ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO] Heart, Mind and Soul [ChanKai]

    ลำดับตอนที่ #10 : Embrace

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 847
      19
      5 ต.ค. 57

    -10-

    Embrace


     

     

    Classic คือชื่อวงของพวกเรา

     

    วงดนตรีอินดี้หน้าใหม่เป็นที่จับตามองเพราะมาจากค่ายยักษ์ใหญ่อย่างเอสเอ็มเอนเตอร์เทนเมนท์ ซิงเกิ้ลแรกที่เป็นเพลงบัลลาดถูกเปิดในทุกคลื่นทุกช่อง

     

    ผมไม่เคยคาดหวังกับกระแสหรืออะไรก็ตามที่จะตามมา ในฐานะของศิลปิน ผมหวังอย่างเดียวคือให้คนมีความสุขกับผลงานที่เราตั้งใจทำ ขอแค่ชอบเพลงของผม ชอบที่เพลงสามารถสื่อสารอะไรถึงคนฟังได้ แก่นแท้ที่ผมต้องการมันมีแค่นั้น และแค่นั้นผมจึงนับว่าตัวผมประสบความสำเร็จ

     

    ตั้งแต่ที่เพลงแรกถูกปล่อยออกไปก็ถือว่าเป็นช่วงของการโปรโมท หากนับว่าการทำงานหนึ่งปีที่ผ่านมาว่ายุ่งแล้ว ตอนนี้ก็แทบจะเรียกได้ว่าไม่ได้หลับได้นอน

     

    เราเดินสายตาโปรโมททั้งรายการสดและคลื่นวิทยุ คิวเต็มแน่นทั้งเจ็ดวันไม่มีวันหยุดพัก

     

    ช้ระยะเวลาหนึ่งเดือน เพลงของเราก็ขึ้นอันดับหนึ่งบนชาร์ตใหญ่และทำยอดขายได้ดีเกินคาด หลังจากนี้เราวางแผนไว้แล้วว่าจะโปรโมทอีกสองซิงเกิ้ลก่อนปล่อยอัลบั้มเต็ม

     

    ชีวิตผมภายนอกดูจะเปลี่ยนไปเพียงชั่วข้ามคืนทันทีที่ภาพของพวกเราปรากฏบนหน้าจอ ไม่มีความเป็นส่วนตัวหลงเหลืออยู่อีก ผมไม่มีความคิดเห็นว่ามันดีหรือไม่ที่เป็นเช่นนี้ เพียงแต่ยังปรับตัวไม่ทันและไม่ชินที่ได้รับความสนใจ เรื่องราวประวัติส่วนตัวของตัวเองถูกค้นหาขุดคุ้ย ซึ่งเรื่องที่ผมไม่ชอบก็คงจะมีเพียงเรื่องนี้เรื่องเดียวเท่านั้น

     

    พี่ชานยอล! พี่ชานยอลลลลลล” เสียงร้องตะโกนเรียกและแสงแฟลชวูบวาบพุ่งเข้าใส่ทันทีที่เปิดประตูรถ เสียงเรียกชื่อพวกเราดังโหวกเหวกไปหมดแต่พวกเราก็ทำได้เพียงก้มหน้ารีบเดินเข้าบริษัท

     

    กูว่านะ ชานยอลแม่งนำละ”ซูโฮพูดหลังจากที่เราเข้ามาในตึกแล้ว มันกับเฉินชอบเช็คจำนวนแฟนคลับตลอดว่าใครจะมากกว่ากัน

    ได้ไงๆ ชื่อกูก็เยอะอยู่นะ พี่เฉิน! พี่เฉิน! เยอะจะตายหรือมึงไม่ได้ยิน”เฉินทำเสียงเล็กเสียงน้อยเรียกชื่อตัวเอง

    มึงว่าไงวะ” ซูโฮหันไปถามเลย์

    ไร้สาระหน่า กูฟังไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย วุ่นวายไปหมด ใครจะไปรู้” เลย์ตอบ ทำหน้าเหนื่อยหน่าย

