ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รวมเรื่องสั้น/นิยายเก่าๆ ของ Black back

    ลำดับตอนที่ #1 : เรื่องสั้น โคตรแค้นเธอเลย!

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 574
      0
      30 มิ.ย. 51

    โคตรแค้นเธอเลย!



     สวัสดีครับผู้อ่าน ผมมีเรื่องน่าปวดหัวมาเล่าให้ฟัง เมื่อวาน บก.โทรมาบอกว่าให้ผมช่วยแต่งเรื่องสั้นให้เรื่องหนึ่ง เอาด่วนด้วย! ปกติผมไม่ใคร่ถนัดในการแต่งแนวนี้นัก โดยเฉพาะเมื่อบก.บอกคอนเซ็ปหรือหัวข้อหลักในคราวนี้

     “ขอแบบรักๆ แค้นๆ เลยนะ”

     ท่านบก.ผู้ยิ่งใหญ่โทรมาบอกกับผมในบ่าย

     “โห! ให้นักเขียนนิยายแฟนตาซีอย่างผมมาแต่งแนวรักๆ เนี่ยนะครับ ไม่ไหวมั้ง แถมเป็นเรื่องสั้นด้วย ผมเคยแต่งซะที่ไหนกัน ถ้าเรื่องยาวก็ว่าไปอย่าง” ผมโอดครวญกลับไป

     “ต้องได้! จะสั้นจะยาวก็ต้องทำให้ได้ นายมันนักเขียนมืออาชีพแล้วนะ แต่งให้ได้คุณภาพแล้วส่งตอนสิ้นเดือนละ” เสียงเข้มจากอีกฟาก

     ผมถึงกับปาดเหงื่อหลังวางสายจากบก. ไอ้การจินตนาการเรื่องราวรักๆ นี่เป็นอะไรที่หนักหนาน่าทรมานจิตใจคนโสดอย่างผมเสียจริงๆ

     แต่เอาวะ! เราก็เป็นคนมีฝีมือคนหนึ่ง กะอีแค่เรื่องสั้นแบบแค้นๆ สักเรื่อง มันไม่เกินกำลังของเราหรอกน่า!

     เมื่อคิดได้อย่างนั้น ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่า ครั้งหนึ่งสมัยที่ผมกำลังละอ่อนเรียนมหาวิทยาลัย ผมก็เคยมีประสบการณ์รักแบบแค้นๆ กับเขาเหมือนกัน ความรักในครั้งนั้น มันเป็นอะไรที่ขมขื่นและอยากจะลืมเสียให้ได้

     แต่ด้วยสปีริตและอยากให้ผลงานที่รักปากบก.ไว้ออกมาดี ผมจึงต้องการถ่ายทอดเรื่องราวให้ออกมาสมจริงที่สุด และคนที่จดจำเหตุการณ์ในครั้งนั้นได้กระจ่างชัด ย่อมไม่มีใครเกิน ดา หรือ ดารุณี หญิงสาวผู้เป็นต้นตอที่ทำให้ผมได้รู้จักกับความรักในรอยแค้น! 

     ดาเคยเป็นแฟนของผมสมัยเรียนอยู่พักหนึ่ง แต่เราไม่ได้เจอกันอีกเลยนับตั้งแต่เรียนจบ ครั้งนั้นตอนอยู่ปีสอง เราทะเลาะกันอย่างรุนแรง สุดท้ายก็เลิกกัน
     จนถึงตอนนี้ ผมไม่รู้จริงๆ ว่าฝ่ายไหนเป็นฝ่ายแค้นใครกันแน่ หรือต่างคนต่างก็แค้น แล้วเมล็ดพันธุ์แห่งความแค้นนั้น มันเริ่มถูกเพาะในตัวเราสองคนตั้งแต่ตอนไหนกันนะ ดังนั้นผมถึงต้องถามจากเธอโดยตรง เพื่อให้ความเข้าใจของเรานั้นตรงกัน

     เวลาที่ผ่านไปเนิ่นนานหลายปี หวังว่าความแค้นที่มีต่อกันคงเบาบางลงไปเยอะ ผมจึงตัดสินใจลองชวนเธอมาพูดคุยเพื่อระลึกถึงความหลัง และเพื่อจะได้ข้อมูลของจริงไปเขียนลงในเรื่องสั้น ก่อนจะชวน ผมคิดแล้วคิดอีก กลัวเหลือเกิน เพราะตอนนี้เราสองคนต่างก็มีอะไรๆ ไม่เหมือนเดิม แต่ดานั้นก็ตอบรับผมอย่างดี

     ในคืนวันหนึ่งหลังจากที่ผมอาบน้ำเสร็จเธอก็มาถึง ผมเปิดประตูต้อนรับ แต่อดไม่ได้ที่มองเธออย่างหวาดๆ แล้วค่อยทัก

     “ว่าไงดา ไม่ได้เจอกันซะนานเลย ฉันนึกว่าเธอจะไม่มาซะแล้ว”

     “ได้ไงเล่า เพื่อนเก่าอุตส่าห์ชวนทั้งที นายจุดธูปเรียก ฉันก็มาซี่” เธอพูดติดตลก

     ผมออกจะโล่งใจที่เธอแสดงท่าทีสบายๆ เป็นกันเอง เหมือนเมื่อครั้งสมัยที่เราเพิ่งคบกันใหม่ๆ ผมชวนเธอเข้ามานั่งในห้องรับแขก ถามว่าอยากทานอะไรไหม เธอสั่นศีรษะ

     “ไม่หิวหรอก ว่าแต่มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า นายเรียกฉันมาเพราะอยากจะคุยเรื่องในอดีตไม่ใช่เหรอ ก็ดีนะจะได้หวนรำลึกถึงอดีตอีกครั้ง ตอนนั้นนายทำฉันเจ็บแสบมากเลยว่ะ”

     “แหม เธอเองก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ ทำฉันแค้นแทบกระอักเลย แต่ว่าเรื่องมันก็นานแล้วละ ฉันแทบลืมๆ ไปหมดแล้ว”

     ถ้าคนที่ไม่เคยรู้จักมักจี่กับเธอมาก่อน คงนึกว่าดาเป็นสาวประเภททอมบอย เธอห้าวได้ใจมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว จนถึงเดี๋ยวนี้นิสัยของเธอยังไม่เคยเปลี่ยน

     ผมเตรียมกระดาษกับปากกาขึ้นมา แล้วเราสองคนก็เริ่มคุยกันถึงเรื่องราวในอดีต เรื่องที่เปรียบเสมือนนิยายน้ำเน่า เหตุการณ์ในครั้งนั้นผุดออกมาเรื่อยๆ เหมือนตาน้ำ ในสมองของผมเริ่มปะติปะต่อ เราสองคนช่วยกันเรียบเรียงออกมาเป็นเรื่องสั้นเรื่องหนึ่ง..

     



     เมื่อแรกรักน้ำต้มผักยังว่าหวาน ซึ่งก็เหมือนกับหนุ่มสาวคู่นี้ ผู้หญิงชื่อดา ผู้ชายชื่อต้น ทั้งคู่รู้จักกันครั้งแรกในวันเปิดเทอม หลังสอบเอนทรานซ์ผ่านเข้ามาเรียนในคณะนิเทศศาสตร์ ต้นแอบเหล่มองดาทันทีที่เห็นหน้า ที่จริงเธอไม่ได้สวยไปกว่า ส้ม ซึ่งถูกเลือกเป็นดาวคณะทันทีอย่างเป็นเอกฉันท์จากรุ่นพี่รุ่นน้อง แต่ว่าความน่ารักแบบห้าวๆ ของดานั้น เป็นที่ต้องตาต้องใจต้นมากกว่า

     ชายหนุ่มตามจีบดาโดยได้แรงเชียร์จากพวกเพื่อน แต่ว่ากว่าที่เขาจะพิชิตใจเธอได้นั้นก็แทบแย่ เพราะเธอมักไปไหนมาไหนกับสาวเพื่อนซี้เสมอ ซึ่งก็คือส้มนั่นเอง และแน่นอนว่าดาเป็นสาวที่ใครจะมาเปิดหน้าต่างของหัวใจได้ยากมาก

     “ดา เธอก็ให้โอกาสเราหน่อยสิ เย็นนี้เราไปหาอะไรกินกันนะ”

     เย็นของวันหนึ่ง หลังจากที่ซ้อมเพลงเชียร์เสร็จ ซึ่งนี่ก็เป็นกิจกรรมประจำอีกอย่างของนักศึกษาชั้นปีที่หนึ่ง ต้นตรงรี่เข้าไปหาเธอทันที โดยมีเพื่อนชายร่วมรุ่นเป่าปากแซวดังเฟี้ยวฟ้าว

     ดาทำหน้าเซ็งๆ

     “อีกแล้วนะนายต้น วันนี้ฉันก็ยังยืนยันคำเดิม ไม่ไปๆ เซ้าซี้มากเดี๋ยวปั๊ดเตะโครมเลย!”

     “โธ่..ดา แต่ผมจริงจังและจริงใจนะ”

     “สรุปว่านายชอบฉันใช่มะ” เธอกอดอก

     “ใช่ครับ!” ต้นตอบอย่างแข็งขัน

     แต่ส้มที่ยืนอยู่ด้วยกันสะกิดหญิงสาว

     “ไปกันเถอะดา เดี๋ยวจะดูหนังไม่ทันนะ”

     “อ้าว จะไปดูหนังกันหรอกเหรอครับ ถ้างั้นผมไปด้วยคน”

     ต้นไม่ละความพยายาม ส้มคนสวยเพื่อนซี้ของดาจ้องมองเขาด้วยสายตาเคืองๆ

     “เอ่อ.. นายจะไปด้วยเหรอ งั้นก็..”

