ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พรหมลิขิตรักสองภพ

    ลำดับตอนที่ #9 : ตอนที่ 9

    • อัปเดตล่าสุด 20 ส.ค. 58



    CR.SQW

    เช้าวันรุ่งขึ้น เพียงออนอนหลับสนิทตลอดคืนเพราะความเหนื่อยอ่อน หญิงสาวขยับตัวน้อยๆ ลืมตาตื่นมาอย่างงัวเงีย เพิ่งรู้ว่าใบหน้าของเธอมันซุกหน้าอยู่บนอกแกร่งของพันอิน เพราะเป็นคนนอนติดหมอนข้าง ทำให้เผลอเรอข้ามฝั่งมาตอนไหนไม่รู้ เงยหน้าขึ้นมอง ทำเอาสะดุ้งตกใจ ลุกพรวดขึ้นนั่ง พันอินยิ้มแห้งๆ ให้ เขานอนเกร็งอยู่ทั้งคืน แทบนอนไม่หลับเลย ชายหนุ่มขยับแขนข้างที่เธอนอนหนุน มันเป็นเหน็บจนแทบขยับไม่ได้

    “หลับสบายดีไหมแม่ ท่าทางจะฝันดีเนาะ” พันอินว่าอย่างขำๆ

    “ขอโทษที แบบว่า..ฉันไม่ได้..คือมันติดหมอนข้างน่ะ ก็เลย” เธอบอกแบบตะกุกตะกัก รู้สึกขายขี้หน้ามาก ตัวเองกลัวเขาแท้ๆ น่าโมโหจริง

    “หมอนข้าง” พันอินทวนคำอย่างงงๆ

    “ก็หมอนยาวๆ ที่เอาไว้กอด” เธอพยายามอธิบาย แต่ชายหน้ายังทำหน้าไม่เข้าใจอยู่ดี “ช่างมันเถอะ อธิบายไป คุณก็ไม่เข้าใจหรอก”

    มันก็จริงที่เขาไม่เข้าใจ มีอีกหลายๆ อย่างในตัวเธอที่เขาแปลกใจ แม้จะพูดภาษาที่ฟังเข้าใจ แต่มันก็ไม่เหมือนกับภาษาไหนที่เขาเคยได้ยินมา จะว่าเป็นภาษาไทย แต่วิธีการพูดมันช่างแปร่งหูเหลือเกิน ชักเริ่มสงสัยแล้วว่า เธอเป็นใครมาจากไหนกัน แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยถาม เสียงเคาะประตูเบาๆ ก็ดังขึ้นเสียก่อน พันอินลุกขึ้นเดินไปเปิด

    “ขอประทานโทษขอรับที่ต้องมาปลุก ท่านเจ้าเมืองเชิญไปพบขอรับ” บุญลือรายงานเสียงทุ้มใหญ่ พันอินนิ่วหน้า คิ้วขมวดมุ่น

    “เห็นท่าว่าท่านเจ้าเมืองคงจะทราบเรื่องที่ข้าผิดใจกับขุนเดชเป็นแน่ คงจะเรียกไปไกล่เกลี่ย” ชายหนุ่มพยักหน้ารับ ก่อนจะกลับเข้ามาในห้อง เพียงออทำหน้าไมสบายใจนัก

    “คุณจะเดือดร้อนไหมค่ะ”

    “ไม่หรอก ท่านเจ้าเมืองมีความยุติธรรมพอ แลขุนเดชก็เป็นคนมาหาเรื่องข้าก่อน เจ้ามิต้องห่วงดอก ประเดี๋ยวข้ากลับมา “ ชายหนุ่มยิ้มให้นิดๆ เพื่อให้เธอคลายกังวล


     

                           

                                           

     

              เรือนพักเจ้าเมือง ณ บริเวณหอกลาง บรรยากาศค่อนข้างตึงเครียด บ่าวไพร่นั่งหมอบกระแตอยู่รายรอบอย่างหวาดหวั่น เจ้าเมืองร่างท้วมมองสองหนุ่มสลับกันไปมา ลอบถอนใจให้กับผู้เป็นน้องเมียอย่างเอือมระอา เพราะรู้แจ้งถึงพฤติกรรมของขุนเดชดีว่า เป็นคนใจร้อนวู่วาม แถมมีนิสัยก้าวร้าว พอรู้ว่าเมื่อคืนวานขุนเดชบุกขึ้นเรือนพันอินเพียงเพราะสตรีนางเดียวทำเอาลมเดือดขึ้นหู

