song of city
เขียนครั้งแรก ฝากตัวตัวด้วยครับ
ผู้เข้าชมรวม
202
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ณ ประเทศใดประเทศหนึ่งในโลกนี้ ที่แห่งหนึ่งใจกลางมหานครแห่งแสงไฟเสียงรถราดังกระหึ่ม แต่ มันมาถึงที่นี่ไม่ได้ ที่ตึกระฟ้าใจกลางมหานครแห่งนี้ เงาหนึ่งทอดตัวลงบนกระจกที่ผนัง ใบหน้าที่แสดงออกถึงความเศร้าหมองอย่าง ชัดเจน สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่โน้ตเพลงในกระดาษแผ่นหนึ่ง “ ดูไอ้นั่นอีกแล้วหรอ “ เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับประตูที่เปิดออก “ อืม “ ชายหนุ่มรูปร่างสมส่วน ผมสีดำสนิทเงางามรับกับหน้าตาที่ได้รูป ตาสีฟ้าสดใสกลับขุ่นมัวลงอย่างน่าประหลาด “ วัสส์ นายเลิกเป็นแบบนี้สักทีได้ไหม ใช่ว่านายทรมานใจคนเดียว .”
”“หยุดเถอะเมล ชั้นขออยู่คนเดียวเถอะนะ” วัสส์กล่าวตัดบทแล้วเดินไปที่ระเบียง เสียงปิดประตูดังขึ้น
สายตาของเขามองไป
บทกลอนมีใจความคล้ายจดหมายลาตาย
ซึ่งมันก็ใช่จริงๆ ย้อนความไปเมื่อ 3 ปีก่อน เด็กชายคนหนึ่งกระโดดตึก โดยทิ้งบทกลอนไว้ เป็นบทกลอนลาตาย
แต่ มันไม่คำนึงถึงสัมผัสอักษร ไม่มีชนิดกลอนทั้งสิ้น มันมีกลอนหลายๆชนิดรวมกัน ใจความหนักแน่นแต่แฝงความเศร้าเอาไว้
เหมือนชีวิตของเขา
หมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง เกลียดที่สุด ไร้สาระ
เกลียดชีวิตที่มัน ว่างเปล่า
เกลียดผู้คนรอบข้าง เบื่อจริงๆ
เกลียดตัวเองที่ทำ อะไรไม่ได้เลย
เกลียดทุกอย่างรอบข้าง อยากหายไปจากที่นี่
เกลียดโลกนี้ พาฉันหายไป
จากที่แห่งนี้ ได้รึเปล่า
? “ทำไมชีวิตชั้น เหมือนนายจังเลย
เฮ้อ ~~” เสียงถอนหายใจดังขึ้น
กลอนบทนี้เขาคัดลอกไว้หลายแผ่น เขาจึงไม่เสียดายชิ้นส่วนเล็กๆที่ล่องลอยจากชั้นบนสุดที่มีถึงสองร้อยกว่าชั้น “ชั้นจะไปแบบนายได้รึเปล่าน้า” วัสส์เดินไปหยิบไวโอลินชั้นดีของเขาขึ้นมา
คันชักสัมผัสกับสายไวโอลินส่งให้เกิดเพลง
ไพเราะ แต่ หยาบกระด้าง
พลิ้วไหว แต่ อ่อนแรง
นุ่มนวล แต่ เศร้าหมอง
มันเป็นเพลงที่เขาแต่งขึ้นเอง แต่งโดยเขาที่กำลังอ่านบทกลอน (เล่นให้พ่อฟังไม่ได้หรอกเพลงนี้
เพลงนี้ชั้นจะไม่เล่นให้ใครฟังเด็ดขาด
) เขาคิด
สายตาของเขามองไป บทกลอนมีใจความคล้ายจดหมายลาตาย ซึ่งมันก็ใช่จริงๆ ย้อนความไปเมื่อ 3 ปีก่อน เด็กชายคนหนึ่งกระโดดตึก โดยทิ้งบทกลอนไว้ เป็นบทกลอนลาตาย แต่ มันไม่คำนึงถึงสัมผัสอักษร ไม่มีชนิดกลอนทั้งสิ้น มันมีกลอนหลายๆชนิดรวมกัน ใจความหนักแน่นแต่แฝงความเศร้าเอาไว้ เหมือนชีวิตของเขา หมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง
เกลียดที่สุด ไร้สาระ
เกลียดชีวิตที่มัน ว่างเปล่า
เกลียดผู้คนรอบข้าง เบื่อจริงๆ
เกลียดตัวเองที่ทำ อะไรไม่ได้เลย
เกลียดทุกอย่างรอบข้าง อยากหายไปจากที่นี่
เกลียดโลกนี้ พาฉันหายไป
จากที่แห่งนี้ ได้รึเปล่า ?
