คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : เรื่องสั้น ยิ้มชื่นรื่นรมย์ (แค่ขำๆ)
ยิ้มชื่นรื่นรมย์ (เรื่องเล่าแค่ขำๆ ^___^)
ผมคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงอายุยี่สิบคนเดียวในโลกที่ยังไม่โตเป็นสาว!
ไม่ได้เวอร์นะครับ เธอคนนี้เป็นแฟนของผมเอง พูดได้เต็มปากเต็มคำเลยเชียวแหละ แต่วันนี้ผมไม่ได้มาเล่าถึงประสบการณ์ที่ทำให้เรานั้นรักกันหรอกนะครับ ผมอยากพูดถึงวีรกรรมต่างๆ ที่ไม่เหมือนใครของเธอต่างหาก ถ้าอยากรู้ก็เขยิบเข้ามาผมจะเล่าให้ฟัง (แล้วกรุณาอย่าขำมาก นี่ไม่ใช่เรื่องตลกคาเฟ่นะ มันเป็นเรื่องจริง!)
ตอนที่เราพบกันครั้งแรกนั้น ผมเรียนอยู่ปีสาม คณะอะไรนั้นไม่จำเป็นต้องรู้ รู้แค่ใส่เสื้อช็อปสีแดงมีตราฟันเฟืองตรงหน้าอกละกัน วันนั้นผมนั่งอยู่ในรถตู้ที่จอดหน้าห้างแห่งหนึ่ง รถตู้ที่จะไปมหาวิทยาลัย แล้วเธอก็มา
สาวน้อยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ใครเห็นเป็นต้องสะดุดตา ก็เธอเล่นเธอสะพายกระเป๋าเป้ใบโต อย่างที่นักศึกษาหญิงส่วนใหญ่ในมหาวิทยาลัยไม่ใช้กัน และรองเท้าผ้าใบสี.. เอ่อ.. สีชมพูหวาน หน้าตาก็ดูไม่เข้ากับชุดนักศึกษาหลวมโพลกเลยสักนิด ผมหมายถึงเธอแลดูเด็กมาก อย่างเหมาะที่จะใส่ชุดเด็กนักเรียนคอนแวนเสียมากกว่า
และที่สำคัญ เธอถักเปียสองข้างเหมือนพจมาน สว่างวงศ์ ณ บ้านทรายทอง!
เหมือนเห็นของแปลกประหลาดเมื่อเทียบกับสาวๆ มหา’ลัยทั่วไป ผมเผลอมองเธอ (แอบคิดว่าน่าเอาไปโชว์งานวัดภูเขาทอง) ดูเหมือนเธอเป็นคนมั่นอกมั่นใจในการแต่งตัวมาก เธอจับสายสะพายกระเป๋าทั้งสองข้าง ก้าวเดินผมเปียแกว่งไปมาราวกับเดินอยู่ในทุ่งดอกไม้ก็ไม่ปาน แล้วเธอก็กระโดดสองเท้าขึ้นมาบนรถตู้ แต่อนิจจา หัวของเธอโขกกับขอบหลังคารถเต็มแรง
“โอ๊ยเจ็บอ่ะ!”
