ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    M E S S A F T E R S T O R M "

    ลำดับตอนที่ #84 : สุริยะเคียงบัลลังค์ 32

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 13
      0
      26 พ.ย. 59






    แปะ.. แปะ...

    หยดน้ำที่ลงมาโดนใบหน้าทำให้เธอแหงนมองท้องฟ้าสีหม่น หยาดฝนเริ่มตกลงมาอีกคราทำให้ตะวันตัดสินใจกลับเข้าตำหนักก่อนที่จะตกหนักมากไปกว่านี้ เพราะเธอคงไม่มีชุดเปลี่ยนแล้วขณะที่บ่นในใจ

    กะอีแค่จะหาชุดชั้นในตัวเอง ทำไมเจอมารผจญเยอะเป็นบ้า ชาติก่อนเธอเป็นโจรขโมยชุดชั้นในใครรึไงตอนนี้ถึงได้เจอมารผจญจริงจัง.....

    คล้ายจะได้ยินเสียงวิ่งที่เหมือนกับเหยียบแอ่งน้ำขังทำให้เธอที่ยืนหลบตรงใต้หลังคาที่ยื่นออกมาหน้าประตูทางเข้าตำหนัก เธอหรี่ตาลงมองเมื่อรู้สึกคุ้นหน้า แต่ก็นึกไม่ออกว่าใคร

    ใครวะ.... เหมือนจะเคยเห็นอยู่กับเหวินเจี้ยนรึเปล่านะ? รึเป็นเด็กรับใช้?

    คล้ายจะเห็นว่าอีกฝ่ายกดคิ้วลงเล็กน้อยเหมือนกับอยากจะถามอะไรสักอย่าง แต่กระนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาแล้วเดินไปอีกทาง จนเป็นเธอเสียอีกที่ต้องขมวดคิ้วมองกลับ

    ไอ้ความรู้สึกที่เหมือนกับมองสำรวจไม่ก็อยากจะพูดอะไรนั่นคืออะไร? หรือเธอคิดไปเอง?

    เอาเถอะ ไม่ใช่เรื่องของเธอนี่ ตะวันยักไหล่ แต่ว่าหมอนั่นเดินกลางฝนแบบนั้น เธอน่าจะเอาร่มให้เขา

    “แล้วจะไปเอาร่มมาจากไหนล่ะ? โง่อีกละไอ้ตะวัน” เธอถอนหายใจกับตัวเอง อันที่จริงน่าจะเอาตัวเองให้รอดด้วยการหาชุดชั้นในให้เจอ เพราะมันโล่งๆเย็นๆเป็นบ้า แต่ว่า...

    “แต่ไอ้การที่รู้สึกว่ามันจะมีอะไรเกิดขึ้นนี่อะไรวะ??”

    ปกติยิ่งสังหรณ์แม่นอยู่ด้วย ขอให้คราวนี้มันไม่แม่นละกัน เพราะเธอว่าแค่นี้งานก็เข้าเธอมามากเกินไปแล้ว

    hm..?

    เสียงครางในลำคอนั้นแม้จะเบาแต่เธอก็ได้ยิน ตะวันหันไปมองแล้วก็พบกับชายร่างใหญ่ที่อยู่ในชุดเกราะเต็มยศจนเธอนึกถึงชุดเกราะที่ตัวเองเคยถอดให้เหวินเจี้ยนวันแรกที่เธอช่วยเขาไว้ ด้านหลังของเขามีทหารอยู่สี่ห้าคน และตอนที่ผู้ชายคนนี้มองมามันทำให้รู้สึกว่าเหมือนตานกอินทรีย์ไม่มีผิด และเธอเหมือนหนูตัวเล็กๆรอถูกจับอย่างไรอย่างนั้น และโดยเฉพาะยามที่เขาถามเธอ

    Nǐ shì shuí? (เจ้าเป็นใคร?)