    ไม่ได้ยินชื่อตัวเองอารมณ์เสียอะดิ” ซูโฮกอดคอเลย์พูดจายั่วโมโห

    ส้นตีนเถอะครับ” พอเลย์ด่ามันก็หัวเราะสมใจ

    อารมณ์ดีนักนะมึงพอรู้ว่าวันนี้เลิกเร็ว” ผมว่า เฉินกับซูโฮนี่หน้าบานตั้งแต่รู้ว่าวันนี้ไม่มีตารางงานหลังจากประชุมเสร็จ

    เออดิ กูจะนอนแบบข้ามวันข้ามคืนเลย ใครก็อย่ามากวน” เฉินพูดแล้วก็หันไปบอกซูโฮ

    กูไม่กวนมึงหรอกครับ จะนอนเหมือนกัน” ดูเหมือนว่าสิ่งเดียวที่เราทุกคนต้องการในเวลานี้คือการนอนเท่านั้นจริงๆ ผมเองตั้งใจจะกลับไปนอนเหมือนๆพวกมันนี่แหละ

     

    พวกเรามารอลิฟท์เพื่อที่จะขึ้นไปประชุม แต่ยังไม่ทันไปไหนผมก็เห็นจงอินที่เพิ่งเดินเข้ามาในบริษัทกับพวกเพื่อนๆ

     

    พี่ชานยอลล” แบคฮยอนวิ่งมาหาตะโกนเสียงดังจนคนอื่นหันมามอง

    ล้อเลียนอะไรพี่ป่ะเนี่ย” ผมถามแบคฮยอนก็หัวเราะ

    ก็เมื่อกี้ก่อนเข้าบริษัทสยองมาก ได้ยินแต่เสียงเรียกชื่อพี่อะ ไม่คิดเลยว่าผู้หญิงมารวมตัวกันเยอะๆจะน่ากลัวขนาดนี้” ซูโฮพอได้ยินแบคฮยอนพูดก็หันไปพยักหน้ากับเฉิน

    ไงกูบอกมึงแล้ว ชานยอลแม่งฮอทกว่าใคร”

    เออๆ” เฉินโบกมือแบบขอไปที

    ไม่เจอพี่นานเลย เห็นแต่ในทีวี โคตรเท่อะ” จื่อเทาบอก ผมก็ไม่เจอพวกน้องๆเป็นเดือนแล้วเหมือนกันทั้งที่ก่อนหน้านี้ไปกินข้าวบ่อยๆ

    ดังแล้วอย่าลืมพวกผมนะพี่” แบคฮยอนว่า ผมได้แต่ยิ้มๆกับคำพูดแล้วมองไปที่จงอินกับเซฮุนที่ก้มหัวทักทายเพื่อนๆในวงของผม

    วันนี้พี่ว่างรึเปล่า ไปกินข้าวกับพวกผมไหม ไม่ได้ไปนานแล้ว” ผมฟังคำชวนแบคฮยอนแล้วมองไปที่จงอิน

    ไปก็ได้ พี่เลิกประชุมค่ำๆนะ”เรื่องนอนคงต้องรอไปก่อน เพราะผมเจอคนที่ทำให้เรื่องนอนสำคัญรองลงไป

    โอเคครับ เดี๋ยวเจอกัน”

     

     

    ช่วงหัวค่ำหลังจากประชุมเสร็จผมก็แยกย้ายกับเพื่อน พวกมันทุกคนกลับหอด้วยกันหมด เหลือแต่ผมเพียงคนเดียว ผมมาเจอกับน้องๆข้างล่าง แต่ก็ลืมนึกไปว่าจะออกจากตึกได้ยังไง เพราะผมไม่สามารถเดินออกหน้าบริษัทได้เหมือนกับปกติอีกแล้ว

     

