ลำดับตอนที่ #303
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #303 : เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา
-เคยได้ฟังผู้ใหญ่รุ่นปู่ย่า ตายายพูดกันบ่อยๆว่า กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม หมายความว่าอย่างไร พูดกันเปรยๆ หรือจำมาจากคำกลอนเรื่องอะไร-
มาจากตอนหนึ่งของ เพลงยาวพยากรณ์ กรุงศรีอยุธยา
กลอนที่ถูกนั้นว่า
กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าอันลอยนั้นจะถอยจม
ที่ว่ากระเบื้องคงเป็นกระเบื้องมุงหลังคานั่นเองส่วมน้ำเต้า น่าจะเป็นน้ำเต้าแห้งกลวงข้างในที่ใช้บรรจุน้ำดื่มมากกว่าหมายถึงผลน้ำเต้าสด
เพลงยาวพยากรณ์นี้ เป็นบทกลอนเก่าทำนายชะตากรุงศรีอยุธยา ในบันทึกเก่ากำกับบทกลอนว่า พระนารายน์เป็นเจ้านพบุรีทำนายกรุง
พระนารายน์เป็นเจ้า นั้นก็ว่า คือ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช นั่นเอง นพบุรีก็คือ ลพบุรี หมายความว่า หากเป็นพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระองค์ก็คงจะทรงพระราชนิพนธ์ ระหว่างเสด็จประทับอยู่เมืองลพบุรี
ซึ่งท่านผู้สนใจค้นคว้าเรื่องนี้ ท่านว่าสมเด็จพระนารายณ์ฯ ท่านคงจะทรงพระราชนิพนธ์โดยทรงยืมพุทธทำนายคำกลอน ที่มีผู้แต่งเอาไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว
สำหรับพุทธทำนายคำกลอน ดังกล่าวไม่ปรากฏว่าใครเป็นผู้แต่ง แต่ก็สันนิษฐานกันว่าแต่งในสมัยต้นๆกรุงศรีอยุธยา โดยเอาเค้ามาจากเรื่องมหาสุบินชาดก
ซึ่งมหาสุบินชาดก นั้น เรื่องมีอยู่ว่า
ครั้นหนึ่งเมื่อพระพุทธเจ้าประทัยอยู่ ณ เขตวันมหาวิหาร ในกรุงสาวัตดี แคว้นโกศล
ท้าวปเสนทิทรงครองกรุงสาวัตถีอยู่ เกิดทรงพระสุบินแปลกประหลาด ๑๖ ประการ เมื่อทรงเล่าสุบินให้พวกปุโรหิตาจารย์ฟัง พวกปุโรหิตทำนายว่าฝันร้ายนัก ต้องทำพิธีบูชายัญสะเดาะพระเคราะห์ คือ ฆ่าสัตว์บูชาพระเป็นเจ้า แต่พระมเหสี คือ พระนางมัลลิกาเทวี ทรงแนะนำให้เสด็จไปเฝ้าพระพุทธเจ้าขอให้ทรงทำนาย บางทีสมเด็จพระพุทธองค์ อาจทรงแนะนำวิธีผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ โดยไม่ต้องฆ่าสัตว์เผาผู้คนบูชายัญอันเป็นวิธีโหดร้าย พระเจ้าปเสนทิ จึงเสด็จไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ตามคำทรงแนะนำของพระอัครมเหสี ขอพระพุทธเมตตาให้ทรงทำนายพระสุบินแปลกประหลาดทั้ง ๑๖ ประการนั้น