     ดาเริ่มมีท่าทีลังเล หัวใจของต้นพองโตอย่างมีหวัง แต่ส้มดูเหมือนหงุดหงิดอยู่นานแล้ว เธอกล่าวตัดบทว่า

     “อย่าไปยุ่งกับนายต้นเลยดา เราไปกันสองคนดีกว่า ปล่อยหมาชะเง้อมองเครื่องบินอยู่ตรงนี้แหละ”

     ต้นได้แต่มองดูสองสาวจูงมือกันออกไปนอกมหา’ลัยด้วยสายตาละห้อย แน่วซึ่งเป็นเพื่อนร่วมคณะเดินเข้ามาตบไหล่

     “ความพยายามเป็นเลิศเลยว่ะไอ้ต้น จีบยายดาจอมห้าวได้ทุกวี่ทุกวัน ไม่เบื่อบ้างหรือไงวะ”

     “ไม่ว่ะ ก็กูชอบของกู น่ารักชะมัด ห้าวได้ใจชิหายเลย แต่ว่ากูรำคาญยายส้มจริงๆ คอยกันท่ากูอยู่เรื่อย” ต้นบ่น


     “เหอะๆ ริจีบเจ้าดามันก็อย่างงี้แหละ แม่นี่ไม่เคยตอบตกลงเป็นแฟนกับใครมาตั้งแต่อยู่ม.ปลายแล้ว แล้วไหนยังเจ้าส้มคู่ซี้เค้าอีก”

     แน่วพูดอย่างขำๆ ต้นหันขวับทันที

     “ไอ้แน่ว แกรู้จักดาตั้งแต่ม.ปลายเชียวเรอะ”

     “เออดิวะ ก็กูกับดาและก็ส้ม พวกเราเรียนห้องเดียวกันตอนม.หก ทำไมมีอะไร สงสัยอะไรเหรอ”

     แน่วยักคิ้ว มีประกายซุกซนในดวงตา ต้นขยับเข้ามาโอบไหล่พร้อมกับพูดว่า

     “แหม..ไอ้แน่ว ต่อไปแกมาเป็นเพื่อนซี้กูดีกว่า กูมีอะไรอยากจะคุยกับแกเยอะเลยว่ะ งั้นเราไปหาอะไรกินที่หน้าม.ดีกว่ามะ”

     “ไอ้เรื่องที่จะคุยเนี่ย.. เกี่ยวกับเจ้าดาใช่ไหมล่ะ”

     แน่วกล่าวอย่างรู้ทัน ต้นหัวเราะแล้วลากแน่วออกไปยังร้านเหล้าหน้ามหาวิทยาลัย

     



     งานเรื่องสั้นของผมคืบหน้าไปได้เยอะ เมื่อมีดารุณีมาช่วยทำ ผมเขียนมาถึงตอนที่ตัวผมเริ่มตีซี้กับแน่ว เพื่อสืบให้รู้ว่าสมัยดาเป็นเด็กมัธยมนั้นเป็นอย่างไร ชอบอะไรเป็นพิเศษ เคยมีแฟนมาก่อนไหม แล้วทำไมดาถึงได้กลายมาเป็นเพื่อนสนิทของส้มได้

     “สมัยเรียนมัธยม ไอ้เจ้าแน่วมันก็ไม่ได้สนิทอะไรกับฉันซะหน่อย ดันไปถามมันได้”

     ดาพูด ทำให้ผมเงยหน้าขึ้นจากกองกระดาษ

     “ก็ตอนนั้นฉันเองไม่รู้จักใคร แล้วไอ้แน่วก็จบจากโรงเรียนเดียวกับเธอ ฉันก็ต้องถามมันน่ะสิ” ผมตอบ

     ดายิ้มให้ผมอย่างเย็นชา จนอดเสียวสันหลังไม่ได้

     “ตอนนั้นเธอมีความพยายามดีจังนะที่จะจีบฉัน”

     “ก็เพราะฉันชอบเธอ ชอบทุกอย่างที่เธอเป็น แม้ว่าเธอไม่สวยเหมือนอย่างส้มเค้า”

     ผมเห็นดาก้มหน้าลง ผมไม่อาจคาดเดาสีหน้าของเธอได้ หรือว่าป่านนี้แล้ว ดายังคงมีใจให้กับผมอยู่..

     เป็นไปไม่ได้หรอก ตอนนี้เราทั้งสองคนไม่ใช่คนเดิมอย่างในสมัยนั้นอีกแล้ว

     ผมวางกระดาษแผ่นแรกที่เขียนเสร็จแล้วไว้ตรงหน้าดา

     “ลองอ่านดูสิ สำนวนฉันใช้ได้ไหม”

     “เออๆ ไหนดูซิ เมื่อแรกแรกรักน้ำต้มผักยังว่าหวาน.. โห! เริ่มแรกก็ภาษายี่เกเลย แต่ก็เข้าใจแต่งนะ สมแล้วที่เป็นนักเขียนคนดัง” ผมหัวเราะ

     “ดังเดิงอะไรกันเล่า ว่าแต่หน้าแรกเป็นไงมั่ง”

     “ก็โอเคว่ะ นายแต่งเก่งจัง แปลกนะตอนอยู่มหา’ลัย ฉันไม่เห็นวี่แววว่านายจะมาเอาดีทางด้านนี้ได้เลย”

     ดากล่าวโดยไม่เงยหน้า ดวงตากรอกไปตามแต่ละบรรทัด

     “ก็แบบ.. เพิ่งจะมาค้นพบพรสวรรค์มั้ง”

     ผมกล่าวพร้อมกับหยิบกระดาษแผ่นที่ให้ดาอ่านมาเขียนต่อ

     “เออว่าแต่ ฉันขอเขียนเกริ่นถึงเรื่องที่เธอกับส้มสนิทกันตั้งแต่ม.ต้นนะ เพื่อจะได้สามารถเชื่อมโยงกับพล็อตในตอนท้ายๆ”

     ผมไม่กล้าสบตาเธอ มือที่จับปากกาชื้นไปด้วยเหงื่อ ดาเงียบสักพักก็กล่าวเสียงเบา

     “เอาสิ เขียนไปก็ได้”

     เมื่อเห็นดาอนุญาต ผมจึงเริ่มขยับปากกาเขียนต่อไปอย่างสบายใจมากขึ้น..





     วันนั้นแน่วคุยให้ต้นฟังถึงเรื่องต่างๆ ของดาในสมัยมัธยม ซึ่งส่วนใหญ่มีแต่วีรกรรมแสบๆ ทั้งนั้น จนดาเป็นที่โด่งดังในโรงเรียน เธอเรียนเก่ง แต่ก็ชอบทำตัวเป็นหัวหน้ากลุ่มพาเพื่อนนัดโดดเรียนเป็นประจำ เรื่องที่เคยต่อยตีกับเด็กผู้ชาย และเรื่องที่เธอเป็นขวัญใจสาวๆ ในโรงเรียน ถึงขนาดมีเด็กผู้หญิงหลายคนแอบส่งจม.รัก

     ต้นรับฟังอย่างมีความสุข เขารู้สึกเหมือนกับว่าได้เข้าใกล้ตัวตนของดามากยิ่งขึ้น แล้วพอมาถึงคิวของส้ม ต้นก็ถามแน่วว่า

     “ส้มเนี่ยเป็นเพื่อนกับดามานานแล้วเหรอวะ”

     “อืม.. ตั้งแต่ม.ต้นแล้วมั้ง พวกเค้าเรียนม.ต้นโรงเรียนหญิงล้วนที่เดียวกันมา เห็นว่าเป็นโรงเรียนประจำด้วย แต่เรื่องตอนนั้นฉันไม่รู้หรอก ฉันมารู้จักกับพวกหล่อนก็ตอนเรียนม.ปลาย”

     “ที่แท้ก็จบจากหญิงล้วนแล้วมาต่อสหศึกษาสินะ เฮ้ยไม่ใช่ว่าทั้งสองคนนั้นเป็นคู่ทอมกับดี้กันหรอกนะ” ต้นกล่าวอย่างตกใจ แน่วยักไหล่บอกว่า

     “อันนี้กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ แต่กูก็เห็นพวกเธอไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ แล้วทั้งคู่ก็ไม่เห็นจะมีแฟนซะที” แน่วกระดกแก้วเหล้า

     ต้นมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด แน่วรินเหล้าผสมโซดาให้ เสียงเพลงในร้านเหล้าเล็กๆ หน้ามหาวิทยาลัยดังกระหึ่ม สาวในชุดนักศึกษาโต๊ะข้างๆ กำลังลุกขึ้นมาดิ้นอย่างเมามัน

     “งั้นดาก็มีสิทธิ์เป็นทอมน่ะสิ” ต้นเอ่ยขึ้นในที่สุด

     “ก็ไม่แน่ว่ะ” แน่วหยิบข้าวเกรียบในจานใส่ปาก แล้วพูดต่อไปว่า “รู้อย่างงี้แล้วแกจะทำยังไงต่อไปวะ”

     ต้นกัดริมฝีปาก สุดท้ายเขาก็กล่าวอย่างแน่วแน่มั่นใจ

     “ก็คนมันรักไปแล้วนี่หว่า ไม่ลองก็ไม่รู้ ต้องลองจีบจริงๆ จังๆ ดูสักตั้งหละวะ!”