“ทำไมชีวิตชั้น เหมือนนายจังเลย
เฮ้อ ~~” เสียงถอนหายใจดังขึ้น
กลอนบทนี้เขาคัดลอกไว้หลายแผ่น เขาจึงไม่เสียดายชิ้นส่วนเล็กๆที่ล่องลอยจากชั้นบนสุดที่มีถึงสองร้อยกว่าชั้น “ชั้นจะไปแบบนายได้รึเปล่าน้า” วัสส์เดินไปหยิบไวโอลินชั้นดีของเขาขึ้นมา
คันชักสัมผัสกับสายไวโอลินส่งให้เกิดเพลง
ไพเราะ แต่ หยาบกระด้าง
พลิ้วไหว แต่ อ่อนแรง
นุ่มนวล แต่ เศร้าหมอง
มันเป็นเพลงที่เขาแต่งขึ้นเอง แต่งโดยเขาที่กำลังอ่านบทกลอน (เล่นให้พ่อฟังไม่ได้หรอกเพลงนี้
เพลงนี้ชั้นจะไม่เล่นให้ใครฟังเด็ดขาด
) เขาคิด
ไพเราะ แต่ หยาบกระด้าง
พลิ้วไหว แต่ อ่อนแรง
นุ่มนวล แต่ เศร้าหมอง
มันเป็นเพลงที่เขาแต่งขึ้นเอง แต่งโดยเขาที่กำลังอ่านบทกลอน (เล่นให้พ่อฟังไม่ได้หรอกเพลงนี้ เพลงนี้ชั้นจะไม่เล่นให้ใครฟังเด็ดขาด ) เขาคิด
¾ ¾ ¾ ¾ ¾ ¾ ¾ ¾ ¾
เช้าวันจันทร์ แปด มีนาคม คริสศักราชสองพันห้า ณ โรงเรียนมัธยมปลาย
วัสส์มองดูเพื่อนร่วมชั้นที่เล่นอย่างสนุกสนาน แต่
ทำไม
ชั้นไม่ได้เล่น ทำไม
ชั้นไม่เคยมีเพื่อน ทำไม
ไม่มีใครคุยกับชั้น ทำไมกัน ? คำว่า “ทำไม” วนเวียนอยู่ในหัวเขาตลอดเวลา ใช่ พ่อไม่ยอมให้เขามีเพื่อน ให้ดำเนินรอยตาม ให้เป็นนักดนตรีที่ยิ่งใหญ่ของโลกเหมือนพ่อ “อึดอัด” ตอนแรกเขายังสนุกกับการเล่นดนตรี แต่ตอนนี้อึดอัด เบื่อหน่าย เกลียดชัง ทำไมไม่มีอะไรดีเลย
ใคร
บอกว่ารวยแล้วมีความสุข ไม่ใช่สักนิด ทรมานต่างหาก ไม่มีใคร
เข้าใจชั้นสักนิด
วัสส์มองดูเพื่อนร่วมชั้นที่เล่นอย่างสนุกสนาน แต่
ทำไม ชั้นไม่ได้เล่น
ทำไม ชั้นไม่เคยมีเพื่อน
ทำไม ไม่มีใครคุยกับชั้น
ทำไมกัน ?
คำว่า “ทำไม” วนเวียนอยู่ในหัวเขาตลอดเวลา ใช่ พ่อไม่ยอมให้เขามีเพื่อน ให้ดำเนินรอยตาม ให้เป็นนักดนตรีที่ยิ่งใหญ่ของโลกเหมือนพ่อ “อึดอัด” ตอนแรกเขายังสนุกกับการเล่นดนตรี แต่ตอนนี้อึดอัด เบื่อหน่าย เกลียดชัง ทำไมไม่มีอะไรดีเลย ใคร บอกว่ารวยแล้วมีความสุข ไม่ใช่สักนิด ทรมานต่างหาก ไม่มีใคร เข้าใจชั้นสักนิด
“ทำไม” วนเวียนอยู่ในหัวเขาตลอดเวลา ใช่ พ่อไม่ยอมให้เขามีเพื่อน ให้ดำเนินรอยตาม ให้เป็นนักดนตรีที่ยิ่งใหญ่ของโลกเหมือนพ่อ “อึดอัด” ตอนแรกเขายังสนุกกับการเล่นดนตรี แต่ตอนนี้อึดอัด เบื่อหน่าย เกลียดชัง ทำไมไม่มีอะไรดีเลย ใคร บอกว่ารวยแล้วมีความสุข ไม่ใช่สักนิด ทรมานต่างหาก ไม่มีใคร เข้าใจชั้นสักนิด¶¶¶¶¶¶¶¶¶
เย็นวันจันทร์ แปด มีนาคม คริสศักราชสองพันห้า วัสส์เดินกลับบ้าน แล้วขึ้นไประเบียงที่เก่าที่เขาเล่นไวโอลินอีกครั้ง ตอนนั้นเมลมาอยู่ตรงที่ระเบียงนั่น “ไง กลับมาแล้วเหรอ” เมลถามโดยที่ไม่หันมามองเขา ”อืม มาทำไมเหรอ” ลมพัดมาทำให้ผมดำสนิทของทั้งสองปลิวไสว ดวงตาสีน้ำเงินเข้มสบกับตาสีฟ้าของเมล “พ่อให้มาตามน่ะ พ่อบอกว่าให้เอาไวโอลินนายไปด้วย ” เมลหันมาพูดกับเขา
เย็นวันจันทร์ แปด มีนาคม คริสศักราชสองพันห้า วัสส์เดินกลับบ้าน แล้วขึ้นไประเบียงที่เก่าที่เขาเล่นไวโอลินอีกครั้ง ตอนนั้นเมลมาอยู่ตรงที่ระเบียงนั่น “ไง กลับมาแล้วเหรอ” เมลถามโดยที่ไม่หันมามองเขา ”อืม มาทำไมเหรอ” ลมพัดมาทำให้ผมดำสนิทของทั้งสองปลิวไสว ดวงตาสีน้ำเงินเข้มสบกับตาสีฟ้าของเมล “พ่อให้มาตามน่ะ พ่อบอกว่าให้เอาไวโอลินนายไปด้วย ” เมลหันมาพูดกับเขาเมลเป็นฝาแฝดกับเขา ต่างกันก็แค่สีตากับทรงผม แค่นั้นแหละ “งั้น ชั้นไปรอห้องพ่อนะ รีบๆมาหล่ะ” เมลเดินจากไป ส่วนวัสส์ไปหยิบไวโอลินแล้วเดินออกไป