              “ข้าได้ยินว่าคืนวาน ขุนเดชได้กระทำการอุกอาจ บุกขึ้นเรือนพักพ่อพันอิน หลังจากไต่ถามจนได้ความ วันนี้ข้าจึงเรียกเจ้าทั้งสองมาไกล่เกลี่ย” เจ้าเมืองร่างท้วมเกริ่นนำ ปรายตามองน้องเมียเป็นเชิงตำหนิอยู่ในที ขุนเดชนั่งขบกรามแน่นพยายามอย่างหนักที่จะไม่ให้มันส่งเสียง ทำหน้ามุ่นมุ่ยแบบคนถูกบังคับ แอบเคืองใจพี่เขยอยู่ลึกๆ แทนจะเข้าข้างคนกันเอง กลับบังคับให้เขามาขอโทษพันอินไอ้คนต่างเมือง

              “ข้ามิได้ทำอะไรผิด” ขุนเดชแค่นเสียงลอดไรฟัน

              “บุกขึ้นเรือนผู้อื่นในยามวิกาลนี่นะหรือไม่ผิด” เจ้าเมืองร่างท้วมย้อนถามเสียงห้วน

              “พันอินหยามหน้าข้าก่อน หญิงงามมีออกถมถืด เหตุไฉนจำเพาะต้องมาต้องตาต้องใจนางคนเดียวกับข้าด้วยเล่า พันอินทำเช่นนี้เหมือนจงใจหยามหน้าข้า”

              “ข้าหาได้มีเจตนาเช่นดังที่เจ้ากล่าวหาไม่ หากแต่ข้าพึงใจแม่เพียงออก่อนที่นางจะมาเป็นช่างฟ้อนเสียอีก เจ้าคงมิรู้ว่า เราเคยพบกันมาก่อน” พันอินบอกอย่างใจเย็น เพราะไม่ประสงค์จะมีเรื่องต่อหน้าท่านเจ้าเมือง รู้ว่าตนเป็นคนต่างถิ่น

              “โป้ปดมดเท็จ ข้าหาเชื่อคำเจ้าดอก หากเป็นจริงดั่งคำเจ้าว่าแล้วไซ้ เหตุใดจึงเพิ่งเรียกหานาง ทำการประหนึ่งสุนัขในฉกชิงของผู้อื่น” ถ้อยคำดูหมิ่น พร้อมสีหน้าเหยียดหยามเหลือแสน มันทำคนฟังอารมณ์ขึ้น

              “ ขุนเดช! จะกล่าวอ้างอันใด ข้านะรึฉกชิงของผู้อื่น แล้วที่เจ้าทำมันดีแล้วหรือไร คนอย่างข้ามิเคยบังคับฝืนใจผู้ใด ทำอะไรเปิดเผยจริงใจไม่ใช้วิธีลอบกัดดอก “ พันอินบอกอย่างมีอารมณ์

              “เอาเถอะๆ ที่ข้าเรียกเจ้าทั้งสองมานี้ มิได้ให้มามีเรื่อง แค่สตรีนางเดียวต้องทำให้เรื่องลุกลามใหญ่โตเชียวหรือ เราก็คนทำมาค้าขายกัน อย่าให้มีเรื่องกินแหนงแคลงใจต่อกันเลย ข้าอยากให้เรื่องจบลงเท่านี้ ได้หรือไม่” เจ้าเมืองมองสองหนุ่มสลับกันไปมา

              “หากว่าขุนเดช ตกปากรับคำว่าจะไม่ยุ่งวุ่นวายกับเมียข้าแล้วไซ้ ข้าก็จะไม่ถือสาหาความอีก”

              “ว่ายังไงขุนเดช” เจ้าเมืองหันมาหาขุนเดช ที่นั่งจ้องพันอินตาขวาง ความเกลียดชังที่มีต่อชายคนนี้มากล้นเท่าทวี หากแต่ยามนี้ เขาจำต้องเออออตามไป ทั้งที่ใจมันขุ่นแค้น ไม่ใช่แค่เรื่องสาวงามหรอกที่ทำให้เขาขุ่นเคือง หลายต่อหลายเรื่องมาทบกัน พันอิน เห็นทีกูกับมึงจะอยู่ร่วมปฐพีเดียวกันหาได้ไม่ หากไม่มีมึงสักคนชีวิตกูก็จะเจริญรุ่งเรืองกว่านี้เป็นแน่ ขุนเดชคิดอย่างเคียดแค้น

