Glass Of Infinity Darkness : สำนึกสุดท้ายแห่งนิรันดร์ - นิยาย Glass Of Infinity Darkness : สำนึกสุดท้ายแห่งนิรันดร์ : Dek-D.com - Writer
×

    Glass Of Infinity Darkness : สำนึกสุดท้ายแห่งนิรันดร์

    ใครว่าความมืดมีสีดำ...? ผู้คนต่างเข้าใจผิดมากมายว่าความมืดนั้นมีสีดำที่น่าหวาดกลัว ประวัติศาสตร์อันยาวนานไม่เคยมีใครได้สัมผัส แต่กลับมีมนุษย์ผู้ก้าวข้ามมิติได้เข้ามาสู่โลกในฐานะผู้ครอบครองแห่งนิรันดร์

    ผู้เข้าชมรวม

    2,483

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    2.48K

    ความคิดเห็น


    34

    คนติดตาม


    77
    หมวด :  แฟนตาซี
    จำนวนตอน :  6 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  17 ม.ค. 58 / 00:45 น.

    อีบุ๊กจากนิยาย ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ


    ปฐมบท

    ในศตวรรษที่ 54 ภายในโลกที่เต็มไปด้วยมลพิษ  อากาศถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกสีเทาหม่น  หนึ่งปีแล้วที่มนุษย์กว่า 81% ได้ขึ้นยานอวกาศไปยังดาวอังคารอันเป็นเสมือนโลกใบที่สอง  ทิ้งให้ประชากรณ์กว่า 19% ต้องเผชิญหน้ากับสภาพอากาศที่แปรปรวนทุกๆชั่วโมง สัตว์กลายพันธุ์ การปล้นจากมนุษย์ด้วยกัน

    พื้นดินทั้งหมดบนโลกกว่า 98%กลายเป็นป่าอย่างรวดเร็วภายในปีเดียวหลังจากได้รับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนไปมาอย่างบ้าคลั่ง

    แม้ในปัจจุบันนั้นมนุษย์ได้ค้นพบศาสตร์พลังอำนาจที่เคยเป็นสิ่งเพ้อฝันตามนิยายแฟนตาซีธรรมดาให้กลายเป็นความจริงในยุคสมัยศตวรรษที่ 31 ซึ่งถูกเรียกกันว่าเป็นยุคสมัยที่รุ่งโรจที่สุดในประวัติศาสตร์  

    สมัยนั้นมันถูกขนานนามว่า 'สมัยแห่งศาสตร์'

    ผลงานค้นพบของนักวิจัยปรากฏการเหนือธรรมชาติได้ค้นพบการควบคุมพลังอำนาจพิเศษทั้ง 3 คือ...

    [ศาสตร์แห่งเวทมนต์]
    ศาสตร์อำนาจแห่งธรรมชาติที่หยิบยืมกำลังของธาตุต่างๆมาใช้ในรูปแบบตามต้องการ  แต่ละบุคคลนั้นจะมีความเข้ากันระว่างธาตุใดธาตุหนึ่งรุนแรงกว่าปรกติจะสามารถหยิบยืมพลังอำนาจในแต่ละธาตุมาใช้  ทว่าขีดจำกัดการใช้นั้นจะขึ้นอยู่กับปัจจัยทั้งสามคือ..พลังอำนาจในการเชื่อมต่อกับธาตุ ความชำนาญ และขีดจำกัดที่มีในแต่ละบุคคล

    [ศาสตร์แห่งพลังจิต]
    ศาสตร์อำนาจแห่งความนึกคิดอันแรงกล้าที่รุนแรงมากพอจะเปลี่ยนความจริงให้กลายเป็นสิ่งที่ต้องการ  แรกเริ่มเดิมทีแล้วพลังแห่งศาสตร์นี้คือคลื่นสมองของผู้คนที่รุนแรง  มันสามารถเปลี่ยนหลายสิ่งหลายอย่างให้กลายมาเป็นสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ  แต่ผู้ฝึกพลังสายนี้ส่วนมากจะเน้นฝึกใช้คุณสมบัติที่ตัวเองเคยชินเพียงแค่รูปแบบเดียว  เพราะการฝึกจิตมากกว่าสองรูปแบบนี้นใช้เวลานานกว่าปรกติ

    [ศาสตร์แห่งปราณ]
    ศาสตร์อำนาจแห่งพลังชีวิตอันแข็งแกร่งที่ถูกฝึกควบคุมจนเชี่ยวชาญมากพอในการที่จะดึงศักยภาพที่แท้จริงของร่างกายออกมา  ศาสตร์นี้เป็นศาสตร์ที่ควบคุมการใหลเวียนของพลังชีวิตที่ใหลออกมารอบกายให้เกิดประโยชน์  มีความสามารถในการตรวจสอบและรักษาอาการผิดปรกติของร่างกายได้ไวกว่าศาสตร์อื่นๆ  รวมทั้งผู้ฝึกพลังสายนี้จะมีอายุขัยยืนยาวกว่าคนปรกติ