    ครั้งนี้ฟังออกทุกคำเพราะมันเป็นคำสั้นๆที่เธอรู้และเรียนมาแล้ว แต่ประเด็นคือเธอจะตอบยังไงดีเพราะเธอเองก็ไม่รู้ว่าคนตรงหน้าเป็นใครและรู้เรื่องเธอมากน้อยแค่ไหน และถ้าเขาจับได้ว่าเธอไม่ใช่คนจีน เหวินเจี้ยนต่อให้เป็นองค์ชายก็เถอะ แต่พูดได้เลยว่าหมอนั่นซวยเพราะเธอแน่

    นี่มันใช่เวลาจะมาห่วงคนอื่นเหรอตะวัน! นี่จะขึ้นลานประหารอยู่รอมร่อเพราะดูแล้วหมอนี่ยศใหญ่แน่ๆ แล้วหนูขาเป๋แบบเธอจะหนีจากอินทรีย์บนฟ้าได้ยังไงตอบ!

    เหวินเจี้ยนโว้ย! กลับมาช่วยแก้ตัวหน่อยสิวะเร็วๆ! งานจะเข้าทั้งคู่แล้วเนี่ย!




    แม่ทัพหลี่ขมวดคิ้วขณะที่หรี่ตามองหนุ่มน้อยตรงหน้าอย่างจับผิดเมื่อไม่ได้รับคำตอบ จะว่าเป็นข้ารับใช้ขององค์ชายก็ไม่น่าใช่เพราะเหตุใดถึงไม่ติดตามข้างตัวองค์ชาย หนำซ้ำอาภรณ์สีอ่อนลายไผ่นั่นซึ่งถ้าเขามองไม่ผิด มันคล้ายอาภรณ์ตัวโปรดขององค์ชายยามเยาว์ แต่กระนั้นใบหน้าที่ไม่คุ้นตาที่กำลังฉีกยิ้มแห้งๆให้อยู่นี่ก็ยิ่งทำให้ไม่วางใจ เขาเพียงแค่มาเพราะมีเรื่องที่ต้องการทูลให้องค์ชายทราบ แต่กลับเจอคนที่คาดไม่ถึง

    ข่าวลือที่ว่าคงเป็นจริงเสียแล้วที่ว่าองค์ชายรับเด็กข้างถนนมาไว้ในตำหนัก และถ้ากระนั้นจริง...

    “เจ้าคือเสี่ยวหยางใช่ไหม?”

    คล้ายจะเห็นว่าเด็กชายตรงหน้าขมวดคิ้ว แต่ยังไม่ทันที่จะได้คำตอบอะไร ด้านหลังก็มีเสียงที่คุ้นหูดังมา “แม่ทัพหลี่”

    และเมื่อหันไปมองก็พบว่าเจ้าของตำหนักได้กลับมาแล้ว หลี่ไป๋ซานโค้งให้ราชนิกูลหนุ่มทำความเคารพ เหวินเจี้ยนถาม “มีธุระอันใดรึ?”

    “…กระหม่อมจะขออนุญาตเพิ่มทหารคุ้มกันฝ่าบาทพะยะค่ะ”

    องค์ชายหนุ่มถอนหายใจก่อนจะพยักหน้าพลางถามต่อ “แค่นี้ใช่ไหม?”

    เขาหันไปมองยังหนุ่มน้อยปริศนาที่ยังคงคาใจไม่หาย แต่กระนั้นจู่ๆก็มีนายทหารวิ่งกระหืดกระหอบมาและว่าเสียงดัง “ท่านแม่ทัพหลี่!”

    “มีเหตุอันใด?”

    “หอทรงอักษรเกิดเหตุเพลิงไหม้ และฮองเฮากับท่านหญิงหวังเองก็อยู่ในนั้นด้วยพะยะค่ะ!”

    “!? เจ้าว่าอะไรนะ?!”

    แม่ทัพหลี่วิ่งไปทันที แต่กระนั้นมีบางอย่างให้หันกลับไปมอง ก็พบว่าราชนิกูลหนุ่มกำลังอยู่กับเด็กหนุ่มปริศนาคนนั้น ไม่รู้ว่าคุยอะไรกันแต่คล้ายจะเห็นว่าองค์ชายถอนพระทัยและหันหลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาทางเขา

    เขาไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปแน่ แต่ตอนนี้คงไม่ใช่เวลาเหมาะที่จะถาม




    เพลิงไหม้ที่ดูจะยิ่งโหมกระหน่ำแรงขึ้นเรื่อยๆยามที่มีลมพายุพัด เหล่านางกำนัลทหารต่างมุงดูขณะที่มีนายทหารบางกลุ่มที่หาน้ำมาดับ แต่กระนั้นฝนที่ตกลงมาก็ดูยิ่งทำให้ไฟปะทุมากขึ้นกว่าเก่า ที่สำคัญ ไม้ค้ำตรงประตูพังลงมาจนไม่สามารถเข้าไปได้ทั้งที่ไฟก็ดูยังลามไม่น่าจะมากถึงเพียงนั้น

    “ดับไฟเร็วเข้า!!”