     

     “ถึงตรงนี้แล้ว จะให้ฉันบรรยายไหมว่าจีบเธอยังไงบ้าง”

     ผมหันไปถามความเห็นดา หรือก็คือนางเอกตัวจริงในเรื่องสั้น

     “ไอ้วิธีจีบพิลึกกึกกือน่ะเหรอ ไม่ต้องก็ได้มั้ง อีกอย่างนายบอกเองว่าเป็นเรื่องสั้นไม่ใช่เหรอ ขืนบรรยายเยอะเดี๋ยวก็ไม่เป็นเรื่องสั้นกันพอดี”

     นั่นน่ะสิ ผมเองก็เกือบลืม นี่เป็นเพราะผมเคยแต่แต่งพวกนิยายขนาดยาว พอมาแต่งเป็นเรื่องสั้นก็เลยไม่ค่อยชิน

     “ถ้างั้นก็แต่งไปว่า ฉันใช้เวลาจีบเธออยู่สามเดือน กว่าที่เธอจะยอมลองคบกับฉันดู”

     “ต้องใช้คำว่า ‘ลองคบ’ เชียวหรือ”

     เธอย้อนกลับมา ผมถึงกับอึ้งๆ ไป แต่ผมคิดว่าคำนั้นน่ะถูกต้องแล้ว เพราะในตอนนั้นดา ‘ลองคบ’ กับผมจริงๆ เรื่องนี้ผมจะเฉลยที่มาที่ไปในตอนท้ายๆ ซึ่งด้วยความเป็นเรื่องสั้น ผมจึงขอเลือกที่จะปกปิดเอาไว้ก่อน



     

     หลังจากที่ต้นเพียรพยายามจีบดาอยู่นาน ซึ่งหล่อนแทบไม่มีทีท่าว่าชอบเขาตอบเลยสักนิด แต่เมื่อสามเดือนผ่านไป ไม่รู้ว่ามีอะไรมาดลใจให้หล่อนเปลี่ยนท่าทีที่แข็งกร้าว ในที่สุดดาก็ตกลงลองคบกับเขาเป็นแฟน

     ต้นนั้นแทบจะกลายเป็นชายหนุ่มที่มีความสุขที่สุดในมหาวิทยาลัย อย่างน้อยเขาก็รู้สึกคล้ายๆ อย่างนั้น พวกเพื่อนต่างแปลกใจที่ทั้งสองคนเป็นแฟนกันได้ ยกเว้นก็แต่ส้ม ซึ่งดูเหมือนหล่อนไม่ค่อยพอใจนัก อาจเป็นเพราะว่าส้นต้องเสียเพื่อนซี้ไปให้กับต้นแทน

     “น่าอิจฉาแกจังว่ะ ไปๆ มาๆ ในรุ่นเรา แกกลับชิงมีแฟนเป็นคนแรกเลย”

     แน่วพูดขึ้นกลางวงเหล้าในร้านประจำ ต้นยิ้มไม่หุบ ออกจะภูมิใจในความโชคดีอย่างไม่น่าเชื่อ โดยมีแฟนสาวของเขานั่งชงเหล้าให้อยู่ข้างๆ

     “ในที่สุดก็สมหวังซะทีนะแก งั้นพวกเรามาดื่มฉลองให้กับไอ้ต้นมัน ชนแก้วๆ”

     เพื่อนคนหนึ่งเอ่ย แล้วแก้วรอบโต๊ะก็ชนกันดังกริ้ง แน่วกระดกรวดเดียว แล้ววางแก้วลงกับโต๊ะ เช็ดปากแล้วพูดอย่างมึนๆ

     “แต่ที่น่าแปลกใจอ่ะนะ ก็คือเจ้าดามันดูเป็นผู้หญิงขึ้นจมเลย ตั้งแต่ที่คบกับไอ้ต้นเป็นแฟน”

     “แหมแน่วก็ คนเรามันก็เปลี่ยนแปลงกันได้นี่” ดากล่าวยิ้มๆ

     “เออว่าแต่ยายส้มล่ะ พักนี้ไม่เป็นไปไหนมาไหนด้วยกันเลย” แน่วถาม

     “อ๋อ ก็เดี๋ยวนี้ฉันเป็นแฟนต้นแล้วนี่ เค้าคงเกรงใจน่ะ อยากให้เราสองคนได้อยู่ด้วยกัน”

     ดาคว้ามือของต้นมากุม ต้นหัวใจพองโตคับอก เล่นเอาเพื่อนที่ยังโสดอิจฉากันถ้วนหน้า

     “อ๊ะสองทุ่มแล้ว ฉันกลับบ้านก่อนนะ” ดากล่าวพลางลุกขึ้น

     “งั้นเดี๋ยวผมไปส่ง” ต้นขยับลุกตาม

     “ไม่ต้องๆ นายอยู่กินเหล้ากับเพื่อนๆ ก็ได้ เดี๋ยวดากลับเอง”

     “แต่ว่านะดา ตั้งแต่เราเป็นแฟนกันมา เธอไม่เคยให้ฉันไปส่งที่บ้านเลยสักครั้ง”

     “เอ๋ก็บอกว่าไม่ต้องไง อย่ามาเซ้าซี้กันสิ ไปละบายทุกคน”

     ดาโบกมือลา แล้วเธอก็ออกไปโบกแท็กซี่หน้าร้าน ทุกคนมองตามจนแท็กซี่หายลับไป แล้วแน่วก็พูดกับต้นด้วยใบหน้าแดงๆ ว่า

     “อะไรกัน เป็นแฟนภาษาอะไร นี่แกยังไม่เคยไปส่งดาเค้าที่บ้านเลยเหรอวะ”

     ต้นเกาหัวแกรกๆ

     “แบบ.. ไงดีอ้ะ คือเค้าไม่ยอมให้กูไปส่งซะที กูก็แปลกใจเหมือนกัน ทั้งๆ ที่เรื่องอื่นเค้าก็ยอมกูหมด แม้กระทั่งเรื่องจูบ.. อุ๊ปส์!” เขารีบเอามือปิดปาก

     “ฮั่นแน่! มีจูบกันแล้วด้วย ก้าวหน้านี่หว่าเพื่อน” เพื่อนในวงเหล้าแซวกันยกใหญ่ ต้นทำหน้าเขิน

     “แหม ก็มีบ้างละน่า”

     “เฮ้ย งั้นต่อไปก็รวบหัวรวบหางได้แล้วน่ะสิฟะ” แน่วหัวเราะพลางทำหน้ากวนๆ

     “หมายถึงมีอะไรกันน่ะเหรอ อย่าเพิ่งเลยว่ะ กูให้เกียรติเค้า ถ้าดาเค้ายังไม่พร้อมกูก็ไม่อยากเร่งอะไร”

     “โอ๊ยพ่อสุภาพบุรุษ แกนี่ควายหรือเปล่าวะ สมัยนี้เป็นแฟนกันมันต้องมีอะไรๆ กันด้วย ไม่อย่างงั้นความสัมพันธ์มันจะไม่ยืดยืนยาว” แน่วเสนอแนะ

     ต้นมีท่าทีอึกอักลังเล ถ้าหากเขาไม่ชิงมีสัมพันธ์สวาทกับเธอ ผู้หญิงอย่างดาอาจตีจากเขาเมื่อไรก็ได้ ต้นคิดว่าบางทีอาจต้องทำตามคำแนะนำของแน่วดู ให้ความรักและความใคร่เป็นเครื่องตรวนผูกมัดเธอเอาไว้



     

     “ฝนตกแล้วละ”

     ดายืนเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ซึ่งสายฝนกำลังเทลงมาอย่างหนัก ผมลุกขึ้นไปยืนอยู่ข้างหลังเธอ จ้องมองลำคอขาวผ่อง อยากจะก้มลงไปจูบเบาๆ แต่ผมเหนี่ยวรั้งความตั้งใจนั้นไว้ เพราะตอนนี้ความสัมพันธ์ของเราไม่เหมือนก่อนแล้ว

     “ฉันแต่งไปได้เกินครึ่งแล้วนะดา ถึงตอนที่ฉันกำลังตัดสินใจครั้งใหญ่”

     “และเป็นครั้งที่ผิดพลาด”

     ดากล่าวเสียงเย็น แล้วเธอก็หันกลับมาเผชิญหน้า ผมถึงกับกลืนน้ำลาย

     “ใช่สิ ผิดมาตั้งแต่ที่ฉันรักเธอแล้ว”

     ผมพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา รู้สึกถึงความเจ็บปวดในอกและในดวงตา แต่ดามองเลยผ่านผมไป สายตาของเธอจับจ้องไปที่นาฬิกาแขวนผนัง

     “ห้าทุ่มกว่าแล้ว ดึกจังเลยนะคืนนี้ แต่นี่ป็นครั้งที่สองที่เราได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง”

     “ใช่สิ แต่ฉันสัญญานะว่าจะไม่เกิดเรื่องแบบคืนนั้นอีก”

     ผมหมายถึงคืนแรกที่เราได้อยู่ด้วยกัน บนเตียงในห้องนอนของผม แต่ว่าวันนี้ผมคงทำอะไรรุ่มร่ามแบบนั้นไม่ได้

     “ไปทำงานต่อได้แล้ว ดึกมากแล้วนะ ฉันไม่มีเวลาให้นายทั้งคืนหรอกนะ ใกล้เช้าฉันก็ต้องไปแล้ว”

     ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจ แค่คืนนี้เธอสละเวลาให้ผมก็ถือว่าเป็นพระคุณอย่างสูงแล้ว ผมกลับไปนั่งบนเก้าอี้เพื่อปั่นงานที่ยังค้างอยู่ต่อ โดยมีดาเป็นผู้ช่วยย้อนเหตุการณ์ ผมจะเริ่มบรรยายฉากถึงคืนวันนั้น วันที่ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของความแค้นด้วยกันทั้งสองฝ่าย