              บนเรือนรับรอง เพียงออนั่งเคาะนิ้วลงไปบนโต๊ะอย่างเลื่อนลอย ใจหนึ่งมันก็เป็นห่วง เพราะขุนเดชนั้นเป็นถึงน้องเมียเจ้าเมือง เกิดเขาเอาเรื่องขึ้นมาพันอินจะเดือดร้อนรึเปล่านะ คนสมัยนี้นี่ก็แปลก รู้ว่าไม่เต็มใจก็ยังจะบังคับกันได้ ถ้าเป็นยุคของเธอป่านนี้คงแจ้งความไปแล้ว บ้านป่าเมืองเถื่อนจริงๆ พลันนึกถึงคณะอิงฟ้าขึ้นมา ไม่รู้ว่าป่านนี้เป็นยังไงบ้าง คิดว่าน่าจะดูซักหน่อย แต่ยังไม่ทันได้ลงเรือนก็เจอก้านยืนเฝ้าอยู่หน้าเรือน

              “แม่จะไปไหนหรือขอรับ” ก้านเงยหน้าขึ้นมาจากด้านล่างด้วยความสงสัย

              “ฉันไปเรือนรับรองที่ท้ายจวน อยากจะไปถามข่าวคณะอิงฟ้าหน่อย”

              “กระผมคงปล่อยแม่ไปไม่ได้ดอกขอรับ ท่านพันอินสั่งไว้ แต่กระผมได้ยินมาว่าคณะอิงฟ้าเก็บของไปแต่รุ่งสางแล้วขอรับไ

              “งั้นเหรอ? แหงล่ะ อยู่ได้ก็แปลก...เฮ้อ! แม่อิ่มเลยต้องซวยเพราะฉันเลย” เพียงออพึมพำหน้าเศร้าอย่างสุดเซ็ง กำลังจะหย่อนก้นลงนั่งที่หัวบันได พอดีกับเห็นพันอินกลับมาเสียก่อน โดยมีบุญลือตามมาข้างๆ ทั้งคู่ไม่ได้มีสีหน้าเคร่งเครียดแต่อย่างใด ชายหนุ่มขึ้นบันไดมาหา

              “เป็นยังไงบ้างคะ ท่านเจ้าเมืองเอาเรื่องหรือเปล่า” เธอถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น ความกังวลใจส่งผ่านออกมาทางดวงตากลมใส ชายหนุ่มจึงคลี่ยิ้มบางๆ

              “เหตุใดท่านเจ้าเมืองต้องเอาเรื่องข้าด้วยเล่า ก็ข้ามิได้ทำอะไรผิด” พันอินว่า ก่อนเดินนำกลับไปนั่งที่หอกลาง ชายหนุ่มนั่งลงบนฟูกรองนั่งด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เพียงออนั่งลงตามและลอบถอนใจอย่างโล่งอก

              “ดีแล้วค่ะ! ฉันกลัวว่าคุณจะเดือดร้อนเพราะฉันอีกคนซะอีก”

              “แล้วนี่แม่เพียงออจะทำอย่างไรต่อไป” ชายหนุ่มเอ่ยถามเสียงทุ้ม

              “เกิดเรื่องแบบนี้แล้ว ฉันคงอยู่ที่นี่ไม่ได้”

              “แล้วแม่จะไปที่ใด”

              “ก็ยังไม่รู้เหมือนกันค่ะ” เพียงออส่ายหน้าอย่างกลัดกลุ้ม “ฉันอยากกลับบ้าน แต่กลับไม่ได้”

              “บ้านแม่อยู่ที่ใด ให้ข้าไปส่งดีหรือไม่” พันอินเสนออย่างหวังดี มองใบหน้านวลที่ดูเศร้าๆ เมื่อเอ่ยถึงบ้าน

              “ขอบคุณนะค่ะ แต่คุณไปส่งฉันไม่ได้หรอก บ้านฉันอยู่ไกลมาก ไกลของไกลโพ้น ฉันมาที่นี่ได้ไงยังไม่รู้เลย”

              “จะไกลแค่ไหนกันเชียว ถึงจะไกลโพ้นมากแค่ไหน แต่หามีหนแห่งใดที่ท่านพันอินของข้าไปไม่ถึง” บุญลือแทรกขึ้นมา “ขนาดเมืองจีนที่ว่าไกลนักหนา ท่านพันอินของข้ายังไปมาแล้ว”

