คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : Silent between us
-9-
Silent between us
คำสารภาพของเซฮุนยังคงก้องอยู่ในหัว มันดังซ้ำไปซ้ำมา และแปลความหมายออกมาได้ว่าเขาจะไม่ทำแค่อยู่เฉยๆในฐานะเพื่อนของจงอินอีกต่อไปแล้ว
ไม่แปลกที่ผมจะกังวลใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับใจของจงอินแค่นั้น
ที่เซฮุนบอกว่าจงอินพูดถึงผมบ่อยๆหรือแม้แต่จริงจังเรื่องของจงอินขึ้นมานั่นแปลว่าผมเริ่มมีความหวังแล้วหรือเปล่า แม้แต่จะคิดเข้าข้างตัวเองผมก็ยังไม่กล้า
ผมกลับหอใหม่หลังจากแยกย้ายกับจงอินและเซฮุน ไม่ได้ไปส่งจงอินอย่างที่เคยเพราะมันไกลเกินไปจงอินถึงบอกปฏิเสธ อุปสรรคที่มาพร้อมๆกันทีเดียวสองทางทำให้เรื่องที่เป็นไปได้ยากอยู่แล้วดูเหมือนจะยากเข้าไปอีก
“กลับเร็วนี่”เฉินกับซูโฮนั่งดูทีวีกินอาหารเย็นกันอยู่หันมามองผม ผมเข้ามาก็มองหากล่องของๆตัวเองที่ก่อนออกไปยังไม่ได้เอาไปเก็บในห้อง ผมยังจัดของไม่เสร็จเรียบร้อยเลยคิดจะจัดต่อแต่มันกลับหายไปซะแล้ว
“เฉิน ของกูไปไหนวะ”
“เห็นคยองซูช่วยยกไปเก็บไว้ในห้องมึงให้นะ”
ได้ยินอย่างนั้นผมก็เดินเข้ามาดูในห้องตัวเองเห็นกล่องวางเรียบร้อยไว้อยู่ตรงมุม ไอ้เลย์คงกลับไปกินข้าวที่บ้านแต่ก็จัดของเสร็จแล้วเหมือนกัน ผมออกจากห้องตัวเองแล้วเดินไปที่ห้องคยองซู เคาะสองสามครั้งและรอ
“เขามาสิ ห้องไม่ได้ล็อก”เสียงเขาดังออกมาจากอีกฝั่งผมจึงเปิดประตูเข้าไป
“ขอบใจนะที่ช่วยยกของ” เขาเงยหน้าจากจอคอมพิวเตอร์ขึ้นมองผม สีหน้ายังคงราบเรียบแต่ก็พยักหน้ารับ
ผมมองไปรอบๆห้องที่ถูกจัดเป็นระเบียบเรียบร้อย ดูแล้วก็สมกับเป็นคยองซูดี
“อยู่คนเดียวเหงาก็ไปนอนกับพวกกูได้นะ” ผมบอกเขา
“ไม่ล่ะ ขอบใจ”
“ยังต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน คุยกับเพื่อนมั่งก็ได้” ผมถือวิสาสะนอนลงบนเตียงข้างๆ เขากระเถิบหนีหน่อยๆแล้วก็มองผมอย่างไม่พอใจนักแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร
“ชอบอยู่คนเดียวเหรอ” ผมถาม ปกติก็ไม่ค่อยเป็นฝ่ายคุยกับใครก่อนเท่าไหร่ แต่กับคยองซูที่พูดน้อยยิ่งกว่าน้อยก็ช่วยไม่ได้ที่ผมต้องเป็นฝ่ายพูดก่อน
“ไม่ได้ชอบ แต่มันก็เป็นไปเอง”เขาตอบ ตาจดจ่ออยู่กับจอคอมพิวเตอร์
“โลกส่วนตัวสูงงั้นสิ”
“ก็คงใช่ แต่ดูแล้วนายก็น่าจะเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน” เขาว่าอย่างนั้น ซึ่งมันก็จริง ทั้งผมทั้งเลย์ เราโลกส่วนตัวสูงกันทั้งนั้น