วัสส์เดินไปโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ เมื่อมาถึงประตูหน้าห้องทำงานของพ่อ วัสส์เคาะสามครั้ง แล้วเดินเข้าไป พื้นห้องถูกปูด้วยพรมสีแดงลายเส้นสีน้ำตาล ผนังห้องเป็นตู้หนังสือจรดเพดาน แต่ละตู้คั่นด้วยหน้าต่างบานสูง มีโต๊ะทำงานพร้อมเก้าอี้อย่างหรู เปิดแอร์เย็นสบาย สำหรับผู้อื่นอาจดูสวยงาม แต่สำหรับวัสส์ มัน น่าเบื่อ ผู้เป็นพ่อนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านหนึ่ง เมลนั่งอยู่ด้านตรงข้าม พร้อมไวโอลินอยู่ในมือ วัสส์เดินไปนั่งด้านตรงข้ามกับพ่อ อยู่ข้างๆเมล “เอาหล่ะ มากันครบแล้วสินะ ที่พ่อเรียกมาวันนี้ จะดูว่าเราสองคนเล่นได้ดีแค่ไหน เอาโน้ตนี่ไปเล่น พ่อรู้ว่ายังไม่เคยเห็น แต่พ่อจะดูว่าลูกเล่นได้รึเปล่า” พ่อของวัสส์พูดออกมา
เมลเป็นฝาแฝดกับเขา ต่างกันก็แค่สีตากับทรงผม แค่นั้นแหละ “งั้น ชั้นไปรอห้องพ่อนะ รีบๆมาหล่ะ” เมลเดินจากไป ส่วนวัสส์ไปหยิบไวโอลินแล้วเดินออกไป วัสส์เดินไปโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ เมื่อมาถึงประตูหน้าห้องทำงานของพ่อ วัสส์เคาะสามครั้ง แล้วเดินเข้าไป พื้นห้องถูกปูด้วยพรมสีแดงลายเส้นสีน้ำตาล ผนังห้องเป็นตู้หนังสือจรดเพดาน แต่ละตู้คั่นด้วยหน้าต่างบานสูง มีโต๊ะทำงานพร้อมเก้าอี้อย่างหรู เปิดแอร์เย็นสบาย สำหรับผู้อื่นอาจดูสวยงาม แต่สำหรับวัสส์ มัน น่าเบื่อ ผู้เป็นพ่อนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านหนึ่ง เมลนั่งอยู่ด้านตรงข้าม พร้อมไวโอลินอยู่ในมือ วัสส์เดินไปนั่งด้านตรงข้ามกับพ่อ อยู่ข้างๆเมล “เอาหล่ะ มากันครบแล้วสินะ ที่พ่อเรียกมาวันนี้ จะดูว่าเราสองคนเล่นได้ดีแค่ไหน เอาโน้ตนี่ไปเล่น พ่อรู้ว่ายังไม่เคยเห็น แต่พ่อจะดูว่าลูกเล่นได้รึเปล่า” พ่อของวัสส์พูดออกมา“แต่เรายังไม่รู้ทำนองมันนี่ฮะ” เมลแย้งขึ้นมาทันควัน
แต่เรายังไม่รู้ทำนองมันนี่ฮะ” เมลแย้งขึ้นมาทันควัน“คิดเอง” พ่อพูดออกมาง่ายๆ “พ่อให้ดูคนละห้านาที จากนั้นเมลลูกไปก่อน” พ่อพูดขึ้นอีกครั้ง (แล้วชั้นจะเล่นทำนองไหนดีหล่ะเนี่ย ชั้นไม่อยากเอาซ้ำกับเมลนี่) วัสส์คิดหนัก
ห้านาทีผ่านไป “เอาหล่ะ หมดเวลาแล้ว เมล
เชิญ” พ่อพูดแล้วมองเมลที่ลุกขึ้นไปยืนกลางห้อง เมลเอาโน้ตไปวางไว้ วางไวโอลินพาดไหล่ อีกมือหนึ่งถือคันชัก โน้ตที่บรรเลงออกมาสนุกสนาน ไพเราะและอ่อนโยน วัสส์มองไปทางพ่อ ใบหน้าพ่อมีรอยยิ้มปรากฏน้อยๆ เมื่อเมลเล่นเสร็จ มันก็ถึงตาเขา “วัสส์ ตาลูก” พ่อมองเหมือนจ้องจับผิด (ทีเมลยิ้มให้ ทีผมพ่อกลับจ้องจับผิด อะไรกัน) วัสส์คิดขณะวางโน้ตไว้ที่ที่เมลเคยวาง แต่แรกเขาคิดจะเล่นเพลงหวานๆ แต่ตอนนี้อารมณ์มันไม่ให้ คิดไปคิดมามันเศร้าชอบกล เพลงที่บรรเลงออกมาจึงเป็นแววเศร้าๆ วัสส์เล่นไปด้วยจิตใจของเขา
เล่น
โดยใช้ความรู้สึก เล่น
โดยโลกที่เขาเกลียด เล่น
โดยออกมาจากความเศร้าของเขา เล่น
โดยหัวใจที่ว่างเปล่า ใบหน้าและสายตาที่มองมาของพ่อมีแววเศร้าอย่างรุนแรงปรากฏขึ้นมา (เพลงที่ผมเล่นมันไปกระตุ้นพ่องั้นสิ
ก็ผมมันไม่รู้เรื่องนี่
ทำอะไรไม่ได้ซักอย่างใช่ไหมหล่ะ) วัสส์คิดและเล่นเพลงรุนแรงขึ้นตามอารมณ์โกรธของเขา (ทำหน้าแบบนั้นทั้งสองคน หมายความว่าไง ผมทำอะไรผิด) ทำนองแปรเปลี่ยนเป็นความหยาบกระด้างขึ้น
ปากของพ่อเผยอขึ้นแล้วปิดลงเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่พูด
แล้วเพลงที่เขาเล่นก็จบลง ทั้งห้องเงียบกริบ ขนาดเข็มขนาดเข็มตกลงบนพรมยังได้ยินชัดเจน
