คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Your smile is my happiness
-5-
Your smile is my happiness
เพลงล่าสุดที่ผมแต่ง ใช้เวลาเพียงแค่สั้นๆ
สมองผมลื่นไหลพร้อมกลั่นกรองถ้อยคำออกโดยแทบไม่ได้ผ่านความคิดเท่าไหร่นัก ผมมีภาพอยู่ในใจ มีคำที่อยากพูด มีความรู้สึกหลายๆอย่างที่ต้องหาทางระบายออกมาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
“ทำไมมันเศร้างี้วะ"
ผมเล่นกีตาร์และร้องให้เลย์ฟังจนจบมันก็บอกกับผมแบบนี้ เราสองคนอยู่ในสตูดิโอของมหาลัย หยิบยืมเครื่องดนตรีและอัดเสียงทั้งหมดที่นี่ ผมกับเลย์ทำเพลงกันเองมาหลายเพลงแล้วตั้งแต่เรียนด้วยกันมา บางครั้งก็มีเพื่อนๆที่คณะที่ถนัดเครื่องดนตรีเฉพาะก็มาช่วยเหลือด้วยบ่อยๆ
“มันเศร้าไปหรือว่ายังไง ปกติไม่ค่อยแต่งเพลงช้า มึงว่ามันเป็นไงบ้าง"
“กูชอบทำนอง เพราะดี ถ้าใช้เครื่องสายน่าจะเวิร์ค"
“เออ...ก็จริง บอกเฉินให้เรียกวงมันมาช่วยไม่น่ามีปัญหา เดี๋ยวให้มันมาช่วยเรียบเรียงด้วยดีกว่า ทางนี้มันถนัด แล้วเนื้อเพลงล่ะว่าไง โอเคไหม"
“ฟังแล้วน้ำตาจะไหล น่าจะเป็นเพราะอินเนอร์มึงล้วนๆว่ะชานยอลกูสัมผัสได้ ถ้าไอ้คริสได้ฟังรับรองพูดเหมือนกูชัวร์"
“ห่าอะไรของมึง" ไอ้เลย์หัวเราะทำหน้าทำตาเหมือนคริสเวลาล้อเลียนผมไม่มีผิด ผมหมั่นไส้จนต้องยกเท้าขึ้นยันเก้าอี้มันไปไกลๆ
“ไม่ต้องมาทำเขิน"
“กูไม่ได้เขิน...”
“เออๆ กูไม่ล้อแล้ว แต่มึงเล่าให้กูฟังหน่อย มึงกับน้องนี่ถึงไหนกันแล้ว" เลย์มันยิ้มกรุ้มกริ่มเหมือนรู้อะไรมา
“ถึงไหนอะไร"
“ได้ข่าวมึงลากน้องไปนอนห้อง"
“ใครบอกมึง"
“ไม่รู้จริงอะ" ผมยิ้มพลางส่ายหน้าเพราะจริงๆก็รู้ จะมีใครที่ไหนได้อีกนอกจากไอ้คริส
“มึงจะให้มีอะไร ไม่เห็นเหรอว่าเขาเป็นยังไงเวลาอยู่กับกู"
“หรือจะยอมแพ้แล้ว...ฟังจากเพลงที่มึงแต่งนี่เหมือนคนอกหักเลยว่ะ"
“ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง...”
“เร็วไปรึเปล่า...น้องมึงน่ะดูก็รู้ว่าจีบติดยาก แค่นี้อย่าเพิ่งท้อ"
“กูไม่ได้ท้อ แค่ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง..."
