คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #69 : เจ้าฟ้าหญิงฉิม
คำว่า ‘ฉิม’ เป็นคำโบราณ มักใช้เรียกลูกชายหรือลูกหญิงคนใหญ่ ในสมัยโบราณจึงมี ‘พ่อฉิม’ ‘แม่ฉิม’ กันแทบทุกครอบครัว
ดังเช่น สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงพระองค์ใหญ่ พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ซึ่งเป็นพระมารดาของเจ้าฟ้ากรมขุนกษัตรานุชิต (เจ้าฟ้าเหม็น) ก็ออกพระนามกันแต่ในรัชกาลที่ ๑ ว่า “เจ้าครอกฉิมใหญ่” ตามที่จารึกที่พระโกศพระอัฐิ
สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี (เจ้าฟ้าบุญรอด) พระฉายาสาทิสลักษณ์ที่จิตรกรวาดขึ้นจากเค้าพระพักตร์ พระราชโอรสธิดา ผสมผสานจินตนาการ |
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (สมเด็จพระราชนัดดาสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี) เมื่อยังทรงพระเยาว์ ยังมิได้โสกันต์ |
ที่เรียกว่า ‘ฉิมใหญ่’ คงเป็นเพราะพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระราชโอรสพระองค์ใหญ่รองลงมาจากสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงพระองค์นั้น ก็ทรงพระนามแต่เดิมว่า ‘ฉิม’ เช่นกัน ดังปรากฏในจดหมายเหตุเก่าว่า สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินีในรัชกาลที่ ๑ ตรัสเรียกพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ ว่า ‘พ่อฉิม’ ตั้งแต่แรกพระบรมราชสมภพจนแม้เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์แล้ว แล้วยังมีเจ้าฟ้าหญิงฉิมพระธิดาใหญ่ในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอพระองค์น้อยอีกที่เรียกกันว่า ‘ฉิม’ พระโอรสพระองค์ใหญ่ในกรมหลวงนรินทรเทวี (พระองค์เจ้ากุ) พระน้องนางต่างพระชนนีในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ก็มีพระนามเดิมว่า ‘พระองค์เจ้าฉิม’ เช่นกัน (ต่อมาในรัชกาลที่ ๒ ทรงสถาปนาเป็นกรมหมื่นนรินทรเทพ)
กรมขุนอนัคฆนารี (เจ้าฟ้าหญิงฉิม) พระองค์นี้ปรากฏพระนามในหนังสือประเภทพระราชพงศาวดารกระซิบ เรื่อง ‘ขัติยราชบริพัทย์’ ซึ่งแม้แต่ในหมู่เจ้านายก็ยังไม่มีใครทราบแน่ว่าท่านผู้ใดเป็นผู้จดเอาไว้ แต่ก็เริ่มมีผู้ล่วงรู้ถึงความในหนังสือนี้ ซึ่งเรียกกันอีกอย่างว่า ‘หนังสือข้างที่’ บ้าง ‘พงศาวดารข้างที่’ บ้าง ‘ข้างที่’ คือ ข้างเตียง ข้างแท่น ข้างที่บรรทม นั่นเอง
หมายความว่า หนังสือนี้ ซึ่งขึ้นต้นเรื่องราวว่า
“จะพรรณนาถึงเรื่องพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย แต่ครั้งพระองค์ท่านยังดำรงอยู่ในที่ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรอยู่นั้น เกิดปีมะแม เอกศก จุลศักราช ๑๑๖๑...ฯลฯ...”
