Behind Blue Eyes - Behind Blue Eyes นิยาย Behind Blue Eyes : Dek-D.com - Writer

    Behind Blue Eyes

    เธอเป็นดั่งเทพธิดาจุติลงมาเกิดใหม่ แต่ใครเล่าจะเชื่อ ว่าเพียงหนึ่งวันหลังจากได้พบกันครั้งแรก เธอจะกำลังหลับตาพริ้มอยู่ในอ้อมกอดของผม...ในสภาพไร้ดวงวิญญาณ

    ผู้เข้าชมรวม

    766

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    8

    ผู้เข้าชมรวม


    766

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  หักมุม
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  15 มี.ค. 50 / 19:54 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ...ตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมได้สบสายตากับดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลลึกคู่นั้น ผมก็ไม่อาจละสายตาจากไปได้ ใบหน้าขาวนวลไร้ร่องรอยตำหนิใดๆ ริมฝีปากสีแดงเรื่อเผยอออกน้อยๆ เรือนผมสีดำสนิทราวรัตติกาล เสียงอ่อนหวานราวนกไนติงเกลขับกล่อมท่วงทำนองเป็นบทเพลงต้อนรับรุ่งอรุณ...

      เธอเป็นดั่งเทพธิดาจุติลงมาเกิดใหม่ แม้มิต้องมองรอบกายก็รู้สึกได้ถึงสายตาของชายหนุ่มรอบห้องที่จับจ้องหวังจะเป็นผู้เด็ดเธอมาเชยชม...แต่ใครเล่าจะเชื่อ ว่าเพียงหนึ่งวันหลังจากได้พบกันครั้งแรก เธอจะกำลังหลับตาพริ้มอยู่ในอ้อมกอดของผม...ในสภาพไร้ดวงวิญญาณ

      **********

      คฤหาสน์หลังโตของตระกูลฟัลบูเก้ผู้มั่งคั่งยังคงมีแสงเทียนส่องสว่างมิผิดจากยามกลางวัน เสียงเพลงบรรเลงดังกระหึ่มโอ้อวดฐานะของตนโดยไม่สนใจบรรยากาศอันเงียบสงบรอบข้างแม้แต่น้อย ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในละแวกนี้ก็ไม่ได้รู้สึกรำคาญ หากแต่เป็นเอือมระอา เนื่องด้วยงานเลี้ยงถูกจัดขึ้นแทบทุกคืนตั้งแต่พวกเขาจำความได้ เช่นนั้นแล้วในคืนนี้มันจะต่างอะไรกันเล่ากับคืนอื่นๆ

      เหล่าผู้มีฐานะทั้งทางสังคมและทางเศรษฐกิจต่างก็พากันแต่งกายด้วยเสื้อผ้างามวิจิตร ตัดเย็บจากผ้านำเข้าราคาสูงลิ่ว ยาวร่วมร้อยเมตร เดินเชิดหน้าเข้างานเลี้ยงที่ถูกจัดขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นถึงเงินที่เหลือเฟือของเจ้าของบ้านซึ่งคงจะพอเลี้ยงคนทั่วทั้งลอนดอนไปได้ถึงสิบปีเต็มเป็นอย่างน้อย ข้ารับใช้ผู้ตรวจบัตรเข้างานมัวแต่สาละวนอยู่กับการจัดระเบียบรถม้าที่พากันมาอย่างไม่หยุดหย่อน จึงมิได้ให้ความสนใจกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่มีพิษมีภัยมากมายนัก ชายหนุ่มในชุดทักสิโด้สีดำสนิทที่เดินเข้างานด้วยอาการประหม่าอย่างเห็นได้ชัดก็เป็นหนึ่งในสิ่งเล็กน้อยเหล่านั้น

      "คริสเตน...เมื่อไหร่ลูกจึงจะเลิกประหม่ากับการมางานเลี้ยงเช่นนี้เสียที นี่ไม่ใช่การออกงานครั้งแรกของลูกเสียหน่อย...หนำซ้ำเซอร์ลีห์เจ้าของคฤหาสน์ก็ยังเป็นเพื่อนสนิทของคุณพ่อ ยังมีสิ่งใดให้ต้องเป็นกังวลอีก" สตรีสูงวัยในชุดกระโปรงสุ่มไก่คอกว้างสีน้ำเงินเข้มกล่าวอย่างเอือมระอากับบุตรชาย ในขณะที่สามีหันไปบอกชื่อให้กับนายทวารเพื่อประกาศการมาถึงของทั้งสามคน

