ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO] Heart, Mind and Soul [ChanKai]

    ลำดับตอนที่ #4 : อากาศ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.24K
      28
      17 ก.ย. 57

    -4-

    อากาศ


     

     

    เขานอนอยู่ใกล้ๆผม เรานอนอยู่ใกล้ๆกัน

     

    ในห้องพักเล็กๆ พื้นที่ของมันจำกัดให้มีเพียงสิ่งของไม่กี่ชิ้น ตู้เสื้อผ้า โต๊ะหนังสือ และเตียง เป็นเฟอร์นิเจอร์ที่มีมาให้อยู่แล้ว ส่วนตัวผมก็ไม่ได้ซื้ออะไรเพิ่มเติมเลยสักชิ้นมันถึงยังมีเพียงสามอย่างนี้เท่านั้น เตียงที่มีอยู่เป็นเตียงขนาดใหญ่ นอนได้สองคนสบายๆ ผมเว้นระยะห่างจากเขาเท่าที่จะทำได้ นึกไปถึงพรุ่งนี้ไม่ออกเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเขารู้ว่ากำลังอยู่ที่ไหน กับใคร

     

    ผมขยับพลิกตัวรอบที่สามจากหันหน้าเข้าหาเขาแล้วก็พลิกหันหลัง จากนั้นก็พลิกกลับมาหาเขาใหม่ ผมกระสับกระส่าย ไม่มีวี่แววว่าจะหลับลงได้เลยเมื่อมีเขามานอนอยู่ข้างๆ หลายครั้งที่อยากจะเอื้อมมือไปหาแต่ก็กลัวใจตัวเองมากเกินไป ใครเลยจะรู้ว่าไอ้ที่ผมรู้สึกอยู่ตอนนี้มันเป็นยังไง ต้องต่อสู้กับตัวเองแค่ไหน เงาของเขาในความมืดบางทีผมก็คิดว่ามันไม่ใช่ความจริงที่จะมีเขามานอนอยู่ตรงนี้ได้ มันดูคล้ายความฝันจนนึกอยากจะแตะต้องตัวเขาให้รู้ว่าเป็นเขาจริงๆที่อยู่กับผม

     

    สุดท้าย กว่าผมจะข่มตาหลับได้ก็เกือบเช้าและสะดุ้งตื่นเป็นพักๆเพื่อดูให้แน่ใจว่าเขายังอยู่ ไม่หนีผมไปไหน

     

     

    ผมตื่นขึ้นมาอีกทีตอนที่ได้ยินเสียงโทรศัพท์สั่น จะเอื้อมมือไปรับมันก็เงียบไปแล้ว บนหน้าจอปรากฏชื่อเซฮุนที่เป็นคนโทรเข้ามา ผมไม่ได้โทรกลับ ได้แต่มองอยู่ที่คนข้างตัวที่เริ่มมีการเคลื่อนไหว เขาขยับพลิกตัวนอนหงาย ส่งเสียงในลำคอเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆลืมตา

     

    เขาใช้เวลาปรับตัวอยู่พักใหญ่ มองเพดานห้องของผมด้วยสายตาว่างเปล่าก่อนจะค่อยๆขมวดคิ้ว แล้วเขาก็ลุกพรวดขึ้นนั่งหันมองไปทางซ้ายแล้วค่อยหันมาขวา ซึ่งมีผมนอนมองเขาอยู่

     

    ทันทีที่เขาเห็นว่าเป็นผมเขาก็ทำสีหน้าเหวอๆออกมาอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน เขาทำตาโตด้วยความตกใจ เหมือนจะพูดอะไรก็พูดไม่ออก เป็นสีหน้าที่ดูน่ารักจนผมต้องยิ้มขำ

     

    ปวดหัวรึเปล่า" ผมถาม เดาว่ายังไงเขาก็ต้องปวดแน่นอนเพราะดื่มเยอะขนาดนั้น

    ผมมาอยู่นี่ได้ไง" เขาถามผมกลับ ตอนนี้เหมือนจะรวมรวมสติได้แล้วเลยปั้นหน้าทำสีหน้าเย็นชาปนความไม่พอใจใส่ผมเหมือนเช่นเดิม

    เมื่อคืนจะไปส่ง แต่ปลุกแล้วจงอินไม่ตื่น ก็เลยไม่รู้ว่าบ้านอยู่ไหน"