ผมนอนมองเขาเล่นเกมส์ไปเรื่อย การมีเพื่อนไม่ค่อยพูดก็ดีเหมือนกัน มีภาวะให้คิดเรื่องของตัวเองในขณะเดียวกันก็มีเพื่อนอยู่ข้างๆไม่ให้รู้สึกเหงาจนเกินไป ผมอยู่คนเดียวมาตลอดแต่จะเรียกว่าความเคยชินก็ไม่ได้ บ่อยๆที่ผมรู้สึกเหงา แต่เมื่อมาอยู่ที่นี่กับเพื่อนก็ให้รู้สึกว่าชีวิตแบบนี้มันดีกว่าเป็นไหนๆ แม้จะอยู่ด้วยกันไม่ถึงวันแต่ผมก็คิดอย่างนั้น
“คยองซูมีคนที่ชอบไหม” พอคยองซูได้ยินเขาก็อดไม่ได้ที่จะละสายตาออกจากจอคอมมามองผม
“ถามทำไม”
“ก็สงสัย”
“ตอนนี้ไม่มี”
“แล้วอดีตมีหรืออนาคตกำลังจะมี” เขาฟังคำถามของผมแล้วก็ยิ้มมุมปากไม่ตอบเหมือนให้คิดเอาเอง
“เคยชอบคนที่จีบยากๆไหม” ผมถามต่อ คราวนี้เขาถึงกับหัวเราะ
“หน้าอย่างนายนี่ไม่น่ามากลุ้มใจเรื่องแบบนี้เลยนะ”
“กลุ้มสิวะ กลุ้มใจจะแย่แล้วเนี่ย”
“อืม มีอะไรอยากเล่าก็เล่าได้ ถ้าช่วยได้ก็จะช่วย” พอได้คุยแบบนี้ผมก็คิดว่าเขาไม่ใช่คนเฉยชาอย่างที่เห็นภายนอก เพียงแต่ต้องเป็นคนเข้าหาก่อนก็เท่านั้น
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก แค่แอบรักเขาข้างเดียว แถมยังมีศัตรูอีกเยอะแยะ ไม่รู้ชาตินี้จะสมหวังไหม จะเปลี่ยนใจก็ไม่ได้ รักไปแล้ว…”
“เป็นเอามากว่ะ” ได้ทีผมก็ระบายออกมาหมด คงเป็นเพราะคยองซูไม่ใช่คนที่พูดมากเกินความจำเป็นและดูเป็นผู้ฟังที่ดีผมถึงกล้าพูด
“ถ้าเขายังไม่มีคนที่ชอบก็คงพอมีความหวังมั้ง” เขาออกความเห็นเชิงให้กำลังใจ
“อืม…”
ผมถอนหายใจยาว ได้ระบายออกมาก็ดีขึ้นมาหน่อย ก่อนหน้านี้รู้สึกฟุ้งซ่านว้าวุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก เป็นเพราะเซฮุนแท้ๆ จากตอนแรกที่คิดว่าอย่างที่เป็นอยู่ก็ดีอยู่แล้ว พอเซฮุนมาพูดเหมือนจะเอาจริงก็เกิดกังวลขึ้นมาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะถ้ามองจริงๆ ในฐานะศัตรู เซฮุนนั่นแหละที่น่ากลัวที่สุด
…
มันไม่ใช่เพียงคำพูดเลื่อนลอยที่ทำให้ผมกังวลใจ หลังจากวันนั้นทุกครั้งที่มีนัดในห้องซ้อมก็จะเห็นเซฮุนมาอยู่ด้วย และยากมากที่จะมีเวลาไปหาจงอินที่บ้านเหมือนเมื่อก่อน ผมโทรไปคุยกับเขาบ้าง เจอกันที่บริษัทก็ได้คุยกันบ้าง หรือมากสุดก็แค่ไปกินข้าวกับพวกน้องๆ แค่นี้เองที่ผมทำได้จากช่วงเวลาที่ยุ่งวุ่นวายในตอนนี้
“พี่ชานยอล” ผมหันไปตามเสียงเรียก เห็นจงอินที่กำลังเดินมาหา พวกเพื่อนในวงของผมมองจงอินเป็นตาเดียว
“อ้าว ทำไมยังไม่กลับ ดึกแล้ว” ผมถามด้วยความเป็นห่วงเพราะนี่มันเที่ยงคืนกว่าแล้วถึงจะดีใจที่ได้เจอเขาก็เถอะ