      "ท่านลอร์ดและคุณหญิงพาเลนเธียร์..." เสียงของข้ารับใช้หนุ่มประกาศก้องพอเป็นพิธี ผู้มาร่วมงานและเจ้าของชื่อเองก็มิได้ให้ความสนใจกับธรรมเนียมนี้สักเท่าไหร่นัก ก็ในเมื่อมีคนเข้ามาในงานถี่เสียจนเสียงประกาศชื่อและยศแทบจะกลบเสียงเพลงไปจนหมดสิ้นเช่นนี้

      คืนนี้ดูจะต่างไปจากคืนอื่นๆ เล็กน้อยก็ตรงที่งานนี้เป็นงานเปิดตัวบุตรีของเซอร์ลีห์ ฟัลบูเก้กับคุณหญิงโรซาลิน แต่สุดท้ายแล้วก็จัดขึ้นด้วยจุดประสงค์หลักเดิมๆ นั่นคืออวดศักดาความร่ำรวยของตระกูลนั่นเอง

      แอนนาเบล ฟัลบูเก้ เด็กสาวผู้ซึ่งเกิดมาบนกองเงินกองทองที่ต่อให้ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยอย่างไรก็มีพออยู่พอกินไปถึงรุ่นหลานรุ่นเหลน แต่กระนั้นเธอก็ไม่เคยได้ออกไปจับจ่ายใช้สอยเงินทองเหล่านั้นเลย เนื่องมาจากผู้เป็นบิดาที่ดูเหมือนจะหวงลูกสาวเสียยิ่งกว่าชีวิตของตนเอง

      ...อาจเป็นรองก็เพียงกองเงินกองทองข้างใต้คฤหาสน์เท่านั้น...

      นี่จึงเป็นการออกงานสังคมอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกของเธอ ดังนั้นจึงแน่นอนว่าดาวเด่นของงานจะต้องออกมาหลังสุด ในชุดที่เด่นและสะดุดตาที่สุด

      ท่านลอร์ดพาเลนเธียร์เดินเคียงคู่ไปกับภริยาตรงไปหาเจ้าภาพของงานซึ่งกำลังพูดคุยอยู่ในวงล้อมของแขกเหรื่อมากมายพร้อมกับคุณหญิงฟัลบูเก้ โดยมีบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนเดินตามหลังอย่างประหม่า

      "...โรซ..." เสียงเรียกชื่ออย่างสนิทสนมทำให้สายตาหลายคู่หันมาจับจ้องทั้งสามคน

      "แมรี่...มาถึงเมื่อไหร่กัน ฉันไม่เห็นได้ยินเสียงประกาศ" คุณหญิงโรซาลินกล่าวตอบพลางยื่นมือในถุงมือสีขาวนวลไปให้ท่านลอร์ดพาเลนเธียร์ตามธรรมเนียม ซึ่งเขาก็ก้มลงจุมพิตมันเพียงแผ่วเบาพอเป็นพิธี

      "ยังคงงดงามเช่นเดิมนะครับ...คุณหญิง" แม้จะเป็นคำชมตามมารยาทและทั้งสองฝ่ายต่างก็ทราบดี แต่ถึงอย่างไรมันก็ยังคงเป็นธรรมเนียม...หนี่งในธรรมเนียมที่ไม่ได้แสดงถึงความจริงใจเอาเสียเลย

      "คุณหญิงพาเลนเธียร์เองก็เช่นกันนะ" ถึงคราวเจ้าภาพกล่าวกลับบ้าง เป็นแบบแผนเสียจนน่าจะบันทึกใส่เทปเอาไว้เปิดเมื่อไปงานเลี้ยง เสียแต่ว่าในยุคนี้ยังไม่มีที่บันทึกเสียงเท่านั้น

      หลังจากกล่าวทักทายและชมอีกฝ่ายตามมารยาท สุภาพบุรุษทั้งหลายก็จะแยกวงกันไปสนทนาในเรื่องที่ดูเหมือนจะเอาไว้โอ้อวดความฉลาดของตน ในขณะที่ฝ่ายหญิงจะแยกเป็นอีกกลุ่มเพื่อสนทนาในเรื่องที่ไร้สาระยิ่งกว่า คริสเตนบุตรชายจึงไม่รู้จะไปเข้ากับกลุ่มใดดี

