เรื่องของ "ยายเปล่ง" - เรื่องของ "ยายเปล่ง" นิยาย เรื่องของ "ยายเปล่ง" : Dek-D.com - Writer

    เรื่องของ "ยายเปล่ง"

    เป็นเรื่องจากประสบการณ์จริงตอนที่ไปออกชุมชน ยังไงก็ลองอ่านกันดูนะ ปล.ก็เพิ่งหัดเขียนครั้งแรก ยังไม่ดีเท่าไหร่ ช่วยติชมกันด้วยนะคะ

    ผู้เข้าชมรวม

    117

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    117

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  7 เม.ย. 52 / 18:46 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

           ประตูสังกะสีที่เขรอะไปด้วยคราบสนิมเปิดออกช้า ๆ ด้วยแรงผลักของป้าสมนึก พร้อมกับส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดบ่งบอกถึงอายุการใช้งานที่ยาวนาน เผยให้เห็นทางเดินแคบ ๆ เลาะรั้วไม้ระแนงสีฟ้าหม่นที่เต็มไปด้วยฝุ่นและหยากไย่ ทางขวามือเป็นสวนผลไม้ที่ปลูกต้นกล้วยไว้ 2-3 ต้น และต้นไม้อื่น ๆ ที่ฉันไม่รู้จักอีกนับสิบต้น จนทำให้สวนเล็ก ๆ ที่เขียวชอุ่มนี้ ดูรกไปถนัดตา ถัดเข้าไปเป็นบ้านไม้ใต้ถุนสูงทาสีเขียวสดใส หลังไม่ใหญ่นัก ใต้ถุนบ้านมีกระติกน้ำสีแดงวางอยู่บนตั่งไม้เก่า ๆ ข้างเสาบ้าน ใกล้ ๆ กันนั้นมีกล่องกระเบื้องปูพื้นใหม่เอี่ยม 4-5 กล่องวางซ้อนกันอยู่ ในบ้านเงียบสนิท มีเพียงสุนัขสีน้ำตาลตัวหนึ่งลุกขึ้นยืนมองทันทีที่พวกเราย่างเท้าเข้าไปในบริเวณบ้าน

           " อีอ้อย อีอ้อย ...... อยู่ไหมวะเนี่ย " ป้าสมนึกตะโกนเรียกด้วยเสียงอันดัง
           
           เมื่อไม่มีเสียงตอบรับ ป้าสมนึก และป้ามณีจึงเดินนำพวกเราเข้าไปในบ้าน
           
           " ขึ้นไปข้างบนได้เลยหนู " ป้ามณีหันมาบอกพร้อมกับเอามือดันหลังฉันให้ขึ้นบันได
           
           พื้นบ้านชั้นบนเป็นไม้กระดานสีซีดแผ่นใหญ่ ตัวบ้านเป็นไม้ฝาทาสีเขียวอ่อน เดาได้ไม่ยากว่าคงเพิ่งจะมีการทาสีปรับปรุงบ้านใหม่ ประตูไม้สีน้ำตาลแกะสลักลายดอกไม้เคลือบเงาอย่างดีเปิดอ้าอยู่ พวกเราจึงถือวิสาสะเดินเข้าไปในบ้าน ด้วยเหตุผลของป้าสมนึกที่ว่า " เข้าไปเถอะ เขาไม่ว่าหรอก คนรู้จักกันทั้งนั้น "
           
           ฝาบ้านด้านในทาสีขาวสะอาดตา กลางห้องมีตู้เสื้อผ้าหลังใหญ่ซึ่งประตูตู้เปิดอ้าทิ้งไว้ แบ่งห้องออกเป็นสองส่วน ข้าง ๆ กันนั้นเป็นพัดลมเก่าๆ ไม่มีตะแกรงหน้ากากครอบ เผยให้เห็นใบพัดสีเขียวที่หมุนติ้วอยู่ภายใน หันหน้าไปทางมุมซ้ายของห้อง กระแสลมพุ่งตรงไปยังร่างเล็ก ๆ ที่นอนตะแคง ศีรษะหนุนหมอนข้างเก่า ๆ สีเขียวอ่อนอยู่บนเสื่อน้ำมันยับยู่ยี่ ถัดไปจนสุดมุมห้องมีฟูกสีแดงหม่นลายดอกกุหลาบปูทิ้งไว้
           
           " อีอ้อย ไปไหนวะเนี่ย เปิดตู้ทิ้งไว้อ้าซ่าเลย...อีอ้อย " ป้าสมนึกเริ่มตะโกนเรียกหาเจ้าของบ้านอีกครั้ง

           ฉันเดินลงไปทรุดตัวลงนั่งข้างๆร่างเล็กๆนั่น เพราะไม่รู้จะพูดอะไรดี ประกอบกับความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก นี่น่ะหรือยายเปล่ง แล้วลูกหลานแกไปไหนกันหมด ?
           