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
ผมรีบคว้าแขนเธอไว้ก่อนที่จะหงายหลังกับพื้นล่าง โชคดีที่ผมนั่งใกล้ทางขึ้นพอดี
“ไม่เป็นไรค่ะ บีไม่เป็นไร”
สาวน้อยหน้าแดง ไม่รู้เป็นเพราะเขินหรือเจ็บหัวกันแน่
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมเห็นคนขึ้นรถตู้ด้วยวิธีการกระโดดสองเท้า แต่เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ผมได้ทำความรู้จักกับเธอ เป็นเพื่อนเธอ เป็นแฟนของเธอ และสานต่อความสัมพันธ์รักมาจนถึงทุกวันนี้
ดอกไม้เริ่มผลิบาน เธอเป็นผึ้งน้อยต่อยไม่เจ็บ ชื่อบีแสนไพเพราะ (กวีไฮขุ )
ตอนแรกผมคิดว่าที่บีเอาหัวโขกรถตู้นั้นเป็นอุบัติเหตุ แต่พอคบกับเธอไปนานๆ จึงรู้ว่ามันไม่ใช่ บีเป็นสาวเปิ่นๆ เป๋อๆ โดยธรรมชาติ ไม่ได้เสแสร้งแกล้งประดิษฐ์ เธอทั้งใสทั้งซื่อ เหมือนแก้วที่เคาะดังกิ้งๆ ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะอายุยี่สิบปีแล้ว
“ครบยี่สิบแล้ว บรรลุนิติภาวะแล้ว”
บีบอกผมขณะที่เรานั่งกันอยู่ในโรงอาหาร ผมเปียของเธอขยับไปมาเหมือนกำลังหงุดหงิด เพราะบีบอกผมอย่างนี้มาเป็นรอบที่ร้อยแล้ว แต่ผมก็อดไมได้ที่จะแหย่เธอกลับ
“เหรอ ไม่เห็นจะเหมือน พี่นึกว่าเธอเพิ่งอยู่ม.ปลายซะอีก”
“พี่เก่ง!”
“อ๊ะหรือว่าจะเป็นเด็กม.ปลายปลอมตัวมา หึๆ”
บีค้อนใส่ผม
“เชอะ! บีโตแล้วนะ เป็นผู้ใหญ่กว่าที่พี่เก่งคิด บีนะเคยไปเที่ยวกลางคืนมาแล้วด้วย”
ผมเลิกคิ้ว
“เคยจริงอ่ะ ตอนไหน ที่ไหน บอกพี่มาซิ”
“อะโด่ ก็ที่อาร์ซีเอไง เมื่อวานซืนพ่อขับรถพาบีไปแล้วชี้ให้ดู”
เธอทำหน้าภาคภูมิใจสุดขีด ในความที่มีประสบการณ์เหมือนสาวๆ คนอื่น เอ่อ.. ชักกลุ้ม เนี่ยนะการเที่ยวกลางคืนของเธอ..!
ฟูมฟักเปรียบประดุจ ไข่ซ่อนในหินแกร่งความคิด อ่านอ่อนโลกคือเธอ
ด้วยพื้นฐานที่บีถูกเลี้ยงมาในครอบครัวคริสตชน วันอาทิตย์ก็ไปโบสถ์ สมัยเรียนมัธยมก็มีพ่อแม่คอยไปรับไปส่ง เป็นคุณหนูใสซื่อไร้เดียงสา กว่าพ่อกับแม่จะวางใจให้ไปไหนต่อไหนด้วยตัวเอง อายุก็ปาเข้าไปเกือบจะยี่สิบ ดังนั้นบางครั้ง เธอก็หลุดถามอะไรแปลกๆ อย่างที่คนธรรมดาทั่วไปไม่สงสัยกัน
“พี่เก่งๆ ฝังมุกคืออะไร”
ผมสำลักน้ำอัดลมทันที ไอค่อกแค่กหลายที กว่าจะถามเธอออกมาได้
“ทำไมถึงถามอย่างนั้น บีไม่รู้หรือว่ามันคืออะไร”
“ก็บีไม่รู้นี่ เห็นเพื่อนเค้าพูดกัน”
แหม ไอ้ผมก็ไม่รู้จะบอกอย่างไรดีไม่ให้ติดเรตมาก เชื่อไหม กว่าเธอจะรู้ว่าวิธีการมีเด็กนั้นทำกันอย่างไร เธอก็เกือบๆ จะเรียนจบม.ปลายแล้ว
“ไอ้การฝังมุกนี่.. มันก็เหมือนยาเสน่ห์นั่นแหละบี ทำให้ผู้หญิงรักผู้ชายยิ่งขึ้น”
ผมตอบเลี่ยงๆ
“หมายความว่าฝังมุกคือยาเอาไว้กินเหรอ”
ผมกลืนน้ำลาย มันกินเข้าไปยังไง!
“ก็คล้ายๆ อย่างนั้นมั้ง แต่ไม่ใช่ยากิน”
“ถ้างั้นบีก็จะฝังมุกมั่ง พี่เก่งจะได้ชอบบีเยอะๆ แล้วเค้าซื้อกันที่ไหนล่ะ”
โครม! (เสียงผมตกเก้าอี้) ให้ตายสิ ผู้หญิงเนี่ยนะฝังมุก แล้วจะให้ฝังกันที่ไหนเล่า!