              “แต่ฉันรับรองว่า บ้านของฉันอยู่ไกลจนคุณไม่สามารถไปถึงได้หรอก”

              พันอินกับสินมองหน้ากันด้วยความฉงนระคนสงสัย

              “ถ้าเช่นนั้น แม่ไปอยู่กับข้าเสียก่อนดีไหม” พันอินเอ่ยอย่างมีความหวัง เพราะใจเขาก็อยากให้เธอมาอยู่ด้วย อยากดูแลปกป้องเธอ อยากให้เธออยู่ในสายตาเขา รู้สึกถูกตาต้องใจเธอเป็นอย่างมาก

              “ขอบคุณค่ะ! สำหรับความหวังดี แต่ฉันว่าอย่าดีกว่า ฉันไม่อยากให้คุณเดือดร้อนมากไปกว่านี้ แค่เราเจอกันไม่เท่าไหร่ ฉันก็สร้างปัญหาให้คุณแล้ว ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันดูแลตัวเองได้ ฉันจะหาทางกลับบ้านของฉัน”

              “แต่ข้ามิเห็นสม หากแม่นางจะร่อนเร่แต่เพียงลำพัง ยิ่งเป็นหญิงตัวคนเดียวด้วยแล้ว ดีร้ายจะถูกพวกคนพาลรังแกเอาได้ แล้วที่สำคัญขุนเดชยังมิวางมือจากแม่ เกิดเพลี่ยงพล้ำขึ้นมาถูกมันฉุดไปทำเมียอีก มิแย่ดอกหรือ ไปอยู่กับข้าเถอะนะแม่ ข้าจะดูแลปกป้องแม่เอง” พันอินบอกด้วยสีหน้าจริงจัง น้ำเสียงมาดมั่นชวนอุ่นใจ

              “อืม..ไม่รู้สินะ” เพียงออลังเลไม่แน่ใจ มันก็จริงอย่างที่พันอินว่า ครั้งนี้เขาช่วยเธอไว้ถึงรอดเงื้อมมือขุนเดชมาได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะรอดเสมอไป การที่จะใช้ชีวิตตัวคนเดียวที่นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ถ้าไม่มีญาติพี่น้องรับรองได้ว่าเธอลำบากแน่ ถ้าเป็นยุคปัจจุบันเธอไม่กลัวเลย เพราะเธอมั่นใจว่าสามารถทำงานหาเลี้ยงตัวเองได้ แต่มันไม่ใช่สำหรับที่นี่ โดยเฉพาะมีแต่คนป่าเถื่อนที่เอะอะก็ใช้กำลังท่าเดียว บางทีถ้ามีบารมีพันอินคุ้มหัวก็อาจจะดีกว่า อย่างน้อยก็จนกว่าจะหาวิธีกลับบ้านได้

              “นะแม่นาง ไปอยู่กับข้าเถอะนะ”

              “ก็ได้ค่ะ! ขอบคุณจากใจจริงฉันเลย” เพียงออตัดสินใจตอบรับความเอื้อเฟื้อนั้นไว้ พันอินสยายยิ้มหน้าระรื่นดีใจอย่างสุดแสน

              “แต่ว่า...แม่..ต้องอยู่ในฐานะเมียของข้า เพราะใครๆ ก็เข้าใจเช่นนั้นกัน แม่ไม่รังเกียจใช่ไหม”

              เพียงออนิ่วหน้าอย่างครุ่นคิด ก็แค่เมียในนาม คงไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้แล้วล่ะมั้ง ยามนี้เธอเหมือนนกน้อยไร้ที่พึ่ง เมื่อมีมือยื่นมาให้ความช่วยเหลือจะปฏิเสธก็กระไรอยู่ เธอพยักหน้ารับ

              “เอาล่ะ เมื่อการเป็นดั่งนี้แล้ว ข้าเห็นควรว่าเราเร่งกลับอโยธากันเถิด แม้ท่านเจ้าเมืองจะอยู่ข้างเรา แต่ถิ่นแถบนี้เป็นถิ่นของขุนเดชทั้งสิ้น หากอยู่นานอาจจะไม่ปลอดภัยกับแม่เพียงออ อ้ายบุญลือ เจ้าไปบอกพวกไพร่ ให้พวกมันเตรียมเก็บข้าวเก็บของ แลเสบียงเอาไว้ เราจะออกเดินทางกลับกันวันรุ่งพรุ่งนี้ “ พันอินสั่งเสียงขรึม สินพยักหน้ารับ ก่อนจะลงเรือนไป