    เพื่อนผมไปไหน ทำไมผมถึงกลับมากับพี่"

    พวกนั้นคริสไปส่ง แต่บ้านเราอยู่ทางเดียวกัน พี่เลยพากลับด้วยกัน" เขามีท่าทีคลางแคลงใจ เหมือนสงสัยในคำพูดของผม แต่ไม่ได้ซักไซ้

     

    เขาก้มลงมองตัวเองเช็คสภาพ ถอนหายใจออกมายาวๆหนึ่งครั้ง สะบัดผ้าห่มออกแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป

     

    ระหว่างที่เขาอยู่ในห้องน้ำ ผมลุกขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมตัวให้พร้อมเผื่อเขาอยากจะรีบกลับบ้าน รู้ดีแก่ใจว่ายังไงเขาก็ไม่ให้ผมไปส่งแน่นอน แต่ครั้งนี้ผมคงไม่ยอมให้เสียโอกาส ต้องลองงัดข้อกันดูสักตั้ง

     

    จงอินใช้เวลาเข้าห้องน้ำสักพักก็ออกมา เขามองซ้ายมองขวาหารองเท้าตัวเอง เป็นอย่างที่ผมคิดไม่มีผิด เขาตั้งใจจะกลับบ้านทันที ซ้ำยังไม่คิดจะพูดอะไรกับผมหรือแม้แต่มองหน้า

     

    รอพี่เข้าห้องน้ำแป๊บนึง เดี๋ยวพาไปส่งบ้าน"

    รองเท้าผมอยู่ไหน"

     

    ผมไม่ตอบ ปล่อยให้เขาหาไป ผมเข้าห้องน้ำมาล้างหน้าล้างตาให้เรียบร้อยแล้วรีบกลับออกมาอย่างรวดเร็ว กลัวว่าเขาจะเจอรองเท้าที่ผมเอาไปซ่อนแล้วหนีกลับบ้านไปซะก่อน แต่ก็โชคดีที่เขาหายังไม่เจอ ผมเดินไปหยิบกระเป๋าตังค์กับกุญแจรถของคริส จากนั้นก็เดินไปใส่รองเท้า

     

    เอารองเท้าผมไปไว้ไหน" เขาถามผมหน้าตาหาเรื่อง ผมยังคงไม่ตอบแต่พาเขาออกมาดูหน้าห้อง จริงๆห้องผมไม่ได้ใหญ่มากพอที่จะซ่อนรองเท้าไว้ได้โดยที่เขาหาไม่เจอ ผมเลยต้องเอามันมาวางไว้หน้าห้องอย่างนี้

     

    พอเขาเห็นก็รีบใส่รองเท้าโดยไม่รอช้า จากนั้นก็ลุกขึ้นตั้งท่าจะหนีทันทีผมก็เลยต้องคว้าข้อมือเขาไว้

     

    เขาก้มลงมองมือผมที่กำรอบข้อมือเขาอยู่ ขมวดคิ้วแน่นอย่างไม่พอใจ เหมือนอยากจะต่อว่าแต่ก็เม้มปากไว้ไม่ยอมพูด

     

    บอกแล้วว่าจะไปส่ง"

    ขอบคุณ แต่ไม่เป็นไร" เขาขืนข้อมือพยายามสู้แรง แต่ก็สู้ไม่ได้เลยเงยหน้าขึ้นจ้องตาผมแทน

     

    เขาอาจคิดว่าผมจะยอมเขาเหมือนกับครั้งก่อน แต่เขาคิดผิด ในเมื่อผมตัดสินใจแน่นอนแล้วเรื่องของเขา ผมก็คงไม่ถอย หากว่าเขาดื้อ ผมก็ต้องทำตัวให้ดื้อกว่า

     

    ผมกึ่งจูงกึ่งลากเขาลงบันไดมาหนึ่งชั้นออกมาทางข้างหลังซึ่งเป็นที่จอดรถ หลายครั้งที่ผมแทบฝืนแรงเขาไม่ไหวเหมือนกัน แต่สุดท้ายเขาก็เป็นฝ่ายเหนื่อยก่อน ยอมให้ผมจูงมาเงียบๆจนถึงรถ ถึงตอนนี้แล้วผมก็รู้สึกว่าเขาดื้อเงียบกว่าที่คิดไว้เยอะ แม้เท้าจะก้าวตามผมมาก็จริง แต่สายตากลับยังคงสื่ออารมณ์ไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

