ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รัญจวนรักเพลิงพิศวาส

    ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 5 หนึ่งปีกับความทรงจำ

    • อัปเดตล่าสุด 11 ต.ค. 58







     

    เมลินดานั่งมองชายหนุ่มด้วยอาการหน้างอ ขณะที่อีกคนอีกกำลังทานก๋วยเตี๋ยวอย่างเอร็ดอร่อย แต่เธอนี่สิทานไม่ลงเลย

    “หิวมากหรือคะ ทานจนเกลี้ยงเลย”

    “มาก...ทำงานเหนื่อยมาทั้งวัน ขนาดมื้อเที่ยงผมยังไม่ได้ทานเลย”

    “ทำไมไม่กลับไปทานที่บ้านล่ะคะ” เธอถามออกไปอย่างลืมคิด หากแต่ชายหนุ่มยังคงอมยิ้ม เขาดูผ่อนคลายอย่างน่าหมั่นไส้ไม่รู้สึกรู้สมเลยที่เจ้าของห้องนั่งมองตาขวางแบบนี้

    “ก็ที่บ้านไม่มีใครทำให้ทาน” เขาว่าโดยไม่ได้คิดอะไร

    แต่เมลินดากลับนึกถึงเรื่องเมื่อตอนบ่าย ความเห็นใจที่ค่อยๆ ก่อตัวเป็นรูปร่างขึ้นมาทีละนิด นี่เขาจะรู้ไหมนะว่ามีใครมีบางคนทำเรื่องที่ผิดต่อเขา หากรู้เขาจะเสียใจไหม เธอไม่กล้าที่จะบอกอะไรเขาเพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องในครอบครัวที่คนนอกอย่างเธอไม่ควรเข้าไปยุ่ง เธอควรสนใจตนเองมากกว่า เพราะตอนนี้เธอกำลังอึดอัดเอามากๆ หากเขาไม่ได้เป็นอย่างที่เป็นอยู่เธอคงไม่กระอักกระอ่วนแบบนี้หรอก แต่นี้สถานะของเขามันทำให้เธอลำบากใจ เธอรอจนเขาวางแก้วน้ำลง

    “อิ่มแล้วใช่ไหมคะ”

    “อือ...พอหนังท้องตึงหนังตามันก็หย่อน” ภูรินท์บิดกายไปมาก่อนขยับลุกขึ้น

    “คุณจะกลับแล้วใช่ไหม” เธอเริ่มมีความหวังขึ้นมานึกว่าเขาจะเดินไปที่ประตู

    “อย่าเพิ่งรีบไล่ผมสิ ขอสักงีบก่อนได้ไหม” เขาพูดออกมาแบบหน้ามึน แค่ขึ้นมาโดยไม่รับเชิญเธอก็อึดอัดจะแย่อยู่แล้ว นี่ยังจะนอนอีก ไม่ได้เธอยอมให้สามีคนอื่นมานอนค้างที่ห้องแบบนี้ไม่ได้

    “คุณภูรินท์ ฉันยอมให้คุณขึ้นมาทานอาหารได้เท่านั้น แต่ถ้าคุณจะค้างเห็นทีจะไม่ได้” เมลินดาเขม่นมองอีกคนแสดงให้เขาเห็นว่าจะทำตามอำเภอใจแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด

    “ค้างเหรอ..ตอนแรกผมว่าจะหลับสักงีบ แต่ว่าค้างก็ดีเหมือนกัน ขี้เกียจขับรถกลับบ้าน”

    “ไม่ได้นะคะ ค้างไม่ได้เด็ดขาด”

    “ทำไมจะไม่ได้ ผมเคยค้างกับคุณแล้วนี่ ไม่ใช่แค่ค้างอย่างเดียวด้วย”