ต้นกล้าแตกยอดอ่อน พันเลื้อยเลี้ยวผูกหาความแกร่ง ฉันจะปกป้องเธอ
บีน่ะมักถูกหลอกเป็นประจำ โดยเฉพาะพวกเพื่อนของเธอนั่นแหละ ชอบเอาคำสองแง่สามง่ามมาพูด แล้วบีก็ได้แต่ทำหน้างงๆ และเอามาถามผมทีหลัง ดังนั้นสำหรับบีแล้ว เธอเหมือนมีพจนานุกรมอยู่สามฉบับ ฉบับแรกบรรจุคำศัพท์ที่เธอเข้าใจถูกต้อง ฉบับที่สองคือคำศัพท์ที่เธอไม่เข้าใจและรอการพิสูจน์ และฉบับสุดท้าย คือคำศัพท์ที่เธอเข้าใจในแบบฉบับของเธอหรือไม่ก็บัญญัติขึ้นมาเอง เช่น
“วันก่อนบีกับเพื่อนๆ ไปเจอทอมกับดี้มาด้วยละ”
บีบอกผมด้วยสีหน้าร่าเริงตามแบบฉบับปกติเมื่อเราอยู่ด้วยกัน ผมจูงมือเธอ
“แล้วเพื่อนๆ ก็บอกบีว่าสองคนนั้นเค้าเล่นดนตรีไทยกัน บีก็บอกกับเพื่อนๆ ไปว่า เมื่อก่อนบีก็เคยตีฉิ่งด้วยนะ”
“หา! ว่าไงนะ ที่พูดมาเนี่ย บีเข้าใจเหรอว่ามันหมายความว่าอะไร”
ผมอดสังหรณ์ใจลึกๆ ไม่ได้ ว่าเธอต้องตีความหมายเพี้ยนไปแน่ๆ
“ก็เข้าใจสิ บีไม่โง่นี่ แต่ไม่รู้ทำไมเพื่อนๆ ถึงหัวเราะบีใหญ่เลย เล่นดนตรีไทยก็เล่นพวกขิม ระนาด ตีฉิ่งไม่ใช่เหรอ บีตีฉิ่งได้ทั้งสองชั้นหนึ่งชั้นเลยนะ”
ตะวันแจ่มจ้ายัง ไม่สดใสเท่ารอยยิ้มเธอ ดวงใจฉันเริงร่า
ตอนเด็กๆ เธอมีความเชื่อแปลกพิสดารอยู่อย่างหนึ่ง เธอเล่าให้ผมฟังว่า
“เวลาบีนั่งรถออกต่างจังหวัดจะเห็นวัว วัวตัวสีขาวก็จะให้นมรสจืด วัวตัวสีน้ำตาลก็ให้นมช็อกโกแลต”
“อ้าว แล้วถ้าเป็นนมรสสตรอเบอรี่ล่ะ”
ในตอนนั้นพ่อของเธอแกล้งถาม
“แหมพ่อก็ ต้องเป็นวัวสีชมพูน่ะซี่!”