     

    ผมขับรถออกมาโดยที่ไม่ได้พูดอะไร ในรถมีแต่ความเงียบ เขามองออกไปข้างทาง ผมรู้ว่าเขาสงสัยว่าผมจะพาไปไหนแต่ก็ดื้อไม่ถาม เขาใช้ความเย็นชาเข้าข่มเพื่อบังคับให้ผมเป็นฝ่ายยอมเขา เขาคงคิดว่ามันจะได้ผล แต่คงไม่รู้ว่าผมเกลียดความเย็นชาแบบนี้ที่สุด การทำหมางเมิน ทำเหมือนผมเป็นอากาศ มันทำให้ผมนึกถึงแม่เลี้ยง นึกถึงพ่อ นึกถึงความรู้สึกที่อยากลืมแต่กลับจำมันได้ขึ้นใจ

     

    กินข้าวกันก่อนค่อยกลับนะ" อีกครั้งที่พูดกับเขาอย่างนุ่มนวลจนคล้ายเป็นการอ้อนวอน จงอินดึงสายตาออกจากกระจกหันกลับมามองผม เขามองผมอยู่อึดใจหนึ่ง ผมไม่ได้หันไปมองเขาตรงๆแต่ก็เหมือนเขากำลังใช้สายตาพิจารณาผมอย่างละเอียด ผมเหลือบไปมองเขาได้เพียงไม่กี่วินาทีก็ต้องหันกลับมามองถนน รอคอยว่าเขาจะตอบอะไรมาบ้าง

    ปวดหัว ไม่อยากกินอะไร อยากนอน"

    ปวดมากรึเปล่า"

    ก็...” เขาลังเล เหมือนไม่รู้ว่าจะตอบว่ามากหรือไม่มากดีกว่ากัน

    งั้นเดี๋ยวพาไปซื้อยา ซื้ออะไรดื่มแก้แฮงค์แทนแล้วกัน"

     

    จงอินไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ ผมพาเขาแวะร้านสะดวกซื้อที่เห็นอยู่ใกล้ๆแล้วลงไปซื้อของโดยให้เขารออยู่บนรถ ผมซื้อยาและเครื่องดื่มมาหลายขวดเพราะเลือกไม่ได้ว่าเขาชอบกินอะไร เลือกอยู่นานสองนานพอเลือกไม่ถูกก็คว้ามาเกือบหมดรวมทั้งขนมปังอีกสามสี่ชิ้น

     

    ผมขึ้นรถพร้อมๆกับยื่นถุงหนักๆถุงใหญ่ไว้บนตักเขา จงอินลืมตาตื่น ยกหัวจากกระจกขึ้นมามองของข้างในถุง

     

    กินยานี่ก่อน” ผมยื่นถุงยาเล็กๆให้อีกถุง เขาคงจะปวดหัวมากจริงๆถึงรับไปแต่โดยดี เห็นหน้าซีดๆแล้วผมก็นึกห่วงกลัวจะไม่สบายขึ้นมา

    บ้านจงอินอยู่ตรงไหน” ผมหรี่แอร์ให้เบาลง ถามโดยที่ไม่กล้าเดาเลยว่าจะได้คำตอบหรือเปล่า ได้แต่แอบลุ้นอยู่ในใจ

     

    เขายกน้ำขึ้นดื่มกลืนยาลงไป แล้วก็มองออกไปนอกกระจก เงียบอยู่แบบนั้นสองสามนาที แต่ผมก็รอ

     

    ขับตรงไปก่อนเดี๋ยวผมบอกอีกที”

     

    เพียงแค่เขาตกลง ผมก็ห้ามตัวเองไม่ให้ยิ้มไม่ได้ มันคงจะเป็นรอยยิ้มเหมือนคนบ้าจงอินถึงมองผมแปลกๆ เขาคงไม่เข้าใจหรอกว่าแค่นี้ก็ทำให้ผมดีใจได้แล้ว

     