    “เหม่ยอิง!!”

    เหวินเจี้ยนเรียกเมื่อเห็นหญิงสาวคุ้นหน้าของตนยืนอยู่หน้าตำหนักในสภาพที่ทำอะไรไม่ถูก ใบหน้าน่ารักนั้นซีดเผือดและตื่นตระหนกละล้าละลังทำความเคารพเขา “องค์ชาย”

    “เกิดอะไรขึ้น?”

    “มะ... หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ” นางกัดริมฝีปากตนเองก่อนจะพยายามทูล “ฮองเฮากับพี่เสวี่ยเอ๋อและหม่อมฉันเข้าไปอ่านตำรากันอย่างทุกที แต่หม่อมฉันเห็นว่าเย็นแล้วจึงขอตัวก่อน แต่ออกมาไม่ทันไร... จู่ๆก็มีเสียงดังมา และหม่อมฉันกลับมาก็พบว่า... ว่า... เกิดเพลิงไหม้เพคะ”

    “นานรึยัง?”

    “ไม่นานมากเพคะ”

    “ไหม้เร็วขนาดนั้นเลยเหรอ” เหวินเจี้ยนขมวดคิ้ว ขณะที่ถามต่อเสียงเครียด “แล้วเสด็จแม่กับเสวี่ยเอ๋อล่ะ?”

    ใบหน้างามนั้นซีดเผือดและเริ่มมีน้ำตาคลอหน่วย ขณะที่พยายามทูลต่อ “มีทหารพยายามที่จะเข้าไป แต่แล้วไม้ตรงประตู... ก็พังลงมา... ทับพวกเขาเพคะ..”

    เหวินเจี้ยนหันไปมองตรงเพลิงตรงหน้านี่ทันที ไฟที่ดูจะลามขึ้นเรื่อยๆเพราะมีเชื้อเพลิงชั้นยอดอย่างกระดาษที่เต็มหอตำรา แม้จะไม่ใช่หอตำราส่วนพระองค์ที่เขามักจะไปแต่กระนั้นมันก็มีเอกสารสำคัญอยู่ หูได้ยินเสียงแม่ทัพหลี่ให้เกณฑ์คนมาดับเพลิงพร้อมกับตามหมอเผื่อไว้ เหวินเจี้ยนพยายามคิดหาทางออกเพื่อที่จะช่วยคนที่อยู่ในนั้น แต่จะทำอย่างไรล่ะ?!

    เวลาผ่านไปกี่นาทีไม่ทราบ ไม้ที่เริ่มผุพังจากการที่เพลิงเผาไหม้นั้นเริ่มพังลงมาเพราะแม้ว่าจะพยายามดับไปเพียงใดมันก็ไม่มีวี่แววว่าไฟจะมอดง่ายๆ นี่เขาต้องยืนดูรอเสด็จแม่กับเสวี่ยเอ๋อในกองเพลิงงั้นรึ?!

    “องค์ชาย”

    เหวินเจี้ยนหันไปมอง ก็พบว่าเป็นนายทหารคนหนึ่งที่ก้มหัวทำความเคารพ ก่อนจะทูลเร็วๆ “ฮองเฮากับท่านหญิงหวัง รวมถึงนางกำนัลสามคนปลอดภัยแล้วพะยะค่ะ”

    “เจ้าเข้าไปช่วยรึ? เมื่อใดกัน!” แม่ทัพหลี่ถาม และนั่นเรียกให้นายทหารสั่นหน้า

    “ไม่ใช่กระหม่อมพะยะค่ะ”

    “แล้วผู้ใดที่เข้าไปช่วย?”