เป็นอีกครั้งที่เด็กหญิงบีตอบเสียงฉะฉานอย่างมั่นใจในความฉลาดเฉลียว
ผมสงสัยจัง ถ้าเป็นวัวสีขาวจุดดำ เธอจะตอบว่านมรสอะไรนะ
ความรักของลูกแมว เพาพะงาเพริดแพร้วกลางใจ ในวันที่ฉันล้า
หลังจากที่เราเพิ่งคบเป็นแฟนกันใหม่ๆ ผมให้เกียรติเธอเสมอ ไม่เคยฉกฉวยโอกาสเอาเปรียบ อย่างมากก็แค่จับมือกัน ทั้งๆ ที่ผม (และคนอื่น) รู้ดีแก่ใจ ว่าเธอนั้นถูกหลอกง่าย ด้วยความที่อ่อนต่อโลกเอามากๆ แต่บางครั้งเธอก็เคยพูดอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมอึ้ง ทึ่ง เสียวจนอ้าปากค้างอยู่บ่อยๆ
อย่างเช่นสัปดาห์ที่แล้ว เราและเพื่อนของผมกับเธออีกสองสามคน ได้มีโอกาสไปเที่ยวโคราชด้วยกัน โดยไปพักรวมกันที่บ้านของรุ่นพี่คนหนึ่งที่สนิทกัน บ้านของเธอเป็นสวนดอกไม้ อยู่ในหุบเขาสวยงามเย็นสบายและเขียวขจี มีสายหมอกในยามเช้า แต่ผมไม่ได้เห็นหรอกนะ เพราะผมตื่นสาย
เริ่มด้วย ผมได้ยินเสียงกุกกักอยู่หน้าประตูห้องนอน กำลังนอนสบายเลย ผมลุกขึ้นอย่างเกียจคร้านไปเปิดประตู ทันทีที่บานประตูอ้าออก ผมก็เห็นบียืนสะดุ้งอยู่ตรงนั้น
“ว้าตื่นแล้วเหรอ อดลักหลับเลยนะเนี่ย”
แล้วเธอก็ยิ้มแฉ่งสดใสอย่างเด็กๆ ไม่ได้รู้สึกรู้สากับที่พูดไปตะกี้ ผมมองตามหลังเธอที่ลงบันไดไปอย่างอ้าปากค้าง
ผมมารู้เอาทีหลัง เมื่อถามเธออีกครั้งที่โต๊ะอาหาร
“อ้าว ลักหลับก็คือแอบดูคนหลับไม่ใช่เหรอ”
พวกเพื่อนหัวเราะกันครื้นเครง
ที่แท้เธอก็เข้าใจผิดสุดกู่นี่เอง พจนานุกรมตามความเข้าใจของเธออีกแล้ว ไม่รู้ไปจำมาจากไหนนะ
กุหลาบกลิ่นหอมฟุ้ง ท่ามกลางสวนดอกไฮเดรนเบีย เราช่วยกันแต่งกิ่ง
ถ้าพูดถึงวีรกรรมเปิ่นๆ แสดงความอินโนเซนต์สุดกู่ของแฟนผมแล้วละก็ มีอีกเป็นกระบุงโกย เรียกได้ว่ายกมากล่าวทีไร เป็นต้องได้เรียกเสียงฮาจากเพื่อนทุกที
บีเป็นผู้หญิงกินเก่งและหลับง่าย แต่เธอก็ไม่ยักอ้วน ไม่รู้เอาที่กินๆ ไปซ่อนไว้ไหนหมด เธอโปรดปรานของหวานๆ ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นขนมเค้ก ไอศกรีม ขนมหวานและผลไม้ เวลาที่ผมพาเธอไปกินอาหารด้วยกัน บีมักจะมีที่ว่างในกระเพาะเผื่อสำหรับของหวานเสมอ
นอกจากนี้ บียังชอบกินหมูปิ้งเป็นที่สุด แต่เชื่อไหมว่าแค่หมูปิ้งไม้เดียว ก็ทำให้เธองอนผมเป็นอาทิตย์ๆ มาแล้ว
วันหนึ่งบีบ่นอยากกินหมูปิ้งตั้งแต่เช้า พร้อมกับเสียงพยาธิที่โอดครวญอยู่ในท้อง เพื่อตัดความรำคาญ และผมเองก็กำลังหิวอยู่พอดี ผมจึงเดินออกไปซื้อกับป้าเจ้าประจำหน้ามหาวิทยาลัย สักพักก็กลับมาพร้อมด้วยถุงหมูปิ้งห้าไม้สองถุง กับข้าวเหนียวอีกสองถุง แบ่งคนละชุด
บีรับถุงข้าวเหนียวไปบิกินกับหมูปิ้งอย่างมีความสุข ระหว่างนั้นเธอก็ทำรายงานที่จะส่งอาจารย์ไปด้วย ส่วนผมก็กินอยู่อย่างเงียบๆ ที่ด้านข้าง แต่แล้วสักประเดี๋ยวก็เกิดเรื่อง
“หมูปิ้งบีหาย!”