    แต่แม้เหล่าผู้คนจะเชี่ยวชาญพลังอำนาจที่อำนวยความสะดวกให้กับการดำรงชีพ  แต่มนุษย์อีก 19% บนโลกนั้นต่างก็ต้องเผชิญกับอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างวิปริตทุกๆหนึ่งชั่วโมง สัตว์ร้ายที่เกิดจากการกลายพันธุ์ การปล้นฆ่าของเหล่าโจร และสงครามแย่งชิงทรัพยากรณ์ของกองกำลังแต่ละฝ่าย

    สัตว์ร้ายจำนวนมากแพร่พันธุ์ได้รวดเร็วอย่างน่ากลัวหลังจากที่พวกมันรับเชื้อไวรัสต่างๆที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติ  ซึ่งสารเคมีเหล่านี้เป็นสิ่งที่มาจากนอกโลกได้ทะลุชั้นบรรยากาศเข้ามาหลังเกิดเหตุการณ์สนามแม่เหล็กของโลกอ่อนกำลังลงจนแทบสลายไป

    เพียงหนึ่งปี...เหล่าสัตว์กลายพันธุ์ได้มีวิวัฒนาการจนสามาถใช้พลังอำนาจแห่งศาสตร์ 1 ใน 3 สายได้ในชีวิตประจำวัน  ซึ่งเป็นเรื่องลำบากที่สุดสำหรับมนุษย์ผู้เคยปกครองแผ่นดินในอดีต

    ผู้คนต่างขาดแคลนน้ำสะอาด อาหาร และที่อยู่จนล้มตายเกินกว่าครึ่งภายในปีเดียว  หากรวมผู้เสียชีวิตจากการไล่ล่าของเหล่าสัตว์กลายพันธุ์  และตายจากการถูกโรคและไวรัสเข้าแทรกแล้วยิ่งน้อยลงจนน่าใจหาย

    ปัจจุบันโลกมีมนุษย์อาศัยอยู่น้อยกว่า 3% จากจำนวน 19% ที่มีอยู่แต่เดิม

    นี่คือความหายนะแห่งการสูญสิ้นเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างแท้จริง

    ท่ามกลางซากปรักหักพังของตึกสูงระฟ้านับร้อยๆชั้นซึ่งมีต้นไม้ ตะไคร่หรือมอสที่วิวัฒนาการให้เติบโตโดยไม่ต้องการสารอาหารจากดินปกคลุมไปทั่ว  สายลมอันเกรี้ยวกราดได้ฉีกกระชากตึก ต้นไม้ ซากและมนุษย์พร้อมสัตว์กลายพันธุ์ที่หนีไม่ทันลอยไปตามกระแส

    พายุขนาดยักษ์ที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางกว่า 200 เมตรพัดกวาดสิ่งต่างๆจนเส้นทางที่มันผ่านได้ราบเรียบจนน่ากลัว  ใจกลางของมันมีลูกบอลขนาดใหญ่สีดำอมม่วงที่ปล่อยกระแสไฟฟ้าสีม่วงเข้มจนเกือบดำออกมาเป็นพักๆ

    นั่นเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าพายุนี้ไม่ใช่พายุตามปรกติ

    เด็กหนุ่มผมสีดำหลบอยู่หลังซากตึกที่มีขนาดใหญ่มองพายุที่กำลังเข้ามาใกล้ด้วยสายตาเรียบนิ่ง  จากการคาดคำนวณแล้วไม่ถึงนาทีมันจะเข้ามาดึงร่างเขาและเด็กชายผมสีเขียวที่สลบอยู่ในวงแขนของเขาไปฉีกกระชากอยู่ในวังวนของพายุแน่ๆ

    แม้ร่างกายของเขาและเด็กชายผมสีเขียวจะสะบัดสะบอมจนเสื้อผ้าที่สวมใส่นั้นฉีกขาดเหมือนผ้าเช็ดเท้า  ไม่แปลกที่จะมีสภาพแบบนี้เพราะไม่นานมานี้เขาเพิ่งต่อสู้เพื่อแย่งชิงเสบียงอาหารของพวกฝ่ายขุนโจรซึ่งจบศึกไม่ถึงสิบห้านาที