ความเงียบดำเนินต่อไปอีกนานจนมีเสียงเคาะประตูพร้อมชายคนหนึ่งก้าวเข้ามา “ขอประทานอภัยครับท่าน อีกสองชั่วโมงจะมีงานแสดงดนตรีของบริษัทซอฟต์แวร์ที่โรงแรมฟลอเรล ต้องรีบไปแต่งตัวเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นจะไปแสดงไม่ทันครับ” คนรับใช้ประจำตัวพ่อก้าวเข้ามา พ่อตอบสั้นๆแล้วเดินออกไป เสียงปิดประตูดังขึ้นทั้งสองยังนิ่งไม่ขยับเขยื้อน จนกระทั่ง
“นี่วัสส์ ทำไมเล่นเพลงแบบนี้หล่ะ
มันฟังแล้วเหมือนคนที่ตายทั้งเป็นเลยนะ
รู้มั้ย” เมลกล่าวออกมาแล้วเดินมาหยิบโน้ตเพลงของวัสส์ไปเก็บที่เดิม “นาย
เคยได้ยินรึเปล่าว่าดนตรีมันเล่นตามอารมณ์เจ้าของนะ” วัสส์กล่าวขณะหยิบไวโอลินใส่กล่อง แล้วเดินออกไปจากห้อง ทิ้งเมลไว้เบื้องหลัง
เล่น โดยใช้ความรู้สึก
เล่น โดยโลกที่เขาเกลียด
เล่น โดยออกมาจากความเศร้าของเขา
เล่น โดยหัวใจที่ว่างเปล่า
ใบหน้าและสายตาที่มองมาของพ่อมีแววเศร้าอย่างรุนแรงปรากฏขึ้นมา (เพลงที่ผมเล่นมันไปกระตุ้นพ่องั้นสิ ก็ผมมันไม่รู้เรื่องนี่ ทำอะไรไม่ได้ซักอย่างใช่ไหมหล่ะ) วัสส์คิดและเล่นเพลงรุนแรงขึ้นตามอารมณ์โกรธของเขา (ทำหน้าแบบนั้นทั้งสองคน หมายความว่าไง ผมทำอะไรผิด) ทำนองแปรเปลี่ยนเป็นความหยาบกระด้างขึ้น ปากของพ่อเผยอขึ้นแล้วปิดลงเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่พูด แล้วเพลงที่เขาเล่นก็จบลง ทั้งห้องเงียบกริบ ขนาดเข็มขนาดเข็มตกลงบนพรมยังได้ยินชัดเจน ความเงียบดำเนินต่อไปอีกนานจนมีเสียงเคาะประตูพร้อมชายคนหนึ่งก้าวเข้ามา “ขอประทานอภัยครับท่าน อีกสองชั่วโมงจะมีงานแสดงดนตรีของบริษัทซอฟต์แวร์ที่โรงแรมฟลอเรล ต้องรีบไปแต่งตัวเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นจะไปแสดงไม่ทันครับ” คนรับใช้ประจำตัวพ่อก้าวเข้ามา พ่อตอบสั้นๆแล้วเดินออกไป เสียงปิดประตูดังขึ้นทั้งสองยังนิ่งไม่ขยับเขยื้อน จนกระทั่ง “นี่วัสส์ ทำไมเล่นเพลงแบบนี้หล่ะ มันฟังแล้วเหมือนคนที่ตายทั้งเป็นเลยนะ รู้มั้ย” เมลกล่าวออกมาแล้วเดินมาหยิบโน้ตเพลงของวัสส์ไปเก็บที่เดิม “นาย เคยได้ยินรึเปล่าว่าดนตรีมันเล่นตามอารมณ์เจ้าของนะ” วัสส์กล่าวขณะหยิบไวโอลินใส่กล่อง แล้วเดินออกไปจากห้อง ทิ้งเมลไว้เบื้องหลัง
“ขอประทานอภัยครับท่าน อีกสองชั่วโมงจะมีงานแสดงดนตรีของบริษัทซอฟต์แวร์ที่โรงแรมฟลอเรล ต้องรีบไปแต่งตัวเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นจะไปแสดงไม่ทันครับ” คนรับใช้ประจำตัวพ่อก้าวเข้ามา พ่อตอบสั้นๆแล้วเดินออกไป เสียงปิดประตูดังขึ้นทั้งสองยังนิ่งไม่ขยับเขยื้อน จนกระทั่ง “นี่วัสส์ ทำไมเล่นเพลงแบบนี้หล่ะ มันฟังแล้วเหมือนคนที่ตายทั้งเป็นเลยนะ รู้มั้ย” เมลกล่าวออกมาแล้วเดินมาหยิบโน้ตเพลงของวัสส์ไปเก็บที่เดิม “นาย เคยได้ยินรึเปล่าว่าดนตรีมันเล่นตามอารมณ์เจ้าของนะ” วัสส์กล่าวขณะหยิบไวโอลินใส่กล่อง แล้วเดินออกไปจากห้อง ทิ้งเมลไว้เบื้องหลัง¾ ¾ ¾ ¾ ¾ ¾ ¾ ¾ ¾
สามทุ่มครึ่ง โทรศัพท์ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ เมลเป็นคนเดินไปรับสาย ส่วนวัสส์ทำการบ้านอยู่
สามทุ่มครึ่ง โทรศัพท์ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ เมลเป็นคนเดินไปรับสาย ส่วนวัสส์ทำการบ้านอยู่“สวัสดีครับ บ้านเวอรีคิว ขอสายใครครับ”
“คุณชาย นี่ผมเองครับ คุณผู้ชายอยู่ที่โรงพยาบาลรีบมาด่วนเลยครับ”
“พ่อเป็นอะไร! ทำไมเข้าโรงพยาบาล!”