    “เรื่องนั้นฉันจำไม่ได้แล้ว” เมลินดาพูดโดยไม่กล้าสบสายตาอันแรงกล้านั้น ไม่รู้ทำไมเธอถึงรู้สึกเหมือนมันส่อประกายแปลกๆ และมันมักทำเธอหวิวไหวได้เพียงแค่จ้องตาเขาเท่านั้น และยิ่งเขาเอาแต่พูดถึงเรื่องผ่านมานาน

    “แต่ผมไม่เคยลืม ผมจำคุณได้ จำทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้ คืนนั้นของเรา”

    ทำไมเธอถึงใจเต้นแรงแบบนี้ก็ไม่รู้ ทำไมเมื่อก่อนเวลาคิดถึงเรื่องนี้เธอถึงไม่รู้สึก แต่พอวันนี้เขาเป็นคนพูดถึงมีความหวั่นไหวอยู่ภายใน ทว่าเมื่อเขาก้าวเท้าเข้ามาเธอจึงต้องถอยเขาเองก็ไม่ได้ตามต่อ

    “ขอร้อง คุณไม่ต้องพูดถึงมันได้ไหม”

    “ขอร้อง คุณอย่าใจร้ายได้ไหม ผมก็แค่เหนื่อย อยู่กับคุณแล้วผมสบายใจ”

    เธอก็อยากทำใจร้ายไล่เขากลับไป หากแต่พอเห็นสายตาคู่นั้นกลับปฏิเสธไม่ลง เพราะเป็นคนใจอ่อนได้ง่ายทั้งรู้ว่ามันไม่ควร

    “ก็ได้ค่ะ คุณแค่งีบใช่ไหม....นั่นคุณจะทำอะไร” เธอมองเขาถอดเสื้อผ้าออกจนเหลือเพียงกางเกงตัวเดียว

    “จะอาบน้ำไง”

    เขาเดินไปหยิบผ้าขนหนูที่ราวไม้ตรงมุมห้องหน้าตาเฉยแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป เมลินดายืนโมโหตัวเองอยู่เงียบๆ ทำไมเธอยอมให้เขาค้างที่นี่ได้นะ ทำไมเธอไม่ปฏิเสธเขาไปตรงๆ นะ ยัยบ้าเอ๊ย!

    ภูรินท์หายเข้าไปน้ำไปราวๆ ห้านาที ระหว่างนั้นเมลินดาเอาถ้วยไปล้าง เธอเก็บมันให้เข้าที่อย่างเดิมพอหันมาเจอเขายืนอยู่ประตูครัว เขามีเพียงผ้าขนหนูผืนเดียวเท่านั้น ยืนอวดสายตาพร้อมรอยยิ้มที่คล้ายจะยิ้มยั่ว เมลินดารีบเมินหน้าหนียามนี้มันร้อนผ่าวไปทั้งใบหน้า ครั้งสุดท้ายที่เธอเห็นเขาในสภาพแบบนี้มันนานมากเหลือเกินจนเธอจำแทบไม่ได้

    “มีเสื้อผ้าให้ผมเปลี่ยนไหม”

    “จะมีได้ยังไงคะฉันอยู่คนเดียวนะ” เธอย้อนกลับไปเหมือนคำถามนี้เขาน่าจะเห็นอยู่แล้ว ห้องสาวโสดเช่นเธอคงไม่มีเสื้อผ้าผู้ชายให้เปลี่ยนหรอก เธอไม่ยอมให้สายตาของตัวเองไปหยุดอยู่ที่เขา ไม่รู้ทำไมมันถึงเป็นภาพที่บาดตาเธอนัก มันไม่บ่อยที่เธอจะได้เห็นผู้ชายยืนอวดหุ่นล่ำๆ ที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามในระยะประชิดแบบนี้

    “อืม...จริงด้วย ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องนอนทั้งอย่างนี้แล้วล่ะ” ว่าจบเขาก็ถือวิสาสะเดินกลับไปยังห้องนอน