ในชาดกมีว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงทำนายว่า อันอันตรายทั้งหลายนั้น มิได้มีแก่พระราชา หากแต่จะเกิดขึ้นกับ พระศาสนา และราษฎรทั้งหลาย แล้วทรงมีพุทธทำนายบรรยายถึงวิปริตอันตรายนั้นอย่างละเอียด
ผู้นำเค้าเรื่องสุบินชาดกมาแต่ง ขึ้นต้นคำกลอนพุทธทำนายว่า
ปางพระองค์ชินวงศ์จอมไตร ทรงอาศัยสาวัตตีบุรีสถาน
ภิกษุสงฆ์สองหมื่นเป็นบริวาร ทรงสำราญพระหทัยในเชตุพน
กรุงกษัตริย์ปัตเถวนไปทูลถาม ด้วยข้อความนิมิตรคิดฉงน
อภิวาทเบื้องบาทพระยุคล แล้วทูลฝันแต่ต้นไปจนปลาย
พระสุบินนิมิตทั้ง ๑๖ ประการ ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงทำนาย อันปรากฏอยู่ในคำกลอนดังกล่าวนี้
จะขอยกมาให้อ่านแต่เพียงสัก ๖ ข้อ คือสุบินประการที่ ๑
หนึ่งฝันว่าโคทั้งสี่มีกำลัง แล่นประดังโดยทิศนิมิตรเห็น
จะชนกันแล้วหันห่างกระเด็น ต่างหลีกรี้หนีเร้นไปลับตัว
อภิปรายทายว่าฤดูฝน เมฆมนมืดมิดทุกทิศทั่ว
ดั่งจะปรายสายพิรุณขุ่นเขียวมัว วายุพัดกลัดกลั้วละลายไป
จะลำบากยากใจแก่ไพร่พล ด้วยฝนไม่ตกมาในนาไร่
ต้นข้าวเต้าแตงเหี่ยวแห้งไป ผลไม้ม่วงปรางจะบางเบา
ข้าวจะยากหมากจะแพงทุกแหล่งหล้า ฝูงประชาแค้นคับอับเฉา
ด้วยมนตรีโมหาปัญญาเยาว์ ลำเอียงเอาอามิสไม่คิดธรรม์
และ สุบินประการที่ ๓
หนึ่งฝันว่าแม่โคคาวิน วอนขอนมลูกกินน่าบัดสี
อภิปรายทายว่านิมิตรนี้ ไปภายหน้าจะมีเป็นแน่นอน
พ่อแม่แก่ชรามาหาบุตร ด้วยสิ้นสุดข้าวปลาและผ้าผ่อน
ต้องมายอมปลอบขอเฝ้าง้องอน มันขอดข้อนสำทับให้อับอาย
หยาบช้าต่อบิดาชนนี พาทีให้เคืองช้ำทำใจฉลาย
มิได้มีหิริโอตัปปะอาย หยาบคาบขมขี่ด้วยลมพาล
สุบินประการที่ ๕
หนึ่งฝันว่าม้านั้นสองปาก เห็นหญ้าอยากปากอ้าน้ำลายไหล
บุรุษสองปองป้อนจนอ่อนใจ หยิบหญ้ายื่นส่งให้ไม่เว้นวาย
มีพระพุทธฏีกาพยากรณ์ ผู้ตัดรอนความราษฎร์สิ้นทั้งหลาย
จะรวบรวมกันกินทั้งสองฝ่าย แนะนำให้ท้ายโจทย์จำเลย
กินพลางทางข่มด้วยลมลวง เหนี่ยวหน่วงตามทึ้งแล้วนิ่งเฉย
บ้างอาศัยใช้การจนนานเลย ความก็เกยแห้งร้างอยู่ค้างปี
สุบินประการที่ ๖
หนึ่งฝันว่าสุวรรณภาชน์ทอง สุนัขปองขึ้นนั่งน่าบัดสี
เอื้อนพระโอษฐ์โปรดพุทธวาที ว่าพาลาจะได้ที่เสนานาย
จะหยิ่งยศมาสำทับไม่นับปราชญ์ เสพสังวาสคบพาลสมานหมาย
เหมือนขมิ้นขยำน้ำปูนละลาย ทั้งไพร่นาย คนองลำพองพาล
สุบินประการที่ ๑๒ คือข้อที่ฝันเห็นกระเบื้องลอยน้ำ แต่ น้ำเต้ากลับจมน้ำ
หนึ่ง ฝันว่าน้ำเต้านั้นจมชล ดูวิกลไม่เคยพบปะสบเห็น
พุทธบรรหารว่านานไปจะเป็น ที่ข้อเข็ญของสัตว์วิบัติมี