เดิมทีก็อ่านก็ทราบกันอยู่แต่ในรั้วในวัง ทว่าถึงเวลานี้ มีผู้นำมาพิมพ์เผยแพร่อ่านกันทั่วๆ ไปแล้ว จึงจะไม่เล่าถึงเรื่องราวโดยละเอียด สรุปแต่เพียงว่าเป็นเรื่อง ‘ขัตติยราชปฏิพัทธ์’ (หรือท่านเขียนว่า ‘ขัติยราชบริพัทย์’) ความรักของกษัตริย์ คือ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ และ สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงๆ ได้เล่าต่อๆ กันมา จนกระทั่งมีผู้จดเอาไว้ สันนิษฐานว่าแรกก็คงเพื่อถวายเจ้านายพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง หรืออาจถึงทูลเกล้าฯถวายสำหรับทรงเป็นหนังสือ ‘ข้างที่’ ดังกล่าว
ผู้จดเล่า เล่าถึงเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ แต่ยังเป็นสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร เสด็จเข้าไปทรงเยี่ยมพระอาการประชวรสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอพระองค์น้อย ซึ่งเป็นสมเด็จป้า และเป็นพระมารดาเจ้าฟ้าบุญรอด จนกระทั่งสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอสิ้นพระชนม์ เชิญพระโกศประดิษฐาน ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท แต่เสด็จเวียนไปเวียนมา เพราะได้ทอดพระเนตรเห็นเจ้าฟ้าบุญรอด ถ้อยทีถ้อยทรงเสน่หาต่อกัน โดยมีพระกนิษฐภคินีทั้งสองพระองค์ (สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงศรีสุนทรเทพ และ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนเทพยวดี) ทรงมีพระทัยยินดีด้วย พูดง่ายๆ ว่าทรงรู้เห็นเป็นใจ ดังนั้น เมื่อเสร็จการพระศพแล้ว วันหนึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯเสด็จเข้าเฝ้าสมเด็จพระบรมชนกนาถแล้ว เสด็จแวะที่ตำหนัก สมเด็จพระกนิษฐภคินีทั้งสองพระองค์ทรงได้พบปะกันกับเจ้าฟ้าบุญรอดทุกวัน จะเสด็จกลับข้ามไปพระราชวังเดิมที่ประทับก็ต่อเวลาค่ำมืด (คล้ายๆ ในพระราชนิพนธ์เรื่องอิเหนา ตอนพบกับนางจินตะหรา...จึงได้กล่าวกันว่า อันพระราชนิพนธ์บทละครอิเหนา นั้นคือส่วนหนึ่งของ ‘ชีวิตรัก’ ของพระองค์ผู้ทรงพระราชนิพนธ์ ไม่ว่าจะเป็นนางจินตะหรา หรือนางบุษบา)
“ขัติยราชบริพัทย์” เล่าถึงเจ้าฟ้ากรมขุนอนัคฆมนตรีเอาไว้ว่า
“แต่เจ้าครอกเสียพระจริต ซึ่งภายหลังมีพระนามว่ากรมขุนอนรรคฆนารี เสด็จไปแอบทอดพระเนตรเห็น พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เสด็จไปนั่งชิดกรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ช่วยกันเดิมเล่นสกาเล่นกับกรมหลวงศรีสุนทรเทพ เมื่อทอดพระเนตรเห็นดังนั้น จึงเสด็จออกมาตรัสว่าข้าหลวง โดยพระสุรเสียงอันดังว่า ท้าวพรหมทัตล่วงลัดตัดแดน มาเท้าแขนเล่นสกาพนัน สูๆ สีๆ อีแม่ทองจันทร์อีกสองสามวันจะเป็นตัวจิ้งจก
ว่าที่รับสั่งร้องดังนี้ จะเป็นที่ขัดเคืองพระทัยหรือจะเป็นอย่างไรก็ไม่ได้ความชัด แต่รับสั่งร้องอยู่ดังนี้หลายวัน ถ้าเสด็จออกเยี่ยมพระแกลเห็นผู้ใดเดินมาก็ทรงร้อง สูๆ สีๆ อีแม่ทองจันทร์ อีกสองสามวันก็เป็นตัวจิ้งจก ทรงร้องได้วันละหลายๆ ครั้ง...ฯลฯ...”