    เมลินดาถึงกับต้องกลั้นลมหายใจ เธอยากจะบ้าตาย มันไม่ชินที่มีผู้ชายมาเดินไปเดินมาอยู่ในห้อง โดยเฉพาะหญิงสาวที่ครองตัวเป็นโสดมานานแรมปีแบบเธอ เธอกำลังยืนทำใจอยู่ๆ เขาก็ย้อนกลับมา

    “คุณจะอาบน้ำไหม จะใช้ผ้าขนหนูรึเปล่า”

    “มะ..ไม่ต้อง ฉันมีหลายผืน” เธอรีบบอกเมื่อเห็นมือเขาเลือนลงไปหาผ้าขนหนูสีขาวทีทำหน้าที่อาพรางสิ่งเร้นลับที่เธอไม่ควรเห็นอย่างยิ่งเมื่อตอนนี้เขาไม่ได้ตัวเปล่าเดียวดายแต่มีพันธะพ่วงมาด้วย แค่เพียงเห็นรอยยิ้มที่มุมปากเธอก็รู้ว่าแกล้ง ท่าทางสบายอกสบายใจเหลือเกินมานอนห้องคนอื่นเขาแล้วยังทำตัวเหมือนเป็นเจ้าของห้องเสียเอง

    เมลินดาเข้าไปเอาเสื้อผ้าในห้องนอน เตรียมทุกอย่างเข้าไปเปลี่ยนในห้องน้ำ เห็นเขานอนเอกเขนกอยู่บนเตียงแล้วหมั่นไส้นักเชียว หญิงสาวใช้เวลาอาบน้ำไม่นานก็ออกมา ทว่าพอมองไปที่เตียงเหมือนเขาจะหลับไปแล้ว เธอไปหยุดยืนอยู่ข้างเตียง นึกถึงครั้งสุดท้ายที่เธอยืนมองเขาแบบนี้ ตอนนั้นเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใคร หนึ่งปีที่ผ่านมาเขาไม่เหมือนเดิมแล้ว เหมือนจะมีความหดหู่ซ่อนอยู่ในห้วงลึกของจิตใจ เมลินดาสะบัดความห่อเหี่ยวนี้ออกไป เธอไม่เห็นจำเป็นต้องใส่ใจเลยนี่ ไม่ว่าเขาจะมีใครก็ช่าง เมลินดาค่อยๆ หยิบเอาหมอนอีกใบทว่ายังไม่ทันหยิบมันขึ้นมาอีกฝ่ายก็กดมันลง

    “จะทำอะไรหรือ” ภูรินท์ลืมตาขึ้นมาถาม เขาไม่ได้หลับอย่างที่เธอคิด

    “ฉันจะเอาหมอนไปนอนที่โซฟาด้านนอก”

    “คุณทำไมต้องออกไปนอนข้างนอก เตียงออกกว้างเรานอนด้วยกันได้น่า”

    เพราะคำพูดของเขาเธอจึงถลึงตามอง นี่เขาไม่รู้สึกอะไรเลยรึไงนะที่มานอนค้างห้องผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ใช่ภรรยาตัวเอง

    “ได้ยังไงกันล่ะคะ ฉันไม่...อ๊ะ!” เมลินดาร้องเสียงหลงเมื่อภูรินท์กระชากหมอนกลับไปจนทำให้ร่างเธอล้มคว่ำลง

    “ได้น่า ผมไม่ถือหรอก”

    “คุณไม่ถือ แต่ฉันถือ ปล่อยฉันนะ มานอนห้องคนอื่นยังทำแบบนี้อีก” เธอออกอาการฮึดฮัดและพยายามแกะมือเขาออกจากเอวของตนแสดงให้เห็นว่าเธอไม่พอใจกับการกระทำนี้

    “ผมขอแค่กอดเฉยๆ”