           เมื่อไม่มีอะไรทำที่ดีไปกว่าการนั่งเฉย ๆ ฉันจึงฉวยโอกาสนี้ในการมองสำรวจยายเปล่งอย่างใกล้ ๆ
      หญิงชราร่างเล็กนุ่งผ้าถุงสีเขียวลายดอกสีเหลือง เสื้อคอกระเช้าสีชมพูที่แกใส่อยู่ดูตัวใหญ่ไปถนัดตาเมื่อเทียบกับขนาดตัวของแก ร่างกายของยายเปล่งผอมจนฉันนึกไม่ออกจริง ๆ ว่า กล้ามเนื้อแขนขาที่ฉันเพียรท่องอย่างเอาเป็นเอาตายตอนเรียนวิชากายภาคศาสตร์ ของแกนั้นหายไปอยู่ที่ไหนหมด นับเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ฉันได้เข้าใจจริง ๆ ว่า "ผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก" นั้นเป็นอย่างไร
           
           ยายเปล่งนอนนิ่งดวงตาปิดสนิท เสียงลมหายใจเข้าออกแผ่วเบาเป็นจังหวะ ใบหน้าด้านข้างของแก เมื่อมองผิวเผินจะเห็นรอยกระสีน้ำตาลวงใหญ่ 2 วงตรงขมับและโหนกแก้ม แต่เมื่อฉันเอื้อมมือไปสัมผัส กลับพบว่า มันคือ แผลขนาดใหญ่ที่แห้งจนตกสะเก็ดแข็งนูน ปลายนิ้วเท้าของแกมีรอยช้ำและจ้ำเลือดสีม่วงอยู่หลายแห่ง 
           
           ป้าสมนึกทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ ฉัน แล้วหันไปสะกิดยายเปล่ง 

           " ยายเปล่ง... หลับอยู่หรอ หมอจากกรุงเทพฯเค้ามาเยี่ยม " ป้าพูดด้วยเสียงที่ดังกว่าปกติเพราะรู้ดีว่า เมื่ออายุมากขึ้น การได้ยินของยายเปล่งย่อมบกพร่องไปตามวัยที่ร่วงโรย 
           
           " หมอเหรอ " ยายเปล่งส่งเสียงอันแผ่วเบา พร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปาก และพยายามจะยกมือไหว้ฉันด้วยเรี่ยวแรงอันน้อยนิด
      เมื่อมีคนเรียกว่า " หมอ " นิสิตแพทย์อย่างฉันจึงได้แต่ยิ้มรับด้วยความเขิน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกภาคภูมิใจเล็ก ๆ
           
           ทันใดนั้น ฉันก็เหลือบไปเห็น ตุ่มนูนขนาดใหญ่กว่าสิบเซนติเมตร ที่ปลีน่องด้านซ้ายของแก ฉันใช้นิ้วมือสัมผัสเบาๆ ด้วยกลัวว่าแกจะเจ็บ และพบว่าภายในนั้นเป็นน้ำ ซึ่งน่าจะเกิดจากการเสียดสีและกดทับ เมื่อสังเกตดี ๆ จึงพบว่าปลายมือปลายเท้าของแกบวมเป่ง เมื่อฉันลองกดดู ก็พบว่าเป็นรอยบุ๋ม แสดงให้เห็นว่าเป็นการบวมน้ำ

           " ยายแกเป็นอะไรล่ะ แล้วจะทำไงดี "
      เมื่อฉันหันไปทางต้นเสียง ก็พบกับสายตาขอความช่วยเหลือของป้าสมนึก ซึ่งทำให้ฉันรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก ความภาคภูมิใจเมื่อถูกเรียกว่า "หมอ" เมื่อสักครู่นี้หายไปในทันที ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่า นิสิตแพทย์ชั้นปีที่ 2 อย่างฉัน จะช่วยอะไรยายเปล่งได้ เพราะลำพังแค่ตอบคำถามว่ายายแกเป็นอะไร ฉันยังตอบป้าสมนึกไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

           " โทรหาอาจารย์มั๊ย " เสียงกระซิบเบาๆ จากเพื่อนที่ไปด้วยกัน ดึงฉันออกจากภวังค์ของความคิด

           ฉันรีบโทรศัพท์หาอาจารย์ประจำกลุ่มทันที และได้เล่าอาการให้อาจารย์ทราบ

           " แผลกดทับน่ะค่ะป้า อาจารย์บอกว่า ให้ไปบอกหมอที่อนามัยให้มาเจาะเอาน้ำออก แล้วก็ทำให้แผลให้จนกว่าแผลจะแห้งนะคะ " ฉันรีบถ่ายทอดคำพูดของอาจารย์ทันทีที่วางสาย