“ก็ทำเท่าที่ทำได้ อยากทำอะไรให้เขาก็ทำ อย่าไปคิดอะไรให้มันซับซ้อน" คำพูดสมกับเป็นเลย์
คำพูดที่ว่าอย่าคิดอะไรให้มันซับซ้อนเหมือนกับมันรู้ว่าผมมักคิดอะไรไปก่อนล่วงหน้าเสมอๆ เช่นก่อนหน้าที่ผมไม่เคยเข้าหาเขาเพราะคิดไปก่อนว่ามันคงไม่มีทางเป็นไปได้ และถึงแม้จะมาถึงตอนนี้ความคิดแบบนั้นก็ยังคงอยู่ ผมคิดไปก่อนเอง หาผลสรุปเองล่วงหน้าทั้งที่ไม่รู้อนาคต เหมือนตัดโอกาสตัวเองตั้งแต่ไม่ได้เริ่ม ในทางกลับกัน ถ้าหากผมไม่คิด ทำตามความรู้สึกที่ออกมาจากข้างใน อะไรมันอาจจะง่ายขึ้นอย่างที่เลย์ว่าก็ได้
ถ้าจะเจ็บมันก็คงต้องเจ็บ ช่วยไม่ได้ ก็เลือกมาทางนี้แล้ว
“พวกกูเชียร์มึงอยู่นะเพื่อน" ไอ้เลย์ตบบ่าผมเป็นการทิ้งท้ายแล้วหันกลับไปดูโน๊ตเพลงในกระดาษ
“เฉินมันอาจจะอยู่ในห้องซ้อม เดี๋ยวกูลองลงไปดูดีกว่า ถ้าอยู่จะได้ตามมันมาช่วยเลย" ผมนึกขึ้นได้เลยบอกเลย์มันแล้วออกมาจากสตูดิโอ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้ทำเพลงนี้ให้เสร็จเรียบร้อยก่อนคอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายที่กำลังจะถึง และมันอาจจะเป็นเพลงสุดท้ายที่จะทำในฐานะนักศึกษาของที่นี่ก่อนที่ต้องออกไปเผชิญโลกของจริง
มหาวิทยาลัยในช่วงนี้เงียบเหงาหลังจากผ่านพ้นช่วงสอบ พวกนักศึกษาส่วนใหญ่จะกลับบ้านหรือไปเที่ยวกันตามประสาเพื่อปลดปล่อยความเครียด แต่ตึกคณะศิลปกรรมที่ผมอยู่นี่กลับไม่เคยขาดเสียงดนตรีไม่ว่าจะเป็นช่วงไหน ถึงจะไม่ได้อยู่กันหมดทั้งคณะแต่ก็ยังมีเด็กวนเวียนเข้าออกกันอยู่เรื่อยๆ ห้องซ้อมดนตรียังต้องจัดสรรเวลาคนใช้ห้องไม่ให้ชนกันเหมือนเดิม
ผมตั้งใจเดินลงมาชั้นสองที่เป็นส่วนของห้องซ้อมดนตรี และก็เหมือนกับทุกครั้งที่ผมไม่ใช้ลิฟท์ เลือกที่จะเดินลงบันไดจากชั้นเจ็ดเพื่อที่จะได้ผ่านชั้นสี่...
ซึ่งหากโชคดี...ผมอาจได้เจอเขา
ผมมองเข้าไปในห้องผ่านกระจกใสของห้องซ้อมเต้น ชะลอฝีเท้าให้ช้าลงหลังจากเหยียบบันใดขั้นสุดท้ายลงมาสู่ชั้นสี่ ผมไม่เคยรู้ว่าทำไมห้องซ้อมถึงทำเป็นกระจกไว้แทนที่จะเป็นผนังทึบ แต่จากครั้งแรกที่ผมได้เจอเขาผ่านห้องๆนี้ ผมก็คิดไปเองว่าเพราะความสวยงามที่อยู่ในนั้น ไม่ควรจะถูกปิดขังอยู่ภายใน
ทุกครั้งที่ผ่านห้องนี้ ทุกๆครั้ง ไม่ว่ายังไง ผมก็จะคิดถึงครั้งแรกที่เจอเขา
ผมมีความรู้สึกหลากหลาย ตีวนอยู่ภายในโดยที่ผมไม่อาจควบคุมตอนที่ผมเห็นการเคลื่อนไหวของเขา บางครั้งก็พริ้วไหว บางครั้งก็ดุดัน แม้เหงื่อจะโทรมกายแต่ก็ดูสวยงาม พลังงานความสุขที่เขาถ่ายทอดผ่านการเคลื่อนไหว มันดึงดูดให้ผมก้าวเท้าไปไหนไม่ได้ ทำได้เพียงแต่จ้องมอง
