปหยิบกระเป๋าสะพายคู่ใจ หูก็ยังได้ยินเสียงของเพื่อนที่ยังคงบ่นไม่หยุด

    “คิดว่าถ้าปลุกอีกสักสามรอบไม่ตื่นฉันจะปล่อยให้ตกรถจริงๆด้วย”

    “บ่นอย่างกับผู้หญิง อย่างนายจะปล่อยฉันตกรถจริงๆเหรอ เอลาซ อาเคย์โร

    ร่างโปร่งที่เลิกคิ้วโก่งเล็กน้อย ก่อนจะยักไหล่แล้วว่าตอบ “งั้นเลือกเอา ถูกฉันถีบปลุกหรือจะนอนจนตกรถ ฮาน ชาร์เลส

    “ไม่เอาทั้งสองอย่างละกัน” ฮานปฏิเสธก่อนที่จะบิดตัวเล็กน้อยเพื่อคลายความเมื่อยขบ ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อเพื่อนกระโดดโหนต้นไม้เล่น “ทำตัวให้มันเรียบร้อยหน่อย เสียดายหน้าของนาย”

    “แลกหน้ากันไหมล่ะ? เอาหน้าของนายมาให้ฉัน แล้วนายเอาหน้าฉันไปแทน” เอลาซดีดตัวลงมาอยู่ตรงหน้า ก่อนจะยืดตัวเต็มความสูง กระนั้นส่วนสูงก็ยังเตี้ยกว่าคนผมสีบลอนด์ขาวร่วมสิบเซนติเมตร ชายหนุ่มหน้าหวานชะโงกหน้าไปใกล้และจ้องเข้าไปในดวงตาสีแดงซีดของเพื่อน แล้วยิ้มออกมา “ฉันยินดีเปลี่ยนกับหน้าหล่อๆนายเลยนะเพื่อน”

    “ไม่ล่ะ ฉันเกรงใจ” ชายหนุ่มร่างสูงถอยตัวออกห่างสองก้าว “ของใครของมัน และรูปร่างหน้าตานายมันไม่ดีตรงไหน”

    “ถามโง่ๆ เพราะมันเหมือนผู้หญิงเกินไปน่ะสิ ฉันโคตรเกลียดเวลามีคนมาขายขนมจีบฉันเพราะเห็นฉันเป็นผู้หญิงน่ะ”

    เอลาซชี้ที่ใบหน้าของตัวเองก่อนจะไล่ไปตามร่างกาย ใช่ เขาไม่เถียง เอลาซสวยกว่าผู้หญิงบางคนที่เขาเคยเห็นเสียอีก ไม่แปลกที่หลายคนจะเข้าใจผิด เสียแต่นิสัยที่พูดจาโผงผางและตรงไปตรงมาแทงใจดำคน แถมยังแต่งตัวไร้รสนิยมอย่างเอาเศษผ้าสิบๆชิ้นมาคลุมกายคล้ายพวกจรจัดเร่ร่อน ซึ่งเจ้าตัวก็พอใจให้มันเป็นแบบนั้น แต่อย่างไรความคิดเห็นของเขานั้นมันทำให้เอลาซยิ่งเด่น เพราะไม่มีใครแต่งแบบนั้นมาเดินตามถนน และสิ่งที่ดึงดูดมากที่สุดนั้น คือดวงตาของหมอนั่น

    ดวงตาสีน้ำเงินเข้มเป็นประกายระยับใสซื่อไร้เล่ห์เหลี่ยม และเขาเองก็ชอบมองมัน เพราะเหมือนกับว่ามันซ่อนเพลิงปะทุอยู่ในนั้น และเขารู้สึกมีพลังขึ้นอย่างน่าประหลาดยามที่จ้องมองมัน

    “สรุป เมื่อกี้นายฝันอะไร?”

    คำถามของเอลาซทำให้เขาละสายตาออกจากใบหน้านั้น เผลอนิ่งไปชั่วครู่แล้วจึงตอบเสียงเรียบ “เรื่องเดิม”

    “ที่ว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงนั่นน่ะนะ?” เอลาซทวน แล้วก็ยิ่งขมวดคิ้วเมื่อเห็นร่างสูงกว่าพยักหน้า “แค่ยืนอยู่เฉยๆ?”

    “มันมีมากกว่านั้น แต่สิ่งที่ฉันจำได้มีแค่นั้น”

    ยืนอยู่ท่ามกลางไฟที่กำลังปะทุ แต่กลับไม่มีส่วนไหนย่างกรายเข้ามาแตะตัวเขา เขาทำอะไรต่อนั้นจำไม่ได้ แล้วเขาก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา เป็นแบบนี้มาเกือบปี

    “เฮ้ ฮาน” เอลาซโบกมือตรงหน้าใบหน้าหล่อ ก่อนจะใช้นิ้วชี้จิ้มที่หว่างคิ้ว “อย่าคิดมากกับสิ่งที่มันยังมาไม่ถึง คิดมากไปป่วยจิตเปล่าๆ รอมันมาถึงค่อยว่ากัน”

    ว่าจบก็ยิ้มซื่อๆให้ ฮานนิ่งคิดไปครู่ก่อนจะถอนหายใจออกมา และท่าทางนั้นทำให้เอลาซพอใจ ก่อนจะฮัมเพลงออกมาอย่างอารมณ์ดี จนเขาอดถามไม่ได้

    “นายเคยเครียดหรือเศร้ากับอะไรบ้างรึเปล่า?”

    “ถามทำไม?”

    “ก็เพราะตั้งแต่รู้จักกันมาสี่ปี ไม่สิ ห้าปี ฉันไม่เคยเห็นนายเครียด หงุดหงิด เศร้า หรือมีอารมณ์แย่ๆเลยสักครั้ง” ฮานหรี่ตามอง เอลาซเอียงคอเล็กน้อยก่อนจะยักไหล่ตอบแบบตัดบท

    “นายจะสนเพื่ออะไร ไปสักที ถ้าพวกเราตกรถฉันเตะนายยับแน่เพราะทำฉันตกรถด้วย”

    ยังไงเพื่อนก็เขาก็คงไม่ตอบสินะ

    ถ้าให้เดา..... เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของเขาคนนี้คงผ่านวีรกรรมมาเยอะ




















































    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×