“กำลังจะกลับ แต่เห็นพี่เพิ่งออกมาเหมือนกันก็เลยเรียก”
“อยู่ทำอะไรดึกดื่น”
“ซ้อมสิ กว่าจะเลิกเรียนมาถึงนี่ก็ค่ำแล้ว” ผมหันไปมองพวกเพื่อนที่พากันเดินออกไปโดยทิ้งผมสองคนไว้
“เจอกันที่หอเว้ย” เลย์บอกผมแล้วยิ้มให้จงอินเป็นการทักทาย
“แล้วพวกนั้นล่ะ” ผมมองไปก็ไม่เห็นใครเห็นแต่เขาก็เลยถาม
“จริงๆวันนี้ไม่ต้องเข้ามาแต่ผมอยากมาซ้อมเองก็เลยมาไม่ได้ชวนพวกมัน”
“ขยันซ้อมไปรึเปล่า อย่าลืมว่าต้องทำเกรดด้วยนะ” ผมเตือน กลัวเขามุ่งมั่นกับทางนี้มากเกินไปจนลืม
“รู้น่ะ พี่ก็พูดเป็นแม่ไปได้” เขาย่นหน้าใส่ คงไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่ามันน่ารักสำหรับคนมอง
“วันนี้ไม่ต้องห้ามนะ พี่จะไปส่ง” ผมชิงบอกก่อนไม่ปล่อยให้เสียโอกาสที่นานๆจะได้เจอกันสักครั้ง
จงอินเม้มปากเมื่อผมพูดดัก และก็ปล่อยเลยตามเลยให้ผมไปส่งจนถึงบ้าน
เราคุยกันมาตลอดทาง เหมือนมีเรื่องให้พูดคุยเยอะแยะ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องภายในบริษัท ผมให้คำปรึกษาเขาในหลายๆอย่างเพราะดูเหมือนว่าเขาอยากจะมุ่งไปในทางเต้นเพียงอย่างเดียว เขาไม่ถนัดร้องเพลง เขาว่าอย่างนั้น การเป็นแดนซ์เซอร์กับไอดอลมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน และเขาก็ยังลังเลว่าควรจะเดินไปทางไหน หรือทางไหนที่เหมาะกับเขา ซึ่งในความคิดของผม ในฐานะผู้ชมผมรู้สึกว่าเขามีเสน่ห์มาก เหมาะกับการเป็นไอดอลมากกว่า
“ดีนะที่มีพี่อยู่ด้วย” เราเดินกันมาใกล้จะถึงบ้าน จู่ๆเขาก็พูดขึ้น เป็นคำพูดที่อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา…หากไม่มีคำพูดที่ตามมาหลังจากนั้น
“เหมือนมีพี่ชายเลย”
ผมยิ้มค้าง วูบโหวงที่ใจก่อนจะรู้สึกว่ามันเจ็บ ผมได้แต่เงียบเมื่อได้ยิน รู้ทั้งรู้ว่าที่เขาให้เข้าใกล้เพราะผมเป็นคนบอกเขาเองว่าจะไม่เรียกร้องอะไร อยากให้เป็นอะไรก็ได้ แต่พอคำว่าพี่ชายหลุดจากปาก ผมกลับไม่พอใจเสียเอง และก็รู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนผิดเองที่คิดกับเขาอย่างไม่บริสุทธิ์ใจ
ผมเดินตามเขาเข้าบ้านมาเงียบๆ ปล่อยให้ความคิดความรู้สึกต่างๆวิ่งวนอยู่ในหัวจนไม่ได้ยินเสียงเรียกของเขา
“พี่ชานยอล พี่…” เขาโบกมือผ่านหน้าผมไปมา ผมสะดุ้งตกใจที่เขายื่นหน้ามามองใกล้ๆ
“บอกแล้วไม่ต้องมาส่ง เหนื่อยใช่ไหมล่ะ”
“เปล่า…” ผมฝืนยิ้มให้เขา
