ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พรหมลิขิตรักสองภพ

    ลำดับตอนที่ #10 : ตอนที่ 10

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 781
      9
      20 ส.ค. 58

     

    CR.SQW

     

     

    ภายในกระโจม พันอินกำลังหลับสนิท ขณะที่เพียงออซุกอยู่ในผ้าแพรผืนบาง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้น ทำให้ทั้งคู่ตื่นมาภวังค์ พันอินเดินออกไปดู เห็นบุญลือยืนอยู่หน้ากระโจมด้วยสีหน้าท่าทางที่ดูตื่นๆ

     

    “มีเหตุอันใดหรือ แล้วเสียงพวกไพร่มันเอะอะโวยวายทำไมกัน” พันอินขมวดคิ้วมองด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย

     

    “มีคนมาลอบเผาเสบียงของเราขอรับ” บุญลือรีบรายงานถึงเหตุผลที่เขาต้องเสียมารยาทปลุกผู้เป็นนายในกลางดึกทันควัน

     

    “เผาเสบียง แล้วอ้ายคนที่อยู่โยงเฝ้ายามเล่า”

     

    “มันถูกตีหัวจนสลบเหมือดอยู่ที่ชายป่าฝั่งกระโน้นขอรับ”

     

    พันอินรีบกลับเข้ามาหยิบดาบคู่ใจอย่างเร่งรีบ เพียงออลุกจากเตียงมองพันอินที่ลุกลี้ลุกลนด้วยความฉงน

     

    “เกิดอะไรขึ้นเหรอค่ะ”

     

    “มีเหตุนิดหน่อย ข้าจำต้องไปดู แม่เพียงออรอข้าอยู่ในกระโจมนี่แหล่ะ ประเดี๋ยวข้าจะกลับมา” พันอินสั่งเสียงขรึม ก่อนจะรีบร้อนออกไป

     

    เพลิงกำลังโหมกระพือลุกไหม้อย่างน่ากลัว เกวียนสามเล่มถูกไฟเผาวอดไปแล้วหนึ่ง ยังเหลืออีกสองที่พวกข้าทาสกำลังเร่งมือดับกันอย่างจ้าล่ะหวั่น วิ่งกันวุ่น

     

    “มันผู้ใดกันกระทำการอุกอาจเยี่ยงนี้” พันอินแค่นเสียงคำรามอย่างโกรธจัด มองเกวียนเล่มที่สองที่กำลังถูกไฟลามเลียจนเกือบจะเหลือแต่ตอตะโก

     

    “กระผมหาทราบไม่ขอรับ อาจเป็นพวกโจรป่ากระมัง ที่ลอบมาเผาเสบียงเรา”

     

    “หากเป็นโจรป่าจริง เหตุไฉนมันจึงไม่เอาเสบียงไป กลับเผาเสียวอดวายเช่นนี้” พันอินว่าอย่างนึกสงสัย ก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนจากงวยงงเป็นตื่นตกใจ เมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ “แม่เพียงออ!” ชายหนุ่มพึมพำออกมา ก่อนจะวิ่งกลับไปที่กระโจมด้วยความร้อนใจ

     

     

     

    บริเวณหน้ากระโจม เพียงออมายืนชะเง้อคอมองด้วยความอย่างรู้อยากเห็น เห็นกองเพลิงที่กำลังโหมกระพืออย่างหนัก ตั้งใจว่าจะเดินไปดูซักหน่อย จู่ๆ ก็มือหนาหยาบของใครบางคนยื่นมาตะปบปากเธอไม่ให้ส่งเสียง ก่อนจะลากเธอเข้าป่าไป

     

    “อื้อๆ...” เพียงออพยายามส่งเสียงอย่างยากลำบาก สองมือคว้าสะเปะสะปะ พยายามต่อสู้ดิ้นรนกระปลกกระเปลี้ยอย่างไร้ผล

     

              พันอินวิ่งกระหืดกระหอบกลับมาที่กระโจม พุ่งพรวดเข้าไป พบกับความว่างเปล่า เตียงนอนที่ไร้เงาคนมันทำเขาใจเสีย

     

              “มีอะไรหรือขอรับ” บุญลือที่วิ่งตามอย่างงงๆ อยู่ดีๆ นายหนุ่มก็วิ่งหน้าตั้งกลับมา

     

              “แม่เพียงออหายไป”

     

              “หายไป”

     

              “ข้าคิดว่าไอ้พวกที่ลอบเผาเสบียงเราเป็นแน่ มันจงใจล่อพวกเราออกไป เพื่อสบโอกาสที่มันจะได้ลอบเข้ามาชิงตัวแม่เพียงออไป”