    จงอินบอกทางผมจนถึงบ้านของเขาในที่สุด ระยะห่างจากหอผมกับบ้านของเขาห่างกันไม่ไกลเท่าไหร่อย่างที่คิดไว้ ผมจอดรถที่หน้าบ้าน มองดูหลังคาบ้านที่เห็นอยู่หลังรั้วแล้วก็คิดถึงบ้านเก่าของตัวเอง คิดถึงที่ๆเคยมีครอบครัวของตัวเองอยู่พร้อมหน้าเมื่อนานมาแล้ว มันเป็นบ้านที่ให้ความรู้สึกแบบเดียวกัน

     

    เมื่อคืนพี่พาจงอินมาไม่ได้โทรบอกพ่อกับแม่จะเป็นอะไรรึเปล่า”

    ไม่เป็นไร…พี่กลับไปเถอะ ผมไปนะ” เขาเอื้อมมือไปที่ประตูทำท่าจะลง มือผมก็ไวกว่าความคิดดึงข้อมือเขาไว้อีกครั้ง

     

    เขาหันกลับมามองผมด้วยสายตาแบบเดิมๆ จนผมเริ่มจะชิน

     

    เอานี่ไปด้วย” ผมยัดเยียดถุงสารพัดของกินให้เขา “ยานี่ด้วย ตื่นมาถ้ายังปวดหัวอยู่ก็กินข้าวแล้วค่อยกินยา เดี๋ยวพี่โทรมาหาอีกที”

     

    ผมปล่อยข้อมือเขาเมื่อพูดจบ เขาคงเบื่อที่จะเถียงอะไรมากไปกว่านี้เลยหิ้วถุงใหญ่ๆของผมลงจากรถด้วยใบหน้าซีดๆ เมื่อกี้จับที่ข้อมือก็รู้สึกว่ามันอุ่นกว่าปกติ ผมมองจนเขาเดินเข้าบ้านด้วยความรู้สึกประหลาดพิกล และที่มันเป็นอย่างนั้นก็เพราะว่าผมไม่รู้ว่าจะสามารถเป็นห่วงใครจนถึงขั้นเป็นกังวลได้ขนาดนี้

     

    ผมขับรถกลับอย่างใจลอย คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยไม่นานก็ถึงหอพัก ผมโทรบอกคริสให้คนมาเอารถของมันกลับไป แล้วก็ขอบคุณมันโดยไม่ได้ขยายความว่าขอบคุณมันเรื่องอะไร และมันก็รับคำโดยไม่ได้ซักไซ้เหมือนกับรู้ดีอยู่แล้ว

     

    สิ่งที่ผมอยากขอบคุณมันที่สุดคงเป็นเรื่องที่ทำให้ตัดสินใจเรื่องจงอินได้ ตอนแรกผมยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม แต่เพราะมันที่ทำให้ผมต้องคิดใหม่ จนถึงตอนนี้อย่างน้อยๆคนเย็นชาอย่างจงอินก็มองมาที่ผมบ้างแล้ว

     

    หลังคนที่บ้านคริสมาเอารถกลับไปผมก็ออกไปห้างที่อยู่ใกล้ที่สุด วันนี้มีเวลาว่างทั้งวันไม่ต้องไปทำงานด้วยผมเลยใช้เวลาได้เรื่อยเปื่อยตามใจ กลับห้องไปก็ไม่ได้ทำอะไรอยู่ดี

     

    ผมเดินร้านเครื่องดนตรี ซื้อสายกีตาร์ใหม่ แล้วก็กินอะไรก่อนกลับหอ มองเวลาตอนนี้ก็บ่ายสามกว่าๆ ก็คิดถึงจงอิน ไม่รู้ว่าเขาจะหายปวดหัวแล้วหรือยัง

     

    ผมกลับถึงห้องเรียบร้อยเขาก็ยังวนเวียนอยู่ในความคิด ผมออกไปนอกระเบียง มองเมฆอย่างเหม่อลอย ก่อนจะก้มลงจ้องโทรศัพท์ที่ถือไว้ ไม่นานผมก็กดโทรหาเขาทำตามใจอยาก

     

    ครับ” ผมรอสายเพียงไม่นานเขาก็รับ

    นอนอยู่รึเปล่า”

    “…ครับ” เขาเงียบไปสักพักเหมือนเพิ่งรู้ว่าเป็นผมก่อนจะตอบเสียงเบา

    กินข้าวกินยารึยัง”