           ป้าสมนึกมีสีหน้าสบายใจขึ้น ทำให้ฉันพลอยรู้สึกโล่งใจไปด้วย

           " น้ำ... หิวน้ำ " เสียงอันแผ่วเบาเล็ดลอดมาจากริมฝีปากอันแห้งผากของยายเปล่ง

           ฉันหันไปเห็นแก้วน้ำ หลอด และขวดน้ำซึ่งวางอยู่ข้างพัดลม จึงรีบเทน้ำใส่แก้ว แล้วใส่หลอดให้ยายเปล่งดื่ม แกดื่มไป 2 แก้วเต็ม ๆ ด้วยความกระหาย จนฉันอดสงสัยไม่ได้ว่า ถ้าฉันและป้า ๆ ไม่นั่งอยู่ที่นี่ ยายเปล่งจะดื่มน้ำเองได้อย่างไร ?
       
           " อ้าว อีอ้อย ขึ้นมาสิ ไปไหนมาวะเนี่ย ทำไมไม่มาดูยาย แล้วเปิดตู้ทิ้งไว้ เดี๋ยวเกิดของหายจะมาโทษพวกข้าไม่ได้นะเว้ย... อ้าว ขึ้นมาสิ ! " ป้าสมนึกตะโกนด้วยเสียงอันดัง
           
           " ไม่เอาอ่ะ เดี๋ยวค่อยขึ้น " เสียงอ้อยตะโกนตอบกลับมา
      ฉันนั่งบีบนวดแขน ขา ให้ยายเปล่งไปได้สักพัก อ้อย เด็กสาววัยรุ่น รูปร่างค่อนข้างอวบ ผิวคล้ำเล็กน้อย ตัดผมสั้น ท่าทางกระฉับกระเฉง ก็เดินขึ้นบันไดลงส้นเท้าปึงปังเข้ามาในห้อง เมื่อเห็นฉันและเพื่อน ๆ ท่าทางของอ้อยจึงอ่อนลง พลางหันไปปิดประตูตู้ที่เปิดทิ้งไว้

           ฉันมองตามการกระทำของอ้อย และเหลือบไปเห็น พัดลมใหม่เอี่ยม 2 ตัววางพิงอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง ก่อนที่ฉันจะทันได้เอ่ยปากถาม ก็มีเสียงแทรกขึ้น

           " ทำไมไม่เอาพัดลมใหม่ ๆ มาเปิดให้ยายล่ะครับ ตัวนี้ไม่มีฝาปิด เดี๋ยวเกิดยายแกยกมือมาปัดโดนล่ะแย่เลย " เสียงเพื่อนของฉันเอ่ยขึ้น

           อ้อยไม่ตอบอะไร ได้แต่ยกพัดลมตัวใหม่มาเปิดให้ แล้วเก็บพัดลมตัวเก่าไปตั้งไว้ที่มุมห้องแทน จากนั้นจึงเดินมานั่งเงียบ ๆ ห่างจากฉันพอสมควร

           ฉันยังคงบีบนวดยายเปล่งต่อไป จนป้าอสม. อีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้น 

           " ยาย รู้มั๊ยเนี่ย หมอจากกรุงเทพฯเค้ามาเยี่ยม ลืมตาดูหน่อยสิ "

           เปลือกตาของยายเปล่งยังคงปิดสนิท ซึ่งฉันเดาเอาเองว่า เป็นเพราะไม่มีใครเช็ดขี้ตาให้แก จนขี้ตาของแกหนาเยิ้มปิดเปลือกตาของแกจนแกลืมตาไม่ขึ้น แต่แกก็เอ่ยถามขึ้นว่า " หมอลอ หรอ โถอุตส่าห์มาเยี่ยม "

           ป้า อสม. หันมาอธิบายให้ฉันฟังว่า หมอชะลอ เป็นหมอที่อนามัยที่ประจำอยู่เมื่อ 4-5 ปีก่อน และมาเยี่ยมยายเปล่งบ่อย ๆ ทำให้ยายเปล่งแกรักหมอคนนี้มาก เมื่อพูดถึงหมอ แกจึงนึกถึงหมอชะลอเป็นคนแรก แต่ปัจจุบัน หมอชะลอได้ย้ายไปประจำที่อื่นเสียแล้ว

           ฉันไม่ได้พูดอะไร และปล่อยให้ยายเปล่งแกเข้าใจอย่างนั้น ใบหน้าของแกดูมีความสุขมากเมื่อเข้าใจว่าหมอชะลอมาเยี่ยม