    “กระหม่อมขอนำไปแทนคำตอบพะยะค่ะ”

    และเมื่อเดินตามไปไม่ห่างนัก แต่เป็นอีกฝั่งฟากของทางเข้าหอตำรา และสภาพที่เห็นคือร่างของหญิงสาวห้าคนที่นั่งอยู่กับพื้นและมีสองคนที่อยู่ข้างๆ และนั่นทำให้หัวคิ้วของราชนิกูลหนุ่มขมวดมุ่นไม่ได้ ก่อนจะเรียก “ชินเซียน”

    เจ้าของนามหันมาก่อนจะโค้งกายให้กับเขา ตามใบหน้าและอาภรณ์มีรอยเขม่า เรือนผมและเสื้อผ้าเปียกชุ่ม แต่กระนั้นแผ่นหลังของอีกคนที่ใช้มือพัดไปพัดมาให้กับใบหน้าของไท่ฟูฮองเฮาสลับกับคนอื่นๆจนดูยุ่งเป็นประวิง และเริ่มมีนางสนมและเด็กรับใช้หาร่มมากางให้ และนั่นทำให้เขายิ่งต้องมองเขม็งอย่างต้องการคำตอบกับเด็กรับใช้ตน ชินเซียนนิ่งเงียบคล้ายคนลำบากใจอย่างหาได้ยากจนเขาต้องถอนหายใจออกมาและนั่งลงดูอาการของพระมารดาเลี้ยงของตนที่ดูจะมึนเบลอ “เสด็จแม่”

    “….เหวินเจี้ยน?”

    “พะยะค่ะ นี่ลูกเอง”

    “โปรดอดทนไว้นะพะยะค่ะฮองเฮา” แม่ทัพหลี่ทูล “ท่านหมอหลวงกำลังจะมาแล้ว”

    เพียงอึดใจแพทย์ประจำราชสำนักสี่คนรวมจางจิ้นฝูก็มาด้วยเช่นกัน คล้ายจะเห็นว่าหมอหลวงชราแปลกใจที่เห็นคนที่ไม่สมควรจะอยู่ที่นี่แต่กระนั้นอาการของฮองเฮาต้องมาก่อน เสวี่ยเอ๋อนั้นดูจะหนักกว่าเพราะนางเป็นคนเดียวที่สลบไสลไม่ได้สติและมีคนกำลังพัดให้ซึ่งจู่ๆก็ดึงตรงคอเสื้อนางให้เปิดออกเล็กน้อยจนมีหลายคนเบิกตากว้าง แต่กระนั้นหมอหลวงกลับว่าขึ้นก่อน “นั่นเป็นวิธีการปฐมพยาบาลผู้สูดควันมากเกินไป ต้องให้อากาศถ่ายเทและคลายเสื้อผ้าให้หลวมเพื่อที่จะได้หายใจได้อย่างเต็มที่ ตรวจดูซินางหายใจอยู่รึเปล่า?”

    มือเล็กๆนั่นไปอังที่จมูกของเสวี่ยเอ๋อก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ท่าทางนั้นทำให้หมอหลวงชราเข้าใจจึงหันไปมองนางกำนัลของฮองเฮาอีกสามคนซึ่งดูแล้วจะไม่เป็นอะไรมาก ดวงตาที่ยังคงไม่ฝ้าฟางหันไปมององค์ชายด้วยแววเห็นอกเห็นใจเมื่อเห็นกับสีหน้าที่ดูกังวลนั่น

    “ทั้งสองไม่เป็นไรแล้วพะยะค่ะ ให้รับอากาศบริสุทธิ์อีกสักครู่ก็จะดีขึ้น แล้วกระหม่อมจะจัดยาให้ด้วยพะยะค่ะ”

    ....หืม? จิ้นฝูถึงกับเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าองค์ชายหนุ่มนั้นปรายตาไปมองเด็กหนุ่มร่างเล็กๆที่ยังคงพัดให้เสวี่ยเอ๋อไม่หยุด แล้วก็ต้องเข้าใจ

    บางทีสิ่งที่องค์ชายกังวลอาจจะไม่ใช่เรื่องของฮองเฮาหรือพระคู่หมั้นก็เป็นได้....

    “ข้าไม่เป็นไรแล้ว” ไท่ฟูฮองเฮาโบกมือปฏิเสธ “ไปดูเสวี่ยเอ๋อเถอะ”

    “แต่...”

    ฮองเฮาหันไปมองยังเด็กหนุ่มที่ใช้ชายฮั่นฝูสะบัดเรียกลมใส่เหล่าเสวี่ยเอ๋อซึ่งยังคงไม่ได้สติ คิ้วโก่งนั้นกดลงเล็กน้อยเมื่อยังรู้สึกมึน แต่กระนั้นก็เอ่ยเรียก “หนุ่มน้อย”

    แต่กระนั้นร่างนั้นก็ยังคงมือเป็นระวิงกับการพัดนั่น และหันมามองเมื่อเด็กรับใช้ชายคนหนึ่งสะกิดและบอก และเมื่อเด็กหนุ่มปริศนานั้นหันมาก็ต้องหรี่ตาเพ่งมอง แต่กระนั้นยังไม่ทันได้พูดรึถามอะไรก็ไอออกมาเสียก่อน

    “ทูลฮองเฮา กระหม่อมคาดว่าพระองค์ควรพักผ่อนเสียก่อนพะยะค่ะ” จางจิ้นฝูโค้งว่า “พระองค์สูดควันเข้าไปอาจจะมีอาการมึนและปวดพระเศียร อย่าเพิ่งตรัสสิ่งใดเลยพะยะค่ะ”

    ไท่ฟูฮองเฮาพยักหน้าก่อนจะลุกขึ้นโดยมีนางกำนัลช่วยพยุง แต่กระนั้นสายตาก็ยังคงมองเด็กหนุ่มที่ฉีกยิ้มไม่เห็นฟันราวกับโล่งอกให้นางจนยิ้มบางตอบพลางว่า “ขอบใจเจ้ามากนะ พวกเรารอดมาได้เพราะเจ้า”

    “ไม่เป็นไรพะยะค่ะ”

    แม้คำนั้นจะฟังดูขัดหูเล็กน้อยแต่กระนั้นฮองเฮาก็ไม่ได้ติดใจ นอกจากพูดต่อขณะกวาดตามองสองบุรุษวัยใกล้เคียงกันที่มีคราบมอมแมม “ไว้ข้าจะให้รางวัลพวกเจ้าทั้งสองคน”

    “ขอบพระทัยพะยะค่ะ” ชินเซียนโค้งรับคำสั้นๆ ฮองเฮามองเด็กหนุ่มอีกคนที่โค้งให้ตนเล็กน้อยก่อนจะกลับตำหนัก ก่อนที่จิ้นฝูจะสั่งแพทย์ประจำราชสำนักสองสามคนที่ตามมาด้วย

    “ตรวจดูอาการของฮองเฮาอย่างใกล้ชิด รวมถึงนางกำนัลเหล่านี้และท่านหญิงหวัง”

    “แต่ว่า...” บรรดาหมอหลวงหันไปมององค์ชายหนุ่มที่ยืนเงียบนิ่งไม่ได้ตรัสสิ่งใดมาพักใหญ่ เพราะการที่จะให้บุรุษถูกตัวสตรีนั้นมันเป็นกิริยาที่ไม่งาม แต่คนที่เป็นถึงพระคู่หมั้นกลับดูจะห่วงน้อยเกินไปหน่อยในสายตาคนนอก หลังจากที่ดูจะมั่นใจแล้วว่าท่านหญิงคนงามไม่ได้เป็นอะไรมากก็นิ่งเงียบราวกับรอคุมเชิงอย่างไรอย่างนั้น

    “อือ....”

    เสียงครางในลำคออย่างแผ่วเบานั้นทำให้คนที่นั่งพัดให้เบิกตากว้างและหันไปหาจางจิ้นฝู มือเล็กนั่นเอื้อมไปกระตุกชายฮั่นฝูของหมอหลวงชราให้หันมาสนใจพร้อมกับที่เปลือกตาของคนที่สลบอยู่นั้นเริ่มเปิดออก

    “ท่านหญิงรู้สึกเช่นไรบ้าง?”

    “..ท่านหมอหลวง”

    “ถูกแล้ว นี่ข้าเอง”

    “เอ่อ ข้า...”

    “ท่านอย่าเพิ่งพูดอะไรเลย”

    “พวกหม่อมฉันจะพยุงท่านหญิงไปเองเพคะ” เหล่านางกำนัลว่าก่อนที่จะพยุงซ้ายขวาคนที่ยังดูสติไม่กลับมาดี แต่กระนั้นเสวี่ยเอ๋อกับกวาดตามองก่อนจะถลาเข้าไปหาองค์ชายหนุ่มทันที “เสด็จพี่เพคะ!”

    มือขาวบางนั้นสั่นริกยามจับที่ท่อนแขนแกร่งนั้น ดวงตาที่ดูเอ่อคลอไปด้วยน้ำแม้ใบหน้าจะมอมแมมกลับยิ่งทำให้ร่างบางดูน่าปกป้องเข้าไปใหญ่ จนทำให้หนุ่มรุ่นหลายคนนั้นอดอิจฉาความโชคดีขององค์ชายหนุ่มไม่ได้ แต่กระนั้นเหวินเจี้ยนกลับไม่มีท่าทีอะไรขณะถาม “เจ้าไม่เจ็บตรงไหนใช่ไหม?”

    “เพคะ....” แม้จะตอบแบบนั้นแต่ใบหน้างามกลับหันซ้ายหันขวาราวกับหวาดระแวงบางสิ่ง และนั่นทำให้เหวินเจี้ยนหรี่ตามองก่อนจะถาม

    “เจ้าเป็นอะไรเสวี่ยเอ๋อ”

    ใบหน้าหวาดหยดนั้นดูกลัวกังวลจนซีด ก่อนจะพูดอย่างแผ่วเบา คนรอบข้างต่างสงสัยกับสิ่งที่ท่านหญิงคนงามเอ่ยกับผู้เป็นคู่หมั้นเพราะว่าบุคคลที่ได้ยินนั้นมีเพียงคนเดียว และหลังจากที่ฟังจบ คิ้วเรียวสวยขององค์ชายหนุ่มก็กดลงอย่างคนไม่มั่นใจกับสิ่งที่ได้ยิน แต่เมื่อใบหน้าหญิงสาวพยักหน้าช้าๆก็จำต้องถอนหายใจอย่างแผ่วเบาก่อนจะรับสั่ง “เจ้ากลับไปพักเถอะ แล้วพี่จะไปหา”

    มุมปากนั้นยกยิ้มบางเบาให้พร้อมกับที่ดึงฝ่ามือนุ่มทั้งสองข้างที่จับอยู่ที่แขนตนออกอย่างเบามือและสุภาพ ก่อนจะว่าต่อ “ขอบใจเจ้ามาก”

    ดวงตาเรียวสวยนั้นหันไปมองเด็กรับใช้ประจำตัวก่อนจะสั่ง “เจ้ากลับตำหนักไปก่อน และรอข้าอยู่ที่ตำหนัก ระหว่างนั้นก็ไปจัดการตัวเองให้เรียบร้อยซะ ส่วนคนอื่นๆให้ไปพักได้”

    “พะยะค่ะ” ชินเซียนรับคำก่อนที่จะสะกิดร่างเล็กๆที่เงียบไม่พูดจาอะไร ไม่รู้ว่าชินเซียนบอกอะไรเสี่ยวหยาง แต่นางพยักหน้าก่อนที่จะเดินไปทางตำหนักชางหลงโดยที่เสี่ยวหยางนั้นเดินกะเผลกเล็กๆคล้ายกับว่าพยายามเดินให้เป็นปกติฝ่าฝนไปและนั่นทำให้เขาขมวดคิ้ว แต่ก็กระทำอะไรไม่ได้เพราะแม่ทัพหลี่ยังอยู่ที่นี่ เหวินเจี้ยนลอบถอนหายใจก่อนจะหันมามองนางกำนัลของเสวี่ยเอ๋อแล้วว่าต่อ “ฝากดูแลเสวี่ยเอ๋อด้วย”

    “เพคะ” พวกนางรับคำก่อนที่จะพยุงท่านหญิงคนงามไป เสวี่ยเอ๋อหันกลับมามองเล็กน้อยก่อนจะโค้งให้เมื่อเห็นว่าเขายิ้มบางนิดๆให้ แต่เมื่อนางหันไปเขาก็เลิกสนใจและกลับมามองแม่ทัพใหญ่ที่ยังคงอยู่ราวกับรู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ปกติ ก่อนที่เขาจะเดินนำไปอีกทางเพื่อหารือบางสิ่งที่อาจกำลังคืบคลานเข้ามา

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×