นักปราชญ์ผู้รู้ธรรมจะต่ำต้อย พาลาลอยเฟื่องฟูชูศักดิ์ศรี
ผู้พงศาตระกูลประยูรมี จะลับลี้เสื่อมสูญประยูรยศ
คนพาลจะราญเริงบรรเทิงหน้า เจรจาผิดธรรมไปจนหมด
ใครปลอกปลิ้นลมเป็นคมคด รู้โป้ปดกลอกกลับจึงนับกัน
สุบินประการที่ ๑๓
หนึ่ง ฝันว่าคีรีนั้นลอยน้ำ ประหลาดล้ำหลากใจที่ในฝัน
พระทรงญาณบรรหารให้เห็นพลัน ภายหน้านั้นผู้มีศักดิ์จะรักพาล
จะยกย่องหมู่ชาติอันต่ำช้า เป็นเอกอัครเสนาในสถาน
ให้ยศศักดิ์สืบสายเป็นนายการ ได้ทีพวกพาลสำราญใจ
แล้วคำกลอนพุทธทำนาย ก็จบลงด้วยบทสุดท้ายว่า
ซึ่งบพิตรนิมิตรสิบหกประการ ไม่มีเหตุเพทพาลแก่พระองค์
จะได้แก่โลกทั้งหลายในภายหน้า จำไว้พิจารณาอย่าลืมหลง
จะเสื่อมสูญเมธีกวีวงศ์ และฝูงหงส์พงศ์ประยูรตระกูลพราหมณ์
จะเฟื่องฟูเชยชมนิยมหยาบ แบกแต่บาปหาบนรกยกขึ้นหาม
กองกรรมจะนำสนองตาม จดลงหนังสุนัขถามเมื่อยามตาย
พระไตรรัตน์จะวิบัติหม่นมัวหมอง ไม่ผุดผ่องแผ้วผาดสะอาดฉาย
ศักราชคำรบนั้นสองพันปลาย จะต้องพุทธทำนายไว้แน่เอยฯ
ทีนี้ เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยาที่บันทึกไว้ว่า พระนารายณ์เป็นเจ้านพบุรีทำนายถึงกรุงศรีอยุธยาเอาไว้นั้น
ขึ้นต้นว่า (สะกดการันต์ตามหนังสือเก่า)
จะกล่าวถึงกรุงศรีอยุธยา เป็นกรุงรัตนราชพระศาสนามหาดิเรกอันเลิศล้น เป็นที่ปรากฏรจนา สรรเสริญอยุธยาทุกแห่งหน ทุกบุรีสีมามณฑล จบสกลลูกค้าวานิชทุกประเทศสิบสองภาษา ย่อมมาพึ่งกรุงศรีอยุธยาเป็นอัคคะนิจ ฝ่ายองศ์พระบรมราชา ครองขันทสีมาเป็นศุข ด้วยพระกฤษฎีกาทำนุก จึงอยู่เย็นเป็นศุขสวัสดี...
....ฯลฯ....ฯลฯ....
จนคำรบศักราชได้สองพัน คราทีนั้นฝูงสัตว์ทั้งหลาย จะเกิดความอันตรายเป็นแม่นมั่น ด้วยพระมหากษัตริย์มิได้ทรงทศพิธราชธรรม จึงเกิดเข็ญเป็นมหัศจรรย์สิบหกประการ...ฯลฯ...
ความวิปริตต่างๆให้เกิดความยามเข็ญนั้นว่า ๑๖ ประการเช่นเดียวกับที่พระเจ้าปเสนทิทรงสุบินและที่พระพุทธเจ้าทรงทำนาย
...ฯลฯ...เทวดาซึ่งรักษาพระศาสนา จะรักษาแต่คนฝ่ายอกุศล สัปรุษย์จะแพ้แก่ทรชน มิตรตนจะฆ่าซึ่งความรัก ภรรยาจะฆ่าซึ่งคุณผัว คนชั่วจะมล้างผู้มีศักดิ์ ลูกศิษย์จะสู้ครูพัก จะหาญหักผู้ใหญ่ให้เป็นน้อย ผู้มีศีลจะเสียซึ่งอำนาจ นักปราชญ์จะตกต่ำต้อย กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าอันลอยนั้นจะถอยจม ผู้มีตระกูลจะสูญเผ่า เพราะจัณฑาลมันเข้ามาสู่สม ผู้มีศีลจะเสียซึ่งอารมณ์ เพราะสมัครสมาคมด้วยมารยา...ฯลฯ...