“เหนื่อยก็พักก่อนก็ได้แต่ผมขอไปอาบน้ำก่อน เล่นกับมงกูไปนะ” เขาอุ้มมงกูมาไว้ให้ผมแล้วหายขึ้นไปบนชั้นสอง
ผมทิ้งตัวนอนลงบนโซฟา จะว่าเหนื่อยก็คงเหนื่อยจริงๆเพราะไม่มีแรงทำอะไรเลย ผมลูบหัวมงกูที่ซบลงบนอกนอนหลับสบายแล้วหลับตาลงบ้าง ไม่อยากคิดอะไรมากมายในตอนนี้เพราะยิ่งคิดก็จะยิ่งรู้สึกแย่ อยากจะปล่อยผ่านไปเหมือนว่าไม่เคยได้ยินคงดีซะกว่า…
ผมรู้สึกถึงความเย็นจากหยดน้ำที่หยดลงบนแขน จากนั้นก็รู้สึกถึงความอบอุ่นเมื่อมีผ้ามาห่มคลุมตัว ผมรู้สึกตัวแต่ไม่ได้ลืมตาขึ้นเพราะยังกึ่งหลับกึ่งตื่น เพียงแต่พลิกตัวตะแคงข้าง
ไม่รู้ว่ามงกูหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้หลับไปนานเท่าไหร่
เวลาผ่านไปสักพักผมก็เริ่มรู้สึกตัวเต็มที่เพราะได้กลิ่นของเขาใกล้ๆ จงอินคงจะนั่งลงด้านล่างของโซฟา และแม้ไม่ได้ลืมตาผมก็รู้ว่ากำลังถูกจับจ้อง
เวลาผ่านไปกับความเงียบ ยาวนานหลายนาทีที่เขานั่งอยู่อย่างนี้ ผมเลือกที่จะหลับตาให้นานเท่าที่จะทำได้ แต่สุดท้ายก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมองเขา
เขาไม่ได้หลบตาอย่างที่คิดเมื่อผมตื่น และไม่มีใครทำลายความเงียบโดยการพูดขึ้นมาก่อน ผมเดาไม่ออกเลยว่าเขาคิดอะไรอยู่ หรือสายตาที่มองจ้องผมคืออะไร
ผมค่อยๆเอื้อมมือไปที่ผมเปียกหมาดๆของเขา เกลี่ยเบาๆปัดออกไปด้านข้าง ผมเห็นดวงตาเขาชัดขึ้นก็จริงแต่ความสงสัยใคร่รู้ในตัวเขายังเต็มไปหมด การที่เขาไม่ปฏิเสธการกระทำของผมคืออะไร เขาจะรู้ความรู้สึกของผมไหม แล้วเขาล่ะรู้สึกอะไรกับผมบ้างรึเปล่า ผมอยากคิดเข้าข้างตัวเองเหลือเกิน
ผมเปลี่ยนจากหน้าผากเลื่อนมือลงมาสัมผัสที่แก้มของเขา
ตอนนั้นเองที่ผมเห็นแววตาที่ไม่เคยเห็นจากเขา แววตาที่มีความลังเลสับสน ผมเห็นมันก่อนที่เขาจะหลบสายตาหันหนีมือของผม
“พี่จะค้างที่นี่ก็ได้นะ” เขาพูดแล้วลุกขึ้น
“จงอิน…”
“เดี๋ยวผมเอาเสื้อผ้ามาให้” เขาไม่สนใจแม้แต่จะหันมามอง หายขึ้นไปข้างบนสักพักทิ้งให้ผมคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่คืออะไร คำถามจากที่มีมากมายอยู่แล้วกลับเพิ่มมากขึ้นไปอีก
คืนนั้นเป็นคืนแรกที่ผมได้ค้างที่บ้านเขา ผมนอนอยู่ที่โซฟาชั้นล่างด้วยความสมัครใจ ส่วนเขาก็นอนที่ห้องของเขาชั้นบน จะว่าใกล้ก็ใกล้ จะว่าไกลก็ไกล จิตใจว้าวุ่นจนข่มตาหลับเท่าไหร่ก็หลับแทบไม่ลง
…
วันรุ่งขึ้นผมตื่นแต่เช้าเพราะต้องกลับหอก่อนเข้าบริษัท ส่วนเขามีเรียนเช้าเหมือนกัน จงอินเตรียมตัวอยู่ชั้นบนในขณะที่ผมนั่งรอเขาที่ชั้นล่าง แต่แล้วก็ได้ยินเสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น
