ปฐมบท
ในศตวรรษที่ 54 ภายในโลกที่เต็มไปด้วยมลพิษ อากาศถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกสีเทาหม่น หนึ่งปีแล้วที่มนุษย์กว่า 81% ได้ขึ้นยานอวกาศไปยังดาวอังคารอันเป็นเสมือนโลกใบที่สอง ทิ้งให้ประชากรณ์กว่า 19% ต้องเผชิญหน้ากับสภาพอากาศที่แปรปรวนทุกๆชั่วโมง สัตว์กลายพันธุ์ การปล้นจากมนุษย์ด้วยกัน
พื้นดินทั้งหมดบนโลกกว่า 98%กลายเป็นป่าอย่างรวดเร็วภายในปีเดียวหลังจากได้รับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนไปมาอย่างบ้าคลั่ง
แม้ในปัจจุบันนั้นมนุษย์ได้ค้นพบศาสตร์พลังอำนาจที่เคยเป็นสิ่งเพ้อฝันตามนิยายแฟนตาซีธรรมดาให้กลายเป็นความจริงในยุคสมัยศตวรรษที่ 31 ซึ่งถูกเรียกกันว่าเป็นยุคสมัยที่รุ่งโรจที่สุดในประวัติศาสตร์
สมัยนั้นมันถูกขนานนามว่า 'สมัยแห่งศาสตร์'
ผลงานค้นพบของนักวิจัยปรากฏการเหนือธรรมชาติได้ค้นพบการควบคุมพลังอำนาจพิเศษทั้ง 3 คือ...
[ศาสตร์แห่งเวทมนต์]
ศาสตร์อำนาจแห่งธรรมชาติที่หยิบยืมกำลังของธาตุต่างๆมาใช้ในรูปแบบตามต้องการ แต่ละบุคคลนั้นจะมีความเข้ากันระว่างธาตุใดธาตุหนึ่งรุนแรงกว่าปรกติจะสามารถหยิบยืมพลังอำนาจในแต่ละธาตุมาใช้ ทว่าขีดจำกัดการใช้นั้นจะขึ้นอยู่กับปัจจัยทั้งสามคือ..พลังอำนาจในการเชื่อมต่อกับธาตุ ความชำนาญ และขีดจำกัดที่มีในแต่ละบุคคล
[ศาสตร์แห่งพลังจิต]
ศาสตร์อำนาจแห่งความนึกคิดอันแรงกล้าที่รุนแรงมากพอจะเปลี่ยนความจริงให้กลายเป็นสิ่งที่ต้องการ แรกเริ่มเดิมทีแล้วพลังแห่งศาสตร์นี้คือคลื่นสมองของผู้คนที่รุนแรง มันสามารถเปลี่ยนหลายสิ่งหลายอย่างให้กลายมาเป็นสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ แต่ผู้ฝึกพลังสายนี้ส่วนมากจะเน้นฝึกใช้คุณสมบัติที่ตัวเองเคยชินเพียงแค่รูปแบบเดียว เพราะการฝึกจิตมากกว่าสองรูปแบบนี้นใช้เวลานานกว่าปรกติ
[ศาสตร์แห่งปราณ]
ศาสตร์อำนาจแห่งพลังชีวิตอันแข็งแกร่งที่ถูกฝึกควบคุมจนเชี่ยวชาญมากพอในการที่จะดึงศักยภาพที่แท้จริงของร่างกายออกมา ศาสตร์นี้เป็นศาสตร์ที่ควบคุมการใหลเวียนของพลังชีวิตที่ใหลออกมารอบกายให้เกิดประโยชน์ มีความสามารถในการตรวจสอบและรักษาอาการผิดปรกติของร่างกายได้ไวกว่าศาสตร์อื่นๆ รวมทั้งผู้ฝึกพลังสายนี้จะมีอายุขัยยืนยาวกว่าคนปรกติ
แต่แม้เหล่าผู้คนจะเชี่ยวชาญพลังอำนาจที่อำนวยความสะดวกให้กับการดำรงชีพ แต่มนุษย์อีก 19% บนโลกนั้นต่างก็ต้องเผชิญกับอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างวิปริตทุกๆหนึ่งชั่วโมง สัตว์ร้ายที่เกิดจากการกลายพันธุ์ การปล้นฆ่าของเหล่าโจร และสงครามแย่งชิงทรัพยากรณ์ของกองกำลังแต่ละฝ่าย