เวียงวัง ตอนนี้ ออกนอกกรุงรัตนโกสินทร์ ย้อนกลับไปกรุงศรีอยุธยา ทว่าเมื่อยังเป็นเรื่องเวียงๆวังๆอยู่ ถามมาก็เล่าไป
มาจากตอนหนึ่งของ เพลงยาวพยากรณ์ กรุงศรีอยุธยา
กลอนที่ถูกนั้นว่า
กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าอันลอยนั้นจะถอยจม
ที่ว่ากระเบื้องคงเป็นกระเบื้องมุงหลังคานั่นเองส่วมน้ำเต้า น่าจะเป็นน้ำเต้าแห้งกลวงข้างในที่ใช้บรรจุน้ำดื่มมากกว่าหมายถึงผลน้ำเต้าสด
เพลงยาวพยากรณ์นี้ เป็นบทกลอนเก่าทำนายชะตากรุงศรีอยุธยา ในบันทึกเก่ากำกับบทกลอนว่า พระนารายน์เป็นเจ้านพบุรีทำนายกรุง
พระนารายน์เป็นเจ้า นั้นก็ว่า คือ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช นั่นเอง นพบุรีก็คือ ลพบุรี หมายความว่า หากเป็นพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระองค์ก็คงจะทรงพระราชนิพนธ์ ระหว่างเสด็จประทับอยู่เมืองลพบุรี
ซึ่งท่านผู้สนใจค้นคว้าเรื่องนี้ ท่านว่าสมเด็จพระนารายณ์ฯ ท่านคงจะทรงพระราชนิพนธ์โดยทรงยืมพุทธทำนายคำกลอน ที่มีผู้แต่งเอาไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว
สำหรับพุทธทำนายคำกลอน ดังกล่าวไม่ปรากฏว่าใครเป็นผู้แต่ง แต่ก็สันนิษฐานกันว่าแต่งในสมัยต้นๆกรุงศรีอยุธยา โดยเอาเค้ามาจากเรื่องมหาสุบินชาดก
ซึ่งมหาสุบินชาดก นั้น เรื่องมีอยู่ว่า
ครั้นหนึ่งเมื่อพระพุทธเจ้าประทัยอยู่ ณ เขตวันมหาวิหาร ในกรุงสาวัตดี แคว้นโกศล
ท้าวปเสนทิทรงครองกรุงสาวัตถีอยู่ เกิดทรงพระสุบินแปลกประหลาด ๑๖ ประการ เมื่อทรงเล่าสุบินให้พวกปุโรหิตาจารย์ฟัง พวกปุโรหิตทำนายว่าฝันร้ายนัก ต้องทำพิธีบูชายัญสะเดาะพระเคราะห์ คือ ฆ่าสัตว์บูชาพระเป็นเจ้า แต่พระมเหสี คือ พระนางมัลลิกาเทวี ทรงแนะนำให้เสด็จไปเฝ้าพระพุทธเจ้าขอให้ทรงทำนาย บางทีสมเด็จพระพุทธองค์ อาจทรงแนะนำวิธีผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ โดยไม่ต้องฆ่าสัตว์เผาผู้คนบูชายัญอันเป็นวิธีโหดร้าย พระเจ้าปเสนทิ จึงเสด็จไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ตามคำทรงแนะนำของพระอัครมเหสี ขอพระพุทธเมตตาให้ทรงทำนายพระสุบินแปลกประหลาดทั้ง ๑๖ ประการนั้น
ในชาดกมีว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงทำนายว่า อันอันตรายทั้งหลายนั้น มิได้มีแก่พระราชา หากแต่จะเกิดขึ้นกับ พระศาสนา และราษฎรทั้งหลาย แล้วทรงมีพุทธทำนายบรรยายถึงวิปริตอันตรายนั้นอย่างละเอียด