      หากจะเข้ากลุ่มกับบิดาของตน เห็นทีว่าความรู้ในเรื่องทั่วไปและความเห็นทางการเมืองของเขาจะยังไม่มากพอจนเป็นที่ยอมรับ และหากจะให้ไปเข้ากลุ่มกับมารดาของตนแล้วละก็...เขาคงต้องไปเข้าชั้นเรียนวิธีพูดเรื่อยเปื่อยอย่างไร้สาระเสียก่อนจึงจะสามารถเข้ากับสมาชิกในกลุ่มได้ ดังนั้นสิ่งที่เขาทำได้จึงมีเพียงเดินเตร่ไปรอบๆ ภาวนาให้ค่ำคืนนี้จบลงเสียทีดังเช่นค่ำคืนในงานเลี้ยงครั้งก่อนๆ ที่ผ่านมา......แต่แล้ว เพียงมิช้านานชายหนุ่มก็กลับเปลี่ยนใจ

      เสียงเพลงบรรเลงเงียบลงตามด้วยเสียงพูดคุยของบรรดาแขกเหรื่อในงาน เซอร์ลีห์ ฟัลบูเก้เดินตรงไปยังเชิงบันไดเวียนที่ปูพรมสีแดงอย่างภาคภูมิใจ

       

      เด็กสาววัยย่าง 17 ปีเดินลงมาตามบันไดอย่างสง่างาม ชุดลูกไม้เปิดไหล่สีเหลืองนวลเข้ารูป เน้นให้เห็นสัดส่วนที่ลงตัวอย่างเหมาะเจาะ...ทรวงอกกลมกลึงน่าซุกไซ้ เอวบางที่โอบรอบได้ด้วยแขนเพียงข้างเดียว ดอกไม้สีขาวพิสุทธิ์ดอกโตเสียบยึดเรือนผมสีทองบลอนด์ที่เกล้าขึ้นสูงเผยให้เห็นต้นคอระหงประดับด้วยสร้อยเพชรเจียระไนน้ำงามจัดแต่งเป็นรูปทรงคล้ายหงส์กำลังจะโผบิน เช่นเดียวกับผู้สวมใส่ที่กำลังจะได้โผบินออกจากอ้อมอกพ่อ แม่เป็นครั้งแรก

       

      สายตาทุกคู่ต่างก็จับจ้อง ชายหนุ่มบางคนถึงกับลืมที่จะกระพริบตา บ้างก็ลืมที่จะหายใจ...คริสเตนคงจะอยู่ในกลุ่มหลัง ชายหนุ่มจ้องมองเด็กสาวที่ค่อยๆ เดินลงบันไดมาช้าๆ...เห็นได้ชัดว่ากำลังประหม่าเนื่องจากเป็นการออกงานครั้งแรก...คริสเตนได้แต่จ้องมองอยู่เช่นนั้นราวกับกำลังตกอยู่ในภวังค์ ในใจมันร่ำร้องว่านี่แหล่ะผู้หญิงคนสุดท้ายที่เขาต้องการ แล้วเขาก็จะไม่ต้องการสิ่งใดอีก...ขอเพียงเธอเท่านั้น

      เสียงกระซิบกระซาบดังเซ็งแซ่หลังจากเงียบกันไปพักใหญ่ แล้วจึงตามด้วยเสียงเพลงที่เริ่มบรรเลงอีกครา เซอร์ลีห์เดินตรงไปหาบุตรีอย่างภาคภูมิใจ รอยยิ้มน้อยๆ ที่มุมปากของผู้เป็นพ่อและแววตาเป็นประกายเรียกเอาความมั่นใจของแอนนาเบลกลับมา...แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม

      เด็กสาวเดินลงมาถึงบันไดขั้นสุดท้ายในที่สุด ก่อนจะคล้องแขนกับบิดาของตนแล้วเริ่มออกเดินทักทายแขกในงาน...แม้จะรู้ดีว่าตนกำลังตกเป็นเป้าสายตา หากแขนที่เกาะเกี่ยวอยู่กับบุรุษที่รู้จักมาตั้งแต่เมื่อครั้งลืมตาดูโลกทำให้ไม่มีความกังวลใดๆ ในดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลลึกคู่นั้นแม้แต่น้อย

      หนุ่มโสดทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นพวกที่ยังไม่เคยเข้าพิธีวิวาห์มาก่อนหรือกลุ่มที่เป็นโสดเพราะคู่แต่งงานจากไปแล้วต่างก็ยืดคอรอคอยโอกาสว่าเมื่อไหร่เซอร์ลีห์จะปล่อยแขนจากลูกสาวเสียที หากสบโอกาสพวกเขาทั้งหลายก็คงจะเข้ารุมทึ้งสาวเจ้าในคราวเดียวกันเป็นแน่ แต่ดูเหมือนว่าเซอร์ลีห์เองก็ทราบดี จึงได้เตรียมกันท่าไว้ให้ลูกสาวเรียบร้อย โดยการหาคู่ควงที่ไว้ใจได้ให้...และนั่นก็ไม่ใช่ใครอื่นไกลเลย...