“เอ่อ คุณผู้ชายหัวใจวายขณะนั่งรถอยู่ครับ”
“อะไรนะ หัวใจวาย! ทำไมไม่มีใครบอกผม แค่นี้นะ” เมลพูดออกมาด้วยความตระหนก พลางรีบวิ่งไปบอกวัสส์ “พ่อหัวใจวายอยู่ที่โรงพยาบาล! มาเร็ว” เมลพูดแล้ววิ่งไปขึ้นรถของเขาทันที วัสส์มีสีหน้าซีดเผือดอย่างเห็นได้ชัด เขารีบวิ่งตามเมลไป
เมลขับรถออกไปด้วยความเร็วสูงและเร่งรีบ เหยียบมิดอย่างน่ากลัว
“คุณชาย นี่ผมเองครับ คุณผู้ชายอยู่ที่โรงพยาบาลรีบมาด่วนเลยครับ”
“พ่อเป็นอะไร! ทำไมเข้าโรงพยาบาล!”
“เอ่อ คุณผู้ชายหัวใจวายขณะนั่งรถอยู่ครับ”
“อะไรนะ หัวใจวาย! ทำไมไม่มีใครบอกผม แค่นี้นะ” เมลพูดออกมาด้วยความตระหนก พลางรีบวิ่งไปบอกวัสส์ “พ่อหัวใจวายอยู่ที่โรงพยาบาล! มาเร็ว” เมลพูดแล้ววิ่งไปขึ้นรถของเขาทันที วัสส์มีสีหน้าซีดเผือดอย่างเห็นได้ชัด เขารีบวิ่งตามเมลไป
เมลขับรถออกไปด้วยความเร็วสูงและเร่งรีบ เหยียบมิดอย่างน่ากลัว
“พ่อเป็นอะไร! ทำไมเข้าโรงพยาบาล!”
“เอ่อ คุณผู้ชายหัวใจวายขณะนั่งรถอยู่ครับ”
“อะไรนะ หัวใจวาย! ทำไมไม่มีใครบอกผม แค่นี้นะ” เมลพูดออกมาด้วยความตระหนก พลางรีบวิ่งไปบอกวัสส์ “พ่อหัวใจวายอยู่ที่โรงพยาบาล! มาเร็ว” เมลพูดแล้ววิ่งไปขึ้นรถของเขาทันที วัสส์มีสีหน้าซีดเผือดอย่างเห็นได้ชัด เขารีบวิ่งตามเมลไป
เมลขับรถออกไปด้วยความเร็วสูงและเร่งรีบ เหยียบมิดอย่างน่ากลัว
“เอ่อ คุณผู้ชายหัวใจวายขณะนั่งรถอยู่ครับ”
“อะไรนะ หัวใจวาย! ทำไมไม่มีใครบอกผม แค่นี้นะ” เมลพูดออกมาด้วยความตระหนก พลางรีบวิ่งไปบอกวัสส์ “พ่อหัวใจวายอยู่ที่โรงพยาบาล! มาเร็ว” เมลพูดแล้ววิ่งไปขึ้นรถของเขาทันที วัสส์มีสีหน้าซีดเผือดอย่างเห็นได้ชัด เขารีบวิ่งตามเมลไป
เมลขับรถออกไปด้วยความเร็วสูงและเร่งรีบ เหยียบมิดอย่างน่ากลัว
“อะไรนะ หัวใจวาย! ทำไมไม่มีใครบอกผม แค่นี้นะ” เมลพูดออกมาด้วยความตระหนก พลางรีบวิ่งไปบอกวัสส์ “พ่อหัวใจวายอยู่ที่โรงพยาบาล! มาเร็ว” เมลพูดแล้ววิ่งไปขึ้นรถของเขาทันที วัสส์มีสีหน้าซีดเผือดอย่างเห็นได้ชัด เขารีบวิ่งตามเมลไป เมลขับรถออกไปด้วยความเร็วสูงและเร่งรีบ เหยียบมิดอย่างน่ากลัว
อะไรนะ หัวใจวาย! ทำไมไม่มีใครบอกผม แค่นี้นะ” เมลพูดออกมาด้วยความตระหนก พลางรีบวิ่งไปบอกวัสส์ “พ่อหัวใจวายอยู่ที่โรงพยาบาล! มาเร็ว” เมลพูดแล้ววิ่งไปขึ้นรถของเขาทันที วัสส์มีสีหน้าซีดเผือดอย่างเห็นได้ชัด เขารีบวิ่งตามเมลไป เมลขับรถออกไปด้วยความเร็วสูงและเร่งรีบ เหยียบมิดอย่างน่ากลัว¶¶¶¶¶¶¶¶¶
ณ โรงพยาบาล เมลเดินกลับไปกลับมาหน้าประตูห้องฉุกเฉิน ส่วนวัสส์นั่งนิ่ง กุมมือแน่นจนข้อมือขาวซีด ขณะนั้นหมอเดินออกมาจากห้องฉุกเฉิน เมลรีบวิ่งเข้าไปถามทันที
ณ โรงพยาบาล เมลเดินกลับไปกลับมาหน้าประตูห้องฉุกเฉิน ส่วนวัสส์นั่งนิ่ง กุมมือแน่นจนข้อมือขาวซีด ขณะนั้นหมอเดินออกมาจากห้องฉุกเฉิน เมลรีบวิ่งเข้าไปถามทันที“หมอครับ พ่อเป็นไงบ้างครับ” เมลถามด้วยสีหน้าคาดหวัง “เอ่อ
ทำใจให้สงบก่อนครับ
พ่อของคุณอยู่ได้อีกแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นแหละครับ
เสียใจด้วยนะครับ” หมอพูดแล้วเดินจากไป
เมลทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น ส่วนวัสส์ที่ตอนนี้สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัววิ่งเข้าไปหาพ่อในห้อง และเมลเมื่อเห็นวัสส์วิ่งเข้าไปเขาก็รีบตามเข้าไปทันที “วัสส์
” เมลเรียกออกมาเบาๆ แต่ตอนนี้วัสส์เข้าไปในห้องแล้ว เมลรีบตามไปทันที