     

              ในยามสายของอีกวัน หลังจากที่พันอินไปบอกลาท่านเจ้าเมืองกลับมา ข้าวของที่พวกข้าทาสเตรียมไว้เสร็จสรรพพร้อมสำหรับการเดินทาง เพียงออเปลี่ยนจากนุ่งผ้าถุง มานุ่งโจงกระเบนแทนมันน่าจะสะดวกกับการเดินทางมากกว่า เธอสวมเสื้อครุยแขนยาว รวบผมหางม้าเพื่อความคล่องตัว กว่าขบวนเดินทางจะออกจากเมืองก็บ่ายกว่าๆ แล้ว นอกจากพันอิน บุญลือและก้าน ยังมีทาสหนุ่มอีกนับสิบ รวมถึงสาวใช้อีกสองสามคน

              “เจ้าขี่ม้าเป็นรึไม่” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถาม ระหว่างที่ชายหนุ่มลูบแผงคอม้าหนุ่มเบาๆ

              “เคยหัดอยู่พักหนึ่งค่ะ ตอนไปอยุธยา แต่นานแล้วละ” เพียงออตอบเสียงใส สายตาจับจ้องอยู่ที่ม้าหนุ่มสีน้ำตาลแก่ตัวหนึ่งอย่างสนใจใคร่รู้ ขนหางมันสะบัดไปมา เป็นม้าที่รูปร่างสมบูรณ์ ไม่อ้วนไม่ผอมจนเกินไป เหมาะแก่การเดินทางระยะไกล

              “อยุธยา เจ้าหมายคงถึงอโยธาใช่หรือไม่”

              “ก็ประมาณนั้นน่ะค่ะ แต่เป็นอโยธาเมื่อเกือบสี่ร้อยปีข้างหน้านะค่ะ” เพียงออว่าอย่างนึกขำ อโยธยาที่เคยไป มันเหลือเพียงซากปรักหักพังทิ้งไว้ให้อนุชนรุ่นหลังได้ดูต่างหน้าเท่านั้น ตอนนี้เธอกลับมาอยู่ในยุคที่มันยังรุ่งเรืองอยู่ ถ้านับปีแล้ว ตอนนี้น่าจะยังไม่เสียกรุงครั้งที่สอง นึกสงสัยว่ามันจะงดงามแค่ไหนนะ

              “สี่ร้อยปี” พันอินทวนคำด้วยงุนงงสุดแสน

              “เรื่องนั้น ช่างมันเถอะค่ะ พูดไปคุณก็ไม่เชื่อหรอก” หญิงสาวพูดพลางปนขำ มองใบหน้าคมเข้มที่มีแววสงสัยเหลือประมาณ ถึงเธออธิบายไป เขาก็คงไม่เข้าใจอยู่ดี ดีไม่ดีอาจคิดว่าเธอบ้าก็เป็นได้ เรื่องแบบนี้ถ้าไม่เจอกับตัว มันคงยากที่จะเชื่อ ถ้าเป็นเธอเมื่อก่อน ถ้ามีใครมาบอกว่าย้อนเวลากลับไปอดีตได้ หัวเด็ดตีนขาดยังไงเธอก็ไม่เชื่อ แต่ก็นั่นแหล่ะ ยังมีอีกหลายอย่างที่เธอไม่รู้ และไม่เคยเข้าใจ โลกนี้ยังมีอะไรที่ซับซ้อนเยอะแยะมากมาย