      นี่ลูกชายของลอร์ดเอียน พาเลนเธียร์...เอ้า ทักทายพี่เขาสิลูก แอนนาเบลย่อเข่าลงเล็กน้อยอย่างเขินอาย เห็นได้ชัดว่าไม่เคยสนทนากับบุรุษแปลกหน้ามาก่อน

      ผมคริสเตน พาเลนเธียร์ ยินดีที่ได้รู้จักครับ...เลดี้แอนนาเบล ชายหนุ่มกล่าวแนะนำตัวเองออกไปทั้งที่ยังคงตกตะลึงในโอกาสที่ถูกใส่พานมามอบให้เขาถึงที่

      หากผู้ใดก็ตามได้นางไปเป็นคู่ชีวิตแล้วล่ะก็ เรียกได้ว่ายิ่งกว่าหนูตกถังข้าวสารเสียอีก หรืออาจจะยิ่งกว่าหนูตกลงไปในยุ้งฉางที่มีข้าวเก็บเอาไว้เต็มเสียด้วยซ้ำ ต่อให้กินจนท้องแตกตายไปชั่วลูกหลานก็ยังคงมีทรัพย์สินรอให้ถลุงอีกเหลือเฟือ

       

      ...มิน่าล่ะ คุณแม่ถึงได้คะยั้นคะยอให้เขามางานนี้นัก...

       

      หลังจากฝากฝังบุตรีเอาไว้กับคริสเตนเป็นที่เรียบร้อย ผู้เป็นพ่อก็เดินกลับไปเข้าวงสนทนากับกลุ่มนักนโยบายทางการเมืองต่ออย่างสบายใจ ชายหนุ่มที่ไม่รู้จะเริ่มบทสนทนาอย่างไรจึงเลือกที่จะโค้งเด็กสาวออกไปเต้นรำแทน บทเพลงที่กำลังบรรเลงอยู่ออกจะค่อนข้างเร็วสักหน่อย แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ทั้งสองไม่มีเวลามาสนทนากันมากนัก

       

      ...ยืดเวลาคิดหัวข้อสนทนาที่เหมาะสมออกไปได้อีกสักพัก...

       

      ในขณะที่ทั้งสองเต้นเคียงคู่กันไปบนฟลอร์เต้นรำโดยที่สายตาอีกหลายคู่จ้องมอง ในสมองของชายหนุ่มก็เต็มไปด้วยความคิดว่าควรจะเริ่มบทสนทนาหลังเพลงจบอย่างไร จึงจะทำให้สตรีตรงหน้าพึงพอใจและยินยอมที่จะเป็นคู่ควงของเขาไปตลอดคืนนี้ แต่ดูเหมือนว่าบทเพลงที่บรรเลงในคืนนี้มันช่างสั้นเสียเหลือเกิน ยังมิทันที่ชายหนุ่มจะตัดสินใจเลือกหัวข้อที่จะสร้างความประทับใจให้กับเด็กสาวผู้งดงามตรงหน้า เสียงเพลงก็เงียบลงเสียก่อน

      คริสเตนพานางออกจากฟลอร์เมื่อเห็นว่าแก้มขาวนวลของเด็กสาวเริ่มขึ้นสีเรื่อเนื่องจากการเต้นรำที่เพิ่งผ่านไปเมื่อครู่ ก่อนจะตัดสินใจเสี่ยงเริ่มบทสนทนาด้วยหัวข้อเรื่องที่อยู่ในหัวสมอง ณ ขณะนี้

      ดอกไม้สีขาวนั่นชื่ออะไรหรือครับ แอนนาเบลมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย เนื่องจากชายหนุ่มทั่วไปคงมิใคร่จะสนใจเรื่องของดอกไม้มากมายนัก หรือบางที...ชายหนุ่มตรงหน้าผู้นี้อาจแตกต่าง

      ดอกลิลลี่ค่ะ คุณแม่เป็นคนสั่งให้พี่เลี้ยงหามาให้...สำหรับงานคืนนี้โดยเฉพาะ

      ดอกลิลลี่? ความหมายดีนี่ครับ รู้สึกจะแปลว่าความรักที่อ่อนหวาน บริสุทธิ์และอ่อนไหว ผู้หญิงคงฝันถึงความรักเช่นนั้น คิ้วเรียวได้รูปของแอนนาเบลยกสูงขึ้นเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจที่มากกว่าเดิม