           นั่งไปได้สักพัก ลูกสาวของยายเปล่งก็เดินเข้ามา พร้อมกับเล่าว่า ตนเองออกไปซื้อกับข้าวที่ตลาดเพื่อมาทำอาหารเย็น หลังจากได้พูดคุย ฉันจึงได้ทราบว่า ยายเปล่งแกอายุ 97 ปีแล้ว เริ่มมีอาการหลง ๆ ลืม ๆ แต่ก็ยังพอพูดรู้เรื่อง เนื่องจากลุกเดินไปไหนมาไหนไม่ไหว ลูกสาวของแกจึงให้นอนอยู่แต่บนบ้าน

           พวกเราซักถามสารทุกข์สุขดิบของคนอื่น ๆ อีกสักพัก ก็ขอตัวกลับ เนื่องจากเลยเวลาที่นัดกับเพื่อน ๆ มากแล้ว โดยไม่ลืมที่จะบอกให้ลูกสาวของยายเปล่ง ไปตามหมอที่อนามัยมาดูยายบ้าง พร้อมกับคำแนะนำเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการดูแลผู้สูงอายุ

           " กลับแล้วหรอหมอ เจ้าประคู้ณ อยู่เย็นเป็นสุข ร่ำรวยเงินทอง..... " ถ้อยคำอวยพรมากมายพรั่งพรูออกมาจากปากของยายเปล่ง ด้วยเสียงอันแผ่วเบาจนแทบจะฟังไม่รู้เรื่อง พร้อมกับท่ายกมือไหว้เหนือศีรษะราวกับไหว้เจ้า ทันทีที่แกรู้ว่าพวกเรากำลังจะกลับ ทำให้ฉันรู้สึกซาบซึ้งใจจนพูดไม่ออก

           ฉันเดินกลับออกมาจากบ้านของยายเปล่งด้วยความรู้สึกที่หลากอารมณ์ ทั้งสับสน ซาบซึ้งใจ หดหู่ และมีความหวัง เหตุการณ์สั้น ๆ ที่ฉันได้พบนี้ ทำให้ฉันคิดได้ว่า การดูแลคนชราเพียงแค่ร่างกายนั้นคงไม่เพียงพอ ต้องดูแลจิตใจ ให้ความรักความเอาใจใส่ด้วย แม้ว่าฉันจะไม่พอใจนัก กับการดูแลแบบไม่ได้เอาใจใส่ ที่ลูกหลานของยายเปล่งทำ แต่ฉันไม่โทษลูกสาวและหลานสาวของยายเลย เพราะทั้งคู่ก็ต้องดำเนินกิจวัตรของตนเอง ต่างก็มีความจำเป็นในชีวิตที่บีบบังคับมากมาย จะมานั่งเฝ้ายายทั้งวันก็คงจะไม่ไหว ฉันจึงได้แต่หวังว่า ทั้งคู่จะพยายามเอาใจใส่ยายให้มากขึ้น และหันมาดูแลจิตใจของยายบ้าง ซึ่งมันก็เป็นคติสอนใจอย่างดี ที่ทำให้ฉันต้องนึกย้อนไปถึงการดูแลคุณปู่คุณย่าของฉัน แล้วคุณล่ะ ดูแลผู้สูงอายุในครอบครัวอย่างดีแล้วหรือยัง ? 

           อากาศที่ร้อนระอุจากแสงแดดจ้าที่แผดเผาในตอนบ่ายวันพุธ ทำให้ฉันถึงกับเหงื่อไหลไคลย้อย ถึงจะร้อนกาย แต่ตอนนี้จิตใจของฉันสงบลง หลังจากได้ใคร่ครวญเรื่องราวที่ได้พบอย่างถี่ถ้วน เพราะแม้ว่าในครั้งนี้ ฉันจะช่วยอะไรยายเปล่งไม่ได้มากนัก อันเนื่องมาจากความรู้อันน้อยนิดที่ฉันมี แต่นั่นก็ทำให้ฉันมีกำลังใจที่จะตั้งใจเรียน เก็บเกี่ยวความรู้ให้เต็มที่ เพื่อที่ว่า ในวันที่ฉันมีโอกาสออกไปช่วยเหลือผู้คน ฉันจะมีความรู้มากพอที่จะช่วยเขาเหล่านั้น และเมื่อถึงวันนั้น ฉันจะเป็น"หมอ" อย่างเต็มภาคภูมิ

           " ชีวิตเธอมีคุณค่า มวลประชาเขารออยู่ รอเธอเป็นผู้ก้าวไป ดังมวลไม้ที่งอกงาม ยามถึงคราวชูช่อใหม่ ไปเถิดจงไปทั่วแดน .... "

           ขอขอบคุณยายเปล่ง ลูกสาวและหลานสาวของแก ป้าอสม.ทั้งสองท่าน ป้าสมนึก รวมถึงอาจารย์และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่าน ที่ทำให้ฉันได้เรียนรู้ เรื่องราวทรงคุณค่านอกตำราเรียน ที่ฉันจะไม่มีวันลืมเลือน

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×