              บ่ายแก่ๆ ตะวันคล้อยต่ำลงดิน พวกเธอเดินทางมาได้ไกลโขพอสมควร เสียงควบม้าดังกุบกับไปทั่วบริเวณ ขบวนยาวเหยียดลัดเลาะตามหุบเขา โคหนุ่มสี่ตัวทำหน้าที่ลากเกวียนเต็มไปด้วยสัมภาระและเสบียง มีทั้งข้าวสารอาหารแห้งที่ตุนไว้เพื่อการเดินทาง ซึ่งอาจกินเวลานานนับเดือน เนื่องจากขากลับมันเบากว่าขามา การเดินทางจึงไม่ขลุกขลักเท่าใดนัก สองข้างทางเป็นป่าโปร่งบ้างทึบบ้างสลับกันไป แดดไม่ค่อยแรง ฟ้าหลัวหน่อยๆ ทำให้การเดินทางค่อนข้างเป็นไปได้อย่างรวดเร็วและราบรื่น แต่สำหรับเพียงออมันก็ยังช้าอยู่ดี การเดินทางสมัยนี้ไปไหนแต่ล่ะทีใช้เวลาเป็นวันๆ หรืออาจเป็นเดือน ต่างจากสมัยใหม่ ที่แค่ไม่กี่อึดใจก็ถึงที่หมาย พวกเธอหยุดพักเป็นระยะ จวบจนใกล้เย็นขบวนจึงหยุดลง กระโจมแบบชั่วคราวถูกสร้างขึ้นมาลวกๆ แบ่งออกเป็นสัดส่วน พร้อมกับพวกบ่าวไพร่พากันหุงหาอาหารมือเป็นระวิง

    หลังจากที่เพียงออได้อาบน้ำชำระร่างกายที่ลำธารใกล้ๆ รู้สึกสดชื่นขึ้นมากเลยที่เดียว เธอมองเห็นภูเขาอยู่ไกลๆ คิดว่าถ้าเดินย้อนไปอีกหน่อยอาจจะเจอน้ำตกก็เป็นได้ ไม่รู้ว่าแถวนี้ในปัจจุบันมันคือที่ไหนกันนะ สายลมเอื่อยๆ ในยามเย็นพัดมา อากาศเย็นสบายเอามากๆ มองเห็นดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า หญิงสาวเดินไปนั่งที่เนินเตี้ยๆ อยู่ไม่ไกลจากที่พัก เฝ้ามองดวงอาทิตย์ที่ค่อยๆ เคลื่อนต่ำลงเรื่อยๆ แสงสุดท้ายกำลังจะหมดลง หมดไปอีกวันสำหรับที่นี่ วันเวลาช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้าเหลือเกิน แต่ล่ะวินาทีมันช่างยาวนาน เธอดึงเอาสร้อยที่สวมอยู่ที่คอออกมาดู เป็นสมบัติชิ้นเดียวที่มีติดตัวอยู่ ณ เวลานี้ กดเปิดออก มองดูฟันเฟืองข้างใน มันหมุนวนอยู่ตลอดเวลา นึกสงสัยว่ามันคืออะไรนะ เธอพยายามสำรวจดู ไม่รู้ว่ามันทำงานยังไง คล้ายกลไกอะไรซักอย่าง เสียงดังสวบสาบดังลอยมาจากด้านหลัง เสียงย่ำเท้าหนักๆ หญิงสาวเหลียวกลับไปมอง พันอินส่งยิ้มมาให้ ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ

    “ข้าตามหาแม่แทบแย่ ที่แท้มานั่งชมอาทิตย์อัสดงอยู่นี่เอง”

    “ฉันชอบดูพระอาทิตย์ตกนะค่ะ เฝ้ามองแสงสุดท้ายของวันที่หมดไป พร้อมความมืดมิดเข้ามาแทนที่ แม้มันจะรู้สึกหดหู่แต่ฉันก็ชอบนะ” รอยยิ้มจางๆ ฉาบอยู่บนใบหน้านวล ดวงตาคู่หวานปนเศร้านิดๆ ถอนหายใจยาวๆ พันอินทอดสายตามองหญิงสาว แววตาคู่คมอ่อนโยนลงทุกครั้งที่มองเธอ ไม่ว่าจะมองเธอซักกี่ครั้งก็ไม่เคยรู้สึกเบื่อ

    “ข้าเห็นแม่เพียงออถอนใจบ่อยเหลือเกิน มีเรื่องอันใดให้กลัดกลุ้ม บอกกล่าวเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่”

    “ฉัน..คิดถึงบ้าน” ดวงหน้าสวยหวานหม่นเหม่อพลอยทำให้คนมองอดใจห่อเหี่ยวตามไปด้วยไม่ได้ “ไม่รู้ว่าคนที่นั่นจะเป็นยังไงกันบ้าง” เพียงออนึกถึงพ่อแม่บังเกิดเกล้า ก่อนมาก็ไม่ได้บอกลาเลย หากว่าเธอต้องติดอยู่ที่นี่ไปชั่วชีวิต ความคิดนี้มันทำให้ใจดวงน้อยเศร้าหนักเข้าไปอีก แต่พันอินกลับคิดว่าเธอห่วงหาชายคนรัก เขาคิดว่าเธอมีคนรักอยู่แล้ว สายตาดูเศร้าๆ ของเธอมันทำให้เขาคิดเองเออเองว่า เธอคงคิดถึงใครคนนั้นที่อยู่ห่างไกลใจจะขาด