    ออกข้างหน้าข้างหลังก็มีแฟนๆอยู่ทั้งนั้น”ผมบอก

    พี่ก็ตัวสูงซะด้วย ปิดหน้ายังไงก็เด่นอยู่ดี”จื่อเทาออกความเห็น

    มึงก็สูง เซฮุนด้วย ก็ปิดหน้าให้เหมือนพี่ชานยอลก็แล้วกัน แฟนตามก็แยกไปคนละทาง เดี๋ยวไปเจอกันที่ร้าน”แบคฮยอนวางแผนเสร็จสรรพ

    น่าสนุกอะ” เทาว่า ผมคิดว่าเมื่อไหร่ที่ตัวเทาเองโดนแบบนี้บ้างคนจะสนุกไม่ออกเหมือนกับผมที่เป็นอยู่ตอนนี้

    โอเคตามนี้นะ” แบคฮยอนถามอีกทีพวกเราทุกคนก็พยักหน้า

     

    เป็นไปตามที่คิดว่ามีแฟนๆอยู่เต็มไปหมด แต่เราเลือกที่จะออกข้างหลังซึ่งคนดูเหมือนจะน้อยกว่า พวกเราใส่เสื้อวอร์มสวมฮูท สวมแมสปิดจมูกเหมือนๆกัน เดินเกาะกลุ่มโดยพวกน้องๆพยายามที่จะบังผมให้

     

    ใช่รึเปล่า ใช่ไหม” พวกเราได้ยินเสียงซุบซิบ

    ใช่แน่ๆ ต้องอยู่ในนั้นแหละ” พอได้ยินแบบนั้นเราก็เดินเร็วขึ้น ขณะที่แฟนคลับก็รีบตามประกบให้ทันเพื่อเข้าประชิดพวกเรา

    วิ่งดีกว่าพี่ วิ่งเถอะ” แบคฮยอนกระซิบ

    โอเค แยกย้าย” ผมว่า เตรียมตัววิ่ง มือคว้าแขนจงอินโดยอัตโนมัติให้วิ่งไปด้วยกัน

     

    แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักเพราะเซฮุนก็ทำแบบเดียวกันกับผม

     

    มันเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ควรเกิด ทั้งเวลาและสถานที่ไม่เอื้ออำนวยให้รอช้า แต่เราก็ต่างคนต่างกำแขนคนละข้างของจงอินเอาไว้

     

    วิ่งสิวะ” จื่อเทาหันมาบอกก่อนจะวิ่งนำไปก่อนโดยมีแฟนๆกลุ่มหนึ่งวิ่งตามไปด้วย

     

    จงอินมองซ้ายมองขวา สีหน้าลำบากใจจนผมเกือบจะปล่อยมือเพื่อความสบายใจของเขา

     

    เซฮุน…ไปเจอกันที่...”

    ไม่ต้องพูดแล้ว” จงอินพูดไม่ทันจบเซฮุนก็สวนขึ้นมา เซฮุนปล่อยจงอิน แววตาเจ็บปวดอย่างปิดไม่มิด ก่อนจะหันหลังวิ่งแยกออกไปอีกทาง

    ไปเถอะ” ผมเรียกจงอินให้ดึงสายตาที่มองตามเซฮุนกลับมา

     

    มีแฟนกลุ่มหนึ่งที่ตามเรามาในช่วงแรกแต่ก็ไม่ไวพอที่จะตามเราทัน ผมกับจงอินหอบหายใจเหนื่อยแทบวิ่งต่อไม่ไหวกว่าจะหลุดออกมาได้

     

    เราสองคนค่อยๆเดินไปที่ร้านที่อยู่ไม่ไกลนักเมื่อไม่มีใครตาม ผมค่อยๆคลายมือที่จับข้อมือเขาออกทั้งๆที่ไม่ได้มองหน้า ผมไม่กล้าสบตา

     

    โทษทีนะ” ผมขอโทษ ไม่ได้บอกว่าเรื่องไหน เรื่องที่ทำให้ต้องมาวิ่งเหนื่อยอยู่แบบนี้ เรื่องที่จับข้อมือเขาอยู่นานสองนาน หรือเรื่องเซฮุน

     

    ขอโทษทำไม” เขาถาม “จริงๆมันก็ตื่นเต้นดีออก แฟนพี่เยอะดีจริงๆ” จงอินพูดเหมือนไม่ได้คิดอะไรมาก