เธอร้องเอ็ดตะโร ผมกะพริบตาปริบๆ ในมือผมถือหมูปิ้งซึ่งเพิ่งหยิบจากถุงเป็นไม้สุดท้าย
บีจ้องหมูไม้นั้นเขม็งสลับกับถุงหมูปิ้งอันว่างเปล่าของเธอ แล้วผมต้องร้องเฮ้ยเมื่อเธอโวยวาย
“พี่เก่งขโมยหมูปิ้งของบีอ่ะ!”
“บ้าน่า นี่ของพี่”
“ขี้โกงๆ นี่หมูปิ้งของบีนะ!”
“ได้ไง ก็กินกันคนละถุง บีก็กินของบีหมดไปแล้วนี่”
ผมค้าน แต่จริงๆ แค่หมูไม้เดียวจะยกให้เธอก็ได้ แต่ผมอยากฟังเหตุผลของเธอสักหน่อย เธอบอกว่า
“ก็บีจำได้นี่ ตอนนั้นบีกินหมูปิ้งสลับกับข้าวเหนียว พอหมูหมดก็หยิบไม้ใหม่ แล้วในถุงมันก็เหลืออยู่สองไม้ บีหันไปทำรายงานกับกินไปด้วย พอหันกลับมา บีจำได้ว่าในถุงมันต้องเหลืออยู่หนึ่งไม้ แต่ในถุงมันว่างเปล่าอ่ะ หมูของบีหาย พี่เก่งเอาหมูของบีไป!”
สาบานได้ว่าผมไม่ได้กินของเธอเลย ผมเลยเถียงไปว่า
“บีกินหมดเองต่างหากแล้วจำไม่ได้ นี่มันหมูของพี่หรอก”
อดขำไม่ได้ เอาละสิ เธอไม่ยอม
“ไม่ใช่ๆ บีกินพร้อมกับข้าวเหนียว นี่ไงมันยังเหลืออยู่เลย บีกะไว้กินกับไม้สุดท้าย”
เธอชูถุงข้าวเหนียวให้ดูตรงหน้าพร้อมกับทำหน้าบึ้งหน้างอ
“ถ้าอย่างงั้นดูนี่ก็ได้ ไม้ที่เหลือพี่ใส่ไว้ถุง มีสี่ไม้พอดี รวมกับอันนี้” ผมแกว่งหมูปิ้ง “ก็เท่ากับห้าไม้พอดี ฮ่าๆๆ”
ไม้ของเธอนั้นปักไว้ในถังขยะใกล้ตัว มีอยู่ด้วยกันห้าไม้ บีหน้าแดง
“ไม่ต้องเลยนะ พี่นั่นแหละเอาไม้ตัวเองมาทิ้งรวมกับของบี สร้างหลักฐานเท็จ เอาหมูของเค้าคืนมาเลยนะ” ไม่พูดเปล่า เธอพยายามเอื้อมแย่งหมูไม้ในมือของผม
“เรื่องไรเล่า พี่ไม่ได้ทำอย่างนั้นเลยนะ ไม่ได้เนียนขนาดนั้นซะหน่อย”
“ไม่ต้องเลย นี่มันหมูของบี เอามาๆ พี่เก่งนิสัยไม่ดี!”