    “…เดี๋ยวผมหิวก็กินเอง แค่นี้นะ ผมจะนอน” เขาตัดบทเสียดื้อๆแต่ผมก็ไม่ได้แปลกใจอะไร

     

    ดูท่าจะผมจะขัดจังหวะการนอนของเขาจนทำให้อารมณ์เสีย แต่จากคำพูที่เขาบอกแสดงว่าต้องนอนจนยังไม่ได้กินอะไรแน่

     

    ผมกดโทรหาคนอีกคนที่คิดว่าสามารถช่วยให้ความว้าวุ่นใจของผมตอนนี้เบาบางลงได้ จะให้อยู่เฉยๆไม่ทำอะไรเลยผมคงกระสับกระส่ายไม่เป็นอันทำอะไร

     

    ว่าไงครับพี่”

    เซฮุน ปกติจงอินอยู่บ้านกับใคร”

    พี่ถามทำไม”

    เพื่อนเราท่าทางจะไม่สบาย เอาแต่นอนวันนี้ยังไม่ได้กินอะไรเลย กลัวจะอยู่บ้านคนเดียวไม่มีใครคอยดู”

    พี่ไปทำอะไรมันถึงไม่สบาย” น้ำเสียงเซฮุนเปลี่ยนผมไปจนรู้สึกได้

    พี่แค่พาไปนอนที่ห้องพี่เมื่อคืน ไม่ได้พาจงอินกลับบ้านเพราะปลุกแล้วไม่ยอมตื่น”

    งั้นมันคงแค่ดื่มหนักเกินไปนั่นแหละ เดี๋ยวผมไปดูมันเอง” เซฮุนถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วกลับมาใช้น้ำเสียงปกติที่คุยกับผม

    ที่บ้านจงอินไม่มีใครอยู่เลยเหรอ”

    ไม่มีหรอกครับ มันอยู่คนเดียว พ่อแม่มันอยู่ต่างประเทศ”

    เหรอ งั้นให้พี่ซื้ออะไรเข้าไปให้ไหม”

    ไม่เป็นไรครับ พี่อย่าลำบากเลย เกรงใจ

     

    เซฮุนปฏิเสธจนผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนนอก เราคุยกันอีกนิดหน่อยก็บอกลาแล้ววางสายไป แต่แทนที่จิตใจผมจะสงบลงมันกลับไม่เป็นอย่างที่ผมหวังไว้ ความจริงที่เพิ่งรู้ว่าจงอินอยู่บ้านคนเดียวมาโดยตลอดมันทำให้ผมเริ่มเป็นห่วงไม่เข้าเรื่อง แล้วก็ยังน้ำเสียงของเซฮุนที่ใช้กับผมอีก ผมตีความที่แฝงนัยอยู่ไม่ได้ แต่ลึกๆผมกลับรู้สึกไม่พอใจ

     

    ผมตัดสินใจออกจากหอพักอีกครั้ง ตั้งใจซื้ออาหารสำหรับคนป่วยแล้วเดินตัดสวนสาธารณะไปทางบ้านของคนที่ไปส่งเมื่อเช้านี้ ผมเดินในขณะที่ใช้ความคิดทบทวนตัวเอง อะไรหลายๆอย่างในตัวผมเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด นึกดีๆผมเหมือนคนที่อยู่โดดเดี่ยวอย่างเห็นแก่ตัว ผมไม่เคยอยากให้ใครยัดเยียดตัวเองเข้ามาในชีวิตผม แต่ตัวผมในตอนนี้ผมกลับทำแบบนั้น เหตุผลที่ผมเคยรำคาญและไม่เข้าใจ เวลานี้กลับเข้าใจมันแล้วอย่างแจ่มแจ้ง

     

    อ้าว พี่ชานยอล” เซฮุนที่เป็นคนเปิดประตูบ้านของจงอินให้ผมทำสีหน้าประหลาดใจ

    พี่แวะซื้อของกินมาเผื่อ”

    ผมบอกพี่แล้วว่าเดี๋ยวผมดูมันเองก็ได้ พี่ไม่น่าลำบาก”

    ไม่หรอก แล้วนี่จงอินเป็นยังไงบ้าง” เซฮุนฟังคำถามแล้วก็มองผมเหมือนชั่งใจ

     