    สาเหตุที่จบศึกเพราะพายุที่กำลังมานี่แหละ

    เลือดจากศรีษะใหลอาบลงมาจนต้องปิดตาขวาไว้ไม่ให้เลือดเข้าตา  แขนซ้ายหิ้วเด็กชายไว้ข้างลำตัว  แขนขวานั้นมีกระดูกร้าวช่วงต้นแขนจนขยับได้ไม่มากนัก

    ในสถานะการณ์ตอนนี้โอกาสรอดตายมีเพียง 10% โดยไม่รวบกับโอกาสที่จะเกิดเหตุไม่คาดฝัน

    แม้เด็กหนุ่มจะเป็นหน่วยไล่ล่าเสบียงของกองกำลังพันธุ์มิตรที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นอัจฉริยะผู้เชี่ยวชาญพลังอำนาจทั้ง 3 สายซึ่งหาได้ยากยิ่งกว่ายากในสังคมปัจจุบัน  แต่พลังเวทของเขามีน้อยจนแทบจะแห้งเหือดหลังจากใช้มันไล่ล่าพวกพันธมิตรโจรเพื่อคุ้มกันเสบียงที่ล่าได้  พลังจิตก็เกลี้ยงเกลาไม่แพ้พลังปราณที่เหลือไม่ถึงหนึ่งในสิบ

    นัยน์ตาสีแดงเหลือบมองไปรอบๆพร้อมตัดสินใจฝืนแขนขวายกขึ้นใช้เวทที่เหลือรวบรวมไว้บนฝ่ามือ  ปลายนิ้วทั้งห้าค่อยๆกุมมือที่มีแสงสีม่วงอมดำอันเป็นพลังธาตุแห่งมิติไว้พร้อมง้างแขนชกอากาศโดยไม่สนใจความเจ็บปวดจากกระดูกและกล้ามเนื้อที่บอบช้ำ

    เสียงเพล้งดังสนั่นพร้อมอากาศที่แตกออกกลายเป็นช่องคล้ายกระจกที่แตก

    ภายในรอยแยกของอากาศนั้นเผยให้เห็นผู้คนนับสิบที่ดูเหมือนอยู่ในห้องอึมครึม  เด็กหนุ่มคาดว่ามันคงเป็นห้องหลบภัยพายุมิติที่สร้างขึ้นอยู่ใต้ดิน

    "ครอส!! อาลัม!! พวกนายปลอดภัยดีใช่ใหม?!"
    ชายร่างยักษ์ที่มีกล้ามเป็นมัดๆเหมือนนักเพาะกายรีบตะโกนถามยามที่ได้เห็นร่างของเด็กหนุ่มนามครอสและเด็กชายนามอาลัม

    ทุกคนที่อยู่ในต้องหันควับตามเสียง  เพียงพริบตาเดียวทุกคนต่างก็วิ่งเข้ามาด้วยความเป็นห่วง

    "ครอส!! รีบเข้ามาเร็ว!!"

    "นายบาดเจ็บ!!  รับเข้ามาเร็วเข้า!!"

    "บ้าเอ๊ย!!  เข้าไปไม่ได้!!"

    เสียงโหวกเหวกโวยวายดังด้วยความห่วงใย  ครอสไม่สนใจเสียงเหล่านั้นและจับร่างของอาลัมเหวี่ยงเข้าใส่ในรอยแยกบนอากาศซึ่งเป็นช่องให้ลอดผ่านพอดีตัวกับเด็กชายอย่างหวุดหวิด

    ชายร่างยักษ์ที่ทักครอสเป็นคนแรกรีบรับร่างของเด็กชายไว้  แต่สายตานั้นกลับมองหน้าเด็กหนุ่มผู้เป็นเหมือนศูนย์กลางของหน่วยไล่ล่าเสบียงของเขาด้วยแววตาที่กำลังวิงวอนจนแดงก่ำ

    ครอสพิงร่างนาบไปกับกำแพงที่มีแต่มอสสีเขียวเกาะจนเหมือนกำแพงสีเขียวเข้ม  นัยน์ตาสีแดงจับจ้องมองเหล่าเพื่อนพ้องที่เคยฝ่าความตายและการดิ้นรนเอาชีวิตรอดมาตลอดหลายปีด้วยสายตาเรียบเฉยที่แฝงไปด้วยความรู้สึกแห่งการจากลา

    ชายเพาะกล้ามผู้เป็นหัวหน้ามองเห็นสิ่งที่แฝงเร้นในดวงตาของเด็กหนุ่ม  และนั่นทำให้เขาทุบม่านอากาศที่ขวางกั้นไม่ให้อีกฝ่ายข้ามรอยแยกมาอย่างบ้าคลั่ง

    "ไอ้บ้าเอ๊ย!!  อย่ามางี่เง่านะเว้ย!!  ไม่ต้องมาทำสายตาเตรียมตัวตายแบบนั้นแล้วกระโจนข้ามมาเดียวนี้นะไอ้บ้าเอ้ย!!"