    แต่วิ่งแบบนี้บ่อยๆก็ไม่ไหวเหมือนกัน” ผมบอกเขา

    นั่นสิ แต่แปลกดีนะ ไม่เจอพี่แป๊บเดียวก็เป็นคนดังซะแล้ว”

    พี่ก็เหมือนเดินนั่นแหละ เหมือนเดิมทุกอย่าง”

    อืม…แต่ผมก็ยังรู้สึกแปลกอยู่ดีเวลาเห็นพี่ในทีวี”

    ดูดีไหม” ผมถามเล่นๆ นานแล้วที่ไม่ได้คุยกับเขาอย่างนี้ รู้สึกคิดถึงช่วงเวลาที่เราได้อยู่ด้วยกัน ได้คุยกัน ช่วงเวลาที่ได้เดินไปส่งเขาที่บ้านก็เดินกันไปคุยกันไปแบบนี้ ซึ่งก็เหมือนผ่านมานานมากแล้ว

    ผมว่าก็ดูดีทั้งวงนะ โดยเฉพาะพี่คยองซู”

    แหงล่ะ นักร้องนำใครๆก็ชอบ”

    ผมชอบพี่เขาที่เสียงร้อง เขาร้องเพลงที่พี่แต่งเพราะมากเลย กลายเป็นเพลงโปรดผมไปแล้ว” จะนับว่าตอนนี้ประสบความสำเร็จได้ไหมนะ เวลาที่มีคนบอกว่าชอบเพลงผมจะรู้สึกดีใจมาก ยิ่งเป็นเขาที่พูด ผมยิ่งบรรยายความรู้สึกออกมาไม่ถูก ได้แต่ยิ้มไม่หุบเหมือนคนบ้า

    งั้นเดี๋ยวจะเอาแผ่นมาให้ ว่าจะให้ตั้งนานแล้ว” ผมพูดแค่นั้นเราก็เดินมาถึงร้านพอดี

    ไปถึงไหนกันมาครับพี่ นี่กินกันจะอิ่มแล้ว” แบคฮยอนพูดเมื่อเห็นเราสองคน มันก็พูดเวอร์ไปดูก็รู้ว่าเพิ่งมาถึงไม่ได้เร็วไปกว่ากัน

     

    ผมมองไปที่เซฮุนที่นั่งเงียบๆไม่แม้แต่จะมองจงอินที่นั่งลงข้างๆ

     

    ตลอดมื้อนั้นเซฮุนก็ยังคงนิ่งเงียบและจงอินก็รับรู้ถึงความผิดปกตินั้น เขาจึงใช้วิธีคีบอาหารให้เซฮุนบ่อยๆสลับหน้าที่จากปกติที่เซฮุนจะเป็นฝ่ายให้ ผมก็ยังคงได้แต่มองดูและก็คิด หากเซฮุนมองเห็นว่าเขาให้ความสำคัญกับผมเป็นพิเศษ ผมก็เห็นว่าเขาก็ให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับเซฮุนเช่นเดียวกัน หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ อย่างแววตารู้สึกผิดที่ใช้มองเซฮุนตอนนี้ก็บอกให้รู้ได้ว่าเขาแคร์เซฮุนมากแค่ไหน แม้จะแค่ในฐานะเพื่อนก็ตาม

     

    พอแล้ว กูอิ่มแล้ว” เซฮุนบอกกับจงอินที่ถือตะเกียบค้างอยู่กำลังจะยื่นให้

    เอามาให้กูนี่” จื่อเทาบอก คงจะมองอยู่เหมือนกัน ทุกคนคงรู้สึกถึงความไม่ปกติระหว่างสองคน แต่ก็เลือกที่จะรักษาบรรยากาศโดยการไม่พูดถึง

     

    หลังกินข้าวเสร็จผมต้องแยกกับพวกน้องๆตั้งแต่ร้านอาหารเพราะโทรบอกให้พี่ฮีชอลมารับ ตอนที่แยกย้ายผมก็ได้แต่ยิ้มให้จงอิน เราได้แต่ยิ้มให้กัน