ผมไม่รู้ว่าต้องมีพรสวรรค์หรือต้องทุ่มเททุกอย่างในชีวิตแค่ไหนถึงจะสามารถเป็นแบบนั้นได้
เขาเป็นคนพิเศษ นั่นคือสิ่งแรกที่อยู่ในความคิดของผม
และจนถึงตอนนี้...ก็ยังเป็นแบบนั้นอยู่
หลังจากครั้งล่าสุดที่บ้านของเขาก็เป็นอาทิตย์แล้วที่ไม่ได้เจอ ผมไม่มีข้ออ้างอะไรที่จะพาตัวเองเข้าไปในชีวิตเขา ได้แต่ส่งข้อความหาทุกๆวันเพื่อให้ผมอยู่ในความคิดเขาบ้างก็เท่านั้น
ภายในห้องกระจกใส วันนี้อาจจะเป็นวันที่โชคดีสำหรับผมเพราะว่าเขากำลังอยู่ในนั้น เหงื่อเกราะแพรวพราวบนใบหน้า แต่ไม่ได้แสดงท่าทีเหนื่อยหอบ ตรงกันข้ามเขากลับดูมีชีวิตชีวา มีรอยยิ้มนิดๆติดอยู่ที่มุมปากยามเคลื่อนไหว
ผมยืนมองเขาอยู่นอกกระจก มองจนเขารู้สึกตัวสบตากับผมเข้า ปฏิกิริยาของเขาเพียงแค่ขมวดคิ้วเพียงเล็กน้อย หลังจากนั้นก็ปล่อยอารมณ์ไปตามจังหวะเพลง จะมีบ้างบางครั้งที่สายตาของเขามองผมผ่านกระจกเงา เพียงแค่เสี้ยววิสั้นๆ สามหรือสี่ครั้ง ผมจึงยิ้มให้เขาผ่านกระจกกลับไป
การที่เขาประสบความสำเร็จจากการแข่งขันไม่ได้ทำให้เขาใช้เวลาฝึกซ้อมน้อยลงเลย และจากที่เห็นผมก็เข้าใจได้ว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่เพราะความพยายามหรืออะไรทั้งนั้น แต่เพราะเขารักและหลงใหลในสิ่งที่ทำอยู่...
“ไง ชานยอล มาทำไรตรงนี้วะ" ใครสักคนตบบ่าทักทายผม
“อ้าว กูว่าจะลงไปหามึงพอดี"
“แล้วไหงมายืนเหม่ออยู่นี่"
“แวะดูน้องที่รู้จักเฉยๆ แล้วมึงตอนนี้ว่างรึเปล่า จะให้ไปช่วยหน่อย"
“ว่างๆ กำลังรอห้องซ้อมอยู่ จะให้กูช่วยทำอะไรล่ะ"
ผมบอกสิ่งที่ต้องการจากเฉินคร่าวๆ สายตาเหลือบไปมาระหว่างคนในห้องกับเพื่อนที่คุยด้วย ก่อนจะพาเฉินไปสตูดิโอด้วยกัน น่าเสียดายที่ยังไม่มีโอกาสพูดคุยอะไรกับเขา
วันนั้นทั้งวันพวกผมทำเพลงจนถึงช่วงคำ่ๆ กว่าจะลงมาท้องฟ้าก็มืดครึ้ม มองเห็นเมฆฝนหนาทึบ ผมกับเลย์จัดการปิดสตูดิโอเรียบร้อยแล้วเดินลงมาชั้นล่าง ทั้งตึกยังมีไฟเปิดอยู่บางห้อง มีพวกเด็กๆที่ยังไม่กลับอยู่บ้าง เราสองคนเดินผ่านชั้นสี่ มองเห็นห้องซ้อมเต้นที่ยังเปิดไฟสว่างอยู่
“น้องจงอินยังไม่กลับนี่" เลย์พยักหน้าไปทางห้องให้ผมมองเข้าไปดู ทีแรกผมนึกว่าเป็นคนอื่นที่มาใช้ห้องซ้อมต่อ ไม่คิดว่าเขาจะยังอยู่
ผมเห็นเขานั่งพิงกระจกหลับตา หรืออาจจะกำลังหลับอยู่ก็ไม่แน่ใจ แต่ดูจากสภาพตอนนี้เขาคงหมดเรี่ยวหมดแรงไปหมดแล้ว
“งั้นกูกลับก่อนแล้วกัน" เลย์พูดเหมือนอ่านความคิดผมออก มันคงรู้ว่าเห็นแบบนี้ผมคงยังไม่อยากกลับ
“ไว้เจอกัน เดี๋ยวกูโทรหา"
“ฝนจะตกแล้ว อย่าอยู่นานล่ะ หรือถ้ามันตกแล้วไม่มีร่มก็ไปเอาในล็อคเกอร์กูก็ได้"
“เออ ขอบใจ"
“สู้โว้ย!”