“พี่ชานยอลเปิดประตูให้เซฮุนหน่อย” จงอินตะโกนลงมาจากข้างบนผมจึงลุกออกไปเปิดให้
“เข้ามาสิ” เซฮุนมีสีหน้าตกใจเมื่อเห็นผม เขายืนนิ่งจนผมต้องบอกให้เขาเข้ามา
“เมื่อคืนพี่ค้างที่นี่เหรอ” เขาถามขึ้นหลังจากเข้ามาในบ้านและมองไปรอบๆ
“อืม…”
“งั้นเหรอ…” เซฮุนไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาเพียงแต่นิ่งเฉยและขบคิดอะไรบางอย่าง
“ถ้าจะทำให้นายสบายใจ มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอกนะ” ผมบอกเขา
“ผมรู้…” เขาพูดแล้วก็เงียบจนกระทั่งจงอินลงมา
จงอินมองผมกับเซฮุนไปมาเหมือนสงสัยเพราะเราต่างคนต่างเงียบแต่ก็ไม่ได้ถามอะไร เราสามคนจึงออกจากบ้านโดยผมแยกย้ายไปก่อนเพื่อเข้าบริษัท
กลับมาถึงหอไอ้พวกนั้นก็มองผมเป็นตาเดียว แม้แต่คยองซูยังมองผมอย่างสนอกสนใจ
“คืบหน้านี่หว่า” เฉินเปิดปากคนแรกเหมือนปกติ
“ทำไมไวไฟกันจัง” ซูโฮพูดต่อ รู้ว่าจงใจกวนตีนมือเลยเอื้อมไปตบหัวมันโดยอัตโนมัติ
“เล่าซิๆ ถึงไหนแล้ว” เฉินยังคงถามต่อโดยมีเลย์กับคยองซูรอฟังด้วย
“จะถึงไหนล่ะ ก็ที่เดิม” ผมตอบ
“ได้ไงวะ ไปค้างมาแล้วนะโว้ย น้องมันต้องคิดอะไรกับมึงบ้างแหละ”
“เขาบอกว่ากูเหมือนพี่ชาย ชัดไหมครับเพื่อน” ผมบอกและเผลอแสดงความหงุดหงิดในใจออกมา พวกมันก็เลยเงียบ
“กูไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวสาย” ผมว่าแล้วพาตัวเองออกมาจากสายตาของเพื่อน
วันนี้เราเข้าบริษัทเพื่อเลือกเพลงที่จะบรรจุลงในอัลบั้มและเลือกเพลงที่จะเป็นซิงเกิ้ลแรก เราประชุมกันอยู่หลายชั่วโมง เปิดเพลงเดโม่ที่ทุกคนแต่ง บางเพลงก็ฟังอยู่หลายรอบ สุดท้ายกว่าจะตกลงกันได้ก็ใช้เวลาไปทั้งวัน และจากผลโหวตที่น่าตกใจก็คือเพลงนั้นที่ผมเคยแต่งให้กับเขา ทุกคนลงความเห็นกันว่าจะใช้เป็นซิงเกิ้ลแรกในการเปิดตัว
เดือนถัดพวกเราก็เริ่มอัดเสียงและใช้เวลาอยู่ในสตูดิโอเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นช่วงเวลาการทำงานที่ผมชอบที่สุด
ผมไม่แปลกใจว่าทำไมพี่คังตะถึงเลือกคยองซูให้อยู่ในวง เราหมดข้อสงสัยในตัวกันและกันตั้งแต่เริ่มต้นทำงานด้วยกันแล้ว แต่เมื่อเริ่มอัดเสียงจริงๆผมก็ยังรู้สึกทึ่งทุกครั้งเวลาได้ยินเขาร้องเพลง
ผมคิดว่าคยองซูสมควรรู้ที่มาของเพลงจึงเล่าให้เขาฟัง เล่าความรู้สึกของตัวเองตอนที่เขียนเพลงนี้ เล่าว่าสื่อถึงใคร เล่าว่ากำลังรู้สึกอย่างไรในตอนนั้น