ผมแกล้งกัดเข้าปากในคำเดียว
“อ้า อร่อยๆ ยังไงๆ ก็เป็นของเราอยู่วันยังค่ำ พี่ว่าบีเผลอกินหมดไปแล้วแต่ลืมซะมากกว่า”
“งืมๆ แย่งของเค้า จะแค้นตลอดชาติเลยสิคอยดู”
บีทำปากจู๋ด้วยความเจ็บใจสุดๆ แล้วก็อย่างที่กล่าวแต่แรก เธองอนผมเป็นสัปดาห์เลย และจนป่านนี้ ผมก็ยังไม่รู้ว่าไอ้หมูไม้นั้นมันหายไปได้อย่างไร เธอกินเองแล้วลืม หรือว่า ม.ค.ป.ด. กันแน่นะ หึๆ แต่ที่รู้แน่ๆ ก็คือ บีเป็นสาวประเภทเจ้าคิดเจ้าแค้นไม่หยอก และถือคติล้างแค้นสิบชาติก็ยังไม่สาย
หมูแน่นเนื้ออร่อย ใครได้ชิมเป็นต้องติดใจ ส่วนเธออ้วนเหมือนหมู (หรือเปล่า)
ผมกับเธอรักกันได้อย่างไรนะ บางทีความรักก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรหาเหตุผลมาอธิบาย คนที่มาดเซอร์ๆ อย่างผม กับสาวน้อยพจมานอย่างเธอ ที่ดูไม่เห็นจะเข้ากันเลยสักนิด พวกเพื่อนเองต่างก็สงสัย ทุกครั้งที่เราไปไหนมาไหนด้วยกัน มักมีแต่คนบอกว่าเหมือนพี่ชายกับน้องสาวมากกว่า แต่ผมไม่สนหรอกนะ ก็ใจมันรักไปแล้ว จะว่าผมชอบของแปลกก็เอาเถอะ
อีกอย่างนะ ที่ถือเป็นข้อแตกต่างระหว่างเรา คือผมนับถือพุทธ แต่บีนั้นนับถือคริสต์ ฉะนั้นตั้งแต่คบกันมาหนึ่งปี ผมไม่เคยมีเดตกับเธอในวันอาทิตย์เลย
“ไม่ได้ บีไปโบสถ์กับครอบครัว บีไปดูหนังกับพี่เก่งไม่ได้หรอก”
“แต่ช่วงนี้พี่มีวันว่างแค่วันนั้นวันเดียวเอง บีก็หยุดไปโบสถ์สักวันไม่ได้เหรอ”
รู้อยู่แล้วว่ามันริบหรี่เต็มทน แต่ผมก็พูดด้วยน้ำเสียงที่อ้อนสุดๆ
“ไม่ได้ค่ะ! บีขาดไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคุณแม่จะดุเอา”
“ถ้าอย่างนั้นพี่ไปด้วย เผื่อจะได้ช่วยงาน”
ผมต่อรอง เธอทำหน้าลังเล แต่สุดท้ายก็ตกลง ดันนั้นผมจึงเหมือนได้ไปเดตกับเธอเป็นครั้งแรกในวันอาทิตย์ และก็จะได้เปิดตัวกับครอบครัวของเธอเป็นครั้งแรกด้วยเช่นกัน จะหมู่หรือจ่าก็ไม่รู้เนอะงานนี้..
คริสต์พุทธรวมใจรัก ความต่างไม่เคยพรากเราสอง เพราะสองคำ”เข้าใจ”
“แม่ขาๆ นี่พี่เก่งคนที่หนูเล่าให้ฟัง”
ทันทีที่ผมมาถึงโบสถ์ บีก็ตรงเข้ามาลากผมเข้าไปในครัวของคริสตจักร วันนี้แม่ของเธอรับหน้าที่เป็นแม่ครัว
“สวัสดีครับ” ผมทักทายอย่างประหม่า แต่แม่ของบียิ้มต้อนรับผมอย่างยินดี
“สวัสดีจ้ะ ชื่อเก่งใช่มั้ย เห็นบีพูดถึงอยู่บ่อยๆ ขอบคุณนะที่ช่วยดูแลเจ้าบีที่มหา’ลัย หวังว่าคงไม่ทำให้เธอปวดหัวแย่เลยนะ ลูกของน้าออกจะทั้งซนทั้งดื้อ”
“บีไม่ใช่ลิงนะแม่”
เธอบ่นพึม คุณน้าหัวเราะ เธอคงจะพอมองออกว่าเรากำลังอินเลิฟกันอยู่
“เอาละไหนๆ ก็มาแล้ว วันนี้แม่ยืมตัวว่าที่เจ้าบ่าวของหนูมาทำกับข้าวหน่อยนะ”
โป๊เช๊ะ! แม่ของบีทราบดีเลยเชียวแหละ
“บ้าน่าแม่ ว่าที่เจ้าบ่าวอะไรกัน” บีหน้าแดงก่ำ น่ารักจังเลย
ทางครัวจะทำก๋วยเตี๋ยวราดหน้ากัน ผมขันอาสาช่วยเตรียมเครื่องต่างๆ ส่วนบีนั้น..