     

    เป็นช่วงเวลาสั้นแสนสั้นที่ได้เจอ แต่มันก็คุ้มแสนคุ้มแล้วเพียงรอยยิ้มเดียวที่เห็นเขายิ้มให้ผม

     

     

    สี่เดือนแรกของการก้าวเข้ามาในโลกใหม่ทำให้รู้สึกว่าตัวเองเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว รู้จักอะไรหลายๆอย่าง คนหลากหลายแบบ ผมเข้าใจแล้วว่าความกดดันเป็นอย่างไร เข้าใจแล้วกับคำว่าต้องแลก มันไม่ได้ง่ายดายเลย ไม่มีคำว่าง่าย ทางเดินที่สวยงามหากมองจากภายนอกจริงๆแล้วก็เหมือนใช้ชีวิตอยู่ในดงหนาม หากไม่ระวังก็ล้ม และเจ็บปวดได้ง่ายๆ

     

    ในที่สุดเราก็ได้ปล่อยอัลบั้มเต็ม เวลานั้นพวกเรารู้สึกภูมิใจที่สุดในชีวิต ทุกคนทุ่มเทกับมันมาก ใครต่อใครอาจเคยได้ยินคำๆนี้จากศิลปิน คำว่าทุ่มเท พอเป็นคำพูดผมกลับรู้สึกว่ามันไม่มีน้ำหนักเอาเสียเลย แต่ก็ไม่มีคำไหนจะสื่อออกมาได้ใกล้เคียงไปกว่านี้ คงมีแต่ตัวเราเท่านั้นที่จะรู้ว่าความทุ่มเทที่แท้จริงมันคืออะไร

     

    ชื่อเสียงของพวกเราเข้ามาพร้อมกับอะไรหลายๆอย่าง ความฝัน ธุรกิจ และผลประโยชน์แยกออกจากกันไม่ได้

     

    สิ่งที่ทำให้ผมมีความสุขมีอยู่ไม่กี่อย่าง การเล่นดนตรี แฟนเพลง และช่วงเวลาที่รู้สึกสงบเมื่อได้คุยกับจงอิน ผมยังโทรหาเขาสัปดาห์ละสองสามครั้งแม้จะได้เจอหน้ากันนานๆครั้ง ช่วงนี้จงอินก็วุ่นวายไม่แพ้ผมเพราะกำลังจะเรียนจบ ชีวิตเราดำเนินคู่ขนานกันไป ถึงไม่ได้ใกล้ชิด แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าห่าง

     

    ผมต้องระวังตัวในการใช้ชีวิตมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องปกติสักแค่ไหน หลายเรื่องที่เป็นเรื่องง่ายแต่กลับยากเมื่อต้องอยู่ในสายตาของใครๆตลอดเวลา

     

    พวกเรามีทั้งแฟนเพลงที่ชื่นชอบผลงานของเราและแฟนคลับที่ชื่นชอบตัวตนของเรา แต่ก็เป็นด้านที่พวกเขามองเห็น หรือด้านที่พวกเราอยากให้เห็น ไม่มีทางที่จะเป็นตัวตนจริงๆร้อยเปอร์เซ็นต์

     

    เรื่องราวของผมออกจะเป็นที่สนใจของแฟนๆอยู่มากกับบทสัมภาษณ์ที่บอกว่าหลังจากหนีออกจากบ้านผมต้องหางานเพื่อหาเลี้ยงตัวเอง ไม่ได้มีคนคอยสนับสนุน

     

    ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาๆของคนๆหนึ่งและมันก็เป็นเรื่องจริงที่ไม่ได้อยากปั้นแต่งให้มันสวยงาม ผมไม่รู้ว่ามันจะเป็นเรื่องเป็นราวให้คนไปขุดคุ้ยและวิพากษ์วิจารณ์ครอบครัวของผมที่ไม่ให้การสนับสนุน ถึงตัวผมจะไม่ได้ติดต่อกับที่บ้านมานานแล้วแต่ก็ไม่ยากเกินไปสำหรับความอยากรู้อยากเห็น