ว่ากันว่า กรมขุนอนัคฆนารี หรือเจ้าฟ้าฉิม เวลานั้นในรัชกาลที่ ๑ คงจะออกพระนามกันว่า เจ้าครอกฉิมเล็ก เพราะเจ้าครอกฉิมที่สิ้นพระชนม์แล้ว ออกพระนามกันว่าเจ้าครอกฉิมใหญ่ ส่วนที่เรียกกันว่า เจ้าครอกเสียพระจริตคงจะสังเกตเอาจากพระจริตกิริยาซึ่งคงฟุ้งซ่านขาดๆ เกินๆ ในการกระทำและวาจาผิดแผกแตกต่างคนปกติไปบ้าง เห็นจะไม่ใช่ถึงกับเสียพระจริต หรือ ‘บ้า’ เพราะหากเป็นคนเสียจริตหรือบ้าคงไม่อาจผูกกลอนได้เข้าเรื่องเข้าราว
เช่นเดียวกับผู้ที่ถูกว่าว่า ‘เสียจริต’ หรือ ‘บ้า’ อีกท่านหนึ่ง คือ ‘คุณสุวรรณ’ ชาววังผู้แต่งเรื่อง “พระมเหลเถไถ’ ซึ่งในประวัติที่ สมเด็จฯกรมพระยาดำรงฯ ทรงพระนิพนธ์ ว่า “ไม่ปรากฏว่าทำราชการในตำแหน่งพนักงานใด คุณสุวรรณมามีชื่อเสียงโด่งดังเมื่อรัชกาลที่ ๔ เหตุด้วยเสียจริต แต่ไม่คลั่งไคล้อันใด เป็นแต่ฟุ้งไปในทางกระบวนแต่งกลอน”
พระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอนัคฑนารี พระเชษฐภคินีของสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี (เจ้าฟ้าบุญณอด) ประสูติ พ.ศ.๒๓๐๕ สิ้นพระชนม์เมื่อใดไม่ปรากฎในจดหมายเหตุพระราชพงศาวดาร เข้าใจว่าจะสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๑ นั่นเอง
พระโอรสธิดาในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอพระองค์น้อยนั้น เมื่อแรกประดิษฐานพระบรมราชจักรีวงศ์ โปรดเกล้าฯ ให้ทรงกรมแต่เพียงพระองค์เดียว คือ พระองค์ใหญ่เป็นพระเจ้าหลานเธอเจ้าฟ้า กรมหลวงเทพหริรักษ์
พระนามกรมจึงคล้องจองกันกับ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงจักรเจษฎา (เจ้าลา) คือเทพหริรักษ์-จักรเจษฎา)
ต่อมาอีก ๒๐ ปี พ.ศ.๒๓๔๕ เมื่อสมเด็จพระบวรราชเจ้าฯ มหาสุรสิงหนาท สวรรคต แล้วโปรดฯให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร เสด็จดำรงพระอิสริยยศ กรมพระราชวังบวรสถานมงคล เลื่อนสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์น้อย จากกรมขุน ขึ้นเป็นกรมหลวง จึงโปรดเกล้าฯ สถาปนา สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้าจุ้ยเป็นกรมขุนพิทักษ์มนตรี
ในรัชกาลที่ ๑ คำนำพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ และ พระเจ้าหลานเธอ นั้น นำพระนาม ‘หลาน’ ที่เป็น ‘หลานน้า’ และ ‘หลานลุง’ ของพระเจ้าแผ่นดิน (พระราชภาคิไนย-หลานลูกของพี่สาว น้องสาว และ พระราชภาติยะ-ลูกของพี่ชายน้องชาย) ต้นรัชกาลที่ ๑ มี สมเด็จพระเจ้าหลานเธอเจ้าฟ้า (พระราชนัดดา-หลานตา) เพียงพระองค์เดียว คือ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนกษัตรานุชิต (พระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และ เจ้าครอกฉิมใหญ่) ซึ่งใช้ว่า ‘หลานเธอ’ เช่นกัน
ต่อปลายๆ รัชกาลจึงมีสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ และพระเจ้าหลานเธอ (พระราชนัดดา-หลานปู่) หลายพระองค์ใช้คำนำพระนามว่า ‘หลานเธอ’ ทั้งหลานน้า หลานลุง และหลานปู่ ส่วนหลานตาตลอดรัชกาลมีเพียงพระองค์เดียว คือ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนกษัตรานุชิต ดังกล่าว
ความคิดเห็น