ผู้นำเค้าเรื่องสุบินชาดกมาแต่ง ขึ้นต้นคำกลอนพุทธทำนายว่า
ปางพระองค์ชินวงศ์จอมไตร ทรงอาศัยสาวัตตีบุรีสถาน
ภิกษุสงฆ์สองหมื่นเป็นบริวาร ทรงสำราญพระหทัยในเชตุพน
กรุงกษัตริย์ปัตเถวนไปทูลถาม ด้วยข้อความนิมิตรคิดฉงน
อภิวาทเบื้องบาทพระยุคล แล้วทูลฝันแต่ต้นไปจนปลาย
พระสุบินนิมิตทั้ง ๑๖ ประการ ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงทำนาย อันปรากฏอยู่ในคำกลอนดังกล่าวนี้
จะขอยกมาให้อ่านแต่เพียงสัก ๖ ข้อ คือสุบินประการที่ ๑
หนึ่งฝันว่าโคทั้งสี่มีกำลัง แล่นประดังโดยทิศนิมิตรเห็น
จะชนกันแล้วหันห่างกระเด็น ต่างหลีกรี้หนีเร้นไปลับตัว
อภิปรายทายว่าฤดูฝน เมฆมนมืดมิดทุกทิศทั่ว
ดั่งจะปรายสายพิรุณขุ่นเขียวมัว วายุพัดกลัดกลั้วละลายไป
จะลำบากยากใจแก่ไพร่พล ด้วยฝนไม่ตกมาในนาไร่
ต้นข้าวเต้าแตงเหี่ยวแห้งไป ผลไม้ม่วงปรางจะบางเบา
ข้าวจะยากหมากจะแพงทุกแหล่งหล้า ฝูงประชาแค้นคับอับเฉา
ด้วยมนตรีโมหาปัญญาเยาว์ ลำเอียงเอาอามิสไม่คิดธรรม์
และ สุบินประการที่ ๓
หนึ่งฝันว่าแม่โคคาวิน วอนขอนมลูกกินน่าบัดสี
อภิปรายทายว่านิมิตรนี้ ไปภายหน้าจะมีเป็นแน่นอน
พ่อแม่แก่ชรามาหาบุตร ด้วยสิ้นสุดข้าวปลาและผ้าผ่อน
ต้องมายอมปลอบขอเฝ้าง้องอน มันขอดข้อนสำทับให้อับอาย
หยาบช้าต่อบิดาชนนี พาทีให้เคืองช้ำทำใจฉลาย
มิได้มีหิริโอตัปปะอาย หยาบคาบขมขี่ด้วยลมพาล
สุบินประการที่ ๕
หนึ่งฝันว่าม้านั้นสองปาก เห็นหญ้าอยากปากอ้าน้ำลายไหล
บุรุษสองปองป้อนจนอ่อนใจ หยิบหญ้ายื่นส่งให้ไม่เว้นวาย
มีพระพุทธฏีกาพยากรณ์ ผู้ตัดรอนความราษฎร์สิ้นทั้งหลาย
จะรวบรวมกันกินทั้งสองฝ่าย แนะนำให้ท้ายโจทย์จำเลย
กินพลางทางข่มด้วยลมลวง เหนี่ยวหน่วงตามทึ้งแล้วนิ่งเฉย
บ้างอาศัยใช้การจนนานเลย ความก็เกยแห้งร้างอยู่ค้างปี
สุบินประการที่ ๖
หนึ่งฝันว่าสุวรรณภาชน์ทอง สุนัขปองขึ้นนั่งน่าบัดสี
เอื้อนพระโอษฐ์โปรดพุทธวาที ว่าพาลาจะได้ที่เสนานาย
จะหยิ่งยศมาสำทับไม่นับปราชญ์ เสพสังวาสคบพาลสมานหมาย
เหมือนขมิ้นขยำน้ำปูนละลาย ทั้งไพร่นาย คนองลำพองพาล
สุบินประการที่ ๑๒ คือข้อที่ฝันเห็นกระเบื้องลอยน้ำ แต่ น้ำเต้ากลับจมน้ำ
หนึ่ง ฝันว่าน้ำเต้านั้นจมชล ดูวิกลไม่เคยพบปะสบเห็น
พุทธบรรหารว่านานไปจะเป็น ที่ข้อเข็ญของสัตว์วิบัติมี
นักปราชญ์ผู้รู้ธรรมจะต่ำต้อย พาลาลอยเฟื่องฟูชูศักดิ์ศรี
ผู้พงศาตระกูลประยูรมี จะลับลี้เสื่อมสูญประยูรยศ
คนพาลจะราญเริงบรรเทิงหน้า เจรจาผิดธรรมไปจนหมด