ไอ้เลย์ให้กำลังใจทิ้งท้ายก่อนจะวิ่งลงบันไดไป ผมคิดอยากจะถีบมันอีกสักทีโทษฐานทำเสียงดังแต่ก็ไม่ทัน
ผมหันกลับไปหาคนที่อยู่ในห้อง เขาก็ยังคงนั่งหลับตาอยู่เช่นเดิม ไม่มีท่าทีจะรู้สึกตัวเลยด้วยซ้ำ อาจจะเป็นเพราะเพลงช้าๆที่เปิดคลออยู่ก็ได้ที่กล่อมให้เขาหลับลึกทั้งที่ยังอยู่ในท่านั่ง
ผมมองเลยออกไปทางหน้าต่างเห็นสายฟ้าแลบและสายฝนที่พรั่งพรูลงมาแล้ว ไม่ต้องคิดอะไรมากผมก็เดินกลับขึ้นไปเอาร่มในล็อกเกอร์ของเลย์มาไว้แล้วลงมารอเขาข้างล่างใต้ตึกคณะ ไม่แน่ใจเลยว่าเขาจะลงมาเมื่อไหร่แต่ผมก็อยู่รอก่อน
สายฝนสาดกระหน่ำโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดมาครึ่งชั่วโมงแล้ว ลมแรงๆที่มาพร้อมฝนทำให้ผมนึกสงสัยว่ามันจะตกอย่างนี้ทั้งคืนหรือเปล่า ผมคิดอะไรไปเรื่อย ฮัมเพลงที่เพิ่งแต่งออกมาเบาๆ บรรยากาศฝนตกมันทำให้เริ่มรู้สึกเหงาอย่างช่วยไม่ได้
'ฉันสัญญาว่าจะไม่เรียกร้องอะไรจากเธอ
ไม่ต้องรัก ไม่ต้องเข้าใจ ไม่ต้องรับรู้อะไรทั้งนั้น
แค่ยิ้มให้ฉัน นั่นก็มากพอที่จะทำให้ฉันมีความสุขแล้ว'
ตอนที่แต่งเพลง ผมคิดถึงครั้งหนึ่งที่เขายิ้มให้ผมในวันที่เขาได้รางวัล รอยยิ้มวันนั้นมันทำให้ผมรู้ว่าในทุกสิ่งทุกอย่างในตัวเขา ผมชอบที่จะเห็นเขายิ้มมากที่สุด...
ระหว่าที่ผมร้องเพลงฆ่าเวลาอยู่ในบรรยากาศเหงาๆ คนที่อยู่ในความคิดผมก็เดินออกมาจากตึก
เขายืนมองฝน มองไปข้างบนเหมือนคาดคะเนว่าอีกนานขนาดไหนกว่ามันจะหยุด ผมนั่งมองเขาอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่งใกล้ๆนั้น มีไฟให้ความสว่างอยู่สองสามดวงแต่ก็ไม่ได้มากพอที่เขาจะสังเกตเห็นผมที่อยู่ตรงนี้
ผมรีบคว้าร่มที่วางอยู่ข้างตัวแล้วลุกขึ้นทันทีที่เขาตัดสินใจก้าวเท้าออกจากตึก ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะยอมตากฝกหนักๆขนาดนี้แทนที่จะรออีกสักพักให้มันซาลงก่อน
โชคดีที่ผมวิ่งไปทันก่อนที่เขาจะเปียกมากกว่าที่ควรจะเป็น เขาชะงักเมื่อรู้สึกผิดปกติ เงยขึ้นมองร่มที่ปกคลุมร่างของเขาอยู่ และเมื่อเห็นว่าเป็นผมเขาก็มีสีหน้าประหลาดใจ
“ไม่มีร่มก็เปียกหมด" ผมพูดและยิ้มให้เขา "เอาไปสิ พี่ให้ยืม"
ผมยื่นร่มให้ แต่เขากลับส่ายหัวปฏิเสธ
“ไม่เป็นไร เปียกก็เปียก ผมกลับได้" เขาพูด สายตามองที่เสื้อของผมที่ตอนนี้ชุ่มไปด้วยน้ำฝน
“ถ้าไม่เอาพี่ก็จะกางร่มให้จงอินไปจนถึงบ้าน"