“เหมือนรักที่ไม่หวังผลตอบแทน แต่จริงๆลึกๆก็หวัง พอเข้าใจใช่ไหม” คยองซูพยักหน้าตาก็มองเนื้อเพลง
“ตอนนี้ก็ยังเป็นแบบนั้นอยู่ใช่ไหม” เขาถามผม ไม่มีท่าทีล้อเลียนหรือล้อเล่นเหมือนคนอื่นๆเวลาพูดถึงเรื่องจงอิน
“คิดว่าไง” ผมถามกลับ
“รู้ไหม…ทำไมทุกคนถึงเลือกเพลงนี้” คยองซูเลือกที่จะถามต่อ ผมจึงได้แต่ส่ายหน้า เหมือนจะรู้แต่ก็ไม่รู้หรอกว่าทำไมถึงพร้อมใจกันเลือกเพลงๆนี้
“ทั้งทำนอง ทั้งเนื้อเพลง ฟังแล้วทั้งเหงาทั้งเจ็บ แต่มันก็สื่อได้ว่ารักมาก…ง่ายๆน่ะ ฟังแล้วมันโคตรซึ้ง”
“งั้นก็ฝากด้วยแล้วกัน”
ไม่จำเป็นต้องเล่าอะไร จากคำที่คยองซูเพิ่งพูด ผมว่าเขาเข้าใจความรู้สึกของผมแล้วทั้งหมด
…
พวกเราทำงานกันอย่างหนัก ตลอดเวลาเกือบหนึ่งปี พี่คังตะเป็นโปรดิวเซอร์ที่ดีและมองเห็นความสามารถของทุกคนจริงๆอย่างที่เคยบอกกับเราในวันแรก
อีกหนึ่งเดือนข้างหน้า ก็ถึงเวลาที่เรารอคอย
ซิงเกิ้ลแรกและอัลบั้มทั้งหมดเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการถ่ายทำทีเซอร์และมิวสิควีดีโอ และเพราะเพลงนี้เป็นเพลงที่ผมแต่งพร้อมเหตุผลอีกร้องแปดของบริษัทผมจึงได้รับเลือกให้รับบทหลักในเอ็มวี
แน่นอนว่าในมิวสิควีดีโอต้องมีนางเอกที่จะแสดงร่วมแต่ผมเสนอคอนเซปต์ไปว่าต้องการให้ออกมาเป็นแค่เงาเท่านั้น อยากให้เป็นแค่เงาก้ำกึ่งระหว่างความมีกับไม่มีตัวตน เสมือนความฝันและความจริง
แต่เหตุผลหนึ่งในใจที่ไม่มีใครรู้ก็คือผมไม่อยากเอาภาพใครมาแทนที่ในเมื่อเพลงนี้มันเป็นของเขา
นางเอกมิวสิควีดีโอเป็นนักร้องหญิงชื่อดังในค่ายแต่เธอก็ยินดีร่วมถ่ายทำแม้จะออกเพียงแค่เงา
ยอมรับว่าหากเป็นเมื่อก่อนผมอาจจะสนใจเธอเมื่อเธอส่งสัญญาณบางอย่างมาให้ ผมไม่เคยต้องคิดอะไรมากกับการนอนกับผู้หญิงสักคน หากเพียงแค่ผมถูกใจและเธอต้องการเราก็ลงเอยด้วยกันง่ายๆ
แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเมื่อก่อน เหมือนผมรู้จักกับอะไรบางอย่างทำให้การกระทำที่ผ่านมาดูทั้งไร้ค่าและไร้ความหมาย ต่อให้ผมสนใจเธอบ้างตามประสาแต่ผมก็ไม่คิดจะทำ
“อีกไม่นานก็เดบิวต์ เรื่องส่วนตัวหากคิดจะมีก็เก็บเป็นความลับไว้ให้ดี ห้ามมีเรื่องเสียหายออกข่าวเป็นอันขาด เข้าใจใช่ไหม” พี่ฮีชอลที่ตอนนี้เป็นผู้จัดการวงของเราบอกกับผม เราอยู่ที่สตูดิโอวันสุดท้ายของการถ่ายทำ พี่ฮีชอลมองไปที่ซอฮยอนที่หันมามองผมเป็นพักๆ
“อยากเตือนไว้ก่อน อย่าหลงอะไรก็ตามที่ได้มาในวงการนี้”