ใครปลอกปลิ้นลมเป็นคมคด รู้โป้ปดกลอกกลับจึงนับกัน
สุบินประการที่ ๑๓
หนึ่ง ฝันว่าคีรีนั้นลอยน้ำ ประหลาดล้ำหลากใจที่ในฝัน
พระทรงญาณบรรหารให้เห็นพลัน ภายหน้านั้นผู้มีศักดิ์จะรักพาล
จะยกย่องหมู่ชาติอันต่ำช้า เป็นเอกอัครเสนาในสถาน
ให้ยศศักดิ์สืบสายเป็นนายการ ได้ทีพวกพาลสำราญใจ
แล้วคำกลอนพุทธทำนาย ก็จบลงด้วยบทสุดท้ายว่า
ซึ่งบพิตรนิมิตรสิบหกประการ ไม่มีเหตุเพทพาลแก่พระองค์
จะได้แก่โลกทั้งหลายในภายหน้า จำไว้พิจารณาอย่าลืมหลง
จะเสื่อมสูญเมธีกวีวงศ์ และฝูงหงส์พงศ์ประยูรตระกูลพราหมณ์
จะเฟื่องฟูเชยชมนิยมหยาบ แบกแต่บาปหาบนรกยกขึ้นหาม
กองกรรมจะนำสนองตาม จดลงหนังสุนัขถามเมื่อยามตาย
พระไตรรัตน์จะวิบัติหม่นมัวหมอง ไม่ผุดผ่องแผ้วผาดสะอาดฉาย
ศักราชคำรบนั้นสองพันปลาย จะต้องพุทธทำนายไว้แน่เอยฯ
ทีนี้ เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยาที่บันทึกไว้ว่า พระนารายณ์เป็นเจ้านพบุรีทำนายถึงกรุงศรีอยุธยาเอาไว้นั้น
ขึ้นต้นว่า (สะกดการันต์ตามหนังสือเก่า)
จะกล่าวถึงกรุงศรีอยุธยา เป็นกรุงรัตนราชพระศาสนามหาดิเรกอันเลิศล้น เป็นที่ปรากฏรจนา สรรเสริญอยุธยาทุกแห่งหน ทุกบุรีสีมามณฑล จบสกลลูกค้าวานิชทุกประเทศสิบสองภาษา ย่อมมาพึ่งกรุงศรีอยุธยาเป็นอัคคะนิจ ฝ่ายองศ์พระบรมราชา ครองขันทสีมาเป็นศุข ด้วยพระกฤษฎีกาทำนุก จึงอยู่เย็นเป็นศุขสวัสดี...
....ฯลฯ....ฯลฯ....
จนคำรบศักราชได้สองพัน คราทีนั้นฝูงสัตว์ทั้งหลาย จะเกิดความอันตรายเป็นแม่นมั่น ด้วยพระมหากษัตริย์มิได้ทรงทศพิธราชธรรม จึงเกิดเข็ญเป็นมหัศจรรย์สิบหกประการ...ฯลฯ...
ความวิปริตต่างๆให้เกิดความยามเข็ญนั้นว่า ๑๖ ประการเช่นเดียวกับที่พระเจ้าปเสนทิทรงสุบินและที่พระพุทธเจ้าทรงทำนาย
...ฯลฯ...เทวดาซึ่งรักษาพระศาสนา จะรักษาแต่คนฝ่ายอกุศล สัปรุษย์จะแพ้แก่ทรชน มิตรตนจะฆ่าซึ่งความรัก ภรรยาจะฆ่าซึ่งคุณผัว คนชั่วจะมล้างผู้มีศักดิ์ ลูกศิษย์จะสู้ครูพัก จะหาญหักผู้ใหญ่ให้เป็นน้อย ผู้มีศีลจะเสียซึ่งอำนาจ นักปราชญ์จะตกต่ำต้อย กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าอันลอยนั้นจะถอยจม ผู้มีตระกูลจะสูญเผ่า เพราะจัณฑาลมันเข้ามาสู่สม ผู้มีศีลจะเสียซึ่งอารมณ์ เพราะสมัครสมาคมด้วยมารยา...ฯลฯ...
เวียงวัง ตอนนี้ ออกนอกกรุงรัตนโกสินทร์ ย้อนกลับไปกรุงศรีอยุธยา ทว่าเมื่อยังเป็นเรื่องเวียงๆวังๆอยู่ ถามมาก็เล่าไป
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น