“บีทำไม่เป็นนี่คะ”
“ไม่เป็นก็ยิ่งต้องหัดเอาไว้ อีกหน่อยออกเรือนจะได้ทำเป็น”
ผมเห็นคุณน้าเหล่มาทางผม เล่นเอาสะดุ้งเหมือนกัน ผมหันไปหั่นผักคะน้า ส่วนบีนั้น คุณแม่ของเธอสั่งให้เอาซีอิ้วคลุกกับเส้นก๋วยเตี๋ยว บีหยิบขวดซีอิ้วดำมาเขย่าๆ คุณน้าเคล้าเส้นกับน้ำซีอิ้วให้เข้ากัน
“เอ.. แม่ว่ามันออกมาน้อยไปนะ เปิดขวดให้มันกว้างกว่านี้หน่อย”
“แต่บีว่ามันก็ออกมาเยอะแล้วนะคะ”
ผมได้ยินเธอกล่าว แล้วก็เห็นบีเขย่าขวดแรงขึ้นๆ เพื่อให้น้ำซีอิ้วออกมาเยอะๆ
“อย่าเขย่าแรงมาก เดี๋ยวก็เปื้อนเสื้อหรอก”
แม่ของบีเตือน แต่ไม่ทันขาดคำ
“จ๊ากกก! เสื้อตัวเก่งของหนู!”
บีร้องเสียลั่นครัว คุณน้าส่ายหัวแล้วส่งเสียงดุ
“แม่บอกแล้ว ดูซิได้เรื่องเลย ไม่ต้องเช็ดออกมาก เดี๋ยวจะยิ่งเปรอะไปใหญ่”
“ฮือๆ เสื้อหนู..”
“ไม่ต้องร้อง งั้นบีไปเด็ดผักคะน้าแทนละกัน”
ในที่สุดเธอก็เดินมานั่งหน้าหงิกอยู่ข้างๆ ผม แล้วช่วยเตรียมผักคะน้า
“พี่เก่งทำยังไงอ่ะ”
ผมวางมีดที่หั่นผักลงกับเขียง
“บีก็เอาใบแก่ๆ ทิ้งไป อ่อนๆ เก็บไว้ให้พี่หั่น”
เธอรับคำแล้วถือมีดขึ้นมาจดๆ จ้องๆ ผมมองอย่างสงสัย
“แล้วใบไหนแก่ ใบไหนอ่อน ดูยังไงอ่ะ”
ผมเอามือคลึงขมับทีหนึ่ง ก่อนจะหยิบใบอ่อนแก่มาเทียบกันให้เห็น แต่ดูเหมือนบีก็ยังงงๆ มองไม่ออกว่าอันไหนแก่ อันไหนอ่อนอยู่ดี ดังนั้นเธอจึงเฉือนมันเสียทุกต้น แล้วโยนกองๆ ในกะละมัง ระหว่างนั้นคุณน้าก็เดินเฉียดมาเห็นพอดี
“ตายแล้ว! ทำไมจับมีดอย่างนั้นล่ะ”
การจับมีดของบีนั้น คือเธอกำไว้ในอุ้งมือแน่น เกร็งมือ ถือเหมือนจะแทงใครเขาอย่างนั้น แม่ของเธอบอกให้ถือสบายๆ
“ก็บีทำไม่ได้นี่ บีถนัดแบบนี้มากกว่า”
“เดี๋ยวตีมือเลยลูกคนนี้ บีจับมีดแบบนี้สิ” คุณน้าทำให้ดู “จับอย่างหนูนี่เหมือนคนทำกับข้าวไม่เป็น”
“ก็ไม่เป็นนี่คะ”
นั่น! เธอเถียงกลับครับ
“ดีเลย ต่อไปนี้ทุกอาทิตย์หนูต้องมาช่วยแม่ทำกับข้าว ผู้หญิงหัดไว้ไม่เสียหาย”
ผมกับคุณน้าแอบอมยิ้มให้กัน เมื่อเห็นสีหน้าของบีที่เหมือนกำลังกลืนยาพิษก็ไม่ปาน แต่แล้ว
“นี่มันอะไรกันบี!” คุณน้าร้องขึ้นเมื่อหันไปเห็นกองผักคะน้าในกะละมัง