     

     คำพูดของแน่วที่บอกให้เขารวบหัวรวบหางดา มันยังคงวนเวียนอยู่ในหัวเรื่อยมา จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาก็ตัดสินใจที่จะทำตามคำแนะนำของแน่ว ต้นชวนดาไปเที่ยวที่บ้าน โดยเลือกเอาวันที่พ่อกับแม่ไม่อยู่ ไปค้างแรมที่ต่างจังหวัด เขาออกอุบายทำทีว่าอยากให้ดาช่วยติววิชาที่ไม่เข้าใจ

     “จะให้ฉันไปติวให้ที่บ้านนายน่ะเหรอ”

     “ใช่แล้ว ก็ดาไม่เคยยอมพาไปที่บ้านเธอสักครั้งนี่ นะๆ ดา เราเป็นแฟนกันนะ ช่วยติวหนังสือให้แฟนจะเป็นไรไป” ต้นทำเสียงออดอ้อน

     “มีแผนอะไรหรือเปล่า”

     ดามองอย่างสงสัย แต่ต้นฉีกยิ้มพลางส่ายหัว

     “ไม่มีจ้ะ แค่ติวกันเฉยๆ เธอก็รู้นี่ว่าฉันอ่อนพวกวิชาคำนวน แล้วอาทิตย์หน้าก็จะสอบปลายภาคอยู่แล้ว”

     ดาทำหน้าขบคิดอยู่ชั่วครู่ก็ตอบตกลง ต้นพาดาไปซื้อกับข้าวในซุปเปอร์มาร์เก็ตก่อน เพื่อจะได้ทำอาหารเย็นกินกันที่บ้าน

     “เข้ามาสิ พ่อกับแม่ฉันไม่อยู่น่ะ แต่อีกไม่นานเดี๋ยวก็กลับ”

     ต้นโกหกไปอย่างนั้นเพื่อให้เธอสบายใจ ดาในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนทะมัดทะแมง เดินหอบถุงกับข้าวเข้ามา บ้านของต้นดูโปร่งและเงียบสงบ มีสองชั้น ด้านหลังบ้านมีสวนหย่อมเล็กๆ

     “แม่ฉันเป็นคนปลูกเอง สวยดีไหม”

     “อือสวย มีดอกไม้เต็มไปหมด”

     ต้นมองด้านหลังดาด้วยสายตาของหมาป่าอยากขย้ำเหยื่อ เขามองเธออย่างนี้ตลอดตั้งแต่ที่เธอเข้ามาในบ้าน ในขณะที่ทำอาหาร ขณะนั่งทานด้วยกัน และขณะที่เธอนั่งเบียดเขาเพื่อติววิชา มองทรวงอกเต่งตึง เอวที่คอดกิ่ว สะโพกผาย แขนและลำคอที่ขาวเนียน และจังหวะที่เธอก้มลงจนเห็นเนินอกและยกทรงลายลูกไม้

     “ตรงนี้เข้าใจหรือยังล่ะ” เธอถาม

     แต่ต้นดูเหมือนหูอื้อตาลาย เขาอดใจไม่ไหว อยากจะร่วมรักกับเธอเดี๋ยวนี้ ในคืนนี้ กลางห้องรับแขก

     สมองส่วนผิดชอบชั่วดีหยุดทำงาน สันดานดิบในตัวบังคับให้เขาผลักเธอกดลงกับพื้น ดาร้องอย่างตกใจ แต่ตอนนี้ต้นไม่สนใจอะไรแล้ว ก็ดาเป็นแฟนของเขาแล้วนี่ กับอีแค่มีอะไรกัน เธอต้องยอมเขาแน่ๆ

     “ว้ายต้นจะทำอะไร! ถอยออกไปนะ!”

     “ไม่ดา ฉันรักเธอนะ ยอมเป็นของฉันเถอะ”

     ต้นพูดเสียงแหบพร่า จมูกซุกไซ้ไปตามซอกคอ ลำตัวช่วงล่างกดทับหญิงสาวเอาไว้ ดาพยายามดิ้นรนแต่ก็สู้แรงผู้ชายอย่างเขาไม่ได้

     “อย่า! ฉันไม่ต้องการอย่างนี้ ต้นฉันขอร้อง..”

     สาวห้าวอย่างเธอกลับสะอึกสะอื้นเป็นเด็กๆ แต่ต้นยังคงเดินหน้าต่อไป เขาถอดเสื้อและปลดกระดุมกางเกงยีนของเธอออกอย่างหื่นกระหาย

     “ไม่!”

     ดาตบหน้าต้นเสียงดังฉาด เขาหน้าหัน แก้มชาดิก ทำให้สติกลับคืนมา

     “ดา.. ทำไมล่ะ เราเป็นแฟนกันนะ” ต้นโอดครวญตาละห้อย

     “เป็นแฟนกันไม่ได้หมายความว่านายจะมาทำอะไรอย่างนี้กับฉันได้!” เธอตวาด

     “ดาจ๋า..”

     “ไม่ต้องมาเรียก!”

     หญิงสาวผลักอกเขา ลุกขึ้นใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย สายตาของดาจับจ้องมาที่ต้นอย่างแค้นเคือง

     “นายใช้ความไว้ใจของฉัน หลอกให้ฉันมาเพื่อจะมีอะไรกัน นายวางแผนไว้ตั้งแต่แรกแล้วใช่มั้ย พ่อแม่นายก็ไม่ได้กลับบ้านคืนนี้ด้วย นายนี่มันเลวที่สุด!”

     ต้นยืนนิ่ง พูดไม่ออก ถูกความสำนึกผิดกดทับ

     “ฉันไม่น่าลองคบเป็นแฟนกับนายเลย รู้งี้เชื่อส้มซะตั้งแต่แรกก็ดี ผู้ชาย.. มีแต่สกปรก”

     ต้นงงกับคำพูดของดา ส้มมาเกี่ยวข้องอะไรด้วย แต่ก่อนที่เขาจะถาม ดาก็ชิงหนีเขาออกจากบ้านไปเสียก่อน



     

     เสียงนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืน ผมสะดุ้งเฮือก ยิ่งเขียนยิ่งเหมือนตกอยู่ในภวังค์ ดาบอกให้ผมเอากระดาษมาให้เธออ่าน ส่วนผมลุกไปล้างหน้าล้างตา

     “คิดว่าเนื้อเรื่องตรงนี้เป็นไง ถ่ายทอดอารมณ์ได้ดีไหม” ผมกลับมาถาม

     ดาอ่านอยู่สักครู่ มุมปากของเธอเหยียดขึ้นเล็กน้อย

     “แต่งได้หื่นดีเหมือนกันนะ นายน่าไปเขียนนิยายอีโรติกดู”

     “ไม่ต้องมาประชดเลย ฉันก็แค่เขียนตามประสบการณ์”

     ผมจ้องมองดวงหน้าสวยแต่ขาวซีดของดา ต้องยอมรับว่าจนป่านนี้ ผมก็ยังไม่เคยลืมเธอได้เลย ดาเป็นผู้หญิงที่ผมรักที่สุด และแน่นอนว่าแค้นที่สุดด้วย เรื่องที่ผมแค้นเธอนั้น ไม่ใช่เพราะว่าเธอไม่ยอมมีอะไรกับผมในคืนวันนั้น แต่มันเป็นเรื่องต่อจากนั้นต่างหาก ตอนที่ผมทราบความจริงทั้งหมดเกี่ยวกับดา รับรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเธอ และ..ส้ม เพื่อนซื้ของเธอด้วย

     ผมนั่งพักสายตาอยู่ชั่วครู่ แล้วเริ่มเขียนเรื่องราวต่อไป และต่อไป



     

     นับตั้งแต่คืนนั้นเป็นต้นมา ดาก็ทำตัวห่างเหินต้น ไม่แม้แต่จะปรายตามอง เธอกลับมาไปไหนมาไหนกับส้มเหมือนเดิม เขาพยายามง้อขอคืนดี แต่ดาไม่ยอมพูดกับเขา

     “โธ่ดา..ฉันขอโทษจริงๆ ฉันสัญญานะว่าจะไม่ให้เกิดเรื่องอย่างนั้นอีก”

     เขาเดินตามเธอต้อยๆ เหมือนสุนัขตัวหนึ่ง ดาทำเสียงขึ้นจมูกแล้วสะบัดหน้าหนี

     “เราเป็นแฟนกันนะดา!”

     ต้นตะโกนอย่างไม่อายใคร หญิงสาวชะงักเท้า นักศึกษาแถวนั้นหันมาให้ความสนใจ

     “แฟนเหรอ!” เธอหันกลับมาเผชิญหน้า “เป็นแฟนกันแล้วนายทำกับเราอย่างงี้เหรอ!”