    “คนที่เจ้าว่า คงจะสำคัญมากใช่ไหม”

    “สำคัญมากที่สุดในชีวิตเลยล่ะ ฉันคิดถึงพวกเขามาก แต่ไม่รู้จะกลับไปหาได้ยังไง เมื่อเราอยู่ห่างไกลกันขนาดนี้ โลกใบเดียวกัน แต่ต่างเวลา เวลาตัวเดียวเท่านั้นที่เป็นอุปสรรคคั่นกลาง”

    “ขออภัยที่ต้องถาม แต่ชะแม่เป็นคนเมืองใดกันรือ บอกตามตรงนะว่าข้ามิเคยพบเห็นผู้ใดเป็นดั่งเช่นแม่นาง แม้จะสนทนาด้วยภาษาที่ฟังเข้าใจ แต่มันก็แปร่งหูชอบกล”

    เพียงออหยุดคิด มองเข้าไปในตาคู่คมสีเข้มอย่างใคร่ครวญ คิ้วหนาขมวดจรดอย่างสงสัย ก่อนที่เธอจะพูดขึ้นว่า

    “คุณเชื่อเรื่องย้อนเวลาไหม...ถ้าฉันบอกว่า...ฉันย้อนเวลามาจากอนาคต หลังจากนี้อีกสี่ร้อยปีข้างหน้า คุณจะเชื่อไหม”

    “แม่เพียงออนี่เป็นคนมีอารมณ์ขันเนาะ” พันอินว่าอย่างขำๆ คิดว่าเธอล้อเล่น

    “คิดอยู่แล้วว่าคุณต้องไม่เชื่อ คงคิดว่าฉันบ้าล่ะสิ!

    “หามิได้แม่ ข้ามิได้มีเจตนาดูหมิ่นแม่นาง หากแต่ว่าการที่แม่เพียงออกล่าวมานั้น มันจะเป็นไปได้หรือ ต่อให้มีเวทมนต์ก็ไม่แน่ว่าจะทำได้”

    “ได้ไม่ได้ ฉันก็นั่งอยู่นี่แล้วไง ฉันมาจากปีพุทธศักราช 2558 ฉันไม่ใช่คนที่นี่ ฉันเป็นคนในโลกอนาคต” บอกออกไปอย่างอัดอั้น พันอินมีสีหน้าสับสนอย่างหนัก มองเธออย่างเคลือบแคลง ดูจากท่าทางเธอแล้วไม่เหมือนคนพูดเล่น แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังเชื่อยากอยู่

    “ฉันรู้ว่าคุณอาจจะไม่เชื่อ...แต่ก็นั่นแหล่ะ ถึงตอนนี้ฉันก็ยังหาเหตุผลไม่ได้ ว่าฉันหลุดมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน แล้วฉันจะกลับบ้านได้ไหมยังไม่รู้เลย” เพียงออนั่งกอดเข่าอย่างกลัดกลุ้ม

    “แม่เพียงออไม่ต้องห่วง หากเป็นจริงดั่งคำแม่ว่า ข้าจักต้องหาวิธีส่งแม่กลับไปให้ได้” แม้ใจจะไม่ค่อยเชื่อ แต่เห็นเธอไม่สบายใจ เขาก็อยากจะปลอบโยนให้เธอหายเศร้า หญิงสาวหันมาส่งยิ้มบางๆ ให้อย่างซาบซึ้ง

    “คุณนี่เป็นคนดีจังเลยนะค่ะ ขอบคุณจริงๆ เพราะได้คุณฉันถึงได้รอดมาจนถึงตอนนี้ ไม่รู้ว่าตอบแทนคุณยังไงดี”