    ครอสมองรอยแยกมิติบนอากาศค่อยๆประกอบซ่อมแซมตัวเองอย่างช้าๆ  แม้เขาอยากจะข้ามไปแค่ใหนแต่รอยแยกมิตินั้นมันมีขนาดมากพอแค่ให้เด็กอย่างอาลัมข้ามผ่านเท่านั้น  เพราะวิชาเวทแยกมิตินั้นต้องจ่ายพลังเวทตามระยะทางและขนาดของช่องมิติ  ยิ่งเป้าหมายเป็นหลุมหลบภัยพายุมิติซึ่งห่างจากตัวเขานับสิบๆกิโลเมตรก็กินพลังเวทเกือบทั้งหมดจนขนาดช่องปากทางมิติที่เปิดได้ก็มีเพียงขนาดเล็กๆเท่าเด็ก

    เสียงกร๊อบแกรบดังสนั่น  นัยน์ตาเหลือบมองตึกที่ตนเองใช้หลบภัยนั้นหักโค่นและลอยไปตามกระแสลม  สายลมที่วิ่งผ่านเองก็เริ่มรุนแรงจนเขาแทบจะยืนไม่อยู่

    เสียงเอะอะโวยวายของผู้คนที่กำลังเรียกเขาอยู่ทางฝั่งตรงข้ามของรอยแยกมิติยังดังอยู่เนื่องๆ  เขาเหลือบมองเพียงครู่หนึ่งก่อนหันมายืนตัวตรงในท่ากางขาเล็กน้อย

    เสียงโวยวายเริ่มสงบลงพร้อมกับน้ำตาที่ใหลออกมาจากเหล่าพวกพ้อง  แม้แต่ชายนักกล้ามผู้เป็นหัวหน้าก็อดกลั้นไม่ได้ที่จะเริ่มร่ำให้

    "พี่ชาย!!"
    เสียงกรีดร้องของอาลัม  เด็กน้อยผู้มีผมสีเขียวที่ฝื้นสติกำลังเอื้อมมือมาาแต่ติดม่านอากาศทำให้ไม่สามารถทะลุผ่านมาได้

    รอยยิ้มค่อยๆปรากฏบนใบหน้าของเด็กหนุ่มพร้อมนัยน์ตาที่อ่อนโยน

    เด็กชายส่งเสียงร้องหาเขาพร้อมๆกับสองมือที่ทุบม่านอากาศอย่างบ้าคลั่งยามมองใบหน้าของเด็กหนุ่มที่ตนเรียกขานว่าพี่ชาย  ครอสล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วโยนผ่านช่องว่างมิติมาให้เด็กชาย

    เขารับไว้อย่างรวดเร็วก่อนมองเด็กหนุ่มทั้งน้ำตา  มีดพับลวดลายสวยงามที่อยู่ในมือนั้นสั่นเล็กๆตามสองมือที่ถืออยู่

    อาลัมมองรอยยิ้มของพี่ชายที่ได้เห็นเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของชีวิต  รอยแยกมิติที่ถูกปิดลงจนเหลือช่องเล็กๆนั้นกำลังซ่อมแซมตัวเองอย่างต่อเนื่อง  เสียงของพี่ชายดังขึ้นเป็นเสียงสุดท้ายอย่างอ่อนโยน

    แต่เป็นเสียงสุดท้ายที่เจ็บปวดของเด็กชาย

    "อาลัม..ทุกคน
    .....จงอยู่รอดต่อไป  อย่ารีบด่วนตามฉันไปในนรกล่ะ"

    มันเป็นประโยคสุดท้ายที่เด็กหนุ่มได้กล่าวไว้ 

    ครอสดึงปราณครอบคลุมกล้ามเนื้อและอวัยวะภายในทุกส่วน  ผิวและร่างกายภายนอกจะค่อยๆรวบรวมพลังจิตที่มีปกคลุมจนถึงขีดจำกัด  มันเป็นช่วงเลาเดียวกับที่ร่างกายของเขาค่อยๆลอยขึ้นไปตามแรงลมที่ดึงกระชากร่างเขาให้ลอย

    นั่นคือภาพสุดท้ายในความทรงจำของเด็กชายที่เห็นก่อนรอยแยกมิติจะปิดสนิท


    -------------------------------------------------------------------------------------------------------
     

    คาดเดาได้เลย.....เรื่องนี้มีแนวลบ (หากว่าเบื่อน่ะนะ)

    ไม่ต้องตามมาก.....ขนาดคนแต่งยังไม่คาดหวังเลย











     

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    คำนิยม Top

    ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

    คำนิยมล่าสุด

    ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

    ความคิดเห็น