     “ทำไมล่ะดา โอเคถ้าเธอไม่พร้อมสำหรับเรื่องอย่างนั้น ฉันก็จะไม่บังคับฝืนใจเธออีก แต่เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมเถอะนะ”

     “เหมือนเดิม?” ดาเท้าสะเอว

     “ใช่ เหมือนเดิม เป็นคนรักกัน”

     “.....” ดานิ่งเงียบไปสักพัก แล้วเธอก็กล่าวว่า

     “มันเป็นไปไม่ได้หรอกต้น นายลืมฉันเถอะ เราสองคนคงเข้ากันไม่ได้ เรา..เลิกเป็นแฟนกันเถอะ”

     ต้นรู้สึกเหมือนถูกเธอต่อยเข้าใต้เข็มขัดจนจุก เขายืนเป็นไอ้เซ่ออยู่ตรงนั้นจนเธอกับส้มเดินไปไกลแล้ว

     “เอาน่าต้น กะอีแค่ผู้หญิงคนเดียว อกหักแค่นี้เดี๋ยวก็หาย ผู้หญิงสวยๆ ห้าวๆ มีออกเยอะแยะ”

     แน่วพูดพร้อมกับตบไหล่ ต้นหน้าแดงก่ำ แน่วชวนเขามาปลอบที่ร้านเหล้าเจ้าประจำ ต้นกระดกน้ำเมาเข้าปากเป็นแก้วที่ห้าติดต่อกัน

     “เฮ้ยๆ เหล้านะไม่ใช่น้ำชา ดื่มเพลาๆ หน่อยสิวะ เดี๋ยวก็เมาตายกันพอดี”

     “ตายสิดี! กูอยากตาย ดาเค้าไม่รักกูแล้ว ทำไมวะไอ้แน่ว กูผิดตรงไหน!” ต้นพูดลิ้นเริ่มพันกัน เอาหน้าฟุบโต๊ะ

     “แกน่ะไม่ผิดหรอก แล้วดาเค้าก็ไม่ผิด แค่แกทำไม่เป็นเท่านั้นเอง ดันรีบจับเค้ากดอย่างงั้นได้ มันต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปสิวะ ต้องหัดสร้างอารมณ์ก่อน อย่างเช่นชวนเค้าดูหนังโป๊ะอะไรอย่างเงี้ยะ”

     “จริงเหรอ..” ต้นเงยหน้าตาปรือ

     “ก็เออสิ! เดี๋ยวแกก็ลองใหม่นะ ตื้อขอคืนดีไปเรื่อยๆ เดี๋ยวเค้าก็ใจอ่อนเอง เชื่อเหอะเค้าโกรธแกได้ไม่นานหรอก”

     ต้นฟังกูรูแน่วแนะแล้วเริ่มมีกำลังใจขึ้น..



     

     ผมเขียนค้างไว้แค่นั้น สมองเริ่มตื้อคิดอะไรไม่ออก จึงลุกขึ้นไปหยิบเบียร์มาดื่ม ดานั่งมองผมจากฝั่งตรงข้าม

     “ผู้ชายทำไมถึงชอบดื่มไอ้ของมึนเมาจังนะ มีความสุขก็ดื่ม มีความทุกข์ก็ดื่ม ยิ่งเวลาอกหักก็ยิ่งดื่ม”

     ผมกลืนเบียร์ลื่นๆ เย็นฉ่ำลงคอแล้วหัวเราะเล็กน้อย

     “ก็มันอร่อย ดื่มแล้วครึ้มอกครึ้มใจ”

     “คนเราเวลาเหล้าเข้าปากแล้วมันจะขาดสติ ทำอะไรก็ได้แม้แต่ฆ่าคน” ดากล่าวเสียงแหว

     ผมถึงกับสะอึก “ก็..คงจะจริงมั้ง”

     เราสองคนเงียบกันไป สายฝนด้านนอกเริ่มซา ตอนนี้เป็นเวลาตีสองแล้ว

     “เออว่าแต่เธอเป็นไงมั่ง ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว.. ฉันก็ไม่ได้เจอเธออีกเลย ไปทำอะไรอยู่ที่ไหน” ผมหาเรื่องคุย ดามองผมตาไม่กะพริบ

     “ก็เรื่อยๆ ตามประสา ไม่ได้ทำอะไรมาก แต่ฉันก็รู้ข่าวของนายตลอด แทบทุกเรื่องเลย”

     “เธอ..รู้เรื่องของฉันตลอดเลยหรือ”

     “ใช่ เรื่องที่เธอทำงานเป็นนักเขียน แล้วก็ครองตัวเป็นโสดมาได้จนถึงป่านนี้”

     สายตาของเราสบกัน ผมมองลึกเข้าไปในดวงตาไร้แววคู่นั้น

     “ดา.. เธอเคยคิดอยากให้เรากลับมา..”

     “ลืมมันเสียเถิดต้น เป็นไปไม่ได้หรอก”

     เธอพูดตัดบทก่อนที่ผมจะกล่าวจบ ผมถอนหายใจยาว

     “นั่นสิ มันเป็นไปไม่ได้ เอาเถอะแต่ว่าไหนๆ วันนี้เราสองคนก็ได้มีโอกาสเจอกัน คืนนี้เธอก็อยู่เป็นเพื่อนฉัน จนกว่าฉันจะเสร็จงานได้ไหม”

     อย่างน้อยขอแค่คืนนี้.. แม้จะไม่สามารถแตะต้องเธอได้ ขอแค่มีเธออยู่ใกล้ๆ..

     “แล้วนายเขียนถึงไหนแล้วล่ะ เหลืออีกเยอะเปล่า”

     ผมส่งกระดาษให้เธออ่าน ระหว่างนั้นผมก็เปิดเพลงคลอเบาๆ เพิ่มบรรยากาศ

     “เขียนไปได้เยอะแล้วนี่ แต่นายแน่วชอบแนะอะไรๆ ทุเรศๆ ให้นายเรื่อยเลย”

     “ก็เพื่อนกันนี่ ผู้ชายมันคุยกันเปิดอกได้ง่ายกว่า”

     ผมบอกพลางปากระป๋องเปล่าลงถังขยะ เส้นเลือดในร่างกายได้รับแอลกอฮอล์ ผมมีแรงที่จะปั่นงานต่อ ระหว่างนั้นดาก็ถามผมว่า

     “แล้วเดี๋ยวนี้ไอ้แน่วมันเป็นยังไงบ้าง นายเจอมันบ้างหรือเปล่า มันอยู่ที่ไหน แต่งงานหรือยัง”

     “ถามทำไม จะตามไปหลอกไปหลอนมันหรือไง”


     ผมพูดแซวตลกๆ รู้สึกผ่อนคลายและเป็นกันเองกับเธอมากขึ้น

     “จะบ้าเรอะ ก็แค่ถามดูเท่านั้น นายนี่ยังปากหมาเหมือนสมัยมหา’ลัยเลยนะ”

     ผมหัวเราะ

     “ไอ้แน่วน่ะเหรอ เดี๋ยวนี้มันทำงานเป็นครีเอทีฟอยู่บ.โฆษณายักษ์ใหญ่ระดับประเทศ แต่มันยังไม่ได้แต่งงานหรอก แต่ก็คงเร็วๆ นี้แหละ.. นี่ๆ ขอเตือนไว้ก่อนนะ ตอนนี้มันกำลังไปได้ดี เธออย่าไปวุ่นวายกับมันเลย เรื่องในคราวนั้นมันแค่ทำตามที่ฉันขอร้องเท่านั้น”

     ผมกลัวเธอจะไปอาละวาดใส่ ดายิ่งเป็นคนมีนิสัยอย่างนั้นอยู่ด้วย แต่เธอก็พูดอย่างที่ทำให้หายใจโล่งว่า

     “ไม่หรอกน่า ฉันรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ฉันเป็นคนมีเหตุผล” เธอยิ้มพราย




      

      ต้นฟังกูรูแน่วแนะแล้วเริ่มมีกำลังใจขึ้น ดังนั้นในวันถัดมา เขาเพียรตามตื้อซื้อดอกไม้มาให้ แต่ดาก็ยังทำหน้าเบื่อๆ แล้วลากส้มหนีเขา

     ต้นทำแบบนี้อยู่หลายวัน แต่ดาไม่มีทีท่าจะให้อภัย อีกทั้งส้มก็เริ่มทำตัวเป็นขวางเขามากขึ้น

     “นี่นายต้น ดาเค้าตัดใจจากนายไปแล้ว นายก็น่าจะทำใจได้แล้วนะ อย่าให้ฉันต้องพูดซ้ำๆ ซากๆ หน่อยเลยน่า”

     ส้มกล่าวด้วยใบหน้าบึ้งตึง ยืนกันท่า พวกเขายืนเผชิญหน้ากันอยู่ที่ใต้ตึกเรียน ฟ้าเบื้องบนตั้งเค้าว่าจะตกอีกแล้ว

     “เธอไม่เกี่ยวน่าส้ม ถอยไป ฉันจะเคลียร์กับดาเค้าตามลำพัง” ต้นพูดด้วยสีหน้าไม่แพ้กัน

     “อ๊ะนาย ก็ดาเค้าไม่อยากคุยด้วย ใช่ไหมดา” หล่อนหันไปถาม ดาพยักหน้า

     ระหว่างนั้น แน่วก็เดินลงจากตึกพอดี

     “มีอะไรกันหรือจ๊ะสาวๆ”

     “ไอ้แน่ว นายมาก็ดีแล้ว ช่วยพาเพื่อนนายไปไกลๆ ฉันหน่อย รำคาญว่ะ” ดาพูดเสียงห้าว

     ต้นถึงกับตกตะลึงในท่าทีของเธอ ท่าทีที่เหมือนว่าเขาเป็นแค่คนแปลกหน้าคนหนึ่ง มันทำให้ต้นถึงกับช็อก

     แน่วเห็นท่าไม่ดีจึงลากเขาออกมา ปล่อยให้สองสาวกลับบ้านไปก่อน

     “ใจเย็นๆ นะไอ้ต้น ดูเหมือนดาเค้าจะใจแข็งกว่าที่คิดว่ะ”

     “......”