     

              “การเป็นเช่นนี้ มิต้องเดาให้ยุ่งยากว่าฝีมือใคร เป็นขุนเดชแน่ขอรับ”

     

              “เจ้าไปตามพวกไพร่มา ไอ้เสบียงพวกนั่นช่างหัวมัน” พันอินบอกเสียงเข้มขรึม

     

              ภายในป่า เพียงออถูกลากโดยที่มือหยาบหนาอุดปากแน่นจนเธอแทบจะหายใจไม่ออกอยู่รอมร่อ เพราะบรรยากาศที่ค่อนข้างมืดทำให้เธอไม่เห็นหน้าคนที่พาเธอมา กลิ่นเหงื่อคละคลุ้งชวนคลื่นเหียนเป็นอย่างมาก จนเมื่อคนๆ นั้นพาเธอตรงไปยังกลุ่มคนที่รออยู่ก่อนแล้ว เป็นชายฉกรรจ์หน้าตาน่ากลัวราวหกเจ็ดคน ในมือถือคบเพลิง หน้าตาดุดัน ไม่สวมเสื้อ เนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยสัก นุ่งโจงกระเบนมีผ้าขาวม้าคาดเอว มีคนหนึ่งที่มีปืนนกสับแบบโบราณเหน็บอยู่ที่เอวไว้อย่างหมิ่นเหม่ เพียงออจำเขาได้ทันที เป็นชายคนที่เคยลวนลามเธอที่ตลาด ไม่นึกอยากรู้ว่าพวกนี้เป็นใครกัน รู้แค่ว่าพวกนี้ไม่หวังดีแน่ที่พาเธอมาแบบนี้

     

              “เรียบร้อยดีรึไม่” ชายคนที่จับเธอมาถามเสียงเข้ม

     

              “ท่านขุนสั่งไว้ว่า หากพันอินมันตามมา ให้ฆ่ามันทิ้งเสีย”

     

              เพียงออยืนฟังกลุ่มชายแปลกหน้าพูดคุยกันด้วยความหวาดกลัวสุดขีด ไอ้พวกนี้จับตัวเธอเพื่อล่อให้พันอินตามมา แล้วคิดจะฆ่าเขาทิ้ง ฟังแค่นี้เธอก็พอจะเดาได้ว่าเป็นฝีมือใคร ขุนที่พวกนี้กล่าวถึงคงจะไม่พ้นขุนเดชเป็นแน่ เพราะเรื่องแค่นี้ถึงกับจะฆ่าจะแกงกันเลยเหรอเนี่ย ชายคนที่เธอคุ้นหน้า ย่างเท้าเข้ามาหา สะแหยะยิ้มที่แลดูน่าเกลียดเป็นอย่างยิ่งมาให้

     

              “แม่จำข้าได้รึไม่”

     

              “ขุนเดชจ้างพวกแกมาใช่ไหม” เธอถามออกไปด้วยความหวาดหวั่น พยายามตั้งสติไม่ให้กลัวจนเกิน คิดหาทางหนีทีไล่ก่อนที่พันอินจะตามมา เพราะหากเป็นอย่างนั้น เขาอาจจะโดนรุม ถึงพันอินจะมีคนมีฝีมือ แต่เธอรู้ได้ตามสันชาติญาณว่าคนพวกนี้ ไม่ใช่โจรกระจอกๆ ธรรมดาๆ

     

              “จะใครจ้างมาก็ช่างหาได้สำคัญไม่ ที่แน่ๆ อ้ายพันอินผัวเจ้ามันมีศัตรูอยู่มากโข ใครก็อยากให้มันตาย ข้าคนหนึ่งที่ใคร่เห็นมันมอดม้วยมรนาคาตีน ชอบอวดบารมีข่มผู้อื่นไปทั่ว คนอย่างมันต้องเจอเยี่ยงนี้ถึงจะสาสม” ชายคนนั้นว่าอย่างน่าหมั่นไส้ แถมยังแค่นเสียงหัวเราะ ใบหน้าเหลี่ยมๆ มันช่างกวนอวัยวะส่วนล่างเสียนี่กระไร เขายังเจ็บใจที่พันอินฝากรอยพยาบาทไว้บนอกอยู่ไม่หาย ช่างประจวบเหมาะสบโอกาสได้เอาคืน

     

              เพียงออมองอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ป่าเถื่อนสิ้นดีเลย คนพวกนี้มันอันธพาลดีๆ นี่เอง เธอได้ยินเสียงพันอินร้องเรียกอยู่ไกลๆ จังหวะนั้นชายคนดังกล่าวหันไปมองตามเสียง เพียงออถือโอกาสตอนเขาเผลอ แย่งปืนนักสับที่เหน็บอยู่เอวเขามาได้อย่างรวดเร็ว จ่อมันใส่กลุ่มคนพวกนั้น ทำเอาพวกนั้นผงะไปเป็นแถบๆ คิดไม่ถึงว่าหญิงสาวร่างบางอยางเธอจะกล้าทำแบบนี้ เพียงออพยายามอย่างหนักที่จะไม่ให้มือสั่น

     

              “ถอยไปนะ ไม่งั้นฉันยิง” เธอขู่เสียงแข็ง

     

              “ลูกปืนมีเพียงนัดเดียว มีรึจะสู้เราหมดนี่ได้” ชายคนดังกล่าวว่า แต่ในใจแอบหวั่นอยู่บ้าง ปืนกระบอกนี้เขาได้มาจากขุนเดชมาหมาดๆ มิหนำซ้ำมันยังบรรจุกระสุน ขึ้นลำไว้พร้อมยิง หากเธอเหนี่ยวไกได้ไปเฝ้ายมบาลเป็นแน่แท้

     

              “มันก็อาจใช่ ที่ปืนมีแค่นัดเดียว แต่ใครล่ะที่อยากได้รับเกียรตินี้เป็นคนแรก” เพียงออส่ายปากกระบอกปืนไปทีล่ะคน และเธอรู้ว่ามันมีความหวาดกลัวซ่อนอยู่ในแววตา แม้คนพวกนี้จะดูน่ากลัว แต่ลึกๆ ก็เป็นแค่พวกขี้ขลาดตาขาวดีๆ นี่เอง ดูจากสีหน้าท่าทางที่ต่างคนต่างก็ไม่อยากจะประเดิมกระสุนนัดนี้ มันยิ่งทำให้เธอได้ใจ แม้เธอจะไม่ใช่คนเก่งกาจอะไร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไอ้ปืนนี้มันใช้การยังไง แต่เพียงแค่ขู่พวกนี้ก็หัวหดกันแล้ว

     

              เสียงพันอินใกล้เขามาเรื่อยๆ เห็นทีว่าถ้ารั้งรอต่อไปอาจจะไม่ทันการ ดีร้ายแผนที่วางกันมาเสียดิบดีจะล้มไม่เป็นท่า ชายคนนั้นปราดเข้าไปจะแย่งปืนคืน เพราะคิดว่าเธอคงไม่กล้ายิง แต่ที่ไหนได้ พอเขาขยับ พลันมีเสียงดังปัง เพียงออสะดุ้งเฮือก เพราะความตกใจทำให้เธอเหนี่ยวไกโดยไม่รู้ตัว กระสุนพุ่งเข้าไปบริเวณหัวไหล่ ทำเอาชายคนนั้นหงายหลัง ทันใดนั้นเองพอสิ้นเสียงปืน พวกพันอินก็ตามมาทัน แผนที่วางกันไว้เป็นอย่างดิบดีถูกทิ้งไปในบัดดล จากที่ตั้งใจว่าจะซุ่มโจมตีพันอิน ตอนนี้กลายเป็นว่า ปะทะกันอย่างอุตลุต เสียงมีดดาบกระทบกันอย่างน่าหวาดเสียว พันอินที่คิดว่าจะจัดการได้ง่ายๆ กลับมีฝีไม้ลายมือมากกว่าที่คิด เขาตวัดดาบเพียงแค่ไม่กี่ทีก็สามารถจัดการพวกนั้นล้มไปเป็นแถบๆ บวกกับบุญลือที่นำคนมาสมทบ

     

              เพียงออที่ตกใจไปชั่วขณะ เกิดมาเพิ่งเคยยิงคน ทำเอาเธอนิ่งอึ้งด้วยความกลัว ตายรึเปล่าหว่า? เธอหันไปหาพันอินที่สู้อย่างเอาเป็นเอาตายทำให้ไม่เห็นว่าชายคนที่โดนเธอยิงขยับตัวลุกขึ้น เขากำดาบในมือแน่น ก่อนจะแทงใส่เธอ พันอินที่เห็นเข้าซะก่อน ใช้ฝ่ามือรับดาบแทน เพียงออหันขวับกลับไปตามสันชาติญาณ อีกแค่นิดเดียวเท่านั้นปลายแหลมๆ ของมันก็จะถึงคอเธอแล้ว เพราะพันอินหันมาช่วยเธอทำให้เขาโดนฟันเข้าที่กลางอก เพียงออกรีดร้องเสียงดังลั่น

     

              “ พันอิน!