เขาดูลังเลใจ ไม่รู้ว่าจะรับความหวังดีจากผมดีหรือไม่ ผมจึงยัดร่มใส่มือเขาเป็นการตัดสินใจแทน เพราะหากจะไปส่งยังไงเขาก็คงไม่ยอมตามเคย
แต่สิ่งที่ผมคาดไม่ถึงก็คือ เขายัดร่มกลับใส่มือผม ก่อนที่จะพูดว่า
“งั้น...รอให้ฝนหยุดก่อนค่อยกลับก็ได้"
พอได้ยินอย่างนั้น กลับเป็นผมเองที่มองเขาอย่างประหลาดใจ เขาเดินกลับเขามานั่งใต้ตึก ทิ้งให้ผมยืนงงอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะตัวเดียวกับเขา
“มันอาจจะตกอีกนานก็ได้...เอาร่มไปเถอะ" ผมรู้สึกถึงความดื้อดึงของเขาได้เมื่อเขาทำแบบนี้ เขาไม่รับข้อเสนอทั้งสองอย่างของผม และหาทางออกอีกทางให้กับตัวเอง ซึ่งอาจจะไม่ใช้ความต้องการของเขาก็ได้
“ถ้าพี่รีบก็กลับไปเถอะ" เขาไล่ผมกลับบ้านด้วยสีหน้าเรียบๆ ไม่เห็นใจคนฟังเลยสักนิด
“พี่ไม่รีบอยู่แล้ว นั่งเป็นเพื่อนจงอินก็ได้" ผมยิ้มยียวนมองเขาที่ได้แต่ขมวดคิ้วอย่างขัดใจที่ไล่ผมไปไม่ได้สักทีอย่างที่เขาตั้งใจเอาไว้
เรานั่งกันอยู่ท่ามกลางเสียงฝนที่ตกกระทบพื้นดิน เสียงของมันหนักแน่น สะท้อนก้องบ่งบอกความรุนแรงได้เป็นอย่างดี ผมกับเขาต่างคนต่างเงียบฟัง ไม่มีบทสนทนาต่อกัน เพียงแต่มองไปที่ความมืดท่ามกลางสายฝน
แม้จะได้อยู่ใกล้ขนาดนี้...เขาก็ยังทำให้ผมรู้สึกห่างไกล
พยายามแค่ไหนก็ยังไม่รู้สึกใกล้ขึ้นมาสักนิด
ผมละสายตาออกจากความมืดข้างนอก มองเขาที่กำลังเหม่อลอยอยู่ในระยะใกล้ ไม่รู้เลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ผมอยากรู้ว่าเขาจะกำลังคิดถึงเรื่องของผมบ้างเหมือนที่ผมคิดเรื่องเขาอยู่หรือเปล่า
เขาตอบข้อสงสัยของผมเมื่อเขาดึงสายตากลับมามองผมเช่นกัน สายตาเขาเหมือนกำลังถามอะไรผมบางอย่าง แต่ผมกลับเดาไม่ออกเลยว่าสายตานั้นหมายความว่าอย่างไร
“ผมเคยบอกแล้วว่าไม่ชอบสายตาแบบนี้ของพี่" อาจจะเป็นครั้งแรกก็ได้ที่เขาเป็นฝ่ายพูดกับผมก่อน แต่คำพูดของเขาก็ไม่ได้ทำให้ผมชอบใจนักหรอก
“บอกสิว่ามันเป็นแบบไหน..." ผมถามเขากลับไป ไม่ได้อยากกวนหรืออะไร แต่ไม่รู้ว่าในสายตาของเขามันเป็นแบบไหน
“ไม่รู้...อธิบายไม่ได้” เขาหลบตาผม มองออกไปที่ความมืดและสายฝนเหมือนเดิม
“งั้นพี่ก็แก้มันไม่ได้"
“ก็แก้ง่ายๆ พี่ก็แค่อย่ามองผม"
“มองก็ไม่ได้ ใจร้ายไปรึเปล่า" เขาถอนหายใจหนักๆตอบเหมือนไม่อยากจะเถียงอะไรต่อ เพราะพูดอะไรก็ดูเหมือนผมจะไม่ยอมทำตามที่เขาต้องการไปเสียหมด