     “ถ้างั้นเดี๋ยวเราไปประชุมวางแผนกันใหม่ กูชักเปรี้ยวปากอยากซดเหล้าอยู่พอดี”

     “...ปล่อย”

     “อะไรนะ แกพูดว่าอะไรตะกี้”

     “ปล่อยแขนกู กูจะตามสองคนนั้นไป”

     ต้นสะบัดแขน สีหน้าโกรธเคือง ทำให้แน่วเกิดความสงสัย ถามว่า

     “แกจะตามไปทำไมวะ”

     “กูสงสัยอะไรนิดหน่อยน่ะ เกี่ยวกับสองคนนั้น กูอยากจะตามไปดูให้รู้แน่ชัด ว่าจะเหมือนอย่างที่กูคิดอยู่หรือเปล่า”

     พูดจบต้นก็ออกวิ่งตามส้มกับดาไปห่างๆ อย่างไม่ให้พวกหล่อนรู้ตัว แน่วได้แต่เกาหัวแกรกๆ อย่างงุนงง

     ต้นตามติดสองสาวอย่างกระชั้นชิด จนกระทั่งพวกเธอลงจากรถแท็กซี่ที่หน้าหอพักรวมแห่งหนึ่ง ต้นจ่ายเงินค่าแท็กซี่คันของเขา แล้วย่องตามหลัง ทั้งสองขึ้นไปบนหอพัก และเข้าไปในห้องหนึ่งบนชั้นที่สาม

     ต้นเดาว่าห้องนี้คงเป็นที่พักของส้ม ดาคงแค่แวะมาเที่ยวเฉยๆ ดังนั้นเขาจึงคลายความสงสัย ตั้งใจจะหันหลังกลับลงบันใด แต่แล้วทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงเหมือนมีบางอย่างชนกับประตูห้องนั้น ต้นเอาหูแนบกับประตูด้วยความสนใจ

     มีเสียงหายใจหนักๆ กับเสียงครางแผ่วเบา.. ต้นขมวดคิ้ว เขาควานหากระดาษในกระเป๋าแล้วม้วนเป็นกรวย แล้วใช้มันช่วยฟัง เขายิ่งได้ยินเสียงชัดขึ้น เสียงมันเหมือนกับคนกำลังจูบปากเล้าโลมกันอย่างไรอย่างนั้น

     “อืม..ดา ดีจังตรงนั้น อ้า..”

     “ชอบไหมล่ะ ถ้างั้นดาขอถอดเลยนะ”

     “บ้า.. เรายังไม่ได้อาบน้ำกันเลย”

     ต้นถึงกับเบิกตากว้าง หัวใจเต้นตึกตักอย่างแรง หรือว่าส้มกับดากำลัง..

     ไม่น่า เป็นไปไม่ได้หรอก พวกเธอน่ะหรือจะมีรสนิยมไม้ป่าเดียวกัน ก็ดายังเคยเป็นแฟนของเขาเลยนี่ แถมจูบกันก็ยังเคย

     ขณะที่ต้นกรอกตาไปมาด้วยความสับสน เขาก็เห็นประตูห้องข้างๆ แง้มอยู่ ลองเปิดดูก็เห็นว่าเป็นห้องโล่งๆ คงยังไม่มีคนเช่า เขาจึงเดินเข้าไป ผ่านออกไปยังระเบียงด้านนอก

     เป็นอย่างที่คิดไว้ ระยะห่างจากระเบียงห้องนี้ไปยังอีกห้องไม่กว้างเท่าไรนัก สามารถปีนข้ามไปได้ เขาเกาะอย่างระมัดระวัง ในที่สุดก็ข้ามไปไปที่ระเบียงอีกฝั่ง ที่นั่นมีประตู ต้นลองบิดดู ปรากฏว่าไม่ได้ล็อคเอาไว้ เปิดแง้มๆ ตามองลอดเข้าไป สิ่งที่เห็นเต็มสองตาทำให้เขาถึงกับยืนตกตะลึงตัวแข็งทื่อ

     ภาพสองสาวกำลังบรรเลงเพลงรักอย่างถึงพริกถึงขิงด้วยเนื้อตัวที่ล้อนจ้อน!



     

     “จะบ้าเหรอ! ไม่ถึงขนาดนั้นซะหน่อย”

     ดาร้องขึ้นมาทันทีที่อ่านถึงบรรทัดล่างสุด ผมถอดแว่นตาออก สองนิ้วนวดขมับอย่างอ่อนเพลีย ปากก็พูดว่า

     “ก็แหม เรื่องสั้นมันก็ต้องตอกไข่ใส่สีลงไปบ้าง คนอ่านจะได้ตื่นเต้น”

     “ตื่นเต้นบ้าบออะไร ลามกน่ะสิไม่ว่า” แล้วเธอก็บ่นกระปอดกระแปด

     ผมคิดว่าที่เขียนๆ ลงไปมันก็มีความจริงเกินกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์เข้าไปแล้ว แต่ไหนๆ นี่ก็เป็นงานที่ช่วยกันเขียนช่วยกันทำ ผมเลยถามความเห็นเธอ

     “ถ้าไม่เขียนอย่างนั้นแล้วจะให้ฉันเขียนว่าอะไรล่ะ” ดาทำท่านึก

     “อืม.. นายก็แต่งแค่ว่า ดากับส้มนอนกอดกันบนเตียง แค่นี้คนอ่านก็รู้แล้ว ว่าผู้หญิงสองคนต้องมีความสัมพันธ์ที่ไม่ปกติ”

     ผมถอนหายใจ หยิบกระดาษมาขีดฆ่าประโยคสุดท้ายออก พลางบอกกับเธอ

     “โอเคๆ เอาอย่างงั้นก็ได้ นางเอกคนนั้นก็คือเธอนี่”

     ผมเขียนแก้ลงไปใหม่ เป็นว่า..



     

     ต้นบิดลูกบิดประตู ปรากฏว่าไม่ได้ล็อคเอาไว้ เปิดแง้มๆ ตามองลอดเข้าไป สิ่งที่เห็นเต็มสองตาทำให้เขาถึงกับยืนตกตะลึงตัวแข็งทื่อ ดากำลังจับส้มกดลงกับเตียง แล้วจูบปากอย่างดูดดื่ม

     “ส้มจ๋า ดาคิดถึงส้มมากๆๆ รู้ไหม”

     ดาพูดขึ้นหลังจากถอนปากออก ฝ่ามือของเธอลูบบนศีรษะส้มอย่างรักใคร่

     “ทีนี้ทำมาเป็นปากหวานใส่ ดาน่ะปล่อยให้ส้มเหงาอยู่ตั้งนาน มัวแต่ไปคบอยู่กับไอ้บ้านั่น ส้มก็บอกดาแล้ว ว่าอย่าไปคบกับผู้ชาย พวกนี้ไม่มีอะไรดีหรอก สกปรกลามก เอาแต่ได้”

      ส้มทำหน้าแง่งอนขณะพูดไปด้วย ดาจับปลายคางของส้ม

     “แหมฉันก็แค่ลองคบกับมันดูเล่นๆ ก็เห็นมันพยายามดี ตามจีบอยู่เป็นนานเชียว อีกอย่างฉันก็อยากรู้ว่าเป็นแฟนกับผู้ชายแล้วรู้สึกยังไง”

     “ก็แล้วเป็นไงล่ะ เกือบโดนไอ้หมอนั่นปล้ำเอา” ส้มพูดประชดประชัน

     ดากอดส้มแน่นเข้า หอมแก้มหนึ่งที

     “แต่ก็ยังไม่โดนหรอกน่า ดีที่ไอ้ต้นมันปอดขึ้นมาเสียก่อน ฉันก็แค่บีบน้ำตานิดหน่อย”

     “ดา.. ต่อไปเธอไม่ต้องกลับไปคบกับมันอีกนะ”

     “แน่นอน เหตุการณ์ที่ผ่านมา มันทำให้ฉันรู้ว่าจริงๆ แล้วฉันชอบผู้หญิงมากกว่า โดยเฉพาะเธอ ส้มที่รัก..”

     ต้นแอบฟังมาโดยตลอด ได้ยินสองสาวพูดคุยกันชัดเจน ต้นถูกสวมเขา ที่จริงแล้วดาไม่เคยรักเขาเลย ที่ผ่านมาเธอแค่คบกับเขาเล่นๆ ต้นขบกรามแน่น ใบหน้าแดงก่ำ ผู้หญิงคนนี้ทำให้เขาทั้งรักและแค้นในเวลาเดียวกัน

     “กูว่าแล้วเชียว ตงิดๆ ใจอยู่เหมือนกัน ทีแท้ก็คู่เลสเบี้ยนนี่เอง แกคงช็อกไปเลยละสิไอ้ต้น หญิงอันเป็นที่รักกับรักหญิงด้วยกัน”

     ต้นนำสิ่งที่ได้รับรู้ไปปรึกษากับแน่ว ยังดีที่วันนั้นเขาไม่หุนหันโผล่เข้าไปในห้อง เขาเลือกที่จะถอยออกมาเงียบๆ ทั้งที่ในใจโกรธแค้นอย่างบอกไม่ถูก

     “มันเหมือนกับกูถูกเหยียดหยามเลย ทั้งๆ ที่กูรักทุ่มเทให้เค้าขนาดนั้น แค่เค้ากลับ..”

     ต้นถึงกับพูดไม่ออก น้ำตาคลอเบ้า แล้วเขาก็ยกแก้วเหล้าดื่มรวดเดียว

     “กูอยากล้างแค้นว่ะ”

     ต้นก็พูดกับแน่ว หลังจากเหล้าหมดไปแบนหนึ่ง แน่วมีท่าทีตกใจ ถามว่าจะล้างแค้นยังไง ต้นกระซิบบอก แน่วได้ยินก็ถึงกับสร้างเมา

     “พูดจริงพูดเล่นวะ! เสี่ยงคุกเลยนะโว้ย!”