    พี่เข้ามาข้างในก่อนสิครับ” ผมออกจะแปลกใจนิดๆกับคำชวน ในขณะเดียวกันก็ดีใจที่จะได้เจอคนที่อยู่ข้างใน

     

    เซฮุนพาผมเข้ามาถึงในห้องครัวที่จงอินกำลังนั่งหัวยุ่งกินข้าวต้มอยู่ในสภาพที่ดูก็รู้ว่าเพิ่งตื่นนอน พอเขาเห็นผมเท่านั้นก็ทำตาโตแล้วหันไปส่งสายตามาดร้ายให้เพื่อน

     

    พี่เขาเป็นห่วงมึงเลยเอาข้าวมาให้ มึงนี่เหมือนหมาเลยนะ มีแต่คนเอาของกินมาให้” เซฮุนแซวเพื่อนตัวเองแล้วหัวเราะ จงอินเหมือนอยากจะด่าแต่ก็ไม่มีแรงมากพอเลยได้แต่มองอย่างไม่พอใจ เหมือนเด็กเอาแต่ใจ ซึ่งมันก็ดูน่ารักในสายตาผม

     

    เพิ่งตื่นเหรอ” ผมถามเขา

    ก็เพราะพี่โทรมานั่นแหละ”

    แล้วหายรึยัง...เป็นยังไงบ้าง”

     

    จงอินวางช้อนแล้วเอนหลังพิงพนัก ถอนหายใจมองผมสายตาเหนื่อยหน่าย เซฮุนยืนมองผมกับจงอินสลับกันไปมาโดยที่ไม่ได้พูอะไร ทำตัวเหมือนเป็นผู้สังเกตการณ์

     

    ผมไม่ใช่เด็กๆที่ดูแลตัวเองไม่ได้ พี่ไม่ต้องมาสนใจอะไรมากมายหรอก”

     

    ถึงจงอินจะพูดอ้อมยังไงผมก็เข้าใจสิ่งที่เขากำลังสื่อ เขาไม่ต้องการให้ผมยุ่งกับชีวิตเขา ผมรู้ แต่ก็ยังคิดไปในทางที่ดีว่าที่เขาไม่พูดออกมาตรงๆเพราะยังต้องการรักษาน้ำใจ

     

    ช่วยไม่ได้แต่พี่สนใจจงอินไปแล้ว”

     

    ทั้งจงอินและเซฮุนมองผมอย่างไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ผมเพิ่งจะสารภาพไป ตัวผมเองก็ยังไม่คิดว่าตัวเองจะพูดมันออกไปเหมือนกัน จงอินคล้ายอยากจะพูดอะไรแต่ก็กัดริมฝีปากตัวเองไว้

     

    มึงไปอาบน้ำไป” เซฮุนบอกจงอินและเขาก็ทำตามนั้นแต่โดยดี เหมือนรอเวลาจะเดินออกไปจากตรงนี้อยู่แล้ว พอเขาออกไปเซฮุนก็กอดอกมองผม แน่นอนว่าท่าทางแบบนี้คือเขากำลังจะบอกกับผมว่าเรามีเรื่องต้องคุยกัน

    พี่รู้จักมันแค่ไหนถึงไปพูดแบบนี้ให้มันได้ยิน”

    เซฮุนอยากบอกอะไรพี่ก็บอกมาตรงๆ” ผมไม่อยากได้ยินอะไรอ้อมค้อม เพราะผมก็เปิดเผยขนาดนี้แล้ว

    พี่ชานยอล ในบรรดาคนทั้งหมดที่เข้าหาจงอิน ผมไม่รู้ว่าจะเรียกพี่ว่าบ้าหรือกล้าดี”

    คนทั้งหมดนี่มันเยอะแค่ไหน”

    พี่เข้าใจประเด็นผมมั้ยเนี่ย ถ้าพี่รู้จักจงอิน อยากอยู่ใกล้ๆมัน พี่ห้ามบอกตรงๆว่าชอบมันเด็ดขาด ไม่งั้นพี่จะกลายเป็นอากาศในสายตาของมันทันที”

    ต่างกันตรงไหน พูดกับไม่พูดเขาก็ทำเหมือนพี่เป็นอากาศอยู่แล้ว”