“พ่อ
” วัสส์เรียกเบาๆ พ่อนอนอยู่บนเตียง สายน้ำเกลือและอื่นๆระโยงระยางไปหมด เครื่องวัดการทำงานของหัวใจปรากฏถึงการทำงานของหัวใจพ่อที่เต้นแผ่วลงแผ่วลง “พ่อครับ
” วัสส์เรียกพ่อและเขย่าเบาๆ เมลเดินเข้าไปและดึงวัสส์ออกมา “วัสส์
พอเถอะ พ่อไม่ตื่นหรอก
” วัสส์ก้มหน้านิ่ง น้ำใสๆไหลลงมาผ่านแก้มขาวๆที่ซีดเผือด เลยไปจนถึงปลายคาง “มันไม่จริงใช่ไหม
พ่อ
พ่ออยู่ที่โรงแรมนั่นต่างหาก
พ่อไม่ได้บอกด้วยซ้ำว่าพ่อเป็นโรคหัวใจ
ผมไม่เชื่อเด็ดขาด” เสียงของวัสส์ดังขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นตะคอก เมลผู้เป็นพี่ (เพราะเขาเกิดก่อน) เกิดอาการสะดุ้งสุดตัว เพราะวัสส์ไม่เคยตะคอกใครมาก่อน “วัสส์
ทำใจซะ
นี่พ่อแท้ๆของเรานะ
ดูท่านให้เต็มตา” เมลเริ่มตะคอกบ้างเพราะวัสส์เริ่มไม่ฟังเขาแล้ว “วัสส์
เมล อยู่นี่หรือเปล่า” เสียงแหบแห้งที่แผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบผ่านออกมาจากปากพ่อ วัสส์และเมลเบิกตากว้าง เพราะนึกไม่ถึงว่าพ่อจะตื่นขึ้นมาได้ “พะ
พ่อ” วัสส์และเมลพูดขึ้นมาพร้อมๆกัน “ แต่เสียงที่เปล่งออกมาเบาจนแทบไม่ได้ยิน หน้าพ่อมีรอยยิ้มปรากฏน้อยๆแต่
มันมาพร้อมกับน้ำตาของพ่อ “ พ่อคงอยู่ได้อีกไม่นานหรอก แต่
พ่อมีเรื่องจะพูดกับลูกเป็นครั้งสุดท้าย โดยเฉพาะลูก
วัสส์” พ่อพูดออกมาอย่างลำบาก วัสส์ปาดน้ำตาออก แล้วเดินเข้ามาใกล้พ่อยิ่งขึ้น “วัสส์
ลูกอาจคิดว่าพ่อรักพี่เขามากกว่าลูก แต่ว่าที่ลูกเห็นนั้นมันไม่ใช่ ลูกอาจเห็นว่าพ่อเผด็จการ กำหนดเส้นทางลูกทุกอย่าง แต่เพราะพ่อไม่อยากให้ลูกเดินทางผิด ที่พ่อไม่อยากให้ลูกมีเพื่อนเพราะพ่อกลัว
กลัวว่าเพื่อนจะพาลูกเดินไปในทางที่ผิด และที่ลูกเห็นพ่อทำดีกับพี่เขามากกว่าลูกไม่ใช่ว่าพ่อรักพี่เขามากกว่า แต่
พ่อรักทั้งสองคนมากเท่ากัน พ่อรักลูกมากยิ่งกว่าตัวพ่อเองอีกรู้มั้ย” ความรู้สึกทั้งหมดถูกถ่ายทอดออกมาจากปากของพ่อ วัสส์เมื่อได้ยินแล้วยืนก้มหน้านิ่งและตัวสั่นทีเดียว “แล้วทำไม
ทำไมพ่อไม่บอกผม ถ้าพ่อบอกผม ผมจะยอมทำตามทุกอย่าง ถ้าพ่อบอกผมว่าพ่อเป็นโรคหัวใจผมจะทำทุกวิถีทางที่จะรักษาพ่อ ถ้าพ่อบอกว่าทำไมไม่ให้ผมมีเพื่อน ผมจะยอมทำตาม ถ้าพ่อบอกผมก่อน
” คำพูดของวัสส์หยุดลงพร้อมกับร่างที่สั่นไปทั้งตัว ผิวซีดเผือดราวกับกระดาษ “คำว่าถ้า
พูดไปก็ไร้ความหมาย เมื่อไม่ได้ทำ ถึงลูกจะพูดแต่พ่อก็ย้อนเวลากลับไปไม่ได้ลูกก็รู้ ส่วนลูกเมล สิ่งที่พ่ออยากพูดกับลูกมีแค่ไม่กี่คำ เพราะพ่อได้บอกลูกไปหมดแล้ว ดูแลน้องให้ดี รักครอบครัวให้มาก แค่นี้แหละที่พ่ออยากพูดกับลูก พ่อรักลูกเสมอ
ลูกรัก” ตาของพ่อหลับลงช้าๆ คลื่นหัวใจที่ดูจากเครื่องเริ่มเต้นช้าลงเรื่อยๆจนกระทั่งเป็นเส้นตรง “พ่อ
พ่อพ่อตายไม่ได้นะ พ่อตื่น ตื่นสิ ฮึก พ่อตื่น ผมไม่ยอมให้พ่อตายนะ ฮึก พี่พ่อยังไม่ตายใช่มั้ย ฮึก” เมลเห็นวัสส์ร้องไห้ครั้งแรกในชีวิต เขาได้แต่ดึงน้องชายเข้ามากอดไว้ ใบหน้าของเมลซบลงที่ไหล่ของน้องชาย น้ำตาไหลออกมาตลอดเวลา แต่ไร้ซึ่งเสียง
เมลผละออกจากวัสส์เพื่อไปตามหมอ วัสส์ได้แต่ยืนนิ่งในสมองและความนึกคิดเขามีแต่พ่อ
ถึงจะเผด็จการ
แต่ก็คือพ่อ ถึงจะชอบบังคับ
แต่ก็คือพ่อ ถึงจะกีดกันทุกเรื่อง
แต่ก็คือพ่อ ถึงจะรักพี่มากกว่า
แต่ก็คือพ่อ ถึงจะโกรธ
แต่ก็คือพ่อ ถึงจะเกลียด
แต่ก็คือพ่อ ถึงจะไม่พอใจ
แต่ก็คือพ่อ แต่คนที่ให้กำเนิดเรา
ทำให้เรามีชีวิต
คนๆนั้นคือ
พ่อ
..