     

    สิ่งที่พวกเขาเขียนในโลกออนไลน์ทำให้ผมรู้สึกเหมือนโดนรุกล้ำเขตแดนของตัวเองที่ไม่มีใครทั้งนั้นสมควรก้าวเข้ามา คนบางคนไม่เข้าแต่ทำเหมือนว่าเข้าใจ คนบางคนคิดว่ารู้ทั้งๆที่มันไม่ได้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงสักนิด

     

    ถึงผมจะทะเลาะหรือไม่เข้าใจกับพ่อ แต่พ่อก็เป็นพ่อ ไม่น่าเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจว่าต่อให้ตัดขาดยังไงผมก็รัก ไม่อยากให้ใครพูดถึงในทางเสียหาย

     

    ผมตั้งใจจะหาเวลากลับบ้านแต่ก็ต้องยื้อมานานเพราะตารางงานที่ปรับเปลี่ยนตลอด แม้จะเป็นเรื่องราวถูกพูดถึงในอินเตอร์เนทไม่ได้เป็นข่าวใหญ่โตผมก็คิดว่ายังไงก็ต้องให้ความสำคัญ

     

    เย็นวันหนึ่งหลังจากหาเวลาได้ผมก็กลับมายืนอยู่หน้าบ้านตัวเองที่จากมาเกือบหกปี ผมไม่ได้ติดต่อกลับมา และเขาก็ไม่ได้ใส่ใจตามหา ตอนนั้นเองที่ผมเริ่มลังเลไม่กล้าเผชิญหน้า มันนานมาเกินไปจนไม่รู้ว่าที่รู้สึกอยู่นี้คืออะไร

     

    ผมยืนมองบ้านและก็ยังคงคิดถึงอดีตที่มีผม พ่อ…และแม่ เพราะมันคือช่วงที่มีความสุขที่สุขที่อยู่บ้านหลังนี้

    แต่ตอนนี้มันเป็นบ้านของอีกครอบครัวนึงของพ่อไปแล้ว

     

    ผมเอื้อมมือไปกดกริ่งทั้งที่ยังเต็มไปด้วยความลังเลใจ รออยู่สักพักก็มีคนมาเปิดประตู

     

    เธอคือแม่เลี้ยงของผม และเมื่อเธอเห็นว่าเป็นผม เธอก็ขมวดคิ้วมองก่อนจะอ้าประตูให้กว้างขึ้นเพื่อให้ผมเข้าไปโดยที่ไม่ได้พูดอะไรสักคำ

     

    ผมเข้ามาในบ้านที่ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก นั่งลงบนโซฟาก่อนที่จะถามถึงพ่อ

     

    เดี๋ยวก็คงกลับ” เธอบอกแล้วก็นั่งลงที่โซฟาอีกตัว แต่ก่อนแต่ไรเราก็แทบจะไม่ได้พูดคุยกัน ตอนนี้จึงตกอยู่ในสถานการณ์ที่ค่อนข้างอึดอัด

     

    ผมเห็นแววตาสงสัยของเธอที่มองผม เป็นความสงสัยปนความไม่พอใจ เธอเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน ไม่เคยหรอกที่จะพอใจในตัวผม สิ่งเดียวที่ทำให้เธอพอใจก็คือไม่เห็นผมอยู่ในสายตา

     

    เรานั่งอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งได้ยินเสียงรถของพ่อ เธอจึงออกไปเปิดประตูบ้าน

     

    ในหกปีที่ผ่านมา ผมเคยคิดหลายครั้งว่าพ่อจะคิดถึงผมบ้างไหม หรือจะทำหน้าอย่างไรหากผมกลับไปอีกครั้ง ผมไม่หวังว่าพ่อจะมาสวมกอดหรืออะไร แค่หวังอยากให้พ่อยิ้ม หรือรู้สึกดีใจเมื่อเจอผมบ้าง