สัตว์ร้ายจำนวนมากแพร่พันธุ์ได้รวดเร็วอย่างน่ากลัวหลังจากที่พวกมันรับเชื้อไวรัสต่างๆที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติ ซึ่งสารเคมีเหล่านี้เป็นสิ่งที่มาจากนอกโลกได้ทะลุชั้นบรรยากาศเข้ามาหลังเกิดเหตุการณ์สนามแม่เหล็กของโลกอ่อนกำลังลงจนแทบสลายไป
เพียงหนึ่งปี...เหล่าสัตว์กลายพันธุ์ได้มีวิวัฒนาการจนสามาถใช้พลังอำนาจแห่งศาสตร์ 1 ใน 3 สายได้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นเรื่องลำบากที่สุดสำหรับมนุษย์ผู้เคยปกครองแผ่นดินในอดีต
ผู้คนต่างขาดแคลนน้ำสะอาด อาหาร และที่อยู่จนล้มตายเกินกว่าครึ่งภายในปีเดียว หากรวมผู้เสียชีวิตจากการไล่ล่าของเหล่าสัตว์กลายพันธุ์ และตายจากการถูกโรคและไวรัสเข้าแทรกแล้วยิ่งน้อยลงจนน่าใจหาย
ปัจจุบันโลกมีมนุษย์อาศัยอยู่น้อยกว่า 3% จากจำนวน 19% ที่มีอยู่แต่เดิม
นี่คือความหายนะแห่งการสูญสิ้นเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างแท้จริง
ท่ามกลางซากปรักหักพังของตึกสูงระฟ้านับร้อยๆชั้นซึ่งมีต้นไม้ ตะไคร่หรือมอสที่วิวัฒนาการให้เติบโตโดยไม่ต้องการสารอาหารจากดินปกคลุมไปทั่ว สายลมอันเกรี้ยวกราดได้ฉีกกระชากตึก ต้นไม้ ซากและมนุษย์พร้อมสัตว์กลายพันธุ์ที่หนีไม่ทันลอยไปตามกระแส
พายุขนาดยักษ์ที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางกว่า 200 เมตรพัดกวาดสิ่งต่างๆจนเส้นทางที่มันผ่านได้ราบเรียบจนน่ากลัว ใจกลางของมันมีลูกบอลขนาดใหญ่สีดำอมม่วงที่ปล่อยกระแสไฟฟ้าสีม่วงเข้มจนเกือบดำออกมาเป็นพักๆ
นั่นเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าพายุนี้ไม่ใช่พายุตามปรกติ
เด็กหนุ่มผมสีดำหลบอยู่หลังซากตึกที่มีขนาดใหญ่มองพายุที่กำลังเข้ามาใกล้ด้วยสายตาเรียบนิ่ง จากการคาดคำนวณแล้วไม่ถึงนาทีมันจะเข้ามาดึงร่างเขาและเด็กชายผมสีเขียวที่สลบอยู่ในวงแขนของเขาไปฉีกกระชากอยู่ในวังวนของพายุแน่ๆ
แม้ร่างกายของเขาและเด็กชายผมสีเขียวจะสะบัดสะบอมจนเสื้อผ้าที่สวมใส่นั้นฉีกขาดเหมือนผ้าเช็ดเท้า ไม่แปลกที่จะมีสภาพแบบนี้เพราะไม่นานมานี้เขาเพิ่งต่อสู้เพื่อแย่งชิงเสบียงอาหารของพวกฝ่ายขุนโจรซึ่งจบศึกไม่ถึงสิบห้านาที
สาเหตุที่จบศึกเพราะพายุที่กำลังมานี่แหละ
เลือดจากศรีษะใหลอาบลงมาจนต้องปิดตาขวาไว้ไม่ให้เลือดเข้าตา แขนซ้ายหิ้วเด็กชายไว้ข้างลำตัว แขนขวานั้นมีกระดูกร้าวช่วงต้นแขนจนขยับได้ไม่มากนัก