ถึงจะเผด็จการ แต่ก็คือพ่อ
ถึงจะชอบบังคับ แต่ก็คือพ่อ
ถึงจะกีดกันทุกเรื่อง แต่ก็คือพ่อ
ถึงจะรักพี่มากกว่า แต่ก็คือพ่อ
ถึงจะโกรธ แต่ก็คือพ่อ
ถึงจะเกลียด แต่ก็คือพ่อ
ถึงจะไม่พอใจ แต่ก็คือพ่อ
แต่คนที่ให้กำเนิดเรา ทำให้เรามีชีวิต คนๆนั้นคือ พ่อ ..
¶¶¶¶¶¶¶¶¶¶
บทเพลงขับขานลำนำบทส่งท้าย
หลังจากพ่อเสียชีวิตไปแล้วหนึ่งปี วันนี้เป็นวันครบรอบวันตายของพ่อ สูทสีดำสนิทถูกเตรียมไว้พร้อมสำหรับทั้งสองคน งานถูกเตรียมขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ พ่อเป็นคนดังและรวยและมีชื่อเสียง เรียกได้ว่าแทบจะเป็นที่รู้จักทั่วโลกเลยทีเดียว หกโมงเย็นผู้คนก็เริ่มทยอยกันกลับ วัสส์และเมลเดินไปยืนหน้าหลุมศพของพ่อ หินอ่อนสีดำสนิทเป็นมันวาวและใหม่ ด้านปลายสุดเป็นเป็นไม้กางเขนสีขาว มีลวดลายประดับสีทอง รอบข้างเป็นดอกไม้และต้นไม้สีขาว ทั้งสองยืนนิ่งอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง เมลจึงพูดว่าเรากลับกันได้แล้ววัสส์ ทั้งสองเดินขึ้นรถและกลับบ้าน . สี่ทุ่ม เมลและวัสส์ยืนอยู่ที่ระเบียงซึ่งเป็นที่เดิมที่เขาเคยมายืนอยู่เสมอ “วิวตรงนี้ดูยังไงก็ยังเหมือนเดิมนะ สวย..แต่วุ่นวายชะมัด เนอะ” เมลพูดแล้วนั่งลงที่เก้าอี้ตรงระเบียง “อืม ” วัสส์ตอบสั้นๆแล้วหยิบโน้ตเพลงที่พ่อเคยให้เล่นมาดูพร้อมกับไวโอลินของเขา เมลก็หยิบไวโอลินของตัวเองออกมาด้วย
หลังจากพ่อเสียชีวิตไปแล้วหนึ่งปี วันนี้เป็นวันครบรอบวันตายของพ่อ สูทสีดำสนิทถูกเตรียมไว้พร้อมสำหรับทั้งสองคน งานถูกเตรียมขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ พ่อเป็นคนดังและรวยและมีชื่อเสียง เรียกได้ว่าแทบจะเป็นที่รู้จักทั่วโลกเลยทีเดียว หกโมงเย็นผู้คนก็เริ่มทยอยกันกลับ วัสส์และเมลเดินไปยืนหน้าหลุมศพของพ่อ หินอ่อนสีดำสนิทเป็นมันวาวและใหม่ ด้านปลายสุดเป็นเป็นไม้กางเขนสีขาว มีลวดลายประดับสีทอง รอบข้างเป็นดอกไม้และต้นไม้สีขาว ทั้งสองยืนนิ่งอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง เมลจึงพูดว่าเรากลับกันได้แล้ววัสส์ ทั้งสองเดินขึ้นรถและกลับบ้าน . สี่ทุ่ม เมลและวัสส์ยืนอยู่ที่ระเบียงซึ่งเป็นที่เดิมที่เขาเคยมายืนอยู่เสมอ “วิวตรงนี้ดูยังไงก็ยังเหมือนเดิมนะ สวย..แต่วุ่นวายชะมัด เนอะ” เมลพูดแล้วนั่งลงที่เก้าอี้ตรงระเบียง “อืม ” วัสส์ตอบสั้นๆแล้วหยิบโน้ตเพลงที่พ่อเคยให้เล่นมาดูพร้อมกับไวโอลินของเขา เมลก็หยิบไวโอลินของตัวเองออกมาด้วย
“เล่นให้พ่อฟังดีมั้ย ชั้นคิดว่าพ่อน่าจะได้ยินนะ”
“เมล
แล้วจะเล่นทำนองไหนล่ะ”
“ง่ายๆ
คิดเองไง” เมลยิ้มแล้วเริ่มเล่น วัสส์มองขึ้ไปบนฟ้าและเริ่มเล่นตาม
.เสียงไวโอลินดังก้องไปจนน่าจะได้ยินไปทั่วเมือง หลายคนโผล่ออกมาทางหน้าต่าง เพื่อที่จะฟังให้ชัดๆ บางคนฟังไปยิ้มไป บางคนฟังไปถึงกับน้ำตาไหล และถ้าฟังให้ดีจะทราบว่าบทเพลงนี้เล่นสองทำนอง คนหนึ่งเล่นได้ไพเราะ อ่อนโยนเสมือนนึกถึงคนที่รักมาก ส่วนอีกคนหนึ่งเล่นได้พลิ้วไหว อบอุ่น เสมือนกำลังระลึกถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ สองเสียงสอดคล้องเป็นหนึ่ง ประสานบทเพลงสู่ห้วงมหานคร ปลุกผู้คนที่หลับไหลให้ตื่นขึ้นมาฟัง บทเพลงบรรเลงไปราวหนึ่งชั่วโมงจึงจบลง ปล่อยให้ผู้คนนึกเสียดายที่จบเร็วเกินไป และนับแต่นั้นมา
.ในวันนี้ของทุกปี
ผู้คนจะพร้อมใจกันเปิดหน้าต่างเพื่อฟังบทเพลงนี้โดยเฉพาะ เพลงนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ประจำเมือง จนกระทั่งในเวลาต่อมาผู้คนจึงได้พร้อมใจกันเปลี่ยนชื่อเมืองนี้เป็น SONG OF CITY : บทเพลงกลางมหานคร.