“ทำไมไม่เอาใบแก่ทิ้งล่ะ ใส่ปนกันได้ยังไงกัน”
“ก็หนูไม่รู้นี่ว่าอันไหนแก่ สีมันเหมือนๆ กัน” บีตอบฉะฉาน
“แต่เห็นใบเหลืองๆ อย่างนี้ก็ควรเอาออกได้แล้ว”
“เหลืองอะไรกันคะ หนูว่ามันยังอ่อนๆ อยู่เลย นี่ไงๆ มีสีเขียวๆ อ่อนๆ ติดด้วย”
ยังเถียงครับ เธอยังเถียงต่อไป
“อย่างนี้มันเรียกจะเน่าแล้ว หนูนี่ดูไม่เป็นเลย ไปไป๊ ไปเรียนได้แล้ว ไม่ต้องมาช่วยแล้ว ดูสิเก่ง อย่างนี้จะเป็นเจ้าสาวที่ดีได้ยังไง”
แม่ของเธอบ่นให้ผมฟังพลางเลือกใบแก่ออกจากกะละมัง ผมพยักหน้าตามอย่างเห็นด้วย “เอาเข้าไป เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเชียว บีไปเรียนก็ได้ค่ะ แต่บีก็ยังคิดว่าการเป็นเจ้าสาวที่ดีไม่เห็นจำเป็นต้องทำกับข้าวเก่งเลย บีน่ะให้เจ้าบ่าวทำกับข้าวแทนก็ได้นี่”
“เหรอจ๊ะ” คุณน้าเลิกคิ้ว แล้วหันมาทางผม “แล้วเก่งทำกับข้าวเก่งไหม”
ผมซึ่งกำลังขำๆ อยู่ก็ถึงกับอึ้งไปเหมือนกัน บีร้องเสียงหลงด้วยแก้มสีแดงระเรื่อว่า
“พี่เก่งเกี่ยวอะไรด้วยเล่าแม่ก็!”
อานุภาพความรัก เป็นเช่นแสงตะวันส่องโลก อบอุ่นนิจนิรันดร์
เห็นไหมครับวีรกรรมแต่ละอย่างของเธอ จะว่าเปิ่นก็เปิ่น จะว่าน่ารักก็ใช่ ผมถึงบอกแต่แรกไงครับ บีคือผู้หญิงอายุยี่สิบคนเดียวในโลกที่ยังไม่โตเป็นสาว ซึ่งหากผมพูดกับเธอถึงความเป็นผู้ใหญ่เมื่อไร เธอเป็นต้องค้านผมอยู่ร่ำไป
เอาเถิดครับสำหรับคนนี้ ยอมให้เลย ไม่อย่างนั้นเธอก็เถียงข้างๆ คูๆ ไปเรื่อย แต่ให้ตายสิ ถึงยังนั้นแต่ผมก็รักเธอจัง
ใครจะว่าคู่ของเราเหมือนเด็กๆ ที่คบกันเป็นปีก็ทำได้อย่างมากแต่จับมือกัน แต่เราก็มีความสุขกันดีในแบบของเรา ค่อยๆ ให้เรียนรู้กันไป ไม่ต้องเร่งรีบ ไม่ต้องเรียนลัด จนบางครั้งผมก็อดต๊องๆ ไปกับเธอไม่ได้
ฝากดาวกระซิบไป ในคืนพระจันทร์เล่นซ่อนแอบ บอกว่า”ฉันรักเธอ”
รักนะ..เด็กโง่ และ รักนะ..จุ๊บๆ
ปล.ถ้าหากได้แต่งงานกัน ผมหวังว่าคืนเข้าหอเธอคงไม่ช็อกหมดสติไปหรอกนะ กลัวความอินโนเซ้นต์ของเธอจัง อิอิ
ปล.2 พี่เก่ง! บีโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ เรื่องแค่นี้บีรู้หรอกน่า คืนเข้าหอเจ้าบ่าวเจ้าสาวเค้าก็ต้องหอมแก้มกันน่ะซี่!
ความคิดเห็น