“พี่ชานยอล...ผมถามจริงๆพี่ต้องการอะไรจากผม"
“อยากรู้จริงๆเหรอ พี่ไม่แน่ใจว่าจงอินจะอยากฟัง"
“ผมอยากรู้ เพราะถ้าผมให้ไม่ได้ ผมก็จะบอกปฎิเสธพี่ตรงๆ"
“อย่างงั้นคงเป็นพี่เองที่ไม่อยากฟัง"
เรามองกันและกันทั้งที่ต่างคนต่างรู้คำตอบ เขารู้ว่าผมคิดยังไงกับเขา และผมก็รู้ว่าเขาจะปฏิเสธหากผมพูดออกไป เรารับรู้ เพียงแต่ไม่ได้พูด เพราะพูดออกไปไม่ได้
“ถ้าพี่บอกว่าอยากอยู่ข้างๆจงอิน จะฐานะอะไรก็ได้ เพื่อนหรือพี่ก็ได้ทั้งนั้น ไม่มากกว่านั้น จงอินจะให้พี่ได้ไหม"
ผมตัดสินใจเอ่ยออกไป
นี่เป็นการขอโอกาส ขอตรงๆ ไม่ต่างกับการบอกความรู้สึก แต่ก็คล้ายเป็นการอ้อนวอนอย่างนุ่มนวลให้เขาลำบากใจที่จะปฏิเสธ
เขาเงียบไปนาน ดูครุ่นคิดราวกับว่ามันเป็นคำถามโลกแตก มันทำให้ผมยังพอมีหวังที่เขายังไม่พูดตัดรอนโดยทันที ผมลุ้นรอฟังคำตอบของเขาจนใจเริ่มเต้นแรง ผมไม่รู้เลยว่าหากเขาปฏิเสธ ผมจะสามารถทำอะไรต่อไปได้อีก หรือหากเขาตอบตกลงผมจะดีใจสักแค่ไหน เพราะมันก็อย่างที่ผมบอกเขานั่นแหละ จะเพื่อนหรือพี่ จะอะไรก็ได้ ขอให้ได้อยู่ข้างๆเขา
“แค่นั้น...” เขาพูดค้างไว้แล้วกัดริมฝีปากไม่ยอมพูดต่อให้จบ
“แค่นั้น?” ผมย้ำคำถามเขา
“ถ้าแค่นั้น...ก็คงได้...”
ผมยิ้มให้เขาเมื่อได้ยินคำตอบ พยายามกดข่มความดีใจไว้ข้างใน
“ขอบคุณนะ..." ผมบอกเขา ผมไม่รู้ว่านี่คือข้อตกลงแบบไหนที่เรากำลังคุยกันอยู่ แต่ผมไม่อยากรุกเร้าอะไรมากไปกว่านี้ แค่เขาอนุญาต มันก็เพียงพอแล้วสำหรับตอนนี้
“แต่บอกไว้ก่อน ผมให้อะไรพี่มากไปกว่านี้ไม่ได้หรอกนะ เพราะผมไม่มีอะไรจะให้ ผมให้ได้แค่นี้ อย่าหวังอะไรจากผม"
“พี่เข้าใจ"
เขายิ้มนิดๆให้ผม ยิ้มอย่างโล่งใจที่ได้บอกกับผมว่าเขาไม่สามารถให้อะไรผมได้ทั้งนั้น มันเป็นรอยยิ้มของเขาที่แลกมาด้วยความปวดหน่วงในใจ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ผมก็ยินดีจะแลก
“ฝนซาแล้ว...”
เขามองสายฝนที่ตอนนี้เป็นแค่ละอองเล็กๆแล้วลุกขึ้น
“กลับกันเถอะ"
อีกครั้งที่เขายิ้มให้ผม และผมก็ยังคงปวดหน่วงใจใน มันเป็นความเจ็บปวดข้างในที่ผมเพิ่งเคยรู้สึก ทั้งสุขทั้งเศร้า สับสนปนเปไปหมด
ผมกางร่มขึ้นบังบนหัวของเราทั้งสองคน คราวนี้ไม่มีคำปฏิเสธอะไรออกจากปาก ผมกับเขาเดินไปด้วยกัน
ผมเดินข้างๆเขา
ถึงตอนนี้...ผมเริ่มไม่แน่ใจ...
ว่าการอยู่ห่างๆ หรือการอยู่ใกล้ๆ อะไรที่จะทำให้ผมเจ็บปวดได้กว่ากัน
ความคิดเห็น