“เมล
แล้วจะเล่นทำนองไหนล่ะ”
“ง่ายๆ
คิดเองไง” เมลยิ้มแล้วเริ่มเล่น วัสส์มองขึ้ไปบนฟ้าและเริ่มเล่นตาม
.เสียงไวโอลินดังก้องไปจนน่าจะได้ยินไปทั่วเมือง หลายคนโผล่ออกมาทางหน้าต่าง เพื่อที่จะฟังให้ชัดๆ บางคนฟังไปยิ้มไป บางคนฟังไปถึงกับน้ำตาไหล และถ้าฟังให้ดีจะทราบว่าบทเพลงนี้เล่นสองทำนอง คนหนึ่งเล่นได้ไพเราะ อ่อนโยนเสมือนนึกถึงคนที่รักมาก ส่วนอีกคนหนึ่งเล่นได้พลิ้วไหว อบอุ่น เสมือนกำลังระลึกถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ สองเสียงสอดคล้องเป็นหนึ่ง ประสานบทเพลงสู่ห้วงมหานคร ปลุกผู้คนที่หลับไหลให้ตื่นขึ้นมาฟัง บทเพลงบรรเลงไปราวหนึ่งชั่วโมงจึงจบลง ปล่อยให้ผู้คนนึกเสียดายที่จบเร็วเกินไป และนับแต่นั้นมา
.ในวันนี้ของทุกปี
ผู้คนจะพร้อมใจกันเปิดหน้าต่างเพื่อฟังบทเพลงนี้โดยเฉพาะ เพลงนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ประจำเมือง จนกระทั่งในเวลาต่อมาผู้คนจึงได้พร้อมใจกันเปลี่ยนชื่อเมืองนี้เป็น SONG OF CITY : บทเพลงกลางมหานคร.
“ง่ายๆ คิดเองไง” เมลยิ้มแล้วเริ่มเล่น วัสส์มองขึ้ไปบนฟ้าและเริ่มเล่นตาม .เสียงไวโอลินดังก้องไปจนน่าจะได้ยินไปทั่วเมือง หลายคนโผล่ออกมาทางหน้าต่าง เพื่อที่จะฟังให้ชัดๆ บางคนฟังไปยิ้มไป บางคนฟังไปถึงกับน้ำตาไหล และถ้าฟังให้ดีจะทราบว่าบทเพลงนี้เล่นสองทำนอง คนหนึ่งเล่นได้ไพเราะ อ่อนโยนเสมือนนึกถึงคนที่รักมาก ส่วนอีกคนหนึ่งเล่นได้พลิ้วไหว อบอุ่น เสมือนกำลังระลึกถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ สองเสียงสอดคล้องเป็นหนึ่ง ประสานบทเพลงสู่ห้วงมหานคร ปลุกผู้คนที่หลับไหลให้ตื่นขึ้นมาฟัง บทเพลงบรรเลงไปราวหนึ่งชั่วโมงจึงจบลง ปล่อยให้ผู้คนนึกเสียดายที่จบเร็วเกินไป และนับแต่นั้นมา .ในวันนี้ของทุกปี ผู้คนจะพร้อมใจกันเปิดหน้าต่างเพื่อฟังบทเพลงนี้โดยเฉพาะ เพลงนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ประจำเมือง จนกระทั่งในเวลาต่อมาผู้คนจึงได้พร้อมใจกันเปลี่ยนชื่อเมืองนี้เป็น SONG OF CITY : บทเพลงกลางมหานคร.
ง่ายๆ คิดเองไง” เมลยิ้มแล้วเริ่มเล่น วัสส์มองขึ้ไปบนฟ้าและเริ่มเล่นตาม .เสียงไวโอลินดังก้องไปจนน่าจะได้ยินไปทั่วเมือง หลายคนโผล่ออกมาทางหน้าต่าง เพื่อที่จะฟังให้ชัดๆ บางคนฟังไปยิ้มไป บางคนฟังไปถึงกับน้ำตาไหล และถ้าฟังให้ดีจะทราบว่าบทเพลงนี้เล่นสองทำนอง คนหนึ่งเล่นได้ไพเราะ อ่อนโยนเสมือนนึกถึงคนที่รักมาก ส่วนอีกคนหนึ่งเล่นได้พลิ้วไหว อบอุ่น เสมือนกำลังระลึกถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ สองเสียงสอดคล้องเป็นหนึ่ง ประสานบทเพลงสู่ห้วงมหานคร ปลุกผู้คนที่หลับไหลให้ตื่นขึ้นมาฟัง บทเพลงบรรเลงไปราวหนึ่งชั่วโมงจึงจบลง ปล่อยให้ผู้คนนึกเสียดายที่จบเร็วเกินไป และนับแต่นั้นมา .ในวันนี้ของทุกปี ผู้คนจะพร้อมใจกันเปิดหน้าต่างเพื่อฟังบทเพลงนี้โดยเฉพาะ เพลงนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ประจำเมือง จนกระทั่งในเวลาต่อมาผู้คนจึงได้พร้อมใจกันเปลี่ยนชื่อเมืองนี้เป็น SONG OF CITY : บทเพลงกลางมหานคร.¶¶¶¶¶¶¶¶¶
ผลงานอื่นๆ ของ เพิลงปีกปักษา ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ เพิลงปีกปักษา
ความคิดเห็น