     

    มันเป็นแค่ความหวัง หวังน้อยนิดแค่ไหนก็เรียกว่าความหวังอยู่ดี พอไม่ได้เห็นสิ่งที่อยากเห็นยังไงก็รู้สึกผิดหวัง

     

    พ่อไม่ได้ยิ้มให้ผม ตรงกันข้าม เขามองผมด้วยสายตาเย็นชาที่ผมคุ้นเคย

     

    กลับมาทำไม” นั่นคือคำๆแรกตลอดเวลาหกปี มันคือคำถามที่พ่อคงอยากรู้ที่สุด

    พ่อสบายดีไหม” ผมไม่ได้ตอบคำถามพ่อ

    ก่อนหน้านี้ก็ยังดีอยู่” พ่อตอบ จ้องหน้าผมนิ่ง

     

    แกเก่งแล้วนี่ ยืนได้ด้วยตัวเองแล้ว จะกลับมาทำไม” คำถามของพ่อบอกให้รู้ว่าเขารู้เรื่องของผม แต่ก็ไม่ได้รู้สึกยินดีที่ผมได้ทำในสิ่งที่ผมรัก

    ผมแค่อยากมาหา”

    มาเยาะเย้ยงั้นสิว่าเป็นคนมีชื่อเสียงแล้ว ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาพ่อแม่ เลี้ยงตัวเองได้เพราะพ่อชั่วๆมันไม่เลี้ยง” พ่อยังพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ผมรู้ว่าพ่อโกรธ

    ผมอยากมาบอกพ่อว่าผมไม่เคยคิดแบบนั้น ไม่เคยเลย…”

    แกไม่คิดแต่คนอื่นเขาคิด ฉันมันผิดเองแหละที่ทิ้งลูกให้ลำบากลำบนตามหาฝันบ้าๆของมัน”

    ใครจะพูดอะไรก็ได้ แต่ผมเป็นคนตัดสินใจออกจากบ้านไปเอง พ่อก็รู้ว่าพ่อไม่ได้ผิด ผมเลือกเอง แล้วพ่อต้องฟังคำคนอื่นทำไม”

    ใช่สิ ปล่อยให้คนเขาด่าพ่อแกไป อย่าไปสนใจอะไรเลย”

    พ่อ!” ผมตะโกนเพราะทนไม่ไหว ทำไมพ่อไม่เคยเข้าใจ ที่มาหาไม่ใช่ว่าผมห่วงความรู้สึกพ่อหรอกหรือ แต่ถ้าพ่อคิดถึงความรู้สึกของผมบ้างว่ากว่าจะมายืนตรงนี้ได้ผมต้องพยายามแค่ไหน พ่อก็จะไม่พูดกับผมแบบนี้ ที่พ่อสนใจก็คือสิ่งที่คนอื่นพูด แม้ผมจะกลับมายืนตรงหน้าก็ดูเหมือนพ่อจะไม่อยากเห็น ไม่มีความสำคัญอะไรเลย

     

    พ่อของผมก็ยังเป็นเหมือนเดิม ความสุขของผมไม่เคยเป็นความสุขของพ่อ ผมน่าจะรู้

     

    ที่ผ่านมาอย่างเดียวที่ผมต้องการจากพ่อคืออยากให้พ่อเข้าใจผมบ้าง…คิดถึงใจผมบ้าง…แต่มันคงมากเกินไปสำหรับพ่อ” ผมลุกขึ้น ความรู้สึกเดิมจากวันที่ตัดสินใจก้าวออกจากบ้านหวนกลับมาอีกครั้ง เหมือนเดิมไม่มีผิดเพี้ยน

     

    ผมไม่ได้หันหลังกลับไปมองและคิดว่าคงไม่ได้กลับไปอีกแล้ว

    ความจริงผมอาจจะไม่ควรมาตั้งแต่แรก

    ครอบครัว…ผมควรจะปล่อยมันให้เป็นอดีตไปตั้งนานแล้ว

     

     