     ต้นจ้องแน่วตาแข็งๆ

     “กูเอาจริง แล้วแกต้องช่วยกูด้วย เพื่อนกันไม่ใช่เหรอ”

     แน่วกรอกตาไปมาอย่างลังเล เรื่องที่ต้นชวนทำมันอันตรายต่อการติดคุกและเสียอนาคตเลยทีเดียว แต่คิดอีกที ดาวคณะอย่างส้มก็น่าลิ้มลองมิใช่น้อย

     ต้นเรียกบริกรคิดเงิน แล้วชักชวนแน่วไปที่บ้านเพื่อไปหยิบกล้องวีดีโอกับเชือก เมื่อได้ของที่ต้องการแล้วก็ตรงไปที่หอพักของส้มกับดาทันที



     

     พอเขียนถึงตรงนี้ ผมกลับไม่กล้าขยับปากกาเขียนต่อ เพราะถ้าหากเขียนต่อไปก็เท่ากับประจานตัวเอง

     “ทำไมไม่เขียนต่อไปล่ะ ก็ไหนนายบอกว่าอยากแต่งจากประสบการณ์จริงไง” ดาถามเสียงเย็น ผมกลืนน้ำลายฝืดคอ

     “เอ่อ.. ฉันคิดว่าจะแก้ช่วงท้ายๆ หน่อยน่ะ และก็จะแต่งต่อวันพรุ่งนี้ อีกอย่างตอนนี้มันก็ใกล้สว่างแล้ว ฉันเพลียมากๆ เลยนะ”

     ผมทำเป็นอ้าปากหาว ทั้งที่ปกติผมก็นอนตอนใกล้สว่างอยู่เกือบทุกวันจนชิน ดานั้นลุกขึ้น จ้องมองผมพร้อมกับพูดด้วยสีหน้าคาดคั้นว่า

     “แล้วนายจะแต่งต่อยังไง จะให้เรื่องสั้นจบแบบไหน”

     “เอ่อก็.. ให้ต้นที่รู้ความจริงอกหักเศร้าตามระเบียบ แต่ทั้งสองก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แม้ว่าจะเลิกเป็นแฟนกันแล้วก็ตาม และต้นก็สนับสนุนความรักของส้มกับดาอีกด้วย สุดท้ายพวกเขาก็เรียนจบและก็ก้าวเดินไปตามเส้นทางของตัวเอง”

     “เหรอ.. จบง่ายไปหรือเปล่า ไม่มีหักมุมเลยหรือไง”

     ผมรู้สึกเหมือนอุณหภูมิในห้องเย็นขึ้นอย่างบอกไม่ถูก เย็นจนเสียวสันหลัง

     “ทำไมนายไม่เขียนไปตามความจริงล่ะ กลัวอะไร ถึงอย่างไงคนอ่านก็คิดว่าเป็นเรื่องแต่งขึ้นอยู่แล้ว ก็บรรยายไปว่านายกับแน่วบุกเข้ามาถึงในห้อง แล้วจับส้มกับฉันข่มขืนและถ่ายวีดีโอเก็บไว้ เพื่อไม่ให้ฉันกับส้มไปฟ้องใครได้”

     “เอ่อ.. ฉันว่าไม่จำเป็นต้องแต่งอย่างนั้นหรอก คนอ่านจะคิดว่ามันเลวร้ายเกินไป” ผมพูดละล่ำละลัก “แล้วอีกอย่างเรื่องมันก็ผ่านไปตั้งนานแล้ว ตอนนั้นฉันยังเด็ก ไม่ค่อยรู้เรื่องผิดชอบชั่วดีเท่าไหร่”

     ผมคิดว่าเรื่องสั้นไม่ควรเขียนให้พระเอกกลายเป็นผู้ร้ายที่ต่ำทราม คนอ่านอ่านแล้วจะรู้สึกหดหู่ เพราะทั้งต้นกับนายแน่วผู้เลวทราม ที่ข่มขืนอดีตแฟนตัวเองกับเพื่อนร่วมห้อง จะไม่ได้รับผลกรรมอะไรเลยที่ทำอย่างนั้นไป ในโลกหนังสือ คนทำดีย่อมได้สิ่งดีตอบแทน ส่วนคนทำชั่วสุดท้ายย่อมไม่ตายดี แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง ทั้งแน่วและต้นก็ยังอยู่สุขสบาย เชิดหน้าชูตาในสังคม

     คนที่เคยถูกผมข่มขืนสมัยเรียนยังคงจ้องหน้าผม เวลาที่ผ่านไปนานหลายปี ผมคิดว่าดาจะลืมๆ สิ่งที่ผมทำลงไป แต่จากสายตาของเธอ ผมอาจคิดผิดไปก็ได้

     “สิ่งที่นายทำกับฉันในคืนนั้น ทุกวันนี้ฉันก็ยังแค้นนายอยู่ และที่ฉันมาอยู่กับนายในคืนนี้ ก็ใช่ว่าฉันจะเลิกจองเวรนายแล้ว”

     ดาบอกกับผม สีหน้าของเธอเรียบเฉย ผมว่าถ้าเธอปั้นหน้าโกรธยังจะดีเสียกว่า ผมฮึดเรียกขวัญกลับคืนมา

     “งั้นเหรอดา ถึงยังไงเธอก็ทำอะไรฉันไม่ได้อยู่ดี ฉันบอกแล้วว่าอะไรๆ มันไม่เหมือนเดิม ฉันยังมีชีวิต แต่เธอไม่มี”

     ใบหน้าซีดของดาสลดลงอย่างเห็นได้ชัด

     “ก็ใช่ ฉันไม่อาจแตะต้องนายได้ ฉันเป็นแค่วิญญาณพยาบาทที่ไร้พิษสง”

     ดาลอยเข้ามาใกล้ผม วนเวียนไปรอบๆ ดวงตาของเธอแดงก่ำ ผมพูดกับเธอว่า

     “ก็แล้วที่เธอตาย มันไม่ใช่ความผิดของฉันซะหน่อย ฉันก็แค่ข่มขืนเธอ เธอเล่นกระโดดตึกฆ่าตัวตายเอง”

     ดาทำเสียงต่ำๆ น่าขนลุก แต่ผมเป็นคนไม่กลัวผีอยู่แล้ว ดังนั้นเธอจึงเหมือนเป็นแค่ยุงน่ารำคาญตัวหนึ่ง ผมกลับไปนั่งเอนหลังบนโซฟา ดาตามมาอยู่ใกล้ๆ

     “ใกล้จะเช้าแล้วนะ วิญญาณอย่างเธอทนแสงอาทิตย์ได้หรือไง ไปๆ ซะเถอะ กลับไปยังที่ของเธอ แล้วไว้ว่างๆ ฉันจะทำบุญใส่บาตรของอร่อยๆ ที่เธอชอบให้ละกัน และก็ขอบใจนะสำหรับคืนนี้ งานฉันคืบหน้าไปเยอะเลย”

     ผมกะจะนอนสักงีบ แล้วตอนเช้าค่อยแต่งส่วนที่เหลือต่อ ซึ่งแน่นอนว่าในช่วงท้ายๆ นั้นจะเป็นเรื่องจริงทั้งหมด เพราะผมเชื่อว่า ปัญญาของคนอ่านไม่มีทางรู้ เรื่องสั้นเรื่องนี้แต่งจากประสบการณ์จริงของคนเขียนนั่นเอง

     “ใกล้สว่างแล้ว ฉันคงต้องไปแล้ว”

     ดาพูดกับผม ขณะที่ผมกำลังสะลึมสะลือ

     “อ้อ ตามสบายเลยนะ ฉันไม่ไปส่งละ”

     ผมโบกไม้โบกมือไล่ ง่วงจัดเต็มที ผมซบหน้าลงกับหมอนบนโซฟา คืนนี้ผมอยู่กับวิญญาณทั้งคืน เพลียชะมัดเลย แต่ก่อนจะหลับไปผมได้ยินเสียงดาแว่วๆ ว่า

     “อีกไม่นานหรอกนายต้น เราจะได้พบกันอีก นายเป็นหนี้กรรมฉันอยู่ ใกล้ถึงเวลาที่นายจะต้องชดใช้แล้ว..”