    เขายังกดร่างเธอกลับลงไปนอนโดยที่เขาโอบกอดจากด้านหลังเหมือนว่าจะไม่ยอมปล่อยให้เธอพ้นจากอ้อมแขนนี้ของตนอีกแล้ว  วงแขนนั้นมีพลังมากเหลือเกินจนเธอไม่อาจจะพาตัวเองมาได้ แม้ใจจะเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองแต่เธอไม่รู้จะขัดขืนอย่างไร จึงได้แต่นอนนิ่งฟังเสียงลมหายใจของเขา มันอุ่นวาบยามเมื่อรินรดผิวกายจนทำให้อุณหภูมิในร่างพุ่งสูงขึ้นราวกับกำลังถูกอาบด้วยแสงจ้าอันร้อนแร

    นานมากแล้วที่เธอไม่ได้รู้สึกแบบนี้ ชีวิตที่เหมือนอยู่กับความหนาวเหน็บมานาน เมื่อได้รับไออุ่นแรกจึงได้เผลอให้ใจรู้สึกดีไปกับมัน สองแขนที่โอบรัดขับไล่ความเหน็บหนาวไปจากใจได้ชะงัดนัก  เสียอย่างเดียวอ้อมกอดนี้มันมีเจ้าของแล้ว

    “คุณหายไปไหนมาตั้งเป็นปี” เสียงกระซิบแผ่วข้างๆ หู มันช่างชวนให้ใจเคลิบเคลิ้มนักบางอย่างที่หลับใหลไปเนิ่นนานเหมือนจะถูกเขาปลุกให้ตื่น

    “ฉันก็อยู่ของฉันเหมือนเดิมนั่นแหล่ะ”

    อยู่อย่างเหงาๆ เป็นปีที่แสนหดหู่สำหรับเธอที่ต้องทนรับเรื่องร้ายๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตจนทำให้ใจดวงนี้มันด้านชาลงไปเรื่อยๆ

    “คิดถึงผมบ้างไหม”

    คำถามนี้เธอไม่อาจตอบได้ง่าย คิดถึงเขาไหมน่ะหรือ แน่นอนมันก็มีบ้างเพราะเขาเป็นอะไรมากกว่าแค่คนรู้จัก หากแต่ก็ไม่สามารถเป็นอย่างอื่นได้เหมือนกันเพราะหัวใจที่เคยบอบช้ำไม่อาจเปิดรับใครเข้ามาได้ง่ายๆ อาจเพราะเธอกลัวความผิดหวังที่ต้องเผชิญมันอยู่ทุกวี่วันจนมีมันเป็นเหมือนเพื่อนแท้ที่เคยอยู่ข้างๆ ไม่ยอมไปไหน

    “ฉันมีเรื่องมากมายให้ต้องคิด บางทีก็ไมสามารถจำอะไรได้หมด” คำตอบของเธอเป็นไปอย่างกำกวม พยายามระวังคำพูดของตัวเองเพื่อเขาจะได้ไม่เข้าใจผิด

    “แต่ผมคิดถึงคุณทุกวัน ไม่เคยลืมแม้แต่วันเดียว”

    “คิดถึง...แต่คุณก็ไม่ได้รอฉัน” เธอพยายามที่จะไม่ให้มันเป็นการตำหนิ ทั้งที่แอบมีเสียใจอยู่บ้าง ปากก็บอกว่าคิดแต่หนึ่งปีที่ผ่านมาเขาก็อยู่กับคนอื่น

    “เรื่องนั้นมันเป็นความจำเป็น ผมอยู่ก็เหมือนไม่อยู่ ผมกับเธอมีสถานะเป็นเพียงคนร่วมชีวิตกันเท่านั้น ผมไม่เคยแตะต้องเธอเพราะอะไรรู้ไหม...เพราะผมรอคุณไง”

    เธอหันกลับมาเหมือนไม่แน่ใจว่าที่ตนได้ยินนั้นถูกไหม เรื่องแบบนี้มีด้วยหรือ แต่งงานกันมาเป็นปี แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องเธอจะต้องสนใจเลยนี่

    “คุณไม่จำเป็นต้องบอกฉันหรอก”

    “ผมกลัวคุณเข้าใจผิด เส้นคั่นระหว่างความเต็มใจกับจำใจมันอยู่ห่างกันมากนะ”