“ครับ พี่ไม่ต้องห่วงหรอก” พี่ฮีชอลหันมองผมแล้วก็กลับไปมองที่ซอฮยอน
“ไม่ห่วงได้ไง มาไม่กี่วันทำท่าจะสปาร์คกันซะแล้ว” พี่ฮีชอลพูดตามที่ตาเห็น คงไม่รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ นอกจากเพื่อนในวงก็ไม่มีใครที่รู้เรื่องของจงอิน ถึงจะพูดแซวบ้างแต่ถ้าอยู่กับคนอื่นพวกมันก็เก็บรักษาความเป็นส่วนตัวของผม
“พี่คิดไปเองแล้ว”
“เออ อย่างนั้นก็ดี เพิ่งเข้าวงการ เดี๋ยวก็เจออีกเยอะ เราไม่เล่นด้วยใช่ว่าเขาจะจบนะ ระวังตัวดีๆ”
ผมได้แต่ยิ้มให้พี่ฮีชอล แล้วก็ยิ้มตอบซอฮยอนเมื่อเธอส่งยิ้มมาให้
…
“คุยได้รึเปล่า” ผมโทรหาจงอิน ไม่ได้บ่อยทุกวัน แต่ก็อาทิตย์ละสองสามครั้ง
“ได้ครับ”
“จะนอนรึยัง”
“เดี๋ยวง่วงผมก็บอกเองแหละ”
“อืม…” บ่อยๆที่ผมโทรมาแม้จะไม่ได้มีเรื่องคุย ก็แค่คิดถึง อยากได้ยินเสียง
“พี่อยู่ไหนน่ะ”
“ที่หอ” ผมบอก ตอนนี้ยืนอยู่ตรงระเบียง เป็นมุมส่วนตัวเอาไว้คุยโทรศัพท์
“นอนไม่หลับล่ะสิ ผมยังตื่นเต้นแทนเลย” ผมอมยิ้ม ดีใจที่เขาจำได้ว่าพรุ่งนี้เป็นวันแรกของการปล่อยซิงเกิ้ลโปรโมท
“อย่าลืมดูล่ะ”
“เพลงพี่ปล่อยตอนกลางวันนะ ตอนนั้นผมเรียนอยู่”
“อืม…งั้น…รอแป๊บนึง” ผมเปิดประตูกระจกกลับเข้ามาข้างในแล้วเข้าไปหยิบกีตาร์ในห้อง ก่อนจะกลับไปที่ระเบียงเหมือนเดิม
“จะเล่นให้ฟังก่อนล่วงหน้า แบบฉบับของมือกีตาร์” ผมบอกแล้วก็วางมือถือไว้ข้างๆ
ผมหวังว่าเขาจะรู้ว่านี่เป็นเพลงของเขา เพลงที่มีคนบอกว่าโคตรซึ้ง ผมก็อยากให้เจ้าของเพลงรู้สึกอะไรบ้าง ทั้งๆที่อยากจะบอกรักตรงๆหลายครั้ง แต่เขาไม่อยากฟังผมก็ได้แต่ใช้วิธีอ้อมค้อมอย่างนี้
นิ้วของผมเกาสายกีตาร์เป็นเวอร์ชั่นอะคูสติก มันเป็นเพลงที่เขาเคยฟังครั้งหนึ่งวันที่ผมเรียนจบ ไม่รู้ว่าเขาจะจำได้ไหม เพลงที่เขาก็เคยบอกว่าชอบ
สิ้นตัวโน๊ตสุดท้ายผมวางกีตาร์แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู เขายังคงเงียบ และผมก็ปล่อยให้มันเงียบอยู่อย่างนั้นยังไม่พร้อมที่จะพูดอะไร
“พี่ชานยอล…”
“หืม…” ผมขานรับในลำคอเพียงเบาๆ เขาเรียกแล้วก็เงียบ อาจจะแค่เรียกเพื่อเช็คดูว่าผมอยู่ในสายหรือเปล่า
“ผมง่วงแล้ว” หลังจากเงียบไปนานเขาก็พูดขึ้นมาก่อน
“อืม…ไปนอนเถอะ”
“พรุ่งนี้ผมจะรอดูนะ” เขาให้กำลังใจผมก่อนวางสาย
ผมถอนหายใจให้กับอนาคต ทั้งเรื่องของเขาและเรื่องของงาน
รู้สึกเหมือนกับว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลง
ความคิดเห็น