      คุณพาเลนเธียร์สนใจเรื่องภาษาดอกไม้ด้วยหรือคะ

      เรียกผมว่าคริสเตนเถอะ...ก็ไม่ได้สนใจมากมายหรอกครับ แต่ก็พอจะรู้อยู่บ้าง...คุณแม่ผมท่านชอบเรื่องพวกนี้ ผมก็เลยต้องศึกษาเอาไว้บ้างน่ะครับ

      แล้วมีดอกไม้ที่มีความหมายน่าสนใจที่พี่คริสเตนชอบใจเป็นพิเศษบ้างไหมคะ แอนนาเบลกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม...อาการเกร็งเมื่ออยู่กับคนแปลกหน้าลดน้อยลงไปมาก เมื่อได้พูดถึงสิ่งที่ตนเองสนใจ...ทางด้านของ คริสเตน ชายหนุ่มดีใจจนแทบจะกระโดดขึ้นเต้นไปรอบๆ เมื่อเขาสามารถดึงความสนใจของเด็กสาวตรงหน้าได้สำเร็จ

      ที่ผมเห็นว่าความหมายดีๆ ก็เช่นดอกป๊อบปี้สีเหลือง หมายถึงความสำเร็จ ดอกสไมแลคซ์หมายถึงความสวยงามและอ่อนหวาน กุหลาบสีขาวหมายถึงความบริสุทธิ์และไร้เดียงสา ส่วนกุหลาบสีแดงหมายถึง... คริสเตนนิ่งเงียบไปพักใหญ่ แอนนาเบลจึงเป็นฝ่ายถามขึ้น

      หมายความว่าอะไรหรือคะ

      เอ่อ...ผมรักคุณ...น่ะครับ เพียงได้ฟังคำตอบ ทั้งผู้ถามและผู้ตอบก็หน้าซับสีไปตามๆ กัน ความเงียบเพียงชั่วครูดูเหมือนจะเป็นโอกาสอันดีสำหรับชายหนุ่มอื่นๆ ที่หมายปองเด็กสาวในชุดสีเหลืองนวลซึ่งจ้องมองหาโอกาสเข้ามาตีสนิทตั้งแต่เมื่อเธอก้าวลงมาตามบันไดโค้งปูพรมสีแดง

      เต้นรำกับผมสักเพลงนะครับ เด็กหนุ่มหน้าตาดีผู้ซึ่งดูแล้วอายุอานามไม่น่าจะเกิน 17 ปียื่นมือไปให้แอนนาเบล แต่แล้วก็ต้องผิดหวังเมื่อเจ้าตัวปฏิเสธ...แม้จะด้วยคำพูดที่สุภาพก็ตาม

      หลังจากเหยื่อทดลองรายแรกล่าถอยไปก็ยังมีบุรุษทั้งหนุ่มและมีอายุตรงเข้ามาขอนางเต้นรำอีกหลายราย หากนางกลับปฏิเสธอย่างสุภาพทุกครั้ง

      ในที่สุดเมื่อคริสเตนหมดความอดทนที่จะนั่งมองเด็กสาวต้องตกอยู่ในวงล้อมของคนที่ต้องการครอบครองทรัพย์สินของหล่อนคนแล้วคนเล่า เขาจึงตัดสินใจขอนางเต้นรำด้วยตนเอง ซึ่งในครั้งนี้นางมิได้ปฏิเสธ หากแต่ตอบรับแทบจะทันทีที่เขาเอ่ยปาก

       

      พอจะมีดอกไม้อะไรที่มีความหมายเหมาะกับฉันในตอนนี้ไหมคะ แอนนาเบลเริ่มต้นบทสนทนาที่ขาดหายไปพักใหญ่อีกครั้ง ในขณะที่ทั้งคู่เต้นรำไปตามเพลงบรรเลงทำนองอ่อนหวาน

      ตอนนี้? คงจะเป็นดอกมองค์ฮู้ดละมั้งครับ ส่วนผมก็คงจะเป็นดอกแกลดิโอลัสกระมัง

      หมายความว่าอะไรคะ

      ไม่บอกครับ...เลดี้คงต้องลองไปค้นหาด้วยตัวเอง แต่ถ้าหากหาไม่เจอละก็...พรุ่งนี้ผมจะเฉลยให้ครับคริสเตนยิ้มเจ้าเล่ห์ สื่อความหมายว่าเขาจะขอพบนางอีกในวันพรุ่งนี้จะได้หรือไม่? แอนนาเบลยิ้มเอียงอายเล็กน้อยก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานเช่นเดิม

      ถ้าเช่นนั้นคืนนี้จะลองไปหาดูค่ะ แต่ถ้าหากหาไม่พบ...จะให้ไปรับคำเฉลยที่ไหนล่ะคะคริสเตนยิ้มให้กับคำตอบที่ตนเองได้รับ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงพึงพอใจ

      มาที่คฤหาสน์พาเลนเธียร์สิครับ...แล้วผมจะให้ดูทั้งดอกไม้และความหมายเลย บางทีอาจให้เลดี้ยืมหนังสือกลับไปอ่านเล่นบ้างก็ได้

      พรุ่งนี้คงจะไม่สะดวกค่ะ...ช่วงกลางวันแอนต้องออกไปในเมืองกับคุณแม่ ส่วนช่วงกลางคืนก็คงต้องมางานเลี้ยงอีก คริสเตนยิ้มรับราวกับทราบดีอยู่แล้วจึงได้กล่าวออกไปเช่นนั้น

      เช่นนั้นเลดี้ก็แอบหนีออกมาสิครับ...หรือเลดี้พอใจที่จะอยู่ในงานเลี้ยงมากกว่า แต่บอกไว้ก่อนนะครับ พรุ่งนี้ผมคงจะไม่มางานเลี้ยงเพราะยังมีหนังสืออีกหลายเล่มรอให้ผมอ่านอยู่ที่บ้าน ชายหนุ่มกล่าวดักคอเรียบร้อย เนื่องจากรู้ดีว่าแอนนาเบลไม่ค่อยชอบพวกผู้ชายที่เอาแต่เข้ามาจีบเสียเพราะหวังเงินเท่าไหร่ และแน่นอนว่าเขาไม่ใช่หนึ่งในนั้น

       

      ...สิ่งที่เขาต้องการมิใช่เงินทอง หากแต่เป็นตัวเธอ...

       

      จากใบหน้าขาวนวลกลายเป็นสีแดงเรื่อเมื่อถูกชายหนุ่มที่เพิ่งรู้จักได้ยังไม่ทันถึงหนึ่งวันชักชวนให้ไปที่บ้านของตน...หนำซ้ำยังเป็นยามที่ท้องฟ้าไร้ซึ่งแสงอาทิตย์เสียด้วย แต่เนื่องจากความที่เขาเป็นผู้ที่บิดาของหล่อนให้ความไว้ใจประกอบกับการที่นางไม่อยากตกอยู่ในวงล้อมของกลุ่มคนกระหายเงินเพียงลำพังนางจึงได้ตอบตกลงออกไป...เป็นอันว่าแผนการสำหรับคืนวันพรุ่งนี้ได้รับการยืนยันเรียบร้อย

      บทเพลงจบลงและเริ่มต้นใหม่อีกหลายครั้ง จนเมื่อเซอร์ลีห์เดินมาบอกว่าถึงเวลาที่บุตรีของตนควรจะพักผ่อนได้แล้ว ค่ำคืนแรกของทั้งสองจึงจบลงโดยมีประกายแสงดาวบนฟ้าเป็นผู้ขับลำนำอำลาและขับกล่อมให้เข้าสู่ห้วงนิทรา

       

      ช่วงเวลายามเช้าภายในคฤหาสน์พาเลนเธียร์นั้นช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้าเสียเหลือเกินในความรู้สึกของ คริสเตน...ชายหนุ่มรูปงามผู้ซึ่งกำลังอยู่ในห้วงรัก เรือนผมสีดำราวนิลกานเข้ากันกับดวงตาสีน้ำตาลเข้ม ผิวคล้ำกรำแดดส่งผลให้เข้าดูคมเข้มเช่นเดียวกับบุคลิกที่ค่อนข้างจะเงียบขรึมในบางเวลา รูปร่างมีกล้ามเนื้อสมส่วนเช่นเดียวกับชายหนุ่มในวัย 25 ปีคนอื่นๆ ที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ประกอบกับท่วงท่าที่แลดูงามสง่าทำให้เขาเป็นที่หมายปองของสาวๆ หลายคน หากแต่พวกนางคงต้องผิดหวังเมื่อรู้ว่าหัวใจของเขาได้ถูกจับจองไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

      ในที่สุดยามค่ำคืนก็มาถึง เนื่องจากเป็นคืนเดือนมืด...พระจันทร์ดวงโตเด่นจึงมิโผล่มาให้เห็นแม้เพียงแสงเงา เหล่าดาวดวงน้อยก็ถือโอกาสส่องประกายแข่งความเด่นกันเต็มที่ คฤหาสน์ฟัลบูเก้ยังคงก้องกังวานไปด้วยเสียงเพลง แต่คฤหาสน์ของตระกูลพาเลนเธียร์กลับเงียบสงบ