    “หามิได้ ข้าทำเพราะเต็มใจ มิต้องการสิ่งใดตอบแทน” พันอินว่า ใช่ว่าเขาไม่อยากได้อะไร แต่สิ่งที่เขาอยากได้ เธอก็คงไม่ให้เขาหรอก แอบเจ็บในใจลึกๆ ผิดหวังที่เธอดันมีเจ้าของจับจองหัวใจเสียแล้ว คงได้แต่เก็บความรู้สึกเอาไว้แบบเงียบๆ พันอินหนอพันอิน จะหลงรักสาวทั้งทีแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มเลย ไม่น่าเชื่อเลยว่าคนอย่างเขาที่ตะเวนมาทั่วทุกสารทิศ ย่ำมาเจ็ดย่านน้ำ กลับต้องมาพ่ายแพ้ให้กับสาวงาม

    เกิดความเงียบไปชั่วอึดใจ ต่างคนต่างตกอยู่ในห้วงความคิดของตน แสงสุดท้ายลับขอบฟ้าไปแล้ว เสียงหรีดหริ่งเรไรดังระงม สายลมโชยเอื่อย บรรยากาศยามค่ำคืนในคืนที่ท้องฟ้าพร่างพราวไปด้วยแสงดาว ที่แข่งกันทอแสงอย่างไม่ยอมน้อยหน้ากัน ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลย จากนั้นไม่นานทั้งคู่ก็กลับมาที่พัก เพราะใครๆ ต่างเข้าใจว่าเธอเป็นเมียพันอิน ทั้งสองเลยต้องนอนร่วมกระโจมเดียวกัน ชายหนุ่มให้เหตุผลว่า ปล่อยให้คนอื่นคิดแบบนี้น่ะดีแล้ว จะได้ไม่มีใครยุ่งกับเธอ ซึ่งเพียงออก็เลิกกลัวเขาแล้ว เพราะหากเขาคิดจะทำอะไรเธอ คงทำไปนานแล้วไม่รอถึงป่านนี้หรอก ในกระโจมมีแคร่ไม้ยกสูงจากพื้นเล็กน้อย ปูด้วยฟูกบางๆ มุ้งกึ่งโปร่งแสงถูกกางไว้ให้เสร็จสรรพ ที่นอนอุ่นนุ่มรอท่า หลังจากที่ทรหดอดทนเดินทางกันมาครึ่งค่อนวัน เพียงออหลับแทบจะในทันที ในขณะที่พันอินพลิกไปมาอยู่หลายตลบก่อนจะผล็อยตามไปอีกคน

    ยามดึกสงัด ในขณะที่ผู้คนพากันหลับพักผ่อนเอาแรง แสงสว่างจากจันทร์เสี้ยว พอให้เห็นบรรยากาศมืดสลัว ในค่ายพักแรม ข้าทาสบริวารที่นอนเรียงรายห่างจากกระโจมผู้เป็นนาย มีอยู่ราวๆ สองสามคนทำหน้าที่อยู่โยงเฝ้ายามผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเป็นระยะ แสงวูบวาบจากกองไฟส่องต้องไปทั่วบริเวณ ถัดออกไปอีกไม่ไกล เกวียนสามเล่มอัดแน่นไปด้วยเสบียงที่กักตุนเอาไว้ รวมถึงสัมภาระของใช้ที่หาซื้อกลับมาจากเมืองฝางฯ ชายร่างกำยำ ผิวเนื้อกร้านลมแบบคนทำงานหนัก กำลังทำหน้าที่เฝ้ายามอย่างขะมักเขม้น มือถือคบเพลิง เมื่อเดินตรวจตราไปรอบๆ เสร็จจากนั้นเขาก็นั่งลงบนทูบ ไม้แคร่ที่เป็นฐานเอาไว้รองรับตัวเกวียน ชันเข่าขึ้นข้างหนึ่ง พลันได้ยินเสียงสวบสาบดังอยู่หลังพุ่มไม้ เพ่งสายตามองอยู่เป็นนาน ก่อนจะตัดสินใจเดินไปดู เขาผงะเล็กน้อยเมื่อเห็นเงาตะคุ่มๆ อยู่ในความมืด

    “เฮ้ย! ผู้ใดกันวะนั่น ออกมาเสียดีๆ” เขาเอ่ยถามออกไปเสียงเข้ม กวัดแกว่งคบไฟในมือเพื่อให้เห็นหน้าเจ้าของเงาได้ชัด อีกมือถือดาบขนาดหอกศอกอย่างระแวดระวัง ชี้มันไปที่เจ้าของเงา ทว่าไม่มีเสียงตอบรับ จากนั้นเขาก็รับรู้ถึงของแข็งที่บรรจงฟาดลงบนท้ายทอย ก่อนที่สติจะดับวูบลงไปในบัดดล

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×