     

              พันอินสวนกลับจนชวยคนนั้นล้มลงสิ้นท่า ส่วนไอ้คนที่หมายจะปลิดชีพเธอก็หนีหัวซุกหัวซุนเข้าป่าไป เหตุการณ์สงบลงในไม่กี่นาที แต่ทว่าพันอินที่โดนทั้งมือ ทั้งอก เลือดสีแดงสดไหลออกมาจากรอยแผลทีเป็นทางอย่างน่ากลัว เขาถึงกับหน้ามืดไปชั่วขณะเพราะเสียเลือดมาก สินกับก้านช่วยกันหามชายหนุ่มกลับค่าย โดยเพียงออตามไปด้วยความเป็นห่วง


                                   

     

              ในกระโจม เธอนั่งมองบุญลือทำแผลให้พันอิน เขาสีหน้าไม่สู้ดีนัก แม้แผลมันจะไม่ฉกรรจ์เท่าไหร่ แต่มันก็ทำหญิงสาวใจเสีย มองทาสสาวสองคนช่วยกันบดยาอย่างขะมักเขม้น เธอรอจนพวกนั้นทำแผลเสร็จ จากนั้นจึงพากันออกไปจนหมด

     

              “เจ็บมากไหม” เสียงเล็กเอ่ยถาม ชายหนุ่มคลี่ยิ้มบางๆ รู้สึกดีกับน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยของเธออย่างยิ่ง

     

              “แม่เป็นห่วงข้าด้วยหรือ”

     

              “เป็นห่วงสิ ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ ฉันตกใจแทบแย่แนะ”

     

              พันอินหัวเราะเบาๆ ให้กับใบหน้าหญิงสาว มันงอเง้าแกมตำหนิอยู่ในทีอย่างนึกเอ็นดู ไม่นำพาต่อความเจ็บปวดเลยซักนิดแต่เธอสิกลัวแทบตาย แอบแปลกใจนิดๆ ที่ตัวเองเป็นห่วงเขามากมายขนาดนี้ เธอมองแผงอกที่พันผ้าสีขาวสะอาดแน่น มองมือใหญ่เทอะทะที่มันยังมีเลือดซึมออกมาจากรอยแผลผ่านผ้าขาวบาง เขาเจ็บตัวเพราะเธอแท้ๆ เลย

     

              “ข้ามิเป็นไรดอกแม่ แค่นี้มิได้เศษเสี้ยวทุลี ไม่ถึงตายดอก” เขาเย้าเล่นปนขำ หัวเราะต่ำๆ อยู่ในลำคอ

     

              “ยังจะหัวเราะอีก คุณเจ็บตัวแบบนี้บ่อยเหรอ” คิดถึงเมื่อคราวที่แล้วที่เห็นเขาโดนยิง คิดว่าน่าจะยังไม่หายดี มาเจอแผลใหม่อีก แต่ชายหนุ่มกลับมีสีหน้าแช่มชื่นราวกับไม่รู้สึกรู้สา น่าหมั่นไส้เสียจริง เธอช่วยประคองให้เขานอนลง

     

              “ข้าดีใจเหลือแสนที่แม่เป็นห่วงข้า เจ็บเพียงเท่านี้ถือว่าคุ้มนัก”

     

              “นอนเถอะ อย่าพูดอะไรอีกเลย คุณเสียแรงไปเยอะแล้ว เดี๋ยวฉันจะเฝ้าคุณเอง”

     

    น้ำเสียงอ่อนหวานมันทำให้เขาปลื้มใจ ค่อยๆ หลับลงไปอย่างช้าๆ เพียงออนั่งมองชายหนุ่มที่หลับไปอย่างอ่อนแรง รู้สึกแปลกๆ กับคำพูดของเขา ทำไมเขาถึงยอมเจ็บตัวเพื่อเธอขนาดนี้นะ ลึกๆ มันไม่สบายใจเอาเลย โดยเฉพาะสายตาของเขาที่มองมา มันอ่อนโยนเกินไปสำหรับคนแปลกหน้า ทั้งที่รู้จักกันไม่นานเท่าไหร่ แต่ก็ยอมเสี่ยงเป็นเสี่ยงช่วยเธอครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะอะไรเขาถึงยอมทำแบบนี้ ได้แต่แอบสงสัยอยู่ในใจ

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×