      พวกคนรับใช้ต่างก็กำลังง่วนอยู่กับการจัดเก็บเครื่องครัวที่ถูกนำออกมาทำความสะอาดประจำสัปดาห์ เจ้าของคฤหาสน์ทั้งสองก็คงกำลังพูดคุยอย่างออกรสอยู่ในวงสนทนาภายในงานเลี้ยง ทิ้งให้บุตรชายเพียงคนเดียวนั่งเหม่อลอยอยู่ในห้องสมุดที่มีเพียงแสงเทียนเล่มเดียวคอยให้แสงสว่างราวกับกำลังรอคอยบางสิ่งบางอย่าง

      เสียงสิ่งของกระทบหน้าต่างเรียกความสนใจจากชายหนุ่มทันที เขาไม่แม้แต่จะเดินไปหาที่มาของเสียง หากแต่ตรงไปยังประตูหน้าบ้านที่บัดนี้ไม่มีคนรับใช้คอยเฝ้าอยู่ บานประตูไม้เปิดออกอย่างเงียบเชียบเผยให้เห็นร่างของเด็กสาวในชุดเสื้อคลุมผ้ากำมะหยี่สีดำยืนรออยู่ภายนอก ทั้งสองไม่กล่าวสิ่งใดทั้งสิ้น แต่ชายหนุ่มเดินนำนางตรงไปยังห้องหนังสือที่ชั้นสอง หลังจากประตูห้องสมุดปิดลง เสียงหัวเราะเบาๆ ก็ดังมาจากทั้งสอง

      อย่าหัวเราะดังนัก...เดี๋ยวจะมีคนได้ยินเข้า คริสเตนกล่าวเบาๆ ก่อนจะเดินไปหยิบช่อดอกไม้สีน้ำเงินแปลกตามามอบให้กับแอนนาเบล

      ดอกมองค์ฮู้ดครับ ไม่ทราบว่าเลดี้ทราบความหมายหรือยัง แอนนาเบลส่ายหน้าช้าๆ แทนคำตอบ คริสเตนยิ้มมุมปากน้อยๆ เป็นเชิงว่าทราบอยู่ก่อนแล้ว ช่อดอกไม้สีสดหลากสีถูกส่งให้เด็กสาวอีกครั้ง

      ส่วนนี่...แกลดิโอลัสครับ ผมคิดว่าเลดี้ยังไม่ทราบความหมายของดอกไม้ชนิดนี้เช่นกัน

      ไม่ทราบค่ะ...ทั้งสองชนิดมีความหมายว่าอะไรหรือคะชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ ที่มุมปากอีกครั้ง ก่อนจะรับช่อดอกไม้ทั้งสองมาวางไว้ที่โต๊ะหนังสือ

      ได้โปรดรับดอกไม้นี้แทนความรู้สึกของผม คริสเตนยื่นช่อดอกไม้สีม่วงที่จัดอย่างประณีตให้กับแอนนาเบลซึ่งรับไปถือไว้ด้วยความประหลาดใจเนื่องด้วยทราบความหมายของมันดี

      ...ดอกไฮยาซินธ์สีม่วง?!... ยังมิทันที่นางจะได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใดต่อ คริสเตนก็เคลื่อนกายเข้าหาเธออย่างรวดเร็วโดยที่แอนนาเบลไม่มีโอกาสถอยหนีแม้แต่น้อย เขาโอบกอดนางไว้เนิ่นนานราวกับกาลเวลากำลังหยุดนิ่ง แอนนาเบลหลับตาพริ้มอยู่ในอ้อมกอดของผู้ที่เธอไว้ใจ หากแต่ดวงวิญญาณของเธอนั้นได้ไปสถิตย์อยู่บนสรวงสวรรค์กับพระผู้เป็นเจ้าเป็นที่เรียบร้อย

       

      ......มองค์ฮู้ด...จงระวัง อันตรายถึงชีวิตกำลังใกล้เข้ามา......

       

      ......แกลดิโอลัส...ดอกไม้ของนักล่า......

       

      ......ไฮยาซินธ์สีม่วง...ขอโทษ......