ในสถานะการณ์ตอนนี้โอกาสรอดตายมีเพียง 10% โดยไม่รวบกับโอกาสที่จะเกิดเหตุไม่คาดฝัน
แม้เด็กหนุ่มจะเป็นหน่วยไล่ล่าเสบียงของกองกำลังพันธุ์มิตรที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นอัจฉริยะผู้เชี่ยวชาญพลังอำนาจทั้ง 3 สายซึ่งหาได้ยากยิ่งกว่ายากในสังคมปัจจุบัน แต่พลังเวทของเขามีน้อยจนแทบจะแห้งเหือดหลังจากใช้มันไล่ล่าพวกพันธมิตรโจรเพื่อคุ้มกันเสบียงที่ล่าได้ พลังจิตก็เกลี้ยงเกลาไม่แพ้พลังปราณที่เหลือไม่ถึงหนึ่งในสิบ
นัยน์ตาสีแดงเหลือบมองไปรอบๆพร้อมตัดสินใจฝืนแขนขวายกขึ้นใช้เวทที่เหลือรวบรวมไว้บนฝ่ามือ ปลายนิ้วทั้งห้าค่อยๆกุมมือที่มีแสงสีม่วงอมดำอันเป็นพลังธาตุแห่งมิติไว้พร้อมง้างแขนชกอากาศโดยไม่สนใจความเจ็บปวดจากกระดูกและกล้ามเนื้อที่บอบช้ำ
เสียงเพล้งดังสนั่นพร้อมอากาศที่แตกออกกลายเป็นช่องคล้ายกระจกที่แตก
ภายในรอยแยกของอากาศนั้นเผยให้เห็นผู้คนนับสิบที่ดูเหมือนอยู่ในห้องอึมครึม เด็กหนุ่มคาดว่ามันคงเป็นห้องหลบภัยพายุมิติที่สร้างขึ้นอยู่ใต้ดิน
"ครอส!! อาลัม!! พวกนายปลอดภัยดีใช่ใหม?!"
ชายร่างยักษ์ที่มีกล้ามเป็นมัดๆเหมือนนักเพาะกายรีบตะโกนถามยามที่ได้เห็นร่างของเด็กหนุ่มนามครอสและเด็กชายนามอาลัม
ทุกคนที่อยู่ในต้องหันควับตามเสียง เพียงพริบตาเดียวทุกคนต่างก็วิ่งเข้ามาด้วยความเป็นห่วง
"ครอส!! รีบเข้ามาเร็ว!!"
"นายบาดเจ็บ!! รับเข้ามาเร็วเข้า!!"
"บ้าเอ๊ย!! เข้าไปไม่ได้!!"
เสียงโหวกเหวกโวยวายดังด้วยความห่วงใย ครอสไม่สนใจเสียงเหล่านั้นและจับร่างของอาลัมเหวี่ยงเข้าใส่ในรอยแยกบนอากาศซึ่งเป็นช่องให้ลอดผ่านพอดีตัวกับเด็กชายอย่างหวุดหวิด
ชายร่างยักษ์ที่ทักครอสเป็นคนแรกรีบรับร่างของเด็กชายไว้ แต่สายตานั้นกลับมองหน้าเด็กหนุ่มผู้เป็นเหมือนศูนย์กลางของหน่วยไล่ล่าเสบียงของเขาด้วยแววตาที่กำลังวิงวอนจนแดงก่ำ
ครอสพิงร่างนาบไปกับกำแพงที่มีแต่มอสสีเขียวเกาะจนเหมือนกำแพงสีเขียวเข้ม นัยน์ตาสีแดงจับจ้องมองเหล่าเพื่อนพ้องที่เคยฝ่าความตายและการดิ้นรนเอาชีวิตรอดมาตลอดหลายปีด้วยสายตาเรียบเฉยที่แฝงไปด้วยความรู้สึกแห่งการจากลา
ชายเพาะกล้ามผู้เป็นหัวหน้ามองเห็นสิ่งที่แฝงเร้นในดวงตาของเด็กหนุ่ม และนั่นทำให้เขาทุบม่านอากาศที่ขวางกั้นไม่ให้อีกฝ่ายข้ามรอยแยกมาอย่างบ้าคลั่ง
"ไอ้บ้าเอ๊ย!! อย่ามางี่เง่านะเว้ย!! ไม่ต้องมาทำสายตาเตรียมตัวตายแบบนั้นแล้วกระโจนข้ามมาเดียวนี้นะไอ้บ้าเอ้ย!!"