    ผมห้ามตัวเองไม่ได้ไม่ให้รู้สึกเสียใจหรือผิดหวัง ยิ่งกว่านั้นความรู้สึกโดดเดี่ยวของช่วงที่เพิ่งออกจากบ้านในตอนนั้นมันกลับมาอีกครั้ง

     

    ทั้งที่มีเพื่อนมีผู้คนมากมายแต่กลับรู้สึกโดดเดี่ยว คงเพราะผมยังหาที่ๆทำให้รู้สึกอบอุ่นไม่ได้

     

    ผมเดินอย่างไร้จุดหมาย ไม่รู้ว่าควรทำอะไรต่อ ไม่มีความคิดอยากจะทำอะไรทั้งนั้น พระอาทิตย์ตกไปแล้ว ผมจึงเลือกเดินในความมืดเพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกต ผมไม่อยากให้ใครเห็นหรือจดจำได้ในเวลาแบบนี้

     

    ไม่รู้ว่าเพราะอะไรทำให้ผมเดินมาถึงที่นี่ มันอาจจะเป็นเพราะความเคยชิน หรืออาจเป็นเพราะผมไม่มีที่ไปก็ไม่รู้ที่ทำให้ผมมายืนอยู่หน้าบ้านของเขา

     

    ผมมองเข้าไปในบ้านจงอิน ไม่เห็นไฟที่เปิดอยู่สักดวงทำให้รู้ว่าเขายังไม่กลับบ้าน

     

    ผมทิ้งตัวนั่งลงหน้ารั้ว เหตุการณ์ที่บ้านยังย้อนอยู่ในหัว อยากจะทำเป็นไม่รู้สึกอะไรแต่ก็ทำไม่ได้ มันเจ็บจนแม้แต่จะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก

     

    พี่…” ผมเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเขา

    มาได้ไง มานานรึยัง” ผมส่ายหัว

    เข้าบ้านก่อน” เขาบอกแล้วเปิดประตูบ้าน ผมก็เดินตามเขามาเงียบๆ

     

    เขาคงสังเกตเห็นความผิดปกติแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ผมนั่งลงตรงโซฟาตัวเดิม เขาก็นั่งลงตามข้างๆ ผมปล่อยให้เขาจ้องมองอยู่ฝ่ายเดียว

     

    เป็นอะไรรึเปล่า…”

     

    เป็นอะไรรึเปล่า…ทำไมคำๆนี้ถึงกระทบกระเทือนใจของผมจนอยากจะร้องไห้

    เพราะน้ำเสียงต่ำๆแผ่วเบาของความเป็นห่วง หรือเพราะว่าคำๆนี้เป็นคำที่ผมอยากฟังจากครอบครัวก็ไม่รู้

     

    ผมเงยหน้า อยากจะเก็บกลั้นน้ำตาให้มันไหลกลับไปแต่มันรื้นกลบนัยน์ตาผมจนล้นออกมา

    นานมากแล้วที่ผมไม่ได้ร้องไห้ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องเป็นวันนี้ กับคนๆนี้ทั้งๆที่ผมไม่อยากให้เขาเห็นน้ำตาของผม

     

    พี่ชานยอล…” แม้จะพร่าเลือน ผมก็เห็นแววตาของเขา มันใช่แววตาของความสงสารหรือความเป็นห่วงกันแน่ ทำไมเขาถึงทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ตามผมอย่างนั้น

     

    ผมหลับตา ไม่อยากคิดอะไรอีกแล้ว ความรู้สึกต่างๆในตัวผมมันสับสนไปหมด

     

    แต่แล้วผมก็รู้สึกถึงวงแขนที่โอบรอบตัวผม มันกระชับแน่น…และอบอุ่น

     

    ใช่…มันอบอุ่น

     

    ผมโอบแขนรัดเขาตอบแนบแน่น ปล่อยความเศร้าทั้งหมดออกมากับอ้อมกอดนี้

     

    อ้อมกอดของเขา

    อ้อมกอดผมที่รู้สึกว่ามันอบอุ่นที่สุด


     

    © themy  butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×