       

      เสื้อชุดราตรีที่ตัดเย็บจากผ้าชั้นดีสีฟ้าอ่อนกลายเป็นสีออกม่วง เนื่องจากถูกผสมผสานระหว่างสีฟ้าและสีแดงสดของเลือดที่ไหลย้อยลงมาจากลำคอระหง ใบมีดวาววับสีเงินเองก็ถูกย้อมด้วยเลือดเช่นกัน ทำให้มันไม่ส่องประกายดังเช่นที่ควรจะเป็น คริสเตนประคองร่างที่ไร้วิญาณของแอนนาเบลให้นอนลงบนพื้นช้าๆ ก่อนจะพยายามทำการห้ามเลือดเอาไว้...ด้วยความเสียดาย ในขณะเดียวกันนั้น ร่างๆ หนึ่งก็ปรากฏกายขึ้นในมุมมืด

      เด็กหนุ่มที่มองดูแล้วอายุไม่น่าจะเกิน 20 ปีเดินออกจากเงามืดช้าๆ เรือนผมสีดำสนิทราวรัตติกาลยาวเลยไหล่ปล่อยสยาย ตรงส่วนหน้าที่ถูกซอยไล่ระดับตกลงมาปรกใบหน้า กระนั้นผิวหน้าสีขาวซีดไร้รอยตำหนิใดๆ ก็ยังคงลอยเด่นเมื่อถูกแสงเทียนทาบทับ ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลลึกเจือด้วยแววยินดีส่องประกายล้อแสงเทียน ริมฝีปากแดงเรื่อเผยอน้อยๆ แล้วน้ำเสียงอ่อนหวานราวนกไนติงเกลขับกล่อมท่วงทำนองเป็นบทเพลงรับรุ่งอรุณจึงเอื้อนเอ่ย

      เหยื่อคนที่หนึ่งร้อย...คนสุดท้ายแล้วสินะ คริสเตนพยักหน้ารับด้วยความยินดี ก่อนจะถอยออกจากร่างไร้วิญญาณตรงหน้า

      เด็กหนุ่มก้าวเข้าหานางช้าๆ ก่อนจะนั่งคุกเข่าลงด้านข้าง เขาก้มลงหานางทีละน้อย จนในที่สุดริมฝีปากสีแดงเรื่อก็สัมผัสกับบริเวณต้นคอที่ชุ่มไปด้วยเลือดสีแดงสด ความเงียบเข้าครอบคลุมเป็นเวลานานในขณะที่เขากำลังดูดเลือดจากเด็กสาวด้วยความหิวกระหาย จนเมื่อเพียงพอแล้วเขาจึงลุกขึ้นยืนอีกคราพลางจ้องมองใบหน้าของคริสเตนอย่างพินิจพิจารณา

      ทั้งที่ยังคงมีหยดเลือดไหลออกมาจากริมฝีปากแดงเรื่อนั้น แต่เขากลับดูงดงามอย่างประหลาด ราวกับว่ารสเลือดของสาวพรหมจรรย์จะนำความมีชีวิตชีวากลับมายังเขา

      ...อเลสต์...คริสเตนเรียกชื่อของเด็กหนุ่มด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนราวกับกำลังกล่าวกับคนรัก

      มาสิ...คริสเตน ตามสัญญา เลือดของหญิงสาวพรหมจรรย์หนึ่งร้อยคน แล้วเราจะได้ใช้ชีวิตนิรันดร์ร่วมกัน จากนี้และตลอดไปจะมีเพียงเจ้าและข้า...จะมีเพียงเราเท่านั้น ดื่มเลือดของข้าเสียสิ...แล้วเราจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป...อเลสต์ยกมือเรียวบางขึ้น ก่อนจะจรดเล็บของตนเองลงที่บริเวณข้อมือ เลือดสีแดงสดไหลรินออกมาตามรอยแผลนั้น

      คริสเตนเดินเข้าหาเด็กหนุ่มก่อนจะบรรจงลิ้มรสเลือดของอีกฝ่าย เลือดแปลกปลอมเริ่มไหลเวียนเข้าสู่ร่างกาย เปลี่ยนคริสเตนจากมนุษย์ธรรมดาให้กลายเป็นอมนุษย์ผู้มีชีวิตอยู่ได้ตลอดกาลด้วยเลือดของมนุษย์

       

      ...ในที่สุดเขาก็ได้กลายเป็นพวกเดียวกับผู้ที่เขารัก...

       

      ...อเลสต์...ผมรักคุณ...

      ...ข้าก็รักเจ้า...คริสเตน...

       

      ...ใครเล่าจะนึกว่าแท้จริงแล้วนี่มิใช่จุดจบ หากแต่มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ...

       

      จุดเริ่มต้นเรื่องราวของหญิงสาวอีกมากมายที่ถูกสายตาสีฟ้าน้ำทะเลลึกคู่นั้นดึงดูดให้หลงเข้าไปในวังวน เผลอไผลปล่อยกายและใจจนต้องกลายไปเป็นเหยื่อสังเวยเลือดให้แก่บุรุษผู้มีอายุยืนยาวมากว่าพันปีและคนรักของเขา เพียงเพื่อให้ทั้งสองสามารถครองรักกันอยู่ในโลกมนุษย์นี้ได้ตราบนานเท่านาน........

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×