     

     ตอนสายของวันรุ่งขึ้น ต้นตื่นขึ้นมาล้างหน้าแปรงฟัน ระหว่างแปรงไปก็ส่องกระจก เห็นขอบตาด้านล่างคล้ำ เขาคิดว่าเป็นเพราะอดนอนมาทั้งคืน ไม่เกี่ยวอะไรกับการอยู่กับดาที่เป็นวิญญาณ ต้นหัวเราะหึๆ กับตัวเอง หวังว่าเธอคงไม่ได้ดูดวิญญาณบางส่วนไปแบบในหนังหรอกนะ

     ตั้งแต่วันที่ดาฆ่าตัวตายในคืนหลังจากที่เขากับแน่วบุกเข้าไปข่มขืนและถ่ายวีดีโอ เขาก็ไม่ได้พบกับดาอีกเลย ยกเว้นก็คืนเมื่อวาน ที่เขาอุตส่าห์ลงทุนจุดธูปเรียกเธอมาพูดคุย ส่วนส้มนั้น เธอช็อกจนเสียสติไป ไม่ได้เรียนต่อ ต้องไปพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลคนบ้าแทน

     ถึงเขากับแน่วจะรู้สึกผิด แต่ก็ตั้งหน้าเรียนต่อไปจนจบ พวกเขาคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้น พวกหล่อนทำตัวของตัวเอง ต้นแค่ของค่าตอบแทนที่ถูกหลอกเท่านั้น



     

     ผมแต่งตอนจบของเรื่องไว้เพียงแค่นี้ เพราะไม่รู้จะเขียนอะไรต่อไปอีกแล้ว ผมลงทุนแต่งไปจนถึงเหตุการณ์เมื่อคืนเชียวนะ หวังว่าผู้อ่านคงสนุกสนานกับเรื่องราวของผม ตอนจบอาจไม่โดนใจคนอ่านเท่าไรนัก แต่ก็ถือว่าใช้ได้ในระดับหนึ่ง งานชิ้นนี้บก.คงให้ผ่าน

     ผมนำกระดาษหลายแผ่นที่เขียนอยู่ทั้งคืนมาเรียบเรียงลงคอมพิวเตอร์ ผมนั่งพิมพ์ไปเรื่อยๆ จนถึงบ่ายสอง ผมพักร่างกายที่อ่อนล้าแล้วลุกเข้าไปในครัว จุดแก๊สต้มน้ำร้อนเพื่อดื่มกาแฟสักแก้ว งานของผมเหลือแค่แผ่นเดียว กับเกลาสำนวนอีกเล็กน้อยก็สามารถส่งอีเมล์ไปให้บก.ได้เลย

     ผมอ้าปากหาวขณะที่เอื่อมมือไปจับกาน้ำ อาจเป็นเพราะความอ่อนเพลีย ทำให้ผมทำกาหลุดมือ น้ำเดือดๆ หกราดแขนขา ผมถึงกับร้องเสียงหลง กระโดดไปกระโดดมาเหมือนหมาถูกน้ำร้อนลวก ตามผิวหนังแดงเถือก ผมบ่นกับตัวเองที่ไม่ระมัดระวังให้ดี

     ตรงส่วนที่โดนลวกเริ่มแสบเคือง ผมทายาไว้แล้ว แต่คิดว่าเดี๋ยวออกไปให้หมอดูหน่อยจะดีกว่า ระหว่างนั้นโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ผมกัดฟันเดินไปรับ

     “ฮัลโหลต้นพูดครับ”

     “ไอ้ต้น! กูเองชดไง”

     “อ้าวสวัสดีๆ หายหัวไปเลยนะแก เป็นไงมาไงถึงโทรมาได้ล่ะ”
     ชดเป็นเพื่อนร่วมวงเหล้าอีกคนนอกจากแน่ว ผมนึกแปลกใจที่มันโทรมา แถมเสียงยังฟังดูร้อนรนพิกล ไอ้ชดพูดว่า

     “มีข่าวไม่ดีมาบอกว่ะ คือว่าไอ้แน่วมันเพิ่งเสียกะทันหันเมื่อตอนสายๆ นี่เอง เนี่ยกูกับเพื่อนๆ จะไปงานศพมันเย็นนี้แหละ กูก็เลยโทรมาบอก”

     ผมตกตะลึง ไอ้แน่วน่ะเหรอ! เป็นไปได้ยังไง เมื่อวานผมกับมันยังโทรนัดกับไปดื่มเหล้าอยู่เลย

     “เฮ้ยมันเป็นอะไรตายวะ บอกกูมาซิ!” ผมละล่ำละลักถาม

     “คือว่าเมื่อคืนมันก็มาดื่มเหล้าที่บ้านกูนี่แหละ ดื่มกันจนเกือบสว่าง ไอ้แน่วเมามากเลย แล้วมันเสือกขับรถกลับบ้าน กูบอกแล้วว่าให้มันนอนบ้านกูก่อน แต่มันก็ไม่เชื่อ แล้วเป็นไงล่ะ มันดันขับรถไปคว่ำอยู่หน้าปากซอยบ้านกู กูเลยรีบไปส่งมันที่โรงพยาบาล แต่ดูเหมือนอาการของมันสาหัสมาก มันนอนโคม่าอยู่สองสามชั่วโมงก็ตาย”

     ไอ้ชดพูดเสียงสั่นเครือ มันบอกว่าเป็นความผิดของมันเอง ที่ดันไปชวนแน่วกินเหล้า ทั้งๆ ที่แน่วไม่ได้แตะต้องเหล้าอีกเลยตั้งแต่สมัยเรียน แต่เพราะมันคะยั้นคะยอ ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น

     “แต่ว่ามีเรื่องน่าแปลกว่ะ ก่อนที่มันจะตาย ไอ้แน่วเอาแต่เพ้อทุรนทุราย พูดแต่ว่า ดาๆ แกว่าดาที่มันพูดนี่ใช่ดารุณีแฟนเก่าของแกหรือเปล่า” ชดถาม

     ผมยืนตัวแข็งทื่อ เนื้อตัวเย็บเฉียบ ทั้งๆ ที่เพิ่งโดนน้ำร้อนลวกจนแสบร้อน


     เป็นไปไม่ได้น่า หรือว่านี่เป็นฝีมือของดา.. แต่เธอก็อยู่กับเราเกือบทั้งคืนนี่

     ผมสะบัดหน้าอย่างงุนงง บอกชดไปว่าเย็นนี้จะไปงานศพด้วย ผมเดินเหม่อลอยไปนั่งหน้าโต๊คอมพ์ ภาพใบหน้าของแน่วโผล่ขึ้นในหัวสมอง ไอ้แน่วเป็นเพื่อนที่ผมรักมาก ทำไมถึงได้อายุสั้นอย่างนี้นะ ทั้งๆ ที่อนาคตกำลังไปได้ด้วยดี

     เขาตายตอนรุ่งสาง ผมเห็นดาครั้งสุดท้ายก็ตอนนั้นเช่นกัน

     ผมหยิบกระดาษแผ่นสุดท้ายขึ้นมา งานของผมยังเหลืออีกเล็กน้อย ผมจะรีบปั่นให้เสร็จแล้วค่อยไปงานศพ แค่พิมพ์ๆ ไปเท่านั้น ทั้งที่ใจนั้นแสนหดหู่

     ผมอ่านงานที่เขียนไว้ในหน้าสุดท้าย แล้วผมก็ขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ บนกระดาษแผ่นนั้นมีอีกลายมือหนึ่ง เป็นข้อความที่ผมไม่ได้เขียน ผมงุนงงไปหมด ผมอ่านข้อความเหล่านั้นจนจบ แล้วก็ขนลุกเกรียวไปทั่งร่าง ต่อจากนั้นผมได้ยินเสียงโครมครามที่ประตูหลังบ้าน ผมหันขวับไปมอง เหงื่อแตกซิก แล้วแผ่นกระดาษก็ตกลงสู่พื้น..



     

     สวัสดีนายต้น

     ฉันขอถือวิสาสะเขียนข้อความเหล่านี้ต่อจากตอนจบของนาย

     ที่จริงฉันอยากบอกตั้งแต่เมื่อคืน แต่เห็นว่านายหลับไปแล้ว ฉันจึงให้การเขียนถึงนายแทน

     จำได้ไหมที่เมื่อคืนฉันพูดกับนายว่า ฉันเป็นแค่วิญญาณพยาบาทไร้พิษสง

     ฉันแตะต้องตัวนายไม่ได้ แต่ฉันก็ยังคงแค้นนายอยู่เสมอ และรอวันที่จะล้างแค้น

     แล้วรู้อะไรไหม ที่จริงฉันไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย เพราะผลกรรมที่พวกนายก่อเอาไว้

     ตอนนี้มันได้เริ่มสนองตอบพวกนายแล้ว!

     ฉันเฝ้อรอเวลานี้มานานมาก

     ขณะที่นายอ่านข้อความของฉันอยู่ นายคงรู้ข่าวที่แน่วตายแล้วสินะ

     ฉันน่ะรู้ล่วงหน้าตั้งนานแล้ว ว่าแน่วจะต้องตายในวันนี้

     แน่วตายเพราะบาปกรรมของตัวเอง ไม่เกี่ยวกับฉัน

     ทุกๆ คนย่อมมีกรรมเป็นของๆ ตัว และไม่อาจหลีกหนีพ้น

     ส่วนนายไม่ต้องเป็นกังวลไป เพราะว่านายจะได้ชดใช้กรรมในวันนี้เหมือนกัน

     ฉะนั้นเย็นนี้ไม่ต้องเสียเวลาไปงานศพของนายแน่วหรอก

     นายอ่านแล้วอาจไม่เชื่อ แต่บาปกรรมของนายเริ่มทำหน้าที่ของมันแล้ว

     วันนี้นายถูกน้ำร้อนลวกใช่ไหมล่ะ นั่นก็เป็นกรรมอย่างหนึ่งเหมือนกัน

      คืนเมื่อวานที่ฉันยอมมาหานาย ก็เพราะจะมาดูหน้านายขณะมีชีวิตอยู่เป็นครั้งสุดท้าย

     หลังจากที่นายอ่านจดหมายนี้จบ อีกสักประเดี๋ยวจะมีโจรบุกเข้ามาปล้นบ้าน

     เผอิญว่าโจรพวกนั้นเป็นพวกเกย์ที่ชอบตุ๋ยผู้ชายก่อนจะเชือดเจ้าของบ้านทิ้ง

     แค่คิดก็มันแล้ว!

     อย่างน้อยก็ขอให้นายมีความสุขก่อนตายนะ

     

     ปล. เรื่องสั้นที่แต่งค้างไว้ไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวฉันจะอีเมล์ส่งไปให้บก.เอง ไหนๆ นี่ก็เป็นงานชิ้นสุดท้ายของนายแล้วนี่เนอะ ^____^

     รักนะจุ๊บๆ แต่โคตรแค้นเธอเลยว่ะ อิอิ
          
     จากดา ผีไร้พิษสง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×