    เดี๋ยวพี่ก็รู้ แต่ผมขอถามหน่อยเหอะ พี่คิดจะจริงจังกับจงอินมันแค่ไหน”

    ที่ถามนี่ในฐานะเพื่อน…หรือว่าอะไร”

     

    ผมถามเซฮุนตรงๆในสิ่งที่สงสัย ยิ่งคุยผมก็ยิ่งมั่นใจว่าผมไม่ได้คิดไปเอง รวมกับการกระทำทั้งหมดที่ผมเห็น เซฮุนอาจจะเป็นหนึ่งในบรรดาคนทั้งหมดที่เราเพิ่งจะพูดถึง

     

    พี่ไม่จำเป็นต้องรู้”

     

    นั่นล่ะ ผมได้คำตอบแล้ว

     

    จริงจังแค่ไหนพี่จะทำให้จงอินเห็นเอง ไม่จำเป็นต้องบอกเรื่องแบบนี้กับใครเหมือนกัน”

     

    เราจบบทสนทนากันตรงนี้ แล้วก็ยืนจ้องหน้ากันจนจงอินอาบน้ำเสร็จเดินเข้ามา จงอินใส่เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขาสั้น ผมเปียกหมาดๆหยดลงบนเสื้อเป็นด่างดวง เป็นภาพที่ผมไม่เคยเห็นจึงได้แต่มองไม่อยากละสายตา ทุกอย่างของเขาสามารถทำให้ผมใจเต้นได้ทุกครั้งจริงๆ

     

    คืนนี้กูนอนนี่นะ” เซฮุนบอก หยิบผ้าเช็ดผมในมือจงอินมาเช็ดหัวให้แรงๆ

    เออ ดีเหมือนกัน”

     

    ผมยืนมองด้วยความรู้สึกยากบรรยาย

    อากาศ…มันคงจะเป็นความรู้สึกแบบนั้น ความรู้สึกที่ควรจะชาชิน แต่ก็ทำไม่ได้

     

    ผมมองแล้วก็ให้รู้สึกสงสัย ผมกำลังสงสัยว่าเซฮุนพอใจแล้วที่ได้อยู่ตรงนั้นกับจงอินรึเปล่า หรือยังต้องการมากกว่านั้น

     

    พี่ชานยอลจะกับเลยรึเปล่าครับ” เซฮุนหันมาหาผมที่ยืนมองพวกเขาอยู่ แต่ที่น่าแปลกใจก็คือสายตาจงอินก็หันมามองที่ผมด้วย เขามองผมอย่างรอคำตอบ

    อืม กลับสิ” ผมบอกแล้วยิ้มให้จงอินเป็นการบอกลา

     

    ผมพาตัวเองเดินออกมาจนถึงหน้ารั้ว พร้อมกับความคิดต่างๆนานาที่เข้ามา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผมกับจงอิน หรือเรื่องของเซฮุนกับจงอิน การที่รู้ความรู้สึกของเซฮุนมีแต่จะนำความกังวลใจต่างๆเข้ามาหาผม

     

    เอ่อ…”

     

    เสียงของจงอินที่ผมจำได้ทำให้ผมหันกลับไปมองโดยทันที ผมเปิดประตูรั้วค้างเอาไว้ จดจ้องเขาที่เดินเข้ามาใกล้ มีแค่เขาเท่านั้นที่เดินออกมา ไม่มีเซฮุน

     

    เขาดูเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง ผมรอ ทั้งอยากได้ยินและไม่อยากได้ยินในเวลาเดียวกัน

     

    วันนี้…ขอบคุณ”

     

    ตอนที่จงอินพูด เขาสบตาผม เป็นแววตาจริงใจไร้เดียวสาที่ทำให้ผมตกหลุมรักได้ง่ายๆ เขาพูดเสร็จก็หันหลังเดินกลับเข้าบ้านไปอย่างรวดเร็ว ผมยังไม่ได้ตอบกลับอะไรเขาก็หายไปจากสายตาผมแล้ว

     

    เป็นคนที่คาดเดายากจริงๆ

     

    แต่เขาจะรู้ไหมว่าหากต้องการจะผลักไสผม…เขาไม่ควรจะทำแบบนี้

     

     

     

    © themy  butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×