    แต่ไม่ว่าเขาจะจำใจหรือเต็มใจมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอเลย หากแต่ก็ขยับหนีไม่ได้เหมือนกัน เมื่อวงหน้าคมนั้นอยู่ห่างเพียงนิดเดียวนัยน์ตาคู่นั้นมันเหมือนเปล่งแสงอันแรงกล้าฉายออกมาจนเธอเธอเบือนหนีรัศมีนั้นเมื่อลดลงต่ำ ทว่าริมฝีปากร้อนฉ่านั้นแตะแก้มนวลปลั่งเมื่อเธอไม่ให้เขาเลื่อนมันมาที่เรียวปากเขาจึงเปลี่ยนไล่ไปที่ซอกคอเนียนขาวแทนมันเป็นเป็นความรู้กสึกพิกลมันวูบวาบในทรวงจะว่ารู้สึกรังเกียจก็ไม่ใช่ รู้สึกดีก็ม่เชิง รสสัมผัสของเขามันซาบซ่านไปทั่วทุกรูขุมขนเธอไม่ควรรู้สึกแบบนี้เลย

    “อย่าสิคะ คุณภู...”

    คำว่าอย่าของเธอถูกลิ้นร้อนนั้นดุนมันกลับลงไป ชายหนุ่มรุกคืบต่อโดยไม่ยอมให้เธอได้ปฏิเสธ กายหนุ่มร้อนระอุเมื่อมันถูกอัดอั้นมานาน คล้ายกับว่าหนึ่งปีนี้เขาเก็บมันไว้เพื่อปลดปล่อยกับเธอเพียงคนเดียว ลากมือผ่านเรือนกายอันแสนยวนใจมันปรากฏชัดเต็มฝ่ามือสอดมันเข้าไปรับความอ่อนนุ่มด้านใน เขาขยับลงหาเนินเนื้ออันขาวนวลอีกฝ่ายที่เหมือนจะแพ้ฤทธิ์เสน่หานี้กลับมีแรงขึ้นมาต่อต้านได้อีกเธอดันตัวออกมาจนสุดแรง ขยับลุกพร้อมกับถึงคอเสื้อปิดเนินสวยของตนไว้

    “ไม่ได้ ฉันทำไม่ได้ คุณมีภรรยาแล้วนะ”

    “ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นได้ไหม” ภูรินท์ลุกขึ้นนั่งตามพร้อมสวมกอด

    “ไม่พูดไม่ได้หรอกค่ะ คุณเองก็ไม่ควรลืมด้วย” เธอบอกย้ำชัดเจน

    “ก็ได้ งั้นขอแค่กอดเฉยๆ ก็ได้ นอนลงเถอะ ผมไม่ทำอะไรคุณแล้ว”

    เมลินดาชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ถูกเขาจับกลับลงไปนอนอย่างเดิมโดยที่เธอหันหลังให้เขาตลอดเวลา เขานิ่งนิ่งเพียงไม่กี่อึดใจมือไม้อันแสนซุกซนก็ออกลวดลายอีกครั้ง

    “คุณภู ไหนว่าจะไม่ทำไงคะ” เธอตำหนิเสียงแข็ง ชายหนุ่มจึงหัวเราะร่วน

    “ขอโทษครับ...แต่ตัวคุณหอมนี่ กอดอย่างเดียวมันทรมานจัง”

    “งั้นก็ไม่ต้งกอดสิคะ  จะได้ไม่ต้องทรมาน”

    “ไม่ได้หรอก ผมเป็นโรคขาดความอบอุ่น”

    เธออยากไล่ให้กลับไปกอดภรรยาของเขา แต่ก็พูดไม่ออก ทำไมเธอถึงไม่กล้าผลักไสเขานะ ทำไมเธอถึงเป็นคนใจอ่อนแบบนี้ ไม่ควรเลยโดยเฉพาะกับคนที่มีพันธะอันใหญ่หลวงแบบนี้ เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง






    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×