ครอสมองรอยแยกมิติบนอากาศค่อยๆประกอบซ่อมแซมตัวเองอย่างช้าๆ แม้เขาอยากจะข้ามไปแค่ใหนแต่รอยแยกมิตินั้นมันมีขนาดมากพอแค่ให้เด็กอย่างอาลัมข้ามผ่านเท่านั้น เพราะวิชาเวทแยกมิตินั้นต้องจ่ายพลังเวทตามระยะทางและขนาดของช่องมิติ ยิ่งเป้าหมายเป็นหลุมหลบภัยพายุมิติซึ่งห่างจากตัวเขานับสิบๆกิโลเมตรก็กินพลังเวทเกือบทั้งหมดจนขนาดช่องปากทางมิติที่เปิดได้ก็มีเพียงขนาดเล็กๆเท่าเด็ก
เสียงกร๊อบแกรบดังสนั่น นัยน์ตาเหลือบมองตึกที่ตนเองใช้หลบภัยนั้นหักโค่นและลอยไปตามกระแสลม สายลมที่วิ่งผ่านเองก็เริ่มรุนแรงจนเขาแทบจะยืนไม่อยู่
เสียงเอะอะโวยวายของผู้คนที่กำลังเรียกเขาอยู่ทางฝั่งตรงข้ามของรอยแยกมิติยังดังอยู่เนื่องๆ เขาเหลือบมองเพียงครู่หนึ่งก่อนหันมายืนตัวตรงในท่ากางขาเล็กน้อย
เสียงโวยวายเริ่มสงบลงพร้อมกับน้ำตาที่ใหลออกมาจากเหล่าพวกพ้อง แม้แต่ชายนักกล้ามผู้เป็นหัวหน้าก็อดกลั้นไม่ได้ที่จะเริ่มร่ำให้
"พี่ชาย!!"
เสียงกรีดร้องของอาลัม เด็กน้อยผู้มีผมสีเขียวที่ฝื้นสติกำลังเอื้อมมือมาาแต่ติดม่านอากาศทำให้ไม่สามารถทะลุผ่านมาได้
รอยยิ้มค่อยๆปรากฏบนใบหน้าของเด็กหนุ่มพร้อมนัยน์ตาที่อ่อนโยน
เด็กชายส่งเสียงร้องหาเขาพร้อมๆกับสองมือที่ทุบม่านอากาศอย่างบ้าคลั่งยามมองใบหน้าของเด็กหนุ่มที่ตนเรียกขานว่าพี่ชาย ครอสล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วโยนผ่านช่องว่างมิติมาให้เด็กชาย
เขารับไว้อย่างรวดเร็วก่อนมองเด็กหนุ่มทั้งน้ำตา มีดพับลวดลายสวยงามที่อยู่ในมือนั้นสั่นเล็กๆตามสองมือที่ถืออยู่
อาลัมมองรอยยิ้มของพี่ชายที่ได้เห็นเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของชีวิต รอยแยกมิติที่ถูกปิดลงจนเหลือช่องเล็กๆนั้นกำลังซ่อมแซมตัวเองอย่างต่อเนื่อง เสียงของพี่ชายดังขึ้นเป็นเสียงสุดท้ายอย่างอ่อนโยน
แต่เป็นเสียงสุดท้ายที่เจ็บปวดของเด็กชาย
"อาลัม..ทุกคน.....จงอยู่รอดต่อไป อย่ารีบด่วนตามฉันไปในนรกล่ะ"
มันเป็นประโยคสุดท้ายที่เด็กหนุ่มได้กล่าวไว้
ครอสดึงปราณครอบคลุมกล้ามเนื้อและอวัยวะภายในทุกส่วน ผิวและร่างกายภายนอกจะค่อยๆรวบรวมพลังจิตที่มีปกคลุมจนถึงขีดจำกัด มันเป็นช่วงเลาเดียวกับที่ร่างกายของเขาค่อยๆลอยขึ้นไปตามแรงลมที่ดึงกระชากร่างเขาให้ลอย
นั่นคือภาพสุดท้ายในความทรงจำของเด็กชายที่เห็นก่อนรอยแยกมิติจะปิดสนิท
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
คาดเดาได้เลย.....เรื่องนี้มีแนวลบ (หากว่าเบื่อน่ะนะ)
ไม่ต้องตามมาก.....ขนาดคนแต่